องค์กรครูเคลื่อนไหวทวงสิทธิให้มีตัวแทนครูร่วมเป็นกรรมการในสภาวิชาชีพครู

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 ที่ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีรบูล เสมาทอง ประธานสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย(ส.ค.ท.) พร้อมผู้แทน สมาพันธ์ครู 4 ภาค กว่า 60 คน เข้ายื่นหนังสือ เพื่อทวงคืนสภาครู เป็นของครู โดยครู เพื่อครู สู่คุณภาพผู้เรียน ต่อนนายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา และนายธนพร สมศรี เลขาธิการ สกสศ. โดยในส่วนของ สกสค. นายประกอบ กุลบุตร ที่ปรึกษาเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค.ได้รับเรื่องแทน

นายวีรบูล กล่าวว่า ผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศได้รับผลกระทบจากคำสั่ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ขาดขวัญและกำลังใจในการทางาน คือ คำสั่ง คสช.ที่ 7/2558 และคำสั่ง ที่ 17/2560 เรื่องการบริหารคุรุสภาและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยคำสั่งดังกล่าวเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบ ของคณะกรรมการคุรุสภา และเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคณะกรรมกรรมการ สกสค. ซึ่งตัดองค์ประกอบอื่นโดยเฉพาะผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพ ให้เหลืออยู่เฉพาะสัดส่วนของข้าราชการประจำระดับสูงของกระทรวงเท่านั้น โดยให้ รมว.ศึกษาธิการ ทำหน้าที่เป็นประธานมาเป็นระยะเวลากว่า 4 ปีแล้ว


ประธาน ส.ค.ท. กล่าวต่อไปว่า เมื่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติงาน เป็นผลให้คณะ คสช.สิ้นสุดลง ตามมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ส่งผลให้คำสั่ง คสช.ที่7/2558 และที่ 17/2560 สิ้นสภาพลงไปด้วย แต่กระทรวงศึกษาธิการยังคงให้คณะกรรมการชุดเดิมปฏิบัติหน้าที่เรื่อยมา จนเวลาล่วงเลยมาเกือบ 2 ปีแล้ว จึงอยากเรียกร้องให้ รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ ดำเนินการสรรหา และแต่งตั้งคณะกรรมการคุรุสภา และ คณะกรรมการสกสค. ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษาพ.ศ. 2546 เพื่อคืนสภาวิชาชีพให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้มีส่วนร่วม ในการบริหารจัดการและขับเคลื่อน ภารกิจของสภาวิชาชีพ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการจัดการศึกษาเพื่อเด็กและเยาวชน ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป

 

“ครูตั้น”เอ่ยเสียดายยังไม่ทันได้เห็นโรงเรียนคุณภาพของชุมชน

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.64 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ) ให้สัมภาษณ์หลังพ้นตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ และได้เดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ พระพุทธรูปประจำกระทรวง พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์สยามิศรจักรี สัฏฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์ศาลพระภูมิ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) โดยมีนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ และผู้บริหาร ศธ.ให้การต้อนรับ

นายณัฏฐพล กล่าวว่า  แม้ว่าตนจะเข้ามารับตำแหน่งในระยะเวลาเพียง 1 ปี 6 เดือน แต่ก็ถือว่าเป็นระยะเวลาที่มีค่า และได้รับความร่วมมือในการทำงานเป็นอย่างดีจากข้าราชการศธ. อย่างไรก็ตามตนคิดว่ารมว.ศึกษาธิการ คนใหม่จะมาทำหน้าที่แทนตนเป็นอย่างดี ซึ่งตนไม่ห่วงอะไรมาก แต่ที่ห่วงคือการ สานต่อและบูรณาการ การศึกษาในภาพรวมเพื่อมาแก้ไขปัญหาการศึกษา ซึ่งได้ตั้งงบประมาณในปี 2565 ในการสนับสนุนโรงเรียนคุณภาพของชุมชนไว้แล้ว ซึ่งข้าราชการทุกคนก็มองว่าการสร้างโรงเรียนคุณภาพทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ให้มีคุณภาพก่อน ซึ่งเรื่องนี้ตนหวังว่ารมว.ศึกษาธิการ จะเข้ามาสานต่อ และงานของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ซึ่งเป็นเรื่องของกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งต้องมีการสานต่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาครู เรื่องวิทยฐานะ เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาราชการแทนรมว.ศึกษาธิการให้เร่งทำต้นแบบโรงเรียนคุณภาพของชุมชนภาคละ 1 แห่งก่อน นายณัฏฐพล กล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียด แต่ที่วางเอาไว้ คือช่วงงบประมาณปี2564 ซึ่งจะหมดในเดือนกันยายน 2564 และปีงบประมาณ 2565 ซึ่งจะสามารถทำได้ตามที่วางไว้ ในช่วงที่ตนอยู่ โดยไม่ได้เอางบประมาณไปทำอย่างอื่น แต่จากนี้จะไปปรับอะไรอย่างไรก็เป็นเรื่องของท่าน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะมองไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร แต่ที่ตนวางไว้คือให้มีโรงเรียนคุณภาพของชุมชนเขตละ 1 แห่ง และโรงเรียนดีสี่มุมมองจังหวัดละ 1 แห่ง เพื่อให้ทุกจังหวัดมีตัวอย่างในการเดินไปข้างหน้า ซึ่งข้าราชการได้ทำแผนเสนอขึ้นมา แต่ตนก็ไม่มีโอกาสได้เห็นแผนอันนั้น

