ศาลปกครองสูงสุด ยืน คำพิพากษาศาลชั้นต้น ลงมติสรรหา บิ๊ก สกสค.ไม่ชอบ  “อรรถพล”ตามเช็กบิลคนที่เกี่ยวข้อง  ขณะที่ “ธนพร”ส่อหลุดเก้าอี้

วันนี้( 25 กุมภาพันธ์ 2564)  นายอรรถพล  ตรึกตรอง  เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.) เปิดเผยว่า ตามที่ตนได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง กรณีที่ตนได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) เมื่อปี2562  ซึ่งศาลปกครองกลางได้ตัดสิน ให้เพิกถอนมติและคำสั่งการแต่งตั้งนายณรงค์  แผ้วพลสง  เป็นเลขาธิการ สกสค. ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้ยื่นอุทธรณ์ในหลายประเด็น นั้น วันนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้นัดอ่านคำพิพากษา โดยสรุปว่า คำพิพากษาของศาลปกครองกลางได้เยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีแล้ว ดังนั้นไม่ว่า ศาลปกครองสูงสุดจะวินิจฉัยคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีในประเด็นย่อย ดังกล่าวเป็นประการใดก็ตาม ย่อมไม่มีผลทำให้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเปลี่ยนแปลงได้ จึงเห็นได้ว่า คำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นตนเปลี่ยนไป และไม่ทำให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยที่แตกต่างไป ดังนั้นยืนยันให้ใช้คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่ว่า กระบวนการสรรหาดังกล่าว ดำเนินการโดยชอบ แต่ไม่ชอบที่คุณสมบัติบางประการ และให้เพิกถอนเฉพาะมติและคำสั่งแต่งตั้งนายณรงค์

นายอรรถพล  กล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้ตนจะมอบให้ทีมกฎหมายไปดูรายละเอียด เพื่อดำเนินคดีอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กับผู้เกี่ยวข้องกับกรรมการสรรหาเลขาธิการ สกสค.ดังกล่าว ซึ่งบางคนแม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็มีผลย้อนหลังได้ ทั้งนี้ เมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งและอยู่ระหว่างการอุทธรณ์นั้น โดยหลักการก็ไม่ควรดำเนินการสรรหาเลขาธิการ สกสค.ได้ แต่ต้องนำรายชื่อ ตน ซึ่งเป็นหนึ่งใน 2 รายชื่อที่เข้ารับการพิจารณาของคณะกรรมการเมื่อปี 2562 เข้าที่ประชุมคณะกรรมการสกสค.ก่อน แต่กลับข้ามไปเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ และได้นายธนพร  สมศรี มาเป็นเลขาธิการ สกสค. ดังนั้นตนจึงให้ทีมกฎหมายไปดู หากเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็จะฟ้องอาญากับผู้เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ส่วนจะมีผลให้นายธนพร หลุดจากตำแหน่งหรือไม่นั้น ไม่สามารถบอกได้ แต่คนที่ดำเนินการให้เกิดการสรรหาใหม่ โดยที่ไม่ทำของเดิมให้สะเด็ดน้ำก่อนก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งการสรรหานายธนพร มีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ  อดีต รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน

“การดำเนินการเรื่องนี้ไม่ใช่การไล่บี้ แต่บังเอิญว่าศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พอดี  ผมเองไม่ได้คิดเรื่องจะได้คืนสิทธิหรือไม่ แต่ต้องดำเนินกระบวนการจนสิ้นสุด เพราะกระบวนการเดิมตั้งแต่การรับสมัคร การสรรหา ชอบมาตลอด ไม่ชอบเฉพาะคุณสมบัติของนายณรงค์  เท่ากับว่า คุณสมบัติของผมชอบทุกอย่าง แต่เป็นเรื่องของการลงมติไม่ชอบ ดังนั้นที่ถูกต้องบอร์ดสกสค. ต้องประชุมใหม่ เพื่อเพิกถอนกระบวนการสรรหานายธนพร และมาลงมติในส่วนของผม ให้ถูกต้อง ซึ่งผมจะนำคำพิพากษา รายงานให้นายสุภัทร  จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่รับทราบ เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป”นายอรรถพลกล่าว

