สมศ.ประเมินภายนอกรอบปี 67 เสร็จแล้ว มีสถานศึกษาเข้าร่วมประเมินกว่า 5,000 แห่ง สูงกว่าเป้าเกือบ 20%   ปลื้มผลการประเมินในภาพรวมน่าพอใจ

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ดร.นันทา หงวนตัด รักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยว่า   ขณะนี้การประเมินคุณภาพภายนอกประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งทำการประเมินในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2567 ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยสามารถประเมินคุณภาพภายนอกและรับรองผลให้แก่สถานศึกษาในระดับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (ศูนย์พัฒนาเด็ก) จำนวน 2,055 แห่ง และระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3,020 แห่ง สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ ประเภทโรงเรียนนานาชาติ 20 แห่ง และด้านการอาชีวศึกษา จำนวน 44 แห่ง รวมทั้งสิ้น 5,139 แห่ง ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 939 แห่ง โดยในการประเมินคุณภาพภายนอก ปี พ.ศ.2567 -2571  สมศ. มุ่งเน้นประเมินเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพ (Quality Improvement) จึงไม่มีการตัดสินผลว่าผ่านหรือไม่ผ่าน โดยมีหลักเกณฑ์การประเมิน  ดังนี้ หากสถานศึกษามีผลการดำเนินงานในแต่ละมาตรฐานเป็นไปตามเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนดไว้ในแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ถือว่า ผลการประเมินคุณภาพภายนอก “เป็นไปตามมาตรฐาน” แต่หากสถานศึกษามีผลการดำเนินงานของสถานศึกษาที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ผลการประเมินคุณภาพภายนอก ถือว่า “อยู่ระหว่างการพัฒนา” ซึ่งภายหลังจากการประเมินคุณภาพภายนอกประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พบว่าสถานศึกษาทั้ง 3 ระดับ มีข้อค้นพบที่โดดเด่นเป็นแบบอย่างที่ดี (Best Practice) สามารถเป็นแนวทางให้สถานศึกษาอื่นๆ นำไปประยุกต์ใช้ได้กว่า 100 ตัวอย่าง

นอกจากข้อค้นพบที่โดดเด่นแล้ว ยังมีข้อค้นพบที่เป็นจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนา 3 อันดับแรก ของแต่ละประเภทสถานศึกษา ดังนี้
การศึกษาปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็ก มีข้อค้นพบที่เป็นจุดเด่น ประกอบด้วย 1) เด็กส่วนใหญ่มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เล่นแสดงความรู้สึกควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้ รู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เหมาะสมตามวัย 2) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองชุมชนและหน่วยงานภายนอก สื่อสารให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัยและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย ส่งผลให้เกิดความร่วมมือระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กกับชุมชนเป็นอย่างดี 3) ครูหรือผู้ดูแลเด็กมีการส่งเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ปลูกฝังคุณธรรมและการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม โดยการบูรณาการผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ในกิจวัตรประจำวัน ทำให้การจัดประสบการณ์การเรียนรู้มีความต่อเนื่องเป็นระบบ จุดที่ควรพัฒนา ประกอบด้วย 1) เด็กบางส่วนยังไม่สามารถคิดและตัดสินใจแก้ปัญหาได้ตามวัย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ยังไม่สามารถส่งเสริมให้เด็กส่วนใหญ่มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง 2) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยบางส่วนยังขาดการนิเทศและประเมินการปฏิบัติงานของครูหรือผู้ดูแลเด็ก ขาดการนำผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเป็นระบบ การช่วยเหลือ แนะนำ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูหรือผู้ดูแลเด็กยังไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้การปฏิบัติงานของครูยังไม่เป็นระบบและไม่ต่อเนื่อง 3) หลักสูตรของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยบางส่วนไม่สอดคล้องตามบริบท ขาดการประเมินผลการใช้หลักสูตรและแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และขาดการปรับปรุงทบทวนหลักสูตรให้เป็นปัจจุบัน ส่งผลให้การนำไปสู่การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