“จริง ๆ แล้ว ผมวางแผนไว้ว่าจะนำแผนที่ข้าราชการเสนอมาทั้งหมดเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เห็นภาพทั้งหมด ส่วนคณะรัฐมนตรีจะตัดสินใจอย่างไร ก็จะสั่งการมาที่กระทรวงศึกษาธิการเอง สิ่งที่ผมทำก็เพื่อต้องการให้เป็นแผนแม่บทของประเทศ จัดลำดับความเป็นไปได้ โดยใช้งบประมาณที่มีอยู่”นายณัฎฐพล กล่าว

ร้องคุรุสภาเร่งประกาศผลสอบใบประกอบวิชาชีพครู หวั่นครูอัตราจ้างเสียสิทธิสมัครสอบครูผู้ช่วย สพฐ.

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ลานพระพฤหัสบดี หน้าหอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  นายวีรบูล เสมาทอง ประธานสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย(ส.ค.ท.) พร้อมผู้แทน ส.ค.ท.กว่า 60 คน เดินทางยื่นหนังสือ ขอความอนุเคราะห์เร่งการประกาศผลการสอบใบประกอบวิชาชีพก่อนกำหนด ต่อ  นายดิศกุล  เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา โดย นายวีรบูล กล่าวว่า ขณะนี้มีครูอัตราจ้างในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ทั่วประเทศจำนวนมากกว่าหมื่นคน ที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์สามารถสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ที่จะปิดรับสมัครในวันที่ 31 มี.ค.นี้  แต่พบว่าครูอัตราจำนวนมากยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู ทั้งที่ได้ทำการสอบเพื่อขอรับใบประกอบวิชาชีพไปแล้วตั้งแต่วันที่ 21-23 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยจะประกาศผลการสอบในวันที่ 31 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่สพฐ.เปิดรับสมัคร จะส่งผลให้ครูอัตราจ้างกลุ่มนี้  ไม่สามารถไปสมัครสอบได้ จึงขอเรียกร้องให้คุรุสภา เร่งแก้ไขปัญหานี้   โดยขอให้ทบทวนวันประกาศผลการทดสอบขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ  และประสานไปยังสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)เพื่อเร่งผลการทดสอบและประสานมหาวิทยาลัยต้นสังกัด เพื่อขอผลการประเมินสมรรถนะและรายชื่อผู้สำเร็จการศึกษา ให้ได้ก่อนวันที่ 31 มี.ค. เพื่อให้ครูอัตราจ้างสามารถสมัครสอบครูผู้ช่วย กรณีพิเศษได้” ประธาน ส.ค.ท.กล่าว

ด้านนายนายดิศกุล  กล่าวว่า คุรุสภาจะประสานงานกับส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้ดำเนินการให้ทันตามเวลา หรือให้กระบวนการต่างๆ เสร็จสิ้นก่อนเวลา พร้อมกับประสาน สพฐ.ว่า หากผู้สอบยังไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพ สพฐ.จะมีทางผ่อนปรนอย่างไรบ้าง จะสามารถให้ครูอัตราจ้างสมัครสอบไปก่อนได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้กระทับกับสิทธิที่ควรได้ รวมถึงจะประสานกับทางมหาวิทยาลัยให้ออกใบรับรองการจบ ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต ให้เร็วขึ้น เพื่อให้ผู้ที่จบนำมายื่นสมัครสอบครูผู้ช่วยได้ทันเวลา

กอช.ขยายฐานสมาชิกการออม จับกลุ่มเป้าหมายนักเรียนสังกัด สพฐ.

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564  ที่ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ  กองทุนการออมแห่งชาติ(กอช.) กระทรวงการคลัง ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการสถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. สำหรับผู้บริหารระดับสูง ในสังกัด สพฐ. เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมการออมในกลุ่มนักเรียนที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษา ภายใต้สังกัด สพฐ. และหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ  โดย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมกับการก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศ ทั้งยังเป็นการวางแผนทางการเงิน และส่งเสริมการออมให้แก่นักเรียนที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในสังกัด สพฐ.

“แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561 – 2580) ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม  ได้เน้นเรื่องการรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชนตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดำรงชีวิตหลังเกษียณในระดับพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันภาครัฐมีนโยบายเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุ เพื่อให้ประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ มีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ด้วยระบบการออมเงินเพื่อการเกษียณของประเทศไทยมี 2 รูปแบบ ทั้งการออมภาคบังคับ และภาคสมัครใจ โดย กอช.เป็นการออมภาคสมัครใจสำหรับประชาชนอายุ 15-60 ปี ซึ่งในปีนี้ กอช.จะเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องการวางแผนออมเงินกับ กอช. ในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชนอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปให้รู้จักการออมเงินเพื่ออนาคต และสมัครเป็นสมาชิก กอช.  เพื่อวางรากฐานชีวิตที่มั่นคงในอนาคต”รมว.คลังกล่าว

ด้าน  ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาราชการแทน รมว.ศึกษาธิการ กล่าว กอช.จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้เด็กนักเรียน ได้ตระหนักถึงการออมตั้งแต่วัยเรียน เป็นการปลูกฝังให้เด็กได้รู้จักค่าของเงิน รู้จักเก็บออม เริ่มจากการเก็บเล็กผสมน้อย สร้างนิสัยการออมเงินเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็น รากฐานของการออมเงิน สำหรับน้องนักเรียนที่ยังเรียนอยู่ เพียงเริ่มวางแผนออมเงินวันละ 1 บาท พอมีเงินครบ 50 บาท ก็สามารถนำมาออมกับ กอช.ได้ ความน่าสนใจ คือ รัฐบาลจะสมทบเงินให้ตามสัดส่วนของเงินออมในแต่ละช่วงอายุ เช่น  อายุ 15 – 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน  600 บาทต่อปี เป็นต้น  ซึ่งในอนาคตเมื่อเรามีรายได้มากขึ้นเงินเก็บของเราก็จะได้เพิ่มพูนขึ้น

ขณะที่ น.ส.จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการ กอช. กล่าวว่า กอช.จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 และได้เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 2558 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการออมเงิน เปิดโอกาสให้คนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เข้าร่วมออมเงินกับรัฐบาลเพื่ออนาคต โดยทุกครั้งที่สมาชิกส่งเงินออมสะสม รัฐบาลจะเติมเงินสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุ อายุ 15 – 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน  600 บาทต่อปี อายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมสะสม สูงสุดไม่เกิน  960 บาทต่อปี อายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมสะสม   สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี

“ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการช่วยส่งเสริม สนับสนุนให้นักเรียนที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษา ภายใต้สังกัด สพฐ. ได้รู้จักการออมเงินเพื่ออนาคต และสมัครเป็นสมาชิก กอช.เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันหลังเกษียณเป็นรายเดือน และสร้างความมั่นคงทางการเงินในชีวิต ให้มีกินมีใช้ในอนาคต เพียงออมเงินขั้นต่ำ 50 บาทต่อครั้งต่อปี เมื่อเรียนจบได้ทำงานในระบบ หรือรับราชการ สถานะการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ ออมต่อได้เรื่อย ๆ จนอายุครบ 60 ปี พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุของสมาชิก และเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ กอช.ก็จะจ่ายเงินบำนาญรายเดือนให้สมาชิก”เลขาธิการ กอช.

ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า เรื่องการออมถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะต้องสอนให้เด็กรู้ว่ามีความสำคัญอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ก็มีอยู่ในหนวดวิชาสังคม วิชาเศรษฐศาสตร์อยู่แล้ว เพียงแต่ครูจะหยิบเรื่องนี้ไปเน้นหรือเติมในหน่วยการเรียนอย่างไร จะฝึกให้เด็กปฏิบัติอย่างไร

“คุณหญิงกัลยา” ปัดข่าวโดนแซะพ้น เสมา 2

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบ มติ ครม. เมื่อปี 2562 เกี่ยวกับการรักษาการในตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ  ตามมติครม.ตั้งแต่ปี 2562  ที่ระบุว่า ถ้า รมว.ศึกษาธิการ ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ก็มอบให้ รมช.ศึกษาธิการ รักษาการ ไปตามลำดับ โดยอัตโนมัติ  ซึ่งก็คือ ตน และ นางกนกวรรณ วิลาวัณย์  ส่วนจะได้ รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ เมื่อใดนั้น ตนไม่ทราบ  แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่าจะให้เร็ว แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่าทางพรรคประชาธิปัตย์จะมีการเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยของคุณหญิงด้วย เพราะยังไม่มีผลงาน  คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า ไม่เคยได้ยิน  ไม่ทราบว่าใครว่าอะไรบ้าง  แต่ หัวหน้าพรรคก็ยังบอกว่าโควตาเท่าเดิม  ไม่มีสัญญาใจใด ๆ อย่างไรก็ตามก็ต้องแล้วแต่ความเหมาะสมและเหตุการณ์  ที่ผ่านมาก็ทำงานเต็มที่ มีผลงานเป็นรูปธรรมหลายเรื่อง

สอศ.จัดโครงการการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท

ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ร่วมกับ มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด จัดโครงการการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจน การเรียนรู้หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบิพิตร แก่นักเรียน นักศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาทั่วประเทศ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีเป้าหมายที่จะดำเนินโครงการฯ ให้กับสถานศึกษาอาชีวศึกษารัฐและเอกชน จำนวน 20 แห่ง ซึ่งขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว 9 แห่ง ดังนี้ 1. วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง 2. วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม 3. วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ 4. วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล 5.วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล ๒ 6. วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย 7. วิทยาลัยการอาชีพอ่าวลึก 8. วิทยาลัยเทคนิคปัตตานี และ 9. วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี
 
เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า การจัดกิจกรรมจะใช้เวลาดำเนินการเป็นระยะเวลา 3 วัน ซึ่งแบ่งเป็น การเรียนรู้ในห้องเรียน และรับฟังการบรรยาย ศึกษาดูงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ การดำเนินกิจกรรมจิตอาสา สรุปผลการศึกษาเชิงประจักษ์ พร้อมทั้งอภิปราย และนำเสนอผลการเรียนรู้ ซึ่งแต่ละครั้งจะมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 80 – 150 คน
 
ด้านนายคมศิษฐ์ มีสัจจานนธนกุล ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล ๒ กล่าวว่า วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล ได้ดำเนินการจัดโครงการการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท โดยมีนักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 100 คน โดยการอบรมในครั้งนี้ นอกจากจะได้รับความรู้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว กิจกรรมจิตอาสายังเป็นการปลูกจิตสำนึก ในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น โดยเริ่มจาก ครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน และประเทศชาติต่อไป รวมทั้ง นำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้เพื่อพัฒนาสมรรถนะ ทัศนคติ และค่านิยมที่ดี

กระแสข่าวที่มาแรง  ณ เวลานี้ >>> ถ้าเป็นเรื่องการเมืองก็ไม่มีอะไรเกินไปกว่า การปรับคณะรัฐมนตรี   ซึ่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ก็เป็นหนึ่งในตำแหน่งที่ถูกจับตา  >>>  วงในล่าสุด … นอกจาก ชื่อของ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรฯ  กับ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมช.แรงงาน และอีกหลายรายชื่อ ที่ปล่อยข่าวกันว่าจะมานั่งเก้าอี้ เสมา 1 >>>   วันนี้มีชื่อคนที่เคยเป็นเต็งหนึ่งจากโผ ครม.ครั้งที่แล้ว คือ “อนุชา  นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) >>>ส่วนรัฐมนตรีช่วยศึกษา แว่วมาว่ารอบนี้จะเป็นโควตาของ ส.ส.ภาคใต้จากพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นส.ส.นครศรีธรรมราช หรือสุราษฏร์ธานี ก็ต้องลุ้นกัน  แต่มีเสียงกระชิบมาว่า สายครูส่งหนังสือถึงรัฐบาลเชียร์ “ประกอบ รัตนพันธ์”  จากพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช   หลังจากอกหักไปเมื่อรอบที่แล้ว >>>  เรื่องนี้จริงแค่ไหนต้องติดตามกันต่อไป  แต่ที่แน่ ๆ ไม่ว่าใครจะมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องไม่เป็นคนหูเบา  ให้ดูด้วยตา  และใช้สมองของตัวเองไต่ตรองด้วย

‘ศบค.’ไฟเขียวให้เตรียมอุดมฯจัดสอบ6มี.ค.นี้ สพฐ.เลื่อนจับฉลากเข้าอนุบาล เหตุตรงวันเลือกตั้งท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้ประกาศวันจับฉลาก วันประกาศผล และวันรายงานตัว ของนักเรียนระดับชั้นก่อนประถมศึกษา(อนุบาล) ในวันที่ 28 มีนาคม 2564 ซึ่งตรงกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี ดังนั้นตนจึงส่งหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทุกเขต เรื่อง เลื่อนกำหนดวันจับฉลากรับนักเรียนเป็นวันที่ 4 เมษายน และมอบตัว  เป็นวันที่ 6 เมษายน 2564

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า  นอกจากนี้ สพฐ. ได้เสนอแนวทางการจัดสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2564 และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. พิจารณาอนุมัติให้จัดสอบในวันที่ 6 มีนาคมนี้ ซึ่งทาง ศบค.มีมติเห็นชอบให้จัดสอบในวันที่กำหนด แต่เปลี่ยนเวลาจัดสอบใหม่ จากเดิมสอบเวลา 08.30 – 16.00 น. เป็น 08.30 – 14.00 น. เพื่อลดความหนาแน่นบริเวณพื้นที่พักคอย เพราะอาจจะมีผู้ปกครองเข้ามารอบนักเรียนจำนวนมาก นอกจากนี้กำหนดให้นักเรียนเข้าสอบครั้งเดียวจนเสร็จ จึงจะสามารถออกจากห้องสอบได้ โดยโรงเรียนจะบริการอาหารว่างให้แก่นักเรียนที่เข้าสอบในช่วงเวลาพัก เพื่อลดการสัมผัสและรวมกลุ่มกัน

“การสอบจะขยายพื้นที่ จากเดิมที่ใช้ 1 อาคาร เป็น 2 อาคาร แบ่งเป็น อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม จำนวน 6,624 ที่นั่ง และอาคาร Hall 5- 8 จำนวน 6,624 ที่นั่ง รวม 13,248 ที่นั่ง เพื่อลดจำนวนนักเรียนเข้าสอบต่อห้อง ซึ่งการจัดสอบจะมีการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลไม่น้อยกว่า 1 เมตร พร้อมกับแบ่งพื้นที่จัดสอบ โดยจะมีห้องให้นักเรียนจาก จ.สมุทรสาคร สอบเป็นการเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน สาเหตุที่ไม่สามารถจัดสอบในจังหวัดของนักเรียนได้ เพราะต้องป้องกันการรั่วไหลของข้อสอบ ส่วนโรงเรียนดังในต่างจังหวัด หากจำเป็นต้องมีการสอบแข่งขัน ให้โรงเรียนเสนอ ศบค.จังหวัด พิจารณาอนุญาต ทั้งนี้ทุกโรงเรียนจะต้องดำเนินการตามมาตรการที่ ศบค.และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนดอย่างเคร่งครัด” ดร.อัมพร กล่าวและว่า ส่วนปัญหาที่หลายคนกังวลว่าอาจจะมีการฝากเด็กในช่วงที่มีการรับนักเรียนนั้น มองว่าตามระบบและกระบวนการที่ สพฐ.กำหนดไว้โรงเรียนไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็คอยจับตาดูอยู่ แต่ถ้ามีการฝากเด็กหรือโรงเรียนไม่ปฏิบัติตามคู่มือและแนวทางที่ สพฐ.กำหนด สพฐ.จะดำเนินการตรวจสอบตามมาตรการที่กำหนดไว้