‘รอยล’เมินปัญหาค้างคาอาชีวะ ขอเสริมจุดแข็งพัฒนาอาชีวะสร้างโอกาสของประเทศ

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 นายรอยล จิตรดอน ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กอศ. เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนอาชีวศึกษา เช่น แผนงานการพัฒนากำลังคนว่าจะเดินต่ออย่างไร รวมถึงการพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศการอาชีวศึกษา (Excellent Center) ซึ่งขณะนี้พอเห็นทิศทางแล้วว่ามีวิทยาลัยใดบ้าง  โดยที่ประชุมได้ยกโรงเรียนพระดาบส ขึ้นเป็นตัวอย่างในการพัฒนาให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศการอาชีวศึกษา เพื่อสอนให้ผู้เรียนมีความรู้เชิงลึกในสาขาวิชาที่ตนถนัด ซึ่งจะต้องรู้ลึกและสามารถต่อยอดในสิ่งที่ถนัดได้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือร่วมกันว่าจะยกระดับการอาชีวศึกษาได้อย่างไร เพราะปัจจุบันคนตกงานจำนวนมาก ดังนั้นภาคการเกษตรและการช่าง จะเป็นสาขาอาชีพที่สำคัญของประเทศ จึงถือเป็นโอกาสที่ สอศ.ต้องเร่งสร้างจุดแข็งด้านเกษตรสมัยใหม่ และด้านการช่างเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป

ประธาน กอศ.กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังมีมติตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการนโยบายและกฎหมายการบริหารจัดการอาชีวศึกษา คณะอนุกรรมการพัฒนาหลักสูตรและผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา คณะอนุกรรมการพัฒนาความร่วมมือและทวิภาคี และคณะอนุกรรมการตรวจติดตามการประเมิน โดยคณะอนุกรรมการทั้ง 4 จะเริ่มทำงานทันที เพื่อขับเคลื่อนงานอาชีวศึกษาต่อไป

“สำหรับกรณีที่เครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย(ค.ร.อ.ท.) ยื่นหนังสือเรียกร้องให้บอร์ด กอศ.แก้ปัญหาต่าง ๆ นั้น ผมยังไม่ได้ดู แต่คิดว่า ถ้ามัวแต่แก้ปัญหาก็จะจมน้ำตายกันหมด เพราะฉะนั้นผมจะให้น้ำหนักกับจุดแข็งของอาชีวะและโอกาสของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องเกษตรสมัยใหม่และงานช่าง”นายรอยลกล่าว

ผู้บริหารระดับสูงศธ.ไม่กังวลงานในศธ.หลัง”ครูตั้น”หลุดตำแหน่งรมว.ศึกษาถูกศาลตัดสินจำคุก6ปี16เดือน

 

เมื่อวันที่ 25 ก.พ.2564 ดร.สุภัทร  จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 6 ปี 16 เดือน ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ ก่อการร้าย ล้มล้างระบอบการปกครอง มั่วสุมชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ทำให้มีผลหลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทันที ว่า ส่วนตัวมองว่าไม่กระทบกับการทำงานของศธ.เพราะการทำงาน ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนงาน ทั้งงานประจำและงานตามนโยบาย โดยเฉพาะการบูรณาการด้านการศึกษาที่ขณะนี้แต่ละจังหวัดทำแผนบูรณาการเบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างพิจารณาข้อมูล เท่าที่ฟังผู้ที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่มีความเข้าใจและพอใจ เพราะมีโอกาสที่จะมีโรงเรียนคุณภาพเพิ่มขึ้น เพราะเป็นการกระจายทรัพยากรลงไปได้ทั่วถึง

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ถ้า รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ จะเปลี่ยนนโยบาย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เราเป็นข้าราชการ  มีหน้าที่นำนโยบายสู่การปฏิบัติ จากนี้จะรวบรวมแผนการดำเนินการปี 2564 และ2565 ว่ามีเรื่องใดบ้าง ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่ พิจารณาว่าอยากเสริมแต่งในเรื่องใดบ้าง หรือมีนโยบายใหม่ ๆ ก็ต้องไปออกแบบเพื่อนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ตรงนี้ถือเป็นเรื่องปกติของข้าราชการ

ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ในฐานะผู้ปฏิบัติก็ต้องขับเคลื่อนภารกิจต่อไป อะไรที่เป็นนโยบายรัฐบาลก็ต้องเดินหน้า อะไรที่เป็นนโยบายของรัฐมนตรีก็ต้องรอฟังที่รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ ไม่มีอะไรต้องกังวล และไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีก็คิดว่าทุกคนจะเห็นความสำคัญของการศึกษา ซึ่งสพฐ.ก็พร้อมจะปฏิบัติ

ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า การปรับรัฐมนตรีไม่กระทบกับสภาการศึกษามากนัก เพราะการทำงานของสภาการศึกษาเป็นการทำงานเชิงระบบมากกว่า อีกอย่างสภาการศึกษาถือเป็นคลังความคิด มีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถมากมาย ซึ่งการประชุมแต่ละครั้งก็ใช้คณะกรรมการเป็นตัวกำหนดแนวทางของการประชุม โดยรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่จะมาให้นโยบาย และบอร์ดก็ให้ความเห็นกลับมา เป็นการทำงานที่ผสมผสานกัน อย่างไรก็ตามผลกระทบจากการปรับรัฐมนตรีก็ต้องมีบ้างในบางเรื่องที่ต้องรอฟังนโยบายจาก รัฐมนตรีคน.ใหม่ เพื่อดูว่ามีอะไรต้องปรับเปลี่ยนบ้างจากที่คิดและวางแผนไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นธรรมดาที่อาจจะมีอะไรบางอย่างไม่โดนใจทั้ง 100%

ด้าน ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่า ทิศทางการขับเคลื่อนการอาชีวศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ชัดเจนและมาถูกทางอยู่แล้ว เพราะเป็นนโยบายที่สร้างคุณภาพให้กับการอาชีวศึกษาอย่างมาก และเมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้เสนอแนวทางการพัฒนาอาชีวศึกษา ต่อที่ประชุมคณะกรรมการอาชีวศึกษา(บอร์ด กอศ.) ซึ่งที่ประชุมก็เห็นด้วย และมองว่าการขับเคลื่อนและพัฒนาอาชีวศึกษาเพื่อสร้างคุณภาพให้สถานศึกษาเป็นศูนย์ความเป็นเลิศการอาชีวศึกษา (Excellent Center College) นั้นต้องเดินหน้าต่อไป

“สอศ.มีปรัชญาการทำงาน คือ สร้างคุณภาพ และผลิตผู้เรียนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของประเทศ สอศ.จะทำงานตามปรัชญานี้ และเชื่อว่า รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่ จะสนับสนุนแนวทางนี้ด้วย อย่างไรก็ตามผมไม่กังวลในการทำงาน หาก รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ มีนโยบายการทำงานใหม่ สอศ.ก็พร้อมจะปฏิบัติ”ดร.สุเทพ กล่าว

รับนักเรียน ปี 64 โรงเรียนดัง กทม.จัดสอบแบบวิถีใหม่ กระจายสนามสอบ รักษาระยะห่างเข้มงวด

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 นายสมใจ วิเศษทักษิณ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.)กรุงเทพมหานคร เขต1  กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการรับนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 ของ สพม.กทม.เขต 1 ว่า ปีการศึกษา 2564 จะมีการรับสมัครนักเรียนชั้น ม. 1 ระหว่างวันที่ 24-28 เม.ย. สอบคัดเลือกวันที่ 1 พ.ค. ประกาศผลวันที่ 5 พ.ค. และ มอบตัววันที่ 8 พ.ค.  ส่วน ม. 4 สมัครวันที่ 24-28 เม.ย. สอบคัดเลือกวันที่ 2 พ.ค. ประกาศผลวันที่ 6 พ.ค. มอบตัววันที่ 9 พ.ค.  ส่วนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภูมิภาค รับสมัครวันที่ 20-24 ก.พ.  สอบคัดเลือก 6 มี.ค. ประกาศผล 15 มี.ค. และ มอบตัววันที่ 18 มี.ค.

ผอ.สพม.กทม.เขต 1 กล่าวว่า ในการจัดสอบได้มีการกำชับให้ดำเนินการป้องกันการแพร่ะระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อย่างเข้มงวด โดยดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 มีการเว้นระยะห่าง ฉีดยาฆ่าเชื้อ ส่วนสนามสอบอาจจะขอใช้พื้นที่โรงเรียนที่ไม่มีการสอบ หรือ โรงเรียนที่ไม่ใช่โรงเรียนแข่งขันสูงเป็นสนามสอบครั้งนี้ ดังนั้นการสอบปีนี้สำหรับโรงเรียนแข่งขันสูงจะกระจายไปยังโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เด็กกระจุกตัว แต่ต้องสอบวัน เวลาเดียวกัน ใช้ข้อสอบชุดเดียวกัน เพื่อไม่ให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบ ส่วนข้อสอบนั้นขึ้นอยู่กับโรงเรียน โดยต้องมีการหารือร่วมกันกรรมการสถานศึกษา และผู้เกี่ยวข้อง ส่วนโรงเรียนเตรียมอุดมฯจะสอบที่เมืองทองธานี โดยใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 อย่างเข้มงวด สำหรับนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด อย่างจังหวัดสมุทรสาครนั้น ก็จะจัดข้อสอบไปในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวก โดยนักเรียนไม่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อมาสอบ

“เราประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อยู่เป็นระยะ ซึ่งเท่าที่ดูสถานการณ์ก็ดีขึ้นตามลำดับ ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคในการจัดสอบ ส่วนข้อสอบที่มีการถามกันมากว่าต้องปรับให้ง่ายขึ้นหรือไม่ เนื่องจากนักเรียนอาจไม่ได้รับความรู้เต็มที่เพราะเรียนผ่านระบบออนไลน์ เรื่องนี้ผมคิดว่า โรงเรียนแต่ละแห่งจะพิจารณาออกข้อสอบอย่างเหมาะสม  ไม่น่าจะมีปัญหา แม้ปีการศึกษานี้เด็กจะเรียนออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ แต่เท่าที่ดูครูก็พยายามให้เด็กได้รับความรู้อย่างเต็มที่ ไม่ต่างกับการเรียนในห้องเรียน และตอนนี้บางโรงเรียนได้เปิดสอนแล้ว ภายใต้มาตรการเฝ้าระวังตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ขณะที่บางแห่งก็ให้เรียนแบบแบ่งกลุ่มสลับกัน ทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์”นายสมใจกล่าว

‘บอร์ด กช.’ อนุมัติเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวน.ร.พิการ 35%

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564  นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ครั้งที่ 2/2564 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการกำหนดค่าใช้จ่ายรายบุคคลที่เหมาะสมสำหรับการจัดการเรียนการสอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) พบว่า โรงเรียนเอกชนมีนักเรียนพิการทั้งหมด 4,476 คน ในปีการศึกษา 2562 สช.จ่ายเงินอุดหนุนรายบุคคลให้นักเรียนพิการ จำนวน 100 ล้านบาทต่อปี ถ้ามีการปรับจ่ายเงินเพิ่มขึ้นจากเดิม 35% ก็จะประมาณ 35 ล้านบาท ส่วนวิทยาลัยอาชีวะเอกชน จากข้อมูลมีนักเรียนพิการ 1,718 คน แต่ละปีจะจ่ายเงินอุดหนุนรายบุคคลประมาณ 75 ล้านบาท ถ้าปรับเงินอุดหนุน จะจ่ายเงินเพิ่มเพียง 25 ล้านบาท

“สช.จะนำเรื่องนี้เสนอให้สำนักงบประมาณ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่งไม่เพียงนักเรียนพิการในสังกัด สช.เท่านั้น ดิฉันยังได้มอบหมายให้ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผลักดันการเพิ่มเงินอุดหนุนให้กับนักเรียนพิการในสังกัดอื่นๆ ด้วย เช่น สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำต่อไป”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า ตามที่สช. ได้ส่งหนังสือแจ้งให้โรงเรียนเอกชนคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่นให้กับผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 นั้น สช.ได้รับรายงานว่ามีโรงเรียนเอกชนจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษาคืนให้ผู้ปกครอง จำนวน 524 แห่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 561,853,934 บาท ซึ่งส่วนใหญ่โรงเรียนจะคืนเงินค่าอาหารกลางวัน ค่าอาหารเสริมนม ค่าอาหารว่าง ค่ารถรับส่ง ค่าไปทัศนศึกษา เป็นต้น

ค.ร.อ.ท.ยื่นหนังสือถึง”นายรอยล”ประธานบอร์ดกอศ.ให้แก้ปัญหาการบริหารงานในอาชีวศึกษา

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) นายเศรษฐศิษฎ์ ณุวงค์ศรี  ประธานเครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย(ค.ร.อ.ท.) เปิดเผยว่า เนื่องจากวันนี้มีการประชุมคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)นัดแรก ทางเครือข่ายฯจึงได้มายื่นหนังสือ ต่อ นายรอยล จิตดอน ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อนำเสนอข้อมูลและประเด็นปัญหาต่าง ๆ ให้บอร์ด กอศ.ดำเนินการแก้ไข เพื่อให้การบริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเป็นไปตามกฎหมาย โดยเฉพาะการกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาและสถาบันการอาชีวศึกษา เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการอาชีวศึกษาไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 และโลกอนาคต

นายเศรษฐศิษฎ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับ ประเด็นที่ ค.ร.อ.ท.นำเสนอ ได้แก่ 1.ขอให้ดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่สถานศึกษาและสถาบัน ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546  พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2562  และ พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ.2551  2.ขอให้ทบทวนข้อสั่งการและนโยบายของเลขาธิการกอศ.ที่ให้งดรับนักศึกษาระดับ ปวช. 1 และ ปวส.1 ในวิทยาลัยสารพัดช่างและวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีไปก่อนจนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดกอศ. 3. ขอให้สร้างความเท่าเทียมในการพิจารณาเงินเดือนและค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน ของบุคลากรในสังกัด สอศ. 4.ขอให้แก้ปัญหาการบริหารสถานศึกษาทั้งในสังกัดสถาบันและนอกสถาบัน ในเรื่องการจัดการเรียนการสอน การโยกย้ายบุคลากร และปัญหาการสั่งการจากส่วนกลางที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายจนเกิดความสับสนในกลุ่มผู้บริหารและบุคลากรอย่างมาก 5.ขอให้เร่งรัดเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการสภาสถาบันชุดใหม่ 6.ดำเนินการให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาบุคลากร ตาม พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ.2551  7.ขอให้บอร์ด กอศ.พิจารณาให้ผู้จบ ปวช. ปวส. หรือ ปริญญาตรี สาขาใดบ้างที่ต้องทดสอบมาตรฐานฝีมือหรือได้รับการรับรองโดยไม่ต้องทดสอบ หรือทดสอบสมรรถนะเพื่อรับเงินเดือน/ค่าจ้างสูงขึ้นกว่าอัตราค่าจ้างฝีมือแรงงานของกรมพัฒนาฝีแรงงาน เพื่อเป็นการจูงใจผู้เรียนสายวิชาชีพจากสถาบันการอาชีวศึกษา และ 8.พิจารณายุบหน่วยงานภายในหรือสำนักที่ตั้งขึ้นมาทำงานซ้ำซ้อนกับสำนักเดิม เพื่อให้การทำงานของ สอศ.มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ก.ค.ศ.ไฟเขียวร่างเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษา

 

ก.ค.ศ.ไฟเขียวร่างเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษา

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องเกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้

  1. เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา

สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ สำหรับตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบใหม่ ให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งกำหนดลักษณะงานที่ปฏิบัติ 5 ด้าน คือ 1. ด้านการบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการ 2. ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา 3. ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม 4. ด้านการบริหารงานชุมชนและเครือข่าย และ 5. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ รวมถึงการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ซึ่ง ก.ค.ศ. ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอนไปแล้ว และเพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงโมเดลการศึกษายกกำลังสอง ของกระทรวงศึกษาธิการ “ปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง”  จึงเป็นที่มาของการจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งได้มีการศึกษา การระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ มีผลการวิจัยเป็นฐานในการดำเนินการ รวมถึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้  ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า จะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพ ผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาได้พัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามระดับวิทยฐานะ มีภาวะผู้นำในการบริหารวิชาการ และบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอน  คุณภาพครู คุณภาพผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ผู้บริหารสามารถเข้าถึงครู และห้องเรียนมากยิ่งขึ้นจะทำให้ได้รับทราบปัญหา และสามารถนำมากำหนดแผนพัฒนาสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และยังทำให้ผู้บริหารสถานศึกษาได้ทราบจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนาของครูและบุคลากรในสถานศึกษา ซึ่งจะทำให้มีแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะครู เพื่อให้ครูสามารถนำผลการพัฒนามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการจัดการเรียนรู้และการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน

สำหรับการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้เป็นการลดกระบวนการและขั้นตอน โดยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ลดภาระในการจัดทำเอกสารและงบประมาณเกี่ยวกับการประเมิน เกิดการเชื่อมโยงบูรณาการในระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงาน การเลื่อนเงินเดือน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ
โดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน ทำให้ลดความซ้ำซ้อน และมี Big data ในการบริหารงานบุคคลสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย (ร่าง)หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

