“คุรุสภา” มอบ “รางวัลถิรคุณ” ยกย่องเชิดชูเกียรติ 2 ครูตชด.พ่อลูกผู้เสียสละมีอุดมการณ์และจิตวิญญาณในวิชาชีพครู

ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ของตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 บุตรชาย เสียชีวิต เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมานั้น คุรุสภาได้พิจารณาและเห็นว่า บุคคลทั้ง 2 ท่าน เป็นบุคคลที่ปฏิบัติตนและปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความทุ่มเท เสียสละ มีอุดมการณ์และจิตวิญญาณความเป็นครูดูแล ช่วยเหลือนักเรียนให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดในสังคม จึงเห็นชอบให้ประกาศเกียรติคุณยกย่อง พ.ต.ท. สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ และ ด.ต. โดม ช่วยเทวฤทธิ์ เป็นผู้ได้รับ “รางวัลครูถิรคุณ”

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบาการศึกษา ที่วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง จ.พัทลุง พร้อมทั้งได้มอบ “รางวัลครูถิรคุณ” ให้แก่พ.ต.ท.สุวิทย์ และ ด.ต.โดม โดยมีภรรยาของบุคคลทั้ง 2 ท่าน เป็นผู้รับมอบรางวัล ซึ่ง รมว.ศธ. กล่าวยกย่องพ.ต.ท.สุวิทย์ และ ด.ต.โดม ว่า เป็นผู้ที่อุทิศตนในการปฏิบัติงาน มีความเสียสละ เป็นต้นแบบให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพครู ตลอดจนมอบเงินช่วยเหลือส่วนตัวเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ครอบครัวช่วยเทวฤทธิ์
ด้วย


ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับ “รางวัลครูถิรคุณ” เป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลปฏิบัติตนและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ มีอุดมการณ์ และมีจิตวิญญาณความเป็นครู ดูแลช่วยเหลือผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม ให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพแบบองค์รวมและมีวิถีชีวิตที่เป็นสุขจนเป็นที่ประจักษ์ชัดและเป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งมีหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกจาก1.เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละ มีอุดมการณ์ มีจิตวิญญาณ รักและศรัทธาในวิชาชีพ จนเป็นที่
ประจักษ์ 2.เป็นผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน 3.เป็นผู้ที่ประพฤติและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา ใจแก่เพื่อนครู และผู้เรียน 4.เป็นผู้ได้รับความเชื่อถือศรัทธา ยกย่องยอมรับของผู้เรียน เพื่อนครูและสังคมว่าเป็นต้นแบบของผู้มีจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นแบบอย่างที่ดีและสร้างค่านิยมให้สังคมยอมรับ 5.เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ หรือประกอบวิชาชีพในพื้นที่ที่มีชุมชนและสังคมที่มีความแตกต่างทั้งทางภาษาและวัฒนธรรม หรือในพื้นที่เสี่ยงภัย หรือทุรกันดาร รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหา
ภัยสังคมหรือความมั่นคงของชาติ หรือมีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติงานอย่างสูงด้วยความเสียสละ และอุตสาหะเป็นเวลานาน และปรากฏผลงานเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยความสม่ำเสมอต่อเนื่อง หรือ 6.เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือประกอบวิชาชีพจนได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายหรือสูญเสียอวัยวะ หรือถึงแก่ชีวิต โดยเหตุเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่หรือในการประกอบวิชาชีพ หรือเพราะเหตุกระทำการ ตามหน้าที่เป็นกรณีพิเศษจนเสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติงานในหน้าที่ประจำ หรือเพราะเหตุปฏิบัติตามหน้าที่ หรือได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นกรณีพิเศษ เว้นแต่การประสบเหตุนั้นเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือจากความผิดของตนหรือจากเหตุที่ตนมีส่วนร่วมในการกระทำนั้นด้วย ทั้งนี้ ผู้ได้รับ “รางวัลครูถิรคุณ” จะได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติและรับโล่ประกาศเกียรติคุณจาก รมว.ศึกษาธิการ ประธานกรรมการคุรุสภา.

“ยศพล”ปลื้ม 140 ผลงานนักศึกษาอาชีวะ รองรับการพัฒนาประเทศ สังคมและเศรษฐกิจในอนาคต

วันที่ 25 มกราคม 2568  นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ได้จัด “สุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา  OVEC Innovation Award 2025” โดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ตน เป็นประธานเปิดงาน มีนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวต้อนรับ และมีผู้บริหารบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ผู้แทนสถานประกอบการ หน่วยงานด้านการวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) คณะกรรมการดำเนินงาน คณะครู นักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่สนใจ กว่า 2,500 คน เข้าร่วมงาน  ซึ่งได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 มกราคม 2568 ณ Korat Hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัล โคราช จังหวัดนครราชสีมา

นายยศพล กล่าวว่า  ขอแสดงความยินดีกับ 140 ผลงาน ของนักเรียน นักศึกษา ในงานสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา OVEC Innovation Award 2025 ครั้งนี้เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาอาชีวศึกษา ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของประเทศ ภายใต้นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่มุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนให้มีความสุข มีความเป็นเลิศ มีความมั่นคง นำแนวคิดการพัฒนาโดยใช้ผู้ประกอบการเป็นฐาน จัดการเรียนการสอนมิติต่างๆ ในทุกมิติ โดยเฉพาะการเรียนแบบทวิภาคีที่เน้นความร่วมมือกับสถานประกอบการ ซึ่ง สอศ. มีความร่วมมือกับสถานประกอบการแล้วกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ โดยงานประกวดในปีนี้ได้คัดเลือกผลงานจากกว่า 4,000 ชิ้น ทั่วประเทศ ที่ผ่านการประกวดในระดับสถานศึกษา ระดับจังหวัดและภูมิภาค จนถึงระดับชาติ สู่ผลงาน 140 ผลงาน ซึ่งการประกวดในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนอาชีวศึกษา ไม่เพียงแค่ในด้านวิชาการ แต่ยังครอบคลุมถึงการพัฒนาทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานร่วมกัน ผลงานที่ได้รับการพัฒนานี้ยังสามารถต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์และการใช้งานจริง สร้างคุณค่าตอบโจทย์ให้กับทั้งตนเองและประเทศชาติ สังคมและเศรษฐกิจในอนาคต

“ครูเอ”ลงพื้นที่ชายแดนใต้ให้กำลังใจครู ชื่นชม รร.เอกชนผนึกกำลัง พัฒนาทักษะอาชีพ ส่งเสริมการมีรายได้ระหว่างเรียน และช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา

เมื่อวันที่ 24 มกราคม​ 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมอบนโยบายและสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้บริหาร​  ครู​ และบุคลากรทางการศึกษา​ ในจังหวัดนราธิวาส​ ที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์​ 39  พร้อมติดตามโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร​ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ​ โดยมี​ ผู้บริหาร​ ครู​และบุคลากรทางการศึกษา​ ร่วมให้การต้อนรับ ทั้งนี้ นาย​สุรศักดิ์​ กล่าวว่า​ รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดนราธิวาสในวันนี้​ จากได้รับฟังคำกล่าวรายงานทำให้ทราบว่า จังหวัดนราธิวาส​ มีประชากรที่หลากหลายทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิม ซึ่งนำไปสู่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิต การที่ประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี จะต้องได้รับการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ สำหรับโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในครั้งนี้เป็นการอบรมให้ความรู้ เพื่อพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหาร ผู้สอน บุคลากรทางการศึกษา และผู้เรียนประจำศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) ในการจัดการศึกษาเอกชนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ตนรู้สึกยินดีและขอชื่นชม ที่ได้เห็นถึงพลังความร่วมมือ ในการให้ความสำคัญกับการพัฒนา และยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาเอกชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในโรงเรียนเอกชน ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่มีการจัดการศึกษาในหลายรูปแบบ ตามความต้องการของชุมชน และบริบทในพื้นที่ ทั้งการศึกษาในระบบ และนอกระบบ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องส่งเสริม สนับสนุน กำกับติดตามดูแล ให้สถานศึกษาเหล่านี้มีคุณภาพ​ สำหรับการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ ที่อยากจะขอฝากทุก ๆ ท่านก็คือ เรื่องของการพัฒนาทักษะอาชีพ การส่งเสริมการมีรายได้ระหว่างเรียน การช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา (Zero Drop out) การสอนภาษาไทย การสร้างความปลอดภัยในสถานศึกษา รวมถึงเรื่องของการสร้างสุขภาวะอนามัยที่ดีด้วย

“ผมหวังว่าการอบรมครั้งนี้ จะได้รับการพัฒนาสมรรถนะที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณภาพสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดการศึกษาที่ยั่งยืน เป็นคนดี คนเก่ง สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข และสามารถนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่และประเทศชาติ ต่อไปในอนาคต ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ มุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพ ขอให้รักษาคุณงามความดีที่ท่านได้ปฏิบัติ และขอให้การดำเนินงานโครงการ บรรลุตามวัตถุประสงค์ทุกประการ โอกาสนี้ขออวยพรให้คณะผู้บริหาร ผู้สอน บุคลากรทางการศึกษา ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาการศึกษา ยกระดับมาตรฐานการศึกษาให้สูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับชาติและนานาชาติต่อไป”นายสุรศักดิ์ กล่าว

“เสมา1” เปิดการแข่งขันสะกดนิ้วมือไทย ชิงถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 4 ส่งเสริมศักยภาพผู้บกพร่องทางการได้ยิน

เมื่อวันที่ 23 มกราคม พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันสะกดนิ้วมือไทย ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และนักเรียนที่ร่วมแข่งขัน เข้าร่วม ณ โรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระบรมราชูปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า การสะกดนิ้วมือไทยเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารสำหรับผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินที่มีภาษามือเป็นภาษาแม่ในการสื่อสารภาษาไทย โดยการสื่อสารด้วยภาษามือนอกจากจะช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นในชีวิตประจำวันได้ ยังช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น นำไปสู่การพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ ดังที่โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว และได้จัดโครงการสะกดนิ้วมือไทยชิงถ้วยพระราชทานขึ้น ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4

“ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการศธ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาในทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัย โดยให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาที่เหมาะสมและเท่าเทียมสำหรับผู้เรียนทุกคน รวมถึงการศึกษาพิเศษ ที่จัดการศึกษาให้กับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กกลุ่มนี้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข ซึ่งการจัดการแข่งขันสะกดนิ้วมือไทยชิงถ้วยพระราชทานฯ ครั้งนี้ สอดคล้องกับนโยบายของศธ.ในการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาของผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน และการสร้างโอกาสให้ผู้เรียนทุกกลุ่มสามารถพัฒนาทักษะและศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ขอเป็นกำลังใจให้นักเรียนทุกคนได้พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ กระทรวงศึกษาธิการพร้อมเดินหน้ายกระดับการศึกษา เรียนดี มีความสุข เพื่อนักเรียนทั่วประเทศต่อไป” พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว

สำหรับการแข่งขันสะกดนิ้วมือไทย ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนพัฒนาทักษะการสะกดนิ้วมือ ตามแบบการสะกดนิ้วมือไทย พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ฉบับคุณหญิงกมลา ไกรฤกษ์ ได้ถูกต้องและชัดเจน โดยสามารถนำการสะกดนิ้วมือ ตามแบบสะกดนิ้วมือไทยที่ถูกต้อง มาประยุกต์ใช้ในการเรียนและสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ โดยการแข่งขันครั้งนี้มีนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันจาก 21 โรงเรียน ได้แก่ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนระดับชั้นละ 3 คน รวม 252 คน พร้อมด้วยครูผู้ควบคุม โรงเรียนละ 2 คน รวม 168 คน

ศธ. สั่งยกเลิกกิจกรรมเดินสวนสนามกลางแจ้ง งาน 103 ปี ยุวกาชาดไทย ที่สนามศุภฯห่วง PM 2.5 กระทบเด็กและครูกว่า 5,000 คน

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่รุนแรงระดับสีแดง โดยกังวลเรื่องการจัดกิจกรรมกลางแจ้งที่กระทบต่อสุขภาพของเด็กนักเรียนและครู ซึ่ง ศธ.ได้กำหนดจัดกิจกรรมงานวันคล้ายวันสถาปนายุวกาชาดไทยเป็นประจำทุกปี แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยจากฝุ่นพิษจึงต้องยกเลิกกิจกรรมดังกล่าวที่สนามศุภชลาศัย ในปีนี้ เพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้เข้าร่วมงาน แต่ยังคงกิจกรรมออนไลน์เชิงสร้างสรรค์ไว้

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นว่าการจัดงานครบรอบวันสถาปนายุวกาชาดไทย “103 ปี ร่วมใจสร้างสรรค์ยุวกาชาดไทย” ส่วนกลาง ในวันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 ณ สนามศุภชลาศัย กรุงเทพฯ ที่กำหนดให้มีพิธีปฏิญาณตนและสวนสนาม  ซึ่งมียุวกาชาดจากสถานศึกษาสังกัดต่าง ๆ เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 5,000 คน เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งของ สพฐ.ที่ยกเลิกกิจกรรมกลางแจ้ง สำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งอยู่ในความดูแลของ นายวรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จึงต้องยกเลิกการจัดกิจกรรมในส่วนที่เป็นกิจกรรมกลางแจ้งออกไปทั้งหมด จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน

“แม้สำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้จัดงานจะเตรียมงานไว้แล้วก็ตาม แต่ด้วยสถานการณ์ภัยจากธรรมชาติครั้งนี้เกิดขึ้นรุนแรงในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ และหลายจังหวัด อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งสุขภาพของผู้เรียนเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญในการปกป้องคุ้มครองให้มีความปลอดภัยสูงสุด จึงจำเป็นต้องประกาศยกเลิกการจัดกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหมดที่สนามศุภชลาศัย คือ กิจกรรมปฏิญาณตนและสวนสนามของยุวกาชาด”โฆษก ศธ.กล่าวและว่าอย่างไรก็ตาม ในส่วนของพื้นที่จังหวัดอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบ สามารถพิจารณาจัดกิจกรรมดังกล่าวได้ตามกำหนดการที่จัดเตรียมไว้ และในระยะนี้ขอให้สถานศึกษาในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ติดตามข่าวสารสภาพอากาศและข้อมูลสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 อย่างใกล้ชิด เพื่อวางมาตรการการจัดการกิจกรรมต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศที่อาจเป็นอันตราย ปรับกิจกรรมเป็นภายในอาคารเพื่อไม่ให้กระทบต่อสุขภาพของนักเรียนและครูผู้สอน และการที่กระทรวงศึกษาธิการตัดสินใจยกเลิกกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของเด็กนักเรียนและครูและบุคลากรทางการศึกษา กว่า 5,000 คน ที่เดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรม โดยจะคงกิจกรรมรูปแบบออนไลน์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันมลพิษทางอากาศ และขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงการจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และขอขอบคุณที่ให้ความร่วมมืออย่างดีที่สุด ส่วน การจัดงานพิธีสงฆ์ เวลา 9.00 น. จะคงจัดขึ้นจัดที่บริเวณใต้อัฒจันทร์สนามศุภชลาศัย และสามารถร่วมกิจกรรมกาชาดและยุวกาชาดรูปแบบออนไลน์ แบ่งเป็น ระยะที่ 1 วันที่ 20 – 31 มกราคม 2568 โดยรับชมคลิปวิดีโอผ่านช่องทาง Facebook “ศธ.360 องศา” พร้อมแบบประเมินเพื่อรับเกียรติบัตรการเข้าร่วมกิจกรรม ระยะที่ 2 วันที่ 21 มกราคม – 14 กุมภาพันธ์ 2568 โดยออกแบบกิจกรรมตามความเหมาะสมนำไปจัด กิจกรรมกับนักเรียน บันทึกเป็นคลิปวีดิโอหรือภาพถ่ายอธิบายใต้ภาพ ส่งในช่องทางที่กำหนด เพื่อรับเกียรติบัตรการส่งเสริมกิจกรรมกาชาดและ ยุวกาชาดออนไลน์ดีเด่น จากกระทรวงศึกษาธิการต่อไป

ศธ.ห่วงปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 สั่งงดกิจกรรมกลางแจ้งเด็ดขาด

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568  นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้สภาพอากาศในประเทศไทยเต็มไปด้วยปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งไม่ใช่แค่ใน กทม.เท่านั้นแต่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยก่อนหน้านี้ได้ขอความร่วมมือให้โรงเรียนปรับเปลี่ยนกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การจัดการเข้าแถวหน้าเสาธง การแข่งขันกีฬา วิชาลูกเสือ หรือกิจกรรมสันทนาการกลางแจ้ง ให้เป็นกิจกรรมภายในอาคารแทน พร้อมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เรียนและครูเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM 2.5 และหลีกเลี่ยงการออกจากอาคารในช่วงที่ฝุ่นละอองมีค่าความเข้มข้นสูง ที่สำคัญพล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยผู้เรียนที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 และต้องการปกป้องสุขภาพของนักเรียนเป็นลำดับแรก จึงเน้นย้ำให้ทุกโรงเรียน “งดกิจกรรมกลางแจ้งทุกรูปแบบ” รวมถึงกำหนดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ และจัดกิจกรรมภายในโรงเรียนอย่างเหมาะสมในช่วงที่มีค่าฝุ่นสูงเกินระดับมาตรฐาน สอดคล้องกับมาตรการความปลอดภัยในสถานศึกษา เพื่อป้องกันการสัมผัสกับมลพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

โฆษก ศธ. กล่าวว่า ศธ.ได้ติดตามสถานการณ์อากาศและได้กำชับทุกต้นสัปดาห์มาโดยตลอด และสั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่กำชับกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้อำนาจโรงเรียนใช้ดุลยพินิจหยุดทำการเรียนการสอนโดยปรับเป็นรูปแบบออนไลน์ได้ 100 % ส่วนโรงเรียนโซนกลางเมืองที่มี “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” มีมาตรการรับมือที่พร้อมสามารถทำการเรียนการสอนได้ปกติ โดยให้พิจารณายืดหยุ่นตามความจำเป็นยึดถือเรื่องสุขภาพของเด็กเป็นหลักสำหรับโรงเรียนสังกัด ศธ.ในกรุงเทพฯ ซึ่งช่วงนี้เด็กกำลังเตรียมตัวสอบปลายภาคและสอบเข้ามหาวิทยาลัย บางโรงเรียนมีความจำเป็นไม่สามารถหยุดการเรียนการสอนได้เนื่องจากเวลาสอนไม่เพียงพอ ก็ขอให้งดกิจกรรมกลางแจ้งโดยให้จัดการเรียนการสอนในห้องเรียนเท่านั้น การสอนแต่ละที่มีข้อจำกัดตามบริบทพื้นที่ต่างกันหากดำเนินการตามมาตรการที่วางไว้จะช่วยให้การเรียนการสอนและกิจกรรมต่าง ๆ ภายในโรงเรียนดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องเสี่ยงกับฝุ่นพิษที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้เรียนในระยะยาว

นายสิริพงศ์ กล่าอีกว่า ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้มีคำสั่งให้โรงเรียนในสังกัด ในพื้นที่สีแดงทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษฝุ่น PM 2.5 หยุดเรียนทันทีตั้งแต่วันนี้ และปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเป็นออนไลน์เป็นระยะเวลา 7 วัน หรือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยในเขตกรุงเทพฯ ปิดเรียนแล้ว 57 แห่ง แบ่งเป็น สพม. กทม. เขต 1 ปิดเรียน 7 แห่ง สพม. กทม. เขต 2 ปิดเรียนแล้ว 42 แห่ง และ สพป. ปิดแล้ว 8 แห่ง ขอย้ำว่า สุขภาพของนักเรียนเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุด ขอให้งดกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูง และกำชับนักเรียนให้สวมหน้ากากอนามัยป้องกันอีกทาง หากผู้ปกครองเกิดความไม่สบายใจ และที่สำคัญ ศธ.ได้ประกาศออกไปอย่างชัดเจนว่าให้งดกิจกรรมกลางแจ้ง ห้ามโรงเรียนใดฝ่าฝืนข้อสั่งการโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถือว่ามีความผิด และสามารถแจ้งข้อกังวลได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “ศธ. 360 องศา” ได้ทันที เราจะรับความคิดเห็นเพื่อมาดำเนินการให้อย่างรวดเร็ว

สพฐ.เปิดแผนขับเคลื่อนเตรียมความพร้อมสอบ PISA ปี 2025 

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ว่า ที่ประชุมได้มีการติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา PISA โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) มีการการอบรมสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในระดับเขตพื้นที่ทั้ง 245 เขตพื้นที่ 78 ห้องเรียน มีกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 445,624 คน ลงทะเบียนแล้ว 112,654 คน อบรมแล้วเสร็จ 78,788 คน ส่วนปฏิทินการดำเนินการขับเคลื่อนการยกระดับฯ PISA ปีงบประมาณ 2568 คือ 1. การอบรมและพัฒนาการสร้างข้อสอบแนว PISA และปรับปรุงชุดพัฒนาความฉลาดรู้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568  2. การอบรมและพัฒนาการสร้างข้อสอบแนว PISA สิ้นสุด 31 มีนาคม 2568 และ 3. ครู ม.3 และ ม.4 วางแผนการใช้ชุดพัฒนาความฉลาดรู้ ภาคเรียนที่ 1/2568 จากนั้น จะดำเนินการการสร้างความตระหนักแก่ ผู้บริหารและครู และผู้ปกครอง ในการให้ความสำคัญของการสอบ PISA  พร้อมเสริมสร้างสมรรถนะ และช่วยเหลือโรงเรียนที่ถูกสุ่ม (เป็นการภายใน) และตรวจสอบความพร้อมอุปกรณ์และระบบ Internet ก่อนที่จะมีการสอบ PISA ในปี 2025

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สภาการศึกษา(สกศ.) ได้รายงานการขับเคลื่อนนโยบายการยกระดับคุณภาพผลลัพธ์การเรียนรู้ (learning outcome) ของผู้เรียนในด้านความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เรียนจะช่วยส่งเสริมการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย โดยได้เสนอแนวทางการจัดการศึกษาที่เน้นความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) เช่น ครูช่วยสร้างแรงบันดาลใจ สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นบวก และเป็นมิตรต่อผู้เรียน และการปรับปรุงหลักสูตรสร้างการเรียนรู้เชิงรุก ส่งเสริมทักษะเชิงพฤติกรรม (non-cognitive skills)  นอกจากนี้ในส่วนของแนวทางการพัฒนาผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ของ  IMD ประจำปี พ.ศ.2568 ประเด็นอัตราการไม่รู้หนังสือของประชากร อายุ 15 ปีขึ้นไป สกศ.ได้รายงานแนวทางพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาแบบสำรวจการอ่านของคนไทย โดยร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว) ก่อนจัดส่งข้อมูลให้ IMD ภายในเดือนมีนาคมนี้

สำหรับการติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาเชิงระบบ (THAILAND Zero Dropout)  สกศ. รายงานผลการดำเนินงานการติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาเชิงระบบ พบว่า ข้อมูลเด็กวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ณ วันที่  20 มกราคม 2568 พบ จำนวนเด็กนอกระบบการศึกษา 1,025,514 คน ติดตามแล้ว 650,833 คน คิดเป็นร้อยละ 63.46 ยังไม่ได้ติดตาม 374,681 คน คิดเป็นร้อยละ 36.54 โดยในจำนวนนี้ มีเด็กการศึกษาภาคบังคับ ช่วงอายุ 6 – 15 ปี ตกหล่นจำนวน 442,962 คน ติดตามแล้ว 211,872 คน คิดเป็นร้อยละ 47.83 ยังไม่ได้ติดตาม 231,090 คน คิดเป็นร้อยละ 52.17 ขณะที่ บุรีรัมย์ Zero Drop out model ของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ พบ ข้อมูลเด็กหลุดออกนอกระบบ จำนวน 4,390 คน พบตัวในพื้นที่ 1,383 คน ไม่พบตัวในพื้นที่ 3,007 คน มีผลสำรวจครบ ร้อยละ 100 และจากการวิเคราะห์ข้อมูลเด็กที่ค้นพบ ประกอบด้วย ส่วนที่พบตัว (กลุ่มที่เคยศึกษา กลุ่มที่กำลังศึกษา และกลุ่มที่ไม่เคยศึกษา) จำนวน 1,383 คน (ในจำนวนนี้ มี 417 คน ที่ไม่ประสงค์รับการศึกษา), ส่วนกลุ่มไม่พบตัว มีสาเหตุจากการย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศ อยู่ต่างจังหวัด อยู่ต่างอำเภอ และอยู่ในเรือนจำ สถานพินิจ เป็นพระ/เณร หรือเสียชีวิต เป็นต้น อย่างไรก็ตามได้มอบให้จัดทำข้อมูลเชิงระบบ เพื่อรู้ตัวเลขว่าปีต่อไปมีเด็กออกจากระบบน้อยลงหรือไม่ พร้อมทำข้อมูลในลักษณะเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้น

“ส่วนการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ระบบ TRS ทาง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ได้นำเสนอปฏิทินย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่ง ครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี พ.ศ.2568 ผ่านระบบ TRS ตามแนวคิดและนโยบาย “ครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนถิ่น” โดยเปิดให้ยื่นคำร้องขอย้ายผ่านระบบ TRS ตั้งแต่วันที่ 16 – 31 มกราคม 2568 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการของ ผอ.สถานศึกษา ผอ.สพท./หัวหน้าส่วนราชการ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ทั้งต้นทางและปลายทาง ดำเนินการเกี่ยวกับการพิจารณาคำร้องขอย้าย ออกคำสั่งย้ายและแต่งตั้ง และดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยข้าราชการครูที่ได้รับอนุมัติย้าย จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานศึกษาแห่งใหม่ที่รับย้าย ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568”รมว.ศึกษาธิการกล่าว

 

ปีการศึกษา2/2568 ได้เห็นหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนคุณภาพเต็มรูปแบบ 100% แน่นอน

ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีการทดลองนำร่องโมเดลการขับเคลื่อนที่เป็นระบบเร่งด่วน ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพื่อให้การดำเนินการในปีการศึกษา 2568 ภาคเรียนที่ 1 เป็นระบบมากขึ้น ซึ่งพลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสรุศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้แนวทางวิธีการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ ทั้งด้าน โครงสร้างพื้นฐาน งานวิชาการ งานบุคคล โดยตอนนี้ สพฐ.กำลังสำรวจสุดยอดครูดูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้เพื่อที่จะช่วยโรงเรียนคุณภาพในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ด้วย เพื่อให้ภาคเรียนที่สอง ปีการศึกษา 2568 ก็จะเห็นโรงเรียนคุณภาพเต็มรูปแบบ 100% ตามนโยบาย รมว.ศึกษาธิการ คือ การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ พร้อมกันนี้เราก็จะปลูกฝังในเรื่องของ ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ การขับเคลื่อนในรูปแบบของจังหวัด โดย รมว.ศึกษาธิการ แนะนำให้ทำในรูปแบบเครือข่ายความร่วมมือ โรงเรียนร่วมพัฒนา ซึ่งเราได้ให้โรงเรียนคุณภาพเข้าสู่ระบบของ คอนเน็กซ์อีดี และ พาร์ทเนอร์ชิพ แล้ว เช่น จังหวัดพิจิตรก็จะมีมูลนิธิใจกระทิงดูแลในการขับเคลื่อนบางส่วน เป็นต้น

“โรงเรียนคุณภาพถ้าเป็นระดับมัธยมฯ เราจะให้เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ ที่จะต้องลงไปช่วยโรงเรียนประถมฯที่เป็นโรงเรียนคุณภาพ และต้องช่วยโรงเรียนเครือข่ายระดับมัธยมฯที่ไม่ใช่โรงเรียนคุณภาพ ขณะเดียวกันก็ขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนมัธยมฯประจำจังหวัดใหญ่ ๆ มาดูแลโรงเรียนคุณภาพด้วย ส่วนโรงเรียนคุณภาพระดับประถมฯ ก็ให้ดูแลโรงเรียนประถม ฯ รอบ ๆ ที่ไม่ใช่โรงเรียนคุณภาพ โดยมีการแชร์ทรัพยากรร่วมกัน เช่น โรงเรียนคุณภาพมีครูสอนภาษา อังกฤษหรือภาษาจีนเก่ง ๆ ก็จะส่งออกไปช่วยโรงเรียนรอบนอกที่ไม่ใช่โรงเรียนคุณภาพ ขณะที่โรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมฯ ถ้าดูแลโรงเรียนขยายโอกาสฯอยู่ ก็อาจจะให้โรงเรียนขยายโอกาสฯกลับเข้ามาเรียนโรงเรียนแม่ได้ ซึ่งจะทำให้เห็นภาพการเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ได้แน่นอน เพราะมีความพร้อมทั้งเรื่องวิชาการ และโครงสร้างพื้นฐาน” ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.กล่าวและว่า โรงเรียนคุณภาพได้รับการสนับสนุนและเสริมความเข้มแข็งด้านต่าง ๆ ทำให้โรงเรียนมีคุณภาพ มาตรฐาน นอกจากนี้ สพฐ.ได้พยายามเชิญชวนเด็กนักเรียนทุกคนเข้ารับการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต การทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ หรือ เอ็นที เพื่อแสดงให้เห็นว่าระบบต่าง ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนสามารถช่วยให้โรงเรียนเกิดคุณภาพได้อย่างแท้จริง

ดร.ภูธร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีโรงเรียนคุณภาพจำนวน 1,808 โรง เป็น ระดับประถมศึกษา 901 โรง และระดับมัธยมศึกษา 907 โรง ซึ่งโดยหลักการขณะนี้เรากำลังเร่งสร้างความเข้มแข็งให้โรงเรียนอยู่โดยมีเครือข่ายความร่วมมือ ถึงแม้จะยังไม่ทั้ง 100% แต่เราก็สามารถทำให้มีคุณภาพได้แล้วค่อยขยายต่อ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนของ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ในปีการศึกษา 2568 และเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ สนองตอบนโยบาย เรียนดี มีความสุช Anywhere Anytime ของ รมว.ศึกษาธิการได้อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามคำว่าโรงเรียนคุณภาพไม่ได้หมายความว่าต้องเหมือนกันทั้งประเทศ จะมีความแตกต่างกันตามบริบทของตัวเอง เป็นโรงเรียนที่มีมาตรฐานเป็นจุดสกัดเด็กที่จะแห่เข้าไปเรียนในเมือง สามารถแบ่งเบาภาระโรงเรียนในจังหวัดได้ เพราะเป็นโรงเรียนที่อยู่ในอำเภอแต่มีความเข้มแข็งมีคุณภาพ มีความพร้อม ที่เด็กอยากเรียนไม่ต้องเดินทางไกล

บิ๊กอุ้ม”มีนโยบายให้ครูเลื่อนชั้นตามนักเรียนดูแลเด็กต่อเนื่อง ช่วยแก้ปัญหาอ่านออก เขียนได้

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ว่า ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าผลการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ตามที่ สพฐ.ได้เสนอให้แก้ไขระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดภาคเรียน พ.ศ.2549 โดยให้มีการแก้ไขวันเปิดและปิดภาคเรียนที่ 1 จากวันที่ 16 พฤษภาคม -11 ตุลาคม เป็น วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 กันยายน และเปิดภาคเรียนที่ 2 วันที่ 1 พฤศจิกายน -1 เมษายน ซึ่งตนได้มอบหมายให้สำนักฯที่เกี่ยวข้องไปประชุมร่วมกับผู้ที่จะต้องได้รับผลกระทบต่อการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียน เชิญชวนให้รับฟังความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็น อบจ.สช.โรงเรียนเอกชน สกร.อาชีวศึกษา โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนพระปริยัติธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าจะต้องปรับอะไรกันบ้างถ้าจะต้องเลื่อนปิด- เปิด ภาคเรียน

“ผลดีของการเลื่อนปิด- เปิด ภาคเรียนครั้งนี้ เนื่องจาก เป็นวันสิ้นปีงบประมาณซึ่งจะเป็นผลดีต่อการทำแผนบริหารงบประมาณ เรื่องย้ายครู ย้ายผู้อำนวยการโรงเรียน อีกทั้งเด็กจะมีเวลาปิดภาคเรียนที่ 1เพิ่มมากขึ้นเด็กได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ครูก็จะได้มีเวลาเตรียมการเรียนการสอนให้มากขึ้น รวมถึงการบริหารงานด้านอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ถ้าเป็นไปได้ หน่วยงานอื่น ๆ เห็นด้วย ก็จะเลื่อนเปิดเทอมตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.นี้เลย”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงนโยบายให้ครูเลื่อนชั้นตามนักเรียน เพื่อครูจะได้ดูแลนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ สพฐ.คิดหารูปแบบเพื่อให้ครูได้ดูแลติดตามนักเรียนในเรื่องของพัฒนาการของนักเรียน การอ่านออก เขียนได้ รวมถึงพฤติกรรมต่างๆด้วย โดยให้เริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อน ถ้าปีหน้าเด็กเลื่อนขึ้น ป. 2 ก็ให้ครูเลื่อนชั้นตามเด็กขึ้นไปอยู่ ป.3 ก็ให้ครูเลื่อนชั้นขึ้น ป.3 ตามไปด้วย เป็นต้น ซึ่งเป็นที่หน้ายินดีว่ามีโรงเรียนสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการนี้กว่า 2,000 โรง ที่จะรับเรื่องการบริหารจัดการครูแบบช่วงชั้นไปดำเนินการซึ่งตนได้มอบหมายให้สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สพฐ. และให้ ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.ไปดำเนินการ ซึ่งอาจจะต้องมีการวิจัยเปรียบเทียบดูว่าการการเรียนการสอนแบบครูช่วงชั้นกับการเรียนปกติ แบบไหนจะเกิดพัฒนาการกับผู้เรียนและเกิดคุณภาพการศึกษาดีกว่า

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต)และการสอบโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ซึ่ง สพฐ.ได้มอบหมายให้สำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ.ไปทำมาตรการจูงใจ เพื่อให้เด็กเข้ามาสอบโอเน็ตมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาพบว่าเด็กสอบโอเน็ตลดลง มีการสมัครสอบแล้วแต่พอถึงเวลาก็ไม่มาสอบทำให้สูญเสียงบประมาณในการจัดพิมพ์ข้อสอบ ดังนั้นปีนี้จึงให้สำนักทดสอบฯไปหามาตรการในการจูงใจ รณรงค์ให้เด็กมาสอบมากขึ้น และเน้นย้ำให้การสอบทุกอย่างของ สพฐ. ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบด้านการอ่าน หรือ RT การทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ หรือ NT ซึ่งเป็นการสอบคนละกลุ่มเป้าหมายและคนละวัตถุประสงค์ แต่ก็ทำให้เกิดความเข้าใจว่าทำไมถึงต้องจัดทดสอบ เพราะการสอบเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับการสอบ PISA ซึ่งเป้าหมายคือต้องการให้การสอบ PISAในรอบต่อไปสูงขึ้น

“ปลัด ฯ สุเทพ” รับโอน รอง ศธภ.15 นั่ง รองอธิบดี สกร. และ ย้าย รองเลขาธิการ ก.ค.ศ.เป็น ผู้ช่วยปลัด ศธ.

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในคำสั่งสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 105/2568 เรื่อง โอนข้าราชการพลเรือนสามัญ  นางยุพิน บัวคอม  รองศึกษาธิการภาค 15 ให้ดำรงตำแหน่ง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) และคำสั่ง ฯ ที่ 104/2568 เรื่อง ย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญ  นายวชิรพันธ์ นาคก้อน รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ นางยุพิน บัวคอม ถือเป็นลูกหม้อ สกร. เพราะเคยดำรงตำแหน่ง ผอ.กศน.อำเภอหลายอำเภอ และ รอง ผอ.และ ผอ.กศน.จังหวัดหลายจังหวัด จากนั้นไปเป็นศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ต น่าน เชียงใหม่ แล้วเป็นรองศึกษาธิการภาค 15 ก่อนที่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการจะรับโอนให้มาดำรงตำแหน่ง รองอธิบดี สกร. ส่วนนายวชิรพันธ์ นาคก้อน ก่อนที่จะดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. เคยเป็น ผู้อำนวยการสำนักนิติการ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มาก่อน