สกศ.ฟังความเห็น ปรับแผนการศึกษาชาติ เน้นทันสมัยทันการเปลี่ยนแปลงของโลก

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ดร.อำนาจ  วิชยานุวัติ  เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ได้เชิญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ผู้แทนจาก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือOECD  ธนาคารโลก ผู้แทนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ผู้แทนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และผู้แทนจากภาคเอกชน   มาหารือรายละเอียดเพื่อปรับแผนการศึกษาแห่งชาติ  ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19  โดยถอดบทเรียนจากการเรียนในช่วงสถานการณ์วิกฤต ทั้งเรียนออนไลน์  ออนแอร์ และการเรียนในห้องเรียน รวมถึงการเรียนเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ ปรับจากความการศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ เรียนจบแล้วมีงานทำ

เลขาธิการ สกศ.  กล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้จะเชิญสภานักเรียน และสภานิสิต นักศึกษา ซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่  รวมถึงภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เอกชน ปราชญ์ชาวบ้าน ท้องถิ่น  และผู้ปฏิบัติ อย่างครู อาจารย์ ผู้บริหารการศึกษา มาให้ความเห็นว่า ต้องการให้การศึกษาไทยพัฒนาไปในทิศทางใด โดยจะดำเนินการสอบถามความเห็นใน 4 ภูมิภาค  ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิถุนายน-กรกฎาคม  ก่อนสรุปประเด็นรวบรวม เป็นแผนการศึกษาแห่งชาติ ภายในวันที่ 1 ตุลาคม พร้อม ๆ กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ รอบปีงบประมาณ 2565

“แผนการศึกษาแห่งชาติ ครั้งนี้จะใช้  5 ปี ไม่ใช่แผนตลอดชีวิต เพราะการศึกษาทุกวันนี้ต้องมีความยืดหยุ่นและทันต่อการเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์โลก ตอบโจทย์ของสังคม อย่างไรก็ตามแม้จะเปลี่ยน รมว.ศึกษาธิการ ก็คิดว่า ไม่มีผลกระทบมากนัก เพราะการประชุมแต่ละครั้งจะมีบอร์ดบริหาร ซึ่งมาจากภาคส่วนต่าง ๆ เป็นผู้ให้แนวทาง แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอฟังนโยบาย รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่ ก่อนว่าจะมีอะไรปรับเปลี่ยนหรือไม่อย่างไร”ดร.อำนาจ กล่าว

เครือข่ายอาชีวะออกแถลงการณ์ ชงสเปกเสมา 1 คนใหม่

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 เครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย(....) ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง  ขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่มีคุณสมบัติที่เป็นนักการศึกษา

โดย แถลงการระบุว่า ....ในนามภาคประชาชนที่มีความห่วงใยการศึกษาของประเทศชาติ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้สนับสนุนหรือให้โอกาสในการคัดคนที่มีความรู้ความสามารถด้านการศึกษาที่แท้จริงเข้ามาบริหารกระทรวงศึกษาธิการจึงเกิดปัญหาในกระทรวงศึกษาธิการ  มาอย่างต่อเนื่องและกระทบกับการศึกษาของชาติ มากมาย ที่สำคัญประเทศไทยเสียโอกาสในการพัฒนาการศึกษาให้ทัดเทียมต่างประเทศ เพราะกระทรวงศึกษาธิการขาดผู้บริหารการศึกษามืออาชีพมาบริหาร  จากกรณี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ได้พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นับเป็นโอกาสเหมาะสมที่ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจะได้พิจารณาบุคคลที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการฯ คนใหม่

แถลงการณ์ระบุด้วยว่า  นายกรัฐมนตรีพูดมาตลอดว่าการศึกษา คือหัวใจสำคัญในการผลิตคน เพื่อเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ ให้ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศในศตวรรษที่ 21  ....จึงขอนำเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมเพื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการดังนี้

       1.  เป็นบุคคลมีความรู้ความสามารถทางการบริหารศึกษาเป็นอย่างดี

       2. เป็นบุคคลที่เข้าใจและสนับสนุนการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาซึ่งเป็นกำลังหลักของประเทศ

       3. เป็นบุคคลที่มีความสามารถแก้ปัญหาและทำให้เกิดหลักการบริหารที่มีธรรมาภิบาล มีความโปร่งใสในการบริหารภายในกระทรวงศึกษาธิการ

       4.  เป็นนักบริหารการศึกษามืออาชีพ ซื่อสัตย์ รักความยุติธรรม นำการศึกษาไทยสู้กับสังคมโลก