การศึกษาขั้นพื้นฐาน มีข้อค้นพบที่เป็นจุดเด่น ประกอบด้วย 1) สถานศึกษาเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม และมีการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง ทบทวนผลการดำเนินงานที่ผ่านมา วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา 2) สถานศึกษามีมาตรการรักษาความปลอดภัยตามบริบทของสถานศึกษาหรือตามนโยบายที่ต้นสังกัดกำหนด มีแนวทางป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ติดตามเฝ้าระวัง ป้องกันการเกิดอุบัติภัย ภัยพิบัติ 3) สถานศึกษามีการจัดทำแผนงานพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความเชี่ยวชาญในการประกอบวิชาชีพและส่งเสริมให้ครูและบุคลากรได้รับการอบรมพัฒนาทางด้านวิชาชีพและการจัดการความเสี่ยง ความปลอดภัย นำไปสู่การทำผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะที่สูงขึ้น ส่วน จุดที่ควรพัฒนา ประกอบด้วย 1) สถานศึกษาบางแห่งยังกำหนดนโยบาย ทิศทาง กลยุทธ์ และแผนงานไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม ขาดการบริหารงานอย่างมีส่วนร่วมและขาดการนำผลการประกันคุณภาพทั้งภายในและภายนอกมาใช้ในการพัฒนาสถานศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม 2) ผู้บริหารสถานศึกษาบางแห่งขาดการนำผลการนิเทศไปพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู และยังส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูไม่ต่อเนื่อง 3) สถานศึกษามีความพยายามในการสร้างเสริมความสามารถนำตนเองในการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่แหล่งเรียนรู้ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกทั้ง สถานศึกษามีหลักสูตรสถานศึกษาที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง แต่ยังขาดการบูรณาการแผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางในการเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีสมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์

ด้านการอาชีวศึกษา มีข้อค้นพบที่เป็นจุดเด่น ประกอบด้วย 1) ทักษะและการนำไปประยุกต์ใช้ของผู้สำเร็จการศึกษาอาชีวศึกษา 2) สถานศึกษามีการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น แหล่งเรียนรู้ สถานที่ฝึกงาน 3) สถานศึกษามีการส่งเสริมสนับสนุนให้จัดทำนวัตกรรม (Innovation) สิ่งประดิษฐ์ งานสร้างสรรค์ และงานวิจัย ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์และเผยแพร่สู่สาธารณชน จุดที่ควรพัฒนา ประกอบด้วย 1) สถานศึกษาควรจัดเก็บข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาอย่างเป็นระบบและสอดคล้องตามกระบวนการ PDCA 2) สถานศึกษาควรมีการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการทุกสาขาวิชาและทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง 3) สถานศึกษาควรส่งเสริมให้ครูมีการกระบวนการพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรหรือเนื้อหารายวิชาอย่างต่อเนื่องให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและสังคม

ดร.นันทา กล่าวด้วยว่า ภาพรวมผลการประเมินคุณภาพภายนอกประจำปีงบประมาณ 2567 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ สถานศึกษาส่วนใหญ่เป็นไปตามมาตรฐานซึ่งมีการดำเนินการตามเป้าหมายที่แต่ละสถานศึกษากำหนดไว้ในแผนพัฒนากว่าร้อยละ 90 และมีแบบอย่างที่ดี (Best Practice) ในทุกระดับการศึกษารวมมากกว่า 100 ตัวอย่างซึ่ง สมศ. จะทำการรวบรวมและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเพื่อเผยแพร่หน้าเว็บไซต์ สมศ. www.onesqa.or.th สำหรับให้สถานศึกษาที่สนใจเข้ามาศึกษา และนำตัวอย่างที่เหมาะสมไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทสถานศึกษาของตนต่อไป

“สำหรับการประเมินคุณภาพภายนอกประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สมศ. ยังคงยึดหลักการประเมินคุณภาพภายนอกตามนโยบาย “ลดภาระ เรียนดี มีความสุข” ของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และมุ่งเน้น 3 ประเด็นหลักเช่นเดิม คือ1) การประกันคุณภาพภายนอกเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพ (Quality Improvement) ไม่ใช่การประเมินเพื่อตัดสินว่าผ่าน หรือ ไม่ผ่าน แต่เน้นสะท้อนภาพความเป็นจริง พร้อมให้ข้อเสนอแนะที่สอดคล้องตามบริบทของสถานศึกษา 2) มุ่งลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ลดการใช้เอกสาร และงดพิธีการต้อนรับต่างๆ และ 3) นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สนับสนุนการประเมินตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนและความซ้ำซ้อน รวมถึงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมิน” ดร.นันทา กล่าว

สกสค.ขอเลื่อนไต่สวนมูลฟ้องหมิ่นประมาท “โรงพิมพ์รุ่งศิลป์”ออกไปเป็น 2ธ.ค.67 รอให้อัยการแก้ต่าง คู่กรณี งง สรุปเป็นหน่วยงานของรัฐหรือ?

ที่ ศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ระหว่าง บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์(1977)จำกัด โจทย์ และ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่1 นายพัฒนะ พัฒนทวีดล จำเลยที่ 2 นายภกร รงค์นพรัตน์ จำเลยที่3 นายธิติทัศน์ ธนัชนนท์เดชน์ จำเลยที่ 4 และนายอภิชัย รุ่งเรืองกุล จำเลยที่ 5 แต่จำเลยที่ 1-4 ไม่มามอบหมายให้คนอื่นมาแทน มาแต่จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเอกชน อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ได้มีหนังสือที่ ศธ.5205 1/129 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ขอความอนุเคราะห์พนักงานอัยการแก้ต่างคดีให้กับจำเลยที่ 2-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคคีอาญา 1 สำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับเรื่องไว้พิจารณาเพื่อรับแก้ต่าง ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของพนักงานอัยการ โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 1 ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ อส.0008 1/397 ลงวันที่ 27 กันยายน 2567 ให้สำนักงาน คณะกรรมการ สกสค. ชี้แจงข้อเท็จเพิ่มเติม วันนี้จำเลยที่ 2 – 4 จึงยังไม่มีทนายความ แต่จำเลยที่ 2 – 4 ประสงค์ที่จะให้พนักงานอัยการทำหน้าที่ทนายความแก้ต่างคดีในขั้นไต่สวนมูลฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา8(2)อีกทั้งจำเลยที่ 2 – 4 ประสงค์จะยื่นคำแถลงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สำคัญที่ศาลควรสั่งว่า คดีไม่มีมูลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165/2 โดยพนักงานอัยการ ผู้รับเป็นผู้จัดทำคำแถลงดังกล่าวเพื่อยื่นต่อศาล ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อจัดทำคำแถลงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่งยังไม่แล้วด้วยเหตุความจำเป็นดังกล่าว จึงขออนุญาตศาลได้โปรดเลื่อนนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันนี้ออกไปสักนัดหนึ่ง เพื่อให้พนักงานอัยการได้เข้ามาดำเนินการเป็นทนายความให้จำเลยที่ 2 – 4 หรือมิฉะนั้นก็ขอให้พยานโจทก์ที่มาศาลในวันนี้เบิกความไปก่อน แล้วจำเลยที่ 2 – 4 ขอใช้สิทธิถามค้านในนัดหน้าต่อไป เพื่อให้จำเลยที่ 2 – 4 ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ซึ่งศาลได้อนุญาตและนัดให้มีการไต่สวนมูลฟ้องเลื่อนออกไปเป็นในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เนื่องจากจำเลยอ้างรอแต่งตั้งอัยการมาแก้ต่าง

ทั้งนี้ นายพีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการสำนักงาน สกสค.ได้แนบ สำเนาพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 สำเนาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 7/2558 ลงวันที่ 16 เมษายน สำเนาหนังสือที่ นร 1200/71 ลงวันที่ 4 มกราคม 2553 เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร โดยสรุปได้ว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 มีฐานะเป็นนิติบุคคล ในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ และมีคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำหน้าที่บริหารงานสำนักงานฯ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นไปตามมาตรา 62

มีอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบคณะกรรมการ ตามมาตรา 63 และมาตรา 64 ประกอบคำสั่งหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2558 ลงวันที่ 16 เมษายน 2558 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานของ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ตามมาตรา 75 นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2550ได้พิจารณาเรื่องหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐแล้วมีมติเห็นชอบตามมติ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 วันที่ 26 มกราคม 2550 และครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 เรื่อง หลักเกณฑ์การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.เสนอ ประกอบกับคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 ได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารแล้ว ลงมติเห็นชอบกับหลักการตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.เสนอ โดยสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ถูกจัดให้เป็นหน่วยงานของรัฐประเภทองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ(หน่วยงานในกำกับ) ดังนั้น ตามที่บริษัท รุ่งศิลป์ฯฟ้องร้องมาเบื้องต้น สำนักงานงานคณะกรรมการ สกสค.ขอเรียนเพิ่มเติมว่า พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานคณะกรรมการ สกสค. นายพัฒนะ พัฒนทวีