“บิ๊กอุ้ม”สั่งยกเลิกประกาศประกวดราคาพิมพ์หนังสือเรียนองค์การค้าฯแล้วให้ประกาศใหม่ “ย้ำ”ได้รายเดียวไม่เกิดการแข่งขัน

ตามที่องค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ได้ประกาศยื่นประกวดราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568  จำนวน 145 รายการ วงเงิน 1,016,914,750 บาทด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2568 ที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงเวลาปิดรับข้อเสนอราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ กรมบัญชีกลาง ได้สรุปข้อมูลการเสนอราคาเบื้องต้น เมื่อเวลา 12.00 น. ซึ่งเป็นเวลาปิดการเสนอราคา ปรากฎว่า มีผู้เสนอราคาเพียง 1 รายเท่านั้น ซึ่งตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ระบุว่า หากมีผู้ยื่นเสนอราคารายเดียว และคณะกรรมการพิจารณาผลฯ เห็นสมควรยกเลิกการประกวดราคาครั้งนั้น ให้เสนอหัวหน้าหน่วยงานโดยไม่ต้องพิจารณาในเสนอราคาและเอกสารของผู้เสนอราคารายเดียวนั้น หรือหากคณะกรรมการพิจารณาผลฯ เห็นสมควรดำเนินการต่อ ก็ต้องลงลายมือชื่อกำกับในเอกสารของผู้เสนอราคารายเดียวนั้น

เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เรื่องนี้ทราบว่า ทางองค์การค้าฯได้สอบถามไปยังกรมบัญชีกลางแล้วว่าทำไมมีผู้ลงทะเบียนสำเร็จแค่เพียงรายเดียว ซึ่งกรมบัญชีกลางก็บอกว่าระบบของเขาไม่มีปัญหา ซึ่งพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้รับรายงานจากองค์การค้าสกสค.แล้ว และสั่งให้ยกเลิกประกาศและให้ประกาศใหม่ ถึงแม้ว่าจะถูกกฎหมายแต่ก็ยังมีข้อสงสัยจึงให้ดำเนินการใหม่ มีรายเดียวก็ไม่เกิดการแข่งขันเราก็ไม่สบายใจ ต้องทำให้โปร่งใสไม่เป็นข้อสงสัยของสังคมได้ ซึ่งกรมบัญชีกลางก็บอกว่าไม่มีปัญหา

“ผมได้รับรายงานว่า กรมบัญชีกลางได้เพิ่มระเบียบใหม่ คือ ไม่ว่าหน่วยงานไหนที่จะเข้าระบบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ จะต้องอัพโหลดเอกสารทุกรายการ ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่ากรมบัญชีกลางได้มีการประชาสัมพันธ์หรือไม่ แต่ที่รู้มาทราบว่าระเบียบนี้ใช้กันทุกหน่วยงาน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหาขององค์การค้าฯ แต่เป็นระบบของกรมบัญชีกลาง ซึ่งบางอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้ ที่เป็นห่วงก็คือปีนี้เราจะพิมพ์หนังสือแบบเรียนทันเด็กเปิดเทอมหรือไม่ แต่ก็ต้องพยายามเร่งรัดให้ทัน”นายสุรศักดิ์ กล่าว

‘เสมา 1’ กำชับข้าราชการ ศธ.ต้องไม่เอนเอียง วางตัวเป็นกลางเลือกตั้ง อบจ.

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ตามที่จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นั้น พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้กำชับในที่ประชุมอย่างชัดเจนว่า ขอให้ข้าราชการ และ บุคลากรของ ศธ. วางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด แต่ก็ต้องยอมรับว่า ศธ. อาจจะมีเรื่องการเมืองเฉี่ยวเข้ามาร้อนแรงบ้าง ไม่ร้อนแรงบ้าง แต่ในฐานะหน่วยงานภาครัฐการทำงานต้องไม่มีความเอนเอียงเพื่อก่อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องมีความเป็นกลางที่ชัดเจน

“กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา” ชี้ หลักสูตรอิงมาตรฐานคือสูตรสำเร็จเรียนรู้ผ่านกระบวนการ สร้างเด็กไทยคิดเป็น ทำเป็น

ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา กล่าวว่า การจะพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน ประชาชนจะต้องมีศักยภาพในการสร้างผลผลิต สร้างงานในระดับนวัตกรรม เพราะปัจจุบันมีการแข่งขันสูงมาก เทคโนโลยีก็มีมากมาย เพราะฉะนั้นการจัดการเรียนการสอนจะต้องทำให้นักเรียนมีแบบแผนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ เพื่อใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการต่อยอดนวัตกรรม ซึ่งต่อจากนี้ไปประเทศที่จะเป็นผู้นำในโลกจะต้องเป็นประเทศที่เป็นผู้ผลิตระดับนวัตกรรม ไม่ใช่ผลิตสินค้าหรือผลงานนักเรียนเฉย ๆ ดังนั้นสิ่งที่อยากเห็นคือ ไม่ใช่แค่โรงเรียนนำนวัตกรรมมาโชว์ แต่อยากเห็นโรงเรียนทำให้นักเรียนทุกคน ไม่ว่าเด็กแต่ละคนจะเป็นลูกหลานใครก็ตามต้องเข้าถึงนวัตกรรมได้ และมีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมทั้งที่เป็นนวัตกรรมเดี่ยวและกลุ่ม

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวต่อไปว่า แผนปฏิรูปประเทศ ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดไว้ว่าเด็กระดับชั้น ป. 1 ถึง ป. 6 ต้องสามารถนำกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบและทักษะทั้งหลายไปช่วยพ่อแม่ยกระดับการประกอบอาชีพได้ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิด กระบวนการตัดสินใจ หรือ กระบวนการผลิต ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายต้องสามารถสร้างนวัตกรรมผ่านกระบวนการวิจัยเหมือนกับนักศึกษาปริญญาโท ซึ่งจะทำให้เด็กไทยเกิดปัญญาผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกวิธี และเมื่อใดที่เด็กเกิดปัญญาความจนก็จะหายไปจากตัวเขาทันที ความทุกข์ยากจะหายไป เพราะมีปัญญาในการแก้ปัญหาในการพัฒนา

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวต่อไปว่า หลักสูตรที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นหลักสูตรอิงมาตรฐาน ซึ่งได้เขียนไว้ว่า โรงเรียนต้องจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน โดยเป้าหมายของการใช้หลักสูตร คือ มาตรฐานการเรียนรู้ 55 มาตรฐาน ตั้งแต่ ป. 1 ถึง ม. 6 นั่นคือ ความสามารถในการพัฒนาให้เด็กแสดงออกด้านการคิด การตัดสินใจและการกระทำ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังเป็นการอธิบายเนื้อหา เด็กยังคงเป็นฝ่ายนั่งฟัง แล้วกลับไปท่องและอ่าน แล้วกลับมาสอบ สอบเสร็จแล้วก็ลืม เท่ากับว่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่แทบจะไม่เคยใช้หลักสูตรอิงมาตรฐานกันเลย

“หลักสูตรอิงมาตรฐานมีความเหมาะสม เพราะเป็นหลักสูตรที่ให้เด็กได้ปฏิบัติจริง มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กจริง ๆ เป็นการสอนเด็กผ่านกระบวนการจริง ๆ ให้เด็กได้คิด ได้ประเมิน ลงมือทำจริง ๆ มีการตรวจสอบผลที่คิด ที่ทำ และ มีการปรับปรุงพัฒนาให้ดีกว่าเดิม ให้เกิดผลกับเด็กทุกคน ซึ่งถ้าทำได้ตามมาตรฐานหลักสูตรเท่านี้ประเทศไทยก็สามารถนำประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียได้แล้ว”ดร.ศักดิ์สินกล่าวและว่า ใจจริงอยากให้ลองไปถามโรงเรียนว่า ได้มีการจัดกิจกรรมและสามารถบรรลุมาตรฐานอะไรไปแล้วบ้าง ตนมั่นใจว่าโรงเรียนส่วนใหญ่จะตอบไม่ได้ เพราะยังเป็นการจัดการเรียนการสอนแบบอธิบายและบรรยายให้เด็กฟัง เป็นการนำเนื้อหาในหนังสือมาขยายความอยู่ ยังไม่ได้จัดกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กได้คิด วิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติ แต่หากโรงเรียนไหนทำแล้วเด็กจะมีกระบวนการ และจะสามารถนำองค์ความรู้ด้านกระบวนการไปเรียนรู้ได้ในทุกวิชา

“ธนุ”เผย ถ้าทุกฝ่ายเห็นด้วยให้เปิดเรียนวันที่1พ.ค.ประเด็นปัญหาแก้ไขควบคู่กันได้ “พัฒนะ”ยืนยันจะเปิด1พ.ค.หรือ16พ.ค.ตำราเรียนส่งถึงมือเด็กแน่นอน

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2568 นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ปีการศึกษา 2568 ว่า หลังจากที่ องค์การค้าของสกสค.ได้ประกาศจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568  จำนวน 145 รายการ วงเงิน 1,016,914,750 บาทด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งก็มีผู้คัดค้านและมีบางบริษัทได้ไปฟ้องศาลปกครอง และล่าสุดศาลปกครองได้พิพากษามีคำสั่งไม่รับหรือยกคำขอทุเลาการบังคับตามกฎหรือคำสั่งทางปกครองแล้ว ดังนั้นวันนี้องค์การค้าฯก็จะเดินหน้าประกาศให้สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติเข้ามาประกวดราคาจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าฯต่อไป ซึ่งคาดว่าเราจะดำเนินการได้สำนักพิมพ์เข้ามาพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าฯได้ราวต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

“สำหรับการจัดหาโรงพิมพ์ที่จะมาพิมพ์หนังสือให้กับองค์การค้าฯจะเป็นไปตามระเบียบและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ และตามทีโออาร์ เราจะทำให้โปร่งใสทุกกระบวนการ เพราะปีนี้เราไม่ได้ใช้วิธีพิเศษ เราใช้ e-bidding ใครได้ หรือไม่ได้อย่างไรก็ดำเนินการตามกระบวนการ และต้องดำเนินการพิมพ์หนังสือเรียนให้เสร็จก่อนเปิดเทอม  ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเปิดเทอมวันที่ 1 พ.ค. หรือวันที่ 16 พ.ค. เราก็ต้องมีแผนรองรับในการจัดพิมพ์หนังสือเรียนให้ทันก่อนเปิดภาคเรียนแน่นอน”นายพัฒนะ กล่าว

รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษธิการ มีแนวทางที่จะขยับการเปิดและปิดภาคเรียนใหม่ ซึ่งมีประเด็นการขยับการเปิดภาคเรียนใหม่ ยังเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการประชุมหารือร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะประเด็นนี้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกว่า 10 ฉบับที่จะต้องปรับแก้ เนื่องจากการขยับเปิดและปิดภาคเรียนใหม่จะไปเกี่ยวข้องกับการนับอายุเด็กตาม พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 ที่เด็กจะเข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับได้ต้องมีอายุครบ 3 ปีในวันที่ 16 พ.ค. และรวมไปถึงเกณฑ์การเบิกจ่ายรายหัว ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขตามกฎหมายที่กำหนดไว้ แต่ข้อดีก็คือจะสะดวกต่อการบริหารงบประมาณและอัตรากำลังงานด้านบุคคลได้ลงตัว ทั้งนี้จึงต้องรอการดำเนินการอีกหลายส่วน ซึ่งเรื่องนี้ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กำลังประชุมหาแนวทางกันอยู่

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า เรื่องที่มีความกังวลน่าจะไม่มีปัญหา ถ้าทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าจะเปิดเทอมในวันที่ 1 พ.ค. เราก็จะสามารถแก้ไขควบคู่กันไปได้ เพราะเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

สพม.ตรัง กระบี่  จัดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 72 ดัน Soft Power ปั้นเด็กไทยสู่เวทีสากล

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 นายชัยณรงค์ ช่างเรือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ เป็นประธานเปิดการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 72 ปีการศึกษา 2567 ณ โรงเรียนวิเชียรมาตุ จังหวัดตรัง  โดย นายชัยณรงค์ ช่างเรือ ผอ.สพม.ตรัง กระบี่ กล่าวว่า การจัดการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตรัง กระบี่ และเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการมัธยมศึกษาจังหวัดตรัง โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงออกซึ่งความสามารถในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านทักษะทางวิชาการ วิชาชีพ ศิลปะดนตรี และการแสดง และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษา อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้นักเรียน ครู ตลอดจนสถานศึกษา ได้มีการพัฒนาตนเองด้วย

ผอ.สพม.ตรัง กระบี่ กล่าวต่อไปว่า การจัดการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมในครั้งนี้ดำเนินตามนโยบายของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนและส่งเสริม Soft Power ผ่านการศึกษา โดยเชื่อมโยงกับกิจกรรมการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน เพื่อยกระดับศิลปวัฒนธรรมไทยให้กลายเป็นพลังสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศสู่ระดับสากลต่อไป

สำหรับบรรยากาศภายในงานได้รับความสนใจจากนักเรียน ครู และผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการผลักดันนโยบาย Soft Power สู่การปฏิบัติจริง ทั้งยังเป็นเวทีที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและศักยภาพให้เด็กและเยาวชนไทยก้าวสู่การแข่งขันในระดับโลก ตามเป้าหมายที่ต้องการให้นักเรียน “เรียนดี มีความสุข จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

“อบจ.ชัยภูมิ”จับมือ “พว.” พลิกโฉมการศึกษาด้วย Active Learning  GPAS 5 Steps พัฒนาการศึกษาโรงเรียนในสังกัด

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ที่ ห้องประชุม ชั้น 5 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ชัยภูมิ กับ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ประจำปีการศึกษา 2568-2570 โดย นางสาวสุรีวรรณ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ และ ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ

น.ส.สุรีวรรณ กล่าวว่า อบจ.ชัยภูมิ ให้ความสำคัญกับจัดการศึกษาของท้องถิ่นโดยมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ของเด็กนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม หรือ เทคโนโลยี โดยมองว่าการเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพ เพราะเป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีกระบวนการคิด มีการลงมือทำ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาได้เร็วขึ้น อบจ.ชัยภูมิมุ่งหวังให้นักเรียนเข้าถึงการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อให้นักเรียนมีคุณธรรม จริยธรรม มีความรู้และรู้วิธีเรียนรู้ มีกระบวนการคิดขั้นสูง มีระดับผลสัมฤทธิ์ O-NET และ PISA สูงขึ้น นักเรียนจะต้องได้รับการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะการงานอาชีพและทักษะชีวิต ที่นักเรียนนำไปใช้พัฒนานวัตกรรม ต่อยอดเพิ่มมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยว แหล่งประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม และภูมิปัญญาที่มีอยู่หลากหลายของจังหวัดชัยภูมิ ไปสู่การสร้างรายได้ระหว่างเรียนและเห็นช่องทางการสร้างอาชีพ สร้างงาน พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง ชุมชนและสังคมให้ดียิ่งขึ้น เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ

“การที่จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้ เราต้องสร้างปัจจัยความสำเร็จอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนการสอนและบริหารจัดการชั้นเรียนให้ได้ผลดี การเพิ่มภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร และการสร้างความพร้อมด้านสื่อการเรียนการสอน หนังสือเรียนที่มีคุณภาพ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยให้นักเรียนเข้าถึงง่าย เรียนรู้ง่าย เรียนรู้ได้เร็ว สนุก เรียนรู้อย่างมีความสุข และค้นพบศักยภาพของตนเอง  ซึ่ง พว.เป็นองค์กรชั้นนำทางวิชาการ มีประสบการณ์ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาเป็นผู้คิดค้น วิจัยและพัฒนานวัตกรรมกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps มีสื่อการเรียนการสอนและหนังสือเรียนที่มีคุณภาพ รวมทั้งมีเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ทันสมัย เข้าถึงง่ายตอบสนองความสนใจของนักเรียนและลดภาระงานของครูสำหรับสถานศึกษาทุกระดับ ดังนั้นเมื่อได้รับการประสานจาก พว. ทำให้เรามองเห็นประโยชน์ที่ครูและนักเรียนจะได้รับการพัฒนาและส่งเสริมการเรียนการสอน ทำให้สามารถตัดสินใจได้ทันที โดยเราจะเริ่มพัฒนาและส่งเสริมให้กับโรงเรียนในสังกัดทั้ง 26 แห่งทันทีภายในปีนี้ และเชื่อว่าการทำMOU ครั้งนี้ จะสามารถพลิกโฉมการจัดการศึกษาและการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาศักยภาพคนตามนโยบายของ อบจ.ชัยภูมิ นโยบายของกระทรวงมหาดไทย และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามยุทธศาสตร์ชาติและทิศทางของการปฏิรูปประเทศได้อย่างแน่นอน”นายกฯอบจ.ชัยภูมิ กล่าว

ด้าน ดร.ศักดิ์สิน กล่าวว่า นโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลมีจุดเน้นที่จะดำเนินการปฏิรูปการศึกษาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้เด็กเป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของผู้เรียนตามความถนัด ส่งเสริมการอ่าน การคิดวิเคราะห์เพื่อสร้างอนาคต สร้างรายได้ กระจายอำนาจการศึกษาให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการเรียนรู้อย่างทั่วถึง มีสื่ออุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย และใช้ระบบเทคโนโลยีการศึกษาสมัยใหม่ในการพัฒนาหลักสูตร และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับความรู้ความสนใจของผู้เรียน ต่อยอดให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้วยการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่สุดของการถักทอสร้างความรู้ของผู้เรียน นำไปสู่การสร้างชิ้นงาน โครงงาน และนวัตกรรมจากการเรียนรู้และการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ของนักเรียน เป็นการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและสมรรถนะของผู้เรียนให้สูงขึ้น บรรลุเป้าหมายของหลักสูตรอิงมาตรฐาน และสอดคล้องกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะ สามารถออกแบบจัดกิจกรรมได้อย่างเป็นระบบมีขั้นมีตอน เป็นผู้สร้างนวัตกรรมจนเกิดความชำนาญและเป็นนวัตกรในที่สุด

“เป้าหมายปลายทางของการปฏิรูปการศึกษา คือ การลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ตอบโจทย์การพัฒนาของโลกอนาคตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาประเทศ ออกจากกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีโลก” ดร.ศักดิ์สินกล่าวและว่า ความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับแนวทางการพลิกโฉมการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้มีการสร้างโรงเรียนต้นแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning อย่างน้อยจังหวัดละ 3 โรง และกำลังขยายไปในระดับอำเภออีกอำเภอละ 2 โรง ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ซึ่ง อบจ.ชัยภูมิก็กำหนดทิศทางการจัดการศึกษาในแนวทางนี้เช่นกัน ดังนั้นถ้าเราสามารถปฏิบัติได้รวดเร็วและเกิดผลจะถือว่าเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงได้ทันที และเป็นการสร้างสังคมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างแท้จริง”ดร.ศักดิ์สิน กล่าว

“โฆษก ศธ.” โต้กลับทันที “ชี้”โครงสร้าง ศธ.ไม่ใช่เรื่องใหม่ แจงยุค “เพิ่มพูน” แก้ไขปัญหาครูได้จริง วอนจัดงบให้ตามที่ขอ 3 ปีเห็นผลแน่

เมื่อ 27 มกราคม 2568  นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงคำกล่าวของนายทักษิณ ชินวัตร ที่กล่าวปราศรัยเกี่ยวกับระบบการศึกษาไทย ที่มองว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ใหญ่เกินไป ส่งผลต่อการจัดการศึกษาที่สอนให้เด็กท่องจำ เด็กคิดได้น้อย ตลอดจนต้องจ้างครูจากต่างประเทศมาช่วยสอน เรื่องนี้ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีความห่วงใยและใส่ใจต่อกระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ตามประเด็นที่นายทักษิณกล่าวถึงน่าจะเป็นประเด็นปัญหาที่มีมานานแล้ว ซึ่งในยุคของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ได้แก้ปัญหาในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด สังเกตได้จากครูที่ได้ย้าย หรือได้รับการประเมินวิทยฐานะด้วยความสามารถของตนเอง เป็นต้น

โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ในประเด็นที่นายทักษิณ กล่าวถึงเรื่องโครงสร้าง ศธ.ที่ใหญ่เกินไป ขอชี้แจงว่า เราเคยมีประสบการณ์ที่มีการยุบ โอนโครงการและภารกิจการบริหารงานของส่วนราชการให้เล็กลง แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหามากนัก จึงมองว่าสิ่งที่ต้องปรับคือ การสร้างให้เกิดการบูรณาการการทำงานภายในองค์กรร่วมกัน และให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งขณะนี้ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กำลังดำเนินการในเรื่องนี้ โดยส่วนตัวมองว่าปัจจุบัน ศธ. มีเอกภาพค่อนข้างสูง และขับเคลื่อนการดำเนินการเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ประเด็นการจ้างครูจากต่างประเทศ ตนมองว่า ครูของเราไม่ได้ด้อยความสามารถ เพียงแต่ ศธ. จำเป็นต้องเติมความรู้ชุดใหม่ ๆ ให้บุคลากรของเราอย่างสม่ำเสมอ หรือใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาทักษะความรู้ต่าง ๆ ซึ่ง ศธ. กำลังดำเนินการในเรื่องนี้ และในปี 2568 ก็เป็นช่วงเวลาที่จะติดตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ในประเด็นการจ้างครูต่างชาติ ซึ่งต้องเก็บเงินจากพนันออนไลน์ได้ถึงจะมีงบประมาณเพียงพอ ประเด็นนี้มองว่าอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อกันเสียทีเดียว การจ้างครูที่มีคุณภาพเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะได้รับเงินจากพนันออนไลน์หรือไม่

นายสิริพงศ์ กล่าวอีกว่า การสอนให้เด็กคิดวิเคราะห์ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยปัจจุบัน การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเรียนและการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เป็นผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ของ ศธ. ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าต้องใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการดำเนินการ ซึ่งเราไม่สามารถเปรียบเทียบคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนสังกัด สพฐ. กับโรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนของรัฐบาลด้วยกันเองได้ เนื่องจากต้นทุนต่อเด็กนักเรียน 1 คนในแต่ละโรงเรียน แตกต่างกัน อย่างไรก็ดี ศธ. ของบประมาณในการดำเนินการ อาทิ  งบประมาณสำหรับการซื้ออุปกรณ์การเรียนมาทดแทนส่วนที่ขาด เป็นต้น แต่ก็ยังไม่ได้รับงบประมาณฯ ในส่วนนี้ จึงมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากภาระด้านงบประมาณ ซึ่งหากเราได้รับงบประมาณตามที่ขอไป เพียงแค่ 3 ปี เชื่อว่า เราจะสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาได้ง่ายขึ้น และเห็นผลได้ไวยิ่งขึ้นแน่นอน

“กมธ.การศึกษาวุฒิสภา ร่วมประชุมทวิภาคีและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกรมการศึกษา รัฐเกอดะห์ ประเทศมาเลเซียเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาของสองประเทศ

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ดร.กมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา เปิดเผยว่า  ตนได้นำคณะกรรมาธิการการศึกษาฯเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนที่ผสมผสานระหว่างหลักสูตรสามัญและหลักสูตรศาสนาอิสลาม โดยโรงเรียนดารุลอูลูมเป็นโรงเรียนเอกชนที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสตูลเน้นการเรียนการสอนในลักษณะบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งวิชาสามัญ อาทิ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ รวมถึงรายวิชาอิสลามศึกษา ซึ่งส่งเสริมให้นักเรียนพัฒนาความสามารถทั้งในด้านวิชาการและการประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ โรงเรียนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูผู้สอนด้วยการสนับสนุนให้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสอนและการวิจัยในโรงเรียน

ดร.กมล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้พาคณะกรรมาธิการการศึกษาฯ ไปร่วมประชุมทวิภาคี ณ กรมการศึกษารัฐเกอดะห์ ประเทศมาเลเซีย โดยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกระชับสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา ซึ่งรัฐเกอดะห์เป็นพื้นที่ที่มีบทบาทสำคัญในระบบการศึกษาของมาเลเซีย กรมการศึกษามีหน้าที่ควบคุมดูแลครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงอุดมศึกษา ระบบการศึกษาในรัฐนี้ได้รับการยอมรับว่าเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ในโอกาสนี้ คณะกรรมาธิการได้หารือถึงแนวทางการพัฒนาเครือข่ายโรงเรียนระหว่างสองประเทศ และการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาในระดับภูมิภาค

“การศึกษาดูงานครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาทั้งในด้านการเรียนการสอน บุคลากร และระบบการศึกษาของทั้งสองประเทศในอนาคต”ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาฯกล่าว

“กมธ.การศึกษาฯวุฒิสภา”ลงพื้นที่จังหวัดสงขลาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำไปจัดเตรียมความพร้อมผู้เรียนก่อนเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา

เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2568 ดร.กมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อศึกษาดูงานการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ในฐานะศูนย์การศึกษาภาคใต้และศูนย์การให้บริการประชาชนด้านสุขภาพอนามัย การวิจัยและพัฒนา รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาการว่างงานของบัณฑิต โดยคณะกรรมาธิการฯได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะกับอธิการบดีและคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อเป็นแนวความคิดในการพัฒนาการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา การนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง และการเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาขั้นพื้นฐานกับการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมผู้เรียนก่อนเข้าศึกษาต่อ

ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นคณะกรรมาธิการฯได้เดินทางไปยังวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อศึกษาดูงานการจัดการศึกษาระบบรางและสถาบันปิโตรเคมี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กับบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด โดยวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่เป็นสถานศึกษาต้นแบบในการจัดการศึกษาที่สามารถนำไปขยายผลและเป็นโมเดลให้กับสถานศึกษาอื่น ๆ ในอนาคต การศึกษาดูงานในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จากการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาท้องถิ่นในพื้นที่ภาคใต้ ได้เป็นอย่างดี

นักการศึกษา”ชี้”พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด กระจายอำนาจให้จังหวัดรับผิดชอบจัดการศึกษาเอง-กระทรวงศึกษาธิการต้องเล็กลง

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568  ที่ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ นายพิศณุ ศรีพล รักษาการนายกสมาคมนิสิตเก่าภาควิชาบริหารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ รศ.ดร.ธีรภัทร กุโลภาส ประธานสาขาวิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงาน “มุทิตา เสวนา เลือกตั้ง” ภายใต้มอตโต้ “OLD KEYS DON’T UNLOCK NEW DOORS”เสวนาวิชาการ หัวข้อ “พ.ร.บ.การศึกษาใหม่ รูปแบบไหนไขปัญหาชาติ” โดยดร.นิวัตร นาคะเวช อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายกสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย ดร.กมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา รศ.ดร.เอกชัย กี่สุขพันธ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) หรือ สมศ. นายทนง โชติสรยุทธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเพลินพัฒนา และกรรมการ บริษัทเพลินพัฒน์ จำกัด ดำเนินรายการโดย นางสาวศศิธร วัฒนกุล ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย

ดร.นิวัตร กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ติดใจคำว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ รูปแบบไหนแก้ไขปัญหาชาติ ซึ่งเป็นคำที่มีความหมาย คงต้องมาคิดว่าใครก็ตามที่จะสร้างรูปแบบได้จะต้องมีหลักการ หลักคิด มีทฤษฎีที่ชัดเจน  ถ้าตนเป็นคนเขียน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ หลักการของตนจะยึดหลักการของในหลวง รัฐกาลที่9 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพระบรมราโชบายของ รัฐกาลที่10 ที่มี 4 ด้าน คือ 1.มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง 2.มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม 3.มีงานทำ มีอาชีพ และ4.เป็นพลเมือนที่ดี มาเขียน ขณะเดียวกันก็จะไปดูแผนปฏิรูปประเทศว่าพูดถึงการศึกษาอย่างไร และจะดูว่ามีปรัชญาการศึกษาอะไรบ้างที่จะสร้างคน ซึ่งปรัชญาแรกคือการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม แต่คนไม่ค่อยคิดถึง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตนคิด คือ การศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม การศึกษาเพื่อคนทุกคน การศึกษาคือการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ซึ่งมีความหมายกับความเป็นไทยและมีความสำคัญมาก และสิ่งสำคัญคือการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ โดยตนคิดเสมอว่า การศึกษาที่แท้จริง คือ สิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนที่ต้องได้รับอย่างมีคุณภาพ ถ้าเขียนแบบไม่คิดเรื่องนี้ ก็จะไม่ตอบสนองประเทศ นอกจากนี้ยังต้องยึดหลักของการมีส่วนร่วมการกระจายอำนาจ การสร้างโอกาสและความเสมอภาคด้วย เพราะฉะนั้นคนเขียนจะต้องมีหลักการก่อนถึงจะเขียนได้ดี

ดร.กมล กล่าวว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นธรรมนูญกฎหมายหลักด้านการศึกษาของชาติ ปัจจุบันยังมีอยู่ คือ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 และวันนี้ก็มีความพยายามที่จะจัดทำขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิม โดยสถานการณ์ ของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่นั้น ในปัจจุบันมีการเสนอในหลายส่วน ซึ่งกลุ่มที่หนึ่ง คือ รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการโดยหยิบร่าง พ.ร.บ.ฉบับที่ยุติไปเมื่อรัฐบาลที่แล้วมานำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีใหม่ เชื่อว่าจะมีการนำเสนอเข้าสู่สภาฯ ในเร็ว ๆ นี้ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้พรรคภูมิใจไทยได้เสนอตัดหน้าไปแล้ว และก็มี ร่างของ พรรคเพื่อไทย  และส่วนตัว ตนเชื่อว่าจะมีพรรคอื่น ๆ อีกที่จะเสนอเข้ามา โดยเฉพาะพรรคประชาชนที่จะต้องเสนอเข้ามาแน่นอน โดยทั้งหมดนี้เชื่อว่า ภายใน 2 เดือนนี้ จะมีร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติเสนอเข้าสู่สภาฯได้

ดร.กมล กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อเสนอของตนมี 3 ประเด็น คือ 1.ต้องเน้นหลักการให้ชัด ระบบการศึกษาต้องวางหลัก และรายละเอียดบางเรื่องไปไว้ที่กฎหมายลูก แล้วเสนอกฎหมายลูกประกบมาเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน 2. ต้องบรรจุสิ่งที่คิดว่าควรมีลงไปในรายละเอียดด้วย และ 3.เวลาจะขับเคลื่อนจะต้องพูดเป็นประเด็น ในการนำเสนอต้องเสนอประเด็นให้ชัดเจน เช่น เรื่องครู โครงสร้าง หลักสูตร จะต้องมีการถกและแย้งกันตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามโดยสรุปตนเชื่อว่า พ.ร.บ.แบบไหนแก้ปัญหาการศึกษาชาติได้ นั่นก็คือ พ.ร.บ.ที่ทำให้ทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษา ทำให้คนได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพ มีขีดความสามารถในการแข่งขันกับทั่วโลกได้ เป็น พ.ร.บ.เพื่อคนรุ่นใหม่ในอนาคต

รศ.ดร.เอกชัย กล่าวว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ต้องมี Keyword จะจัดรูปแบบใดก็ตามต้องทำให้เด็กไทยได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง เป็นธรรมกับผู้เรียนทุกกลุ่ม  ตนคิดว่าถึงเวลาต้องเขียนโครงสร้างของจังหวัดให้จังหวัดรับผิดชอบการศึกษาของจังหวัดตัวเองได้แล้ว ถ้าจังหวัดไหนมีความพร้อมก็ให้ดูแลไปเลยทั้งระดับประถมฯและมัธยมฯ และถึงเวลาที่เขตพื้นที่การศึกษาจะต้องสังกัดจังหวัด ถ้าเขียนชัด ๆจะช่วยเรื่องการกระจายอำนาจ งบประมาณไปลงที่โรงเรียน ลงที่การศึกษาอย่างชัดเจน เรื่องนี้ถ้าเปลี่ยนมุมมองเรื่องการจัดการเพื่อสร้างเด็กให้มีคุณภาพจะต้องให้อิสระเขาในการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของเขาเอง เปลี่ยนมุมมองจากเคยรวบอำนาจอยู่ที่ส่วนกลางก็ให้มาทำหน้าที่เพียงมอนิเตอร์อย่างเดียว กระทรวงศึกษาธิการต้องเล็กลง ทุกวันนี้ศึกษานิเทศมีทั้งจังหวัด และเขตพื้นที่ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณและซ้ำซ้อน เรามีโรงเรียนเป็นหน่วยปฏิบัติไม่จำเป็นต้องมีศึกษานิเทศก์ทุกเขตพื้นที่ให้มีที่จังหวัดก็เพียงพอแล้ว ซึ่งถ้าทำได้จะสามารถประหยัดงบประมาณได้มาก

ด้านนายทนง กล่าวว่า รัฐพึงมีหน้าที่ในการสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาในทุกระดับการศึกษา อย่างมีคุณภาพ ต้องคิดในเชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้ก้าวกระโดดทันต่อสถานการณ์ ให้เรื่องแก้ปัญหาการศึกษา เป็นเรื่องเดียวกันกับการแก้ปัญหาของประเทศ เชื่อมโยงบูรณาการกับยุทธศาสตร์อื่น เป็นกลไกสำคัญในการเปิดกว้าง กระตุ้น กำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ถูกจำกัด หรือไม่เป็นอุปสรรคเสียเอง ลดความเหลื่อมล้ำ ผลักดันกรอบแนวคิดโรงเรียนดีใกล้บ้าน ลดภาระทางเศรษฐกิจ และให้มีการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาให้ท้องถิ่น ผลักดันให้เกิด Digital Transformation เพื่อให้มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการวางแผนการจัดการศึกษา และการติดตามผลการดำเนินงาน และสนับสนุนให้เกิด Platform ต่าง ๆ เพื่อให้องค์ความรู้กระจายไปอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ ทั้งนี้พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่จะต้องมีกรอบแนวคิดที่ชัดเจนให้เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเป็นวาระแห่งชาติ