  1. กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกคน ต้องทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้บังคับบัญชาชั้นต้นเป็นประจำทุกปี ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ  ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา ฯลฯ  โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง โดยผลการประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือ เลื่อนวิทยฐานะ ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมิน เพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน ทั้งนี้ สามารถยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้
  2. คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ ต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ 4 ปีติดต่อกัน หรือมีคุณสมบัติเป็นไปตามเงื่อนไข ที่ ก.ค.ศ. กำหนด กรณีลดระยะเวลาจะต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง/วิทยฐานะ 3 ปีติดต่อกัน   มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน ผ่านเกณฑ์  ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย/จรรยาบรรณที่หนักกว่าภาคทัณฑ์ในช่วง 4 ปีย้อนหลัง  และสำหรับผู้ขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ/เชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีผลงานทางวิชาการตามที่  ก.ค.ศ. กำหนดด้วย
  3. การประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้าน คือ ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนกลยุทธ์ การใช้เครื่องมือ หรือนวัตกรรมทางการบริหาร ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาครุณภาพผู้เรียน ครู และสถานศึกษา สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษจะมีการประเมิน ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ
  4. การยื่นคำขอ ให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA)
  5.  เกณฑ์การตัดสิน ในแต่ละด้านต้องได้คะแนนจากกรรมการแต่ละคน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 สำหรับการขอมีวิทยฐานะชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับการขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ โดยหลักเกณฑ์และวิธีการฯนี้ กำหนดให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564

2. เห็นชอบ (ร่าง) กฎ ก.ค.ศ. การให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ. ….

ตามที่ ก.ค.ศ. ได้ออกกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ. 2553 รวมถึงกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำหรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555  ซึ่งสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้แจ้งให้ส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติ ซึ่งต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาการทบทวน ความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. 2558 ก.ค.ศ. จึงได้มีการทบทวนกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพบว่ามีสาระสำคัญและมีรายละเอียดที่ต้องปรับแก้หลายประเด็น เช่น การให้ได้รับเงินเดือนกรณีเปลี่ยนตำแหน่ง ย้าย หรือ โอน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา การให้ได้รับเงินเดือนในการแต่งตั้งครูผู้ช่วย ให้ดำรงตำแหน่งครู การให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ การให้ได้รับเงินเดือนกรณีย้าย หรือโอน มาเป็น ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น ซึ่งการปรับแก้กฎ ก.ค.ศ. ดังกล่าว จะทำให้การให้ได้รับเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กับข้าราชการพลเรือนสามัญมีความสอดคล้องกัน และเป็นไปตามนโยบายการศึกษายกกำลังสองของกระทรวงศึกษาธิการ “ปลดล็อก ปรับเปลี่ยน เปิดกว้าง” เพื่อให้การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้จะได้นำร่างดังกล่าวนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ปี64 สพฐ.กรมสุขภาพจิตเริ่มตรวจสุขภาพจิตนักเรียนประเดิมในรร.คุณภาพชุมชนรร.ดีสี่มุมเมือง

เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้มีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ในการประเมินสุขภาพจิตนักเรียน ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างความปลอดภัยให้แก่เด็กนักเรียน เนื่องจากโดยหลักการสำคัญประการหนึ่งของโรงเรียนที่จะเป็นโรงเรียนคุณภาพ คือ เรื่องความปลอดภัย และ เป็นสถานที่ที่เด็กอยู่แล้วมีความสุข ซึ่งจากการหารือร่วมกันหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า  เรื่องของความปลอดภัยสำหรับเด็กจะต้องปลอดภัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ จึงเป็นที่มาของการทำความตกลงระหว่าง สพฐ.กับกรมสุขภาพจิตดังกล่าว โดยกรมสุขภาพจิตจะเข้ามาให้ความรู้แก่ครูในการประเมินนักเรียนของ สพฐ.ด้วยแบบสอบถาม ซึ่งจะทำให้ทราบว่าเด็กแต่ละคนมีสุขภาพจิตระดับใด จากนั้นจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มปกติและไม่ปกติ โดยเฉพาะกลุ่มไม่ปกติก็จะถูกแบ่งย่อยออกไปอีก เช่น ชอบทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายคนอื่น หรือมีปัญหาทางจิตอะไรบ้าง

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ความร่วมมือดังกล่าว นอกจากกรมสุขภาพจิตจะให้ความรู้ในการประเมินเด็กแล้ว ยังให้ความรู้การดูแลเด็กแต่ละกลุ่มด้วย ซึ่งถ้าเกินความสามารถของครูก็จะให้คำแนะนำในการประสานกับหมอ พยาบาล ในแต่ละพื้นที่ด้วย ซึ่งถ้าสามารถทำงานประสานกันได้ตามแนวทางนี้ทั้งหมดจะทำให้เด็กมีทั้งสุขภาพกายที่ดี และสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ โดยขณะนี้กรมสุขภาพจิตและสพฐ.ได้เชื่อมโยงข้อมูลถึงกันแล้ว ดังนั้นหากเราป้อนข้อมูลเด็กโดยถามคำถาม9 ข้อ ก็จะสามารถประเมินได้เลยว่าเด็กแต่ละคนมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร เพื่อที่จะสามารถดูแลแก้ปัญหากันแต่เนิ่น ๆ อย่างไรก็ตามสพฐ.คาดหวังที่จะให้มีการประเมินเด็กทุกคนทั้งประเทศ แต่ในทางปฏิบัติจะเริ่มทำต้นแบบก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะสร้างโรงเรียนคุณภาพของชุมชนและโรงเรียนดีสี่มุมเมือง ดังนั้นก็จะมีการนำร่องในโรงเรียนคุณภาพของชุมชนและโรงเรียนดีสี่มุมเมืองก่อนในปีการศึกษา 2564 เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองและชุมชนว่าเมื่อส่งลูกมาเรียนโรงเรียนดังกล่าวแล้วจะได้รับการดูแลด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นอย่างดี

“ผมรู้สึกหดหู่ใจทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับสุขภาพจิตของเด็ก โดยเฉพาะเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่มีเด็ก ป.6 ผูกคอตาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กแค่ ป.6 ผูกคอตาย อาจจะขาดความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวหรือไม่มีที่ปรึกษาที่ดี ดังนั้นการทำงานร่วมกันครั้งนี้น่าจะทำให้ สพฐ.และหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลจิตใจของเด็กช่วยกันทำให้เด็กมีสุขภาพกายที่ดี สุขภาพใจที่ดี สามารถเรียนได้อย่างมีความสุข และที่สำคัญสถาบันครอบครัว พ่อแม่ ผู้ปกครอง จะต้องให้ความร่วมมือและช่วยสอดส่องดูแล สังเกตพฤติกรรมของลูกหลานด้วย”ดร.อัมพรกล่าว

สอบครูผู้ช่วยอาชีวะราบรื่น สอศ.คุมเข้มมาตรการตามเกณฑ์ กคศ. และป้องกันโควิด19

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สนามสอบอิมแพค เมืองทองธานี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษตำแหน่งครูผู้ช่วย (เขตทั่วไป) และการคัดเลือกพนักงานราชการ ลูกจ้างประจำครูสอนศาสนาอิสลาม วิทยากรอิสลามศึกษา พนักงานจ้างเหมาบริการ ครูอัตราจ้างหรือลูกจ้างชั่วคราว เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย(เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้) 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย) สังกัด สอศ.

ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมสนามสอบทั้งที่อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี และที่วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ว่า  การสอบครั้งนี้เป็นการสอบครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษสังกัดสอศ. และในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีตามหลักเกณฑ์ที่กคศ.วางระเบียบไว้ และยังได้มีการอำนวยความสะดวกจัดสอบแยกให้กับสตรีมีครรภ์ และคนที่มีน้ำหนักตัวเกินให้นั่งเเยกเเถวเพื่อความสะดวกสบาย       ในการสอบ โดยการสอบครั้งนี้มีผู้มีสิทธิ์สอบทั้งสิ้น 6,717 คน 61 กลุ่มวิชา มีจำนวนผู้เข้าสอบ 6,105 คน     คิดเป็นผู้เข้าสอบ 90.89 % ผู้ไม่มาสอบ 612 คน คิดเป็น 9.11 % โดยแบ่งเป็นเขตทั่วไปเป็นผู้มีสิทธิ์สอบ 6,519 คน   เป็นผู้เข้าสอบ 5,941 คน คิดเป็น 91.13% ผู้ไม่มาสอบ 578 คน คิดเป็น 8.87% และเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจชายแดนใต้ เป็นผู้มีสิทธิ์สอบ 198 คนเป็นผู้เข้าสอบ 164 คน คิดเป็น 82.83% ผู้ไม่มาสอบ 34 คน คิดเป็น 17.17%  โดยมีตำแหน่งรองรับกว่า 1,900 อัตรา และเนื่องจากปัจจุบันจังหวัดสมุทรสาคร ยังถือว่าเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จึงกำหนดให้ผู้มีสิทธิสอบที่อยู่ภูมิลำเนาหรือปฏิบัติงานอยู่ในสังกัดสถานศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร สอบ ห้องประชุม 3 ชั้น 4 อาคาร 7 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (วันและเวลาเดียวกันกับอิมแพ็ค) ซึ่งมีผู้มีสิทธิ์สอบในสนามนี้มีจำนวน 56 คน ขาดสอบ 2 คน

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า การสอบวันนี้ ช่วงเช้า เป็นการสอบภาค .  ความรอบรู้และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครูและช่วงบ่าย เป็นการสอบภาค . ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง ซึ่งมีการตรวจผู้เข้าสอบอย่างเข้มงวด ทั้งการแต่งกาย สิ่งที่ต้องเตรียมไปในวันสอบคัดเลือก สิ่งที่ห้ามนำเข้าห้องสอบ การรับฝากของ ข้อปฏิบัติก่อนเข้าห้องสอบ  ข้อปฏิบัติก่อนเวลาสอบ ข้อปฏิบัติในเวลาสอบ โดยห้ามนำตำรา เอกสาร กระดาษ หรือสิ่งพิมพ์ใด กระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ นาฬิกาทุกชนิด โทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่องคำนวณ อุปกรณ์ที่ใช้คำนวณได้ เครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด รวมถึงวัสดุอุปกรณ์อื่น เข้าห้องสอบโดยเด็ดขาด และเพื่อป้องกัน เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)  สอศ.ได้ขอให้ผู้มีสิทธิสอบตรวจสอบอาคารและจดจำเลขที่นั่งสอบให้ถูกต้องก่อนเข้าห้องสอบและทยอยเดินเข้าห้องสอบตามวิธีการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ตลอดจนปฏิบัติตามแนวทางของกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข เช่น การทำความสะอาด ฆ่าเชื้อสนามสอบและพื้นที่ผิวสัมผัสต่างๆ ทั้งก่อนระหว่างและหลังจากการสอบ การจัดโต๊ะเก้าอี้ของผู้มีสิทธิ์สอบเว้นระยะห่าง 1.5 เมตร การจัดจุดวัดอุณหภูมิของผู้เข้ารับการสอบในทุกทางเข้าอาคารสนามสอบ การกำหนดให้ผู้เข้าสอบและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในสนามสอบ การจัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ การจัดเจ้าหน้าที่เพื่อแนะนำและอำนวยความสะดวกในทุกสนามสอบ

ทั้งนี้ สอศ. จะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกภาคความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ (ภาค .) รวมทั้งวัน เวลา สถานที่สอบคัดเลือก ภาคความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ (ภาค .) ภายในวันจันทร์ที่ 8  มีนาคม 2564 ทางเว็บไซต์ipa.vec.go.th หรือเว็บไซต์ www.vec.go.th”  เลขาธิการ กอศ.กล่าว

สอศ.เร่งเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายรายหัวระดับ ปวช. รับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ดร.อรรถพล สังขวาสี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ)และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ได้ทำโครงการศึกษาวิจัยค่าใช้จ่ายรายหัว เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สถานศึกษาสังกัด สอศ. ตามสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป สอศ.จึงแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการศึกษาวิจัยค่าใช้จ่ายรายหัว เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สถานศึกษาสังกัดสำนักคณะกรรมการอาชีวศึกษาที่สอดคล้องและเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ซึ่งจะทำให้สถานศึกษาสังกัด สอศ.สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
รองเลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า สอศ. มอบให้สำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา เก็บรวบรวมข้อมูลสถานศึกษาในสังกัด ทั้งรัฐและเอกชน จำนวน 874 แห่งที่จัดการเรียนการสอนระดับ ปวช. ซึ่งครอบคลุมนักเรียนระดับ ปวช.ทุกคน ทุกสาขาวิชา และทุกชั้นปี ภายในเดือนกุมภาพันธ์ โดยได้ซักซ้อมความเข้าใจ เรื่อง แนวทางการจัดเก็บและบันทึกข้อมูล้กับผู้บริหารและผู้ที่ได้รับมอบหมายจากสถานศึกษาทั้งหมดแล้ว และจะดำเนินการวิเคราะห์ทางเลือกและจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย แนวทางการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาให้เป็นไปตามหลักการพอเพียง ความเสมอภาค และมีประสิทธิภาพต่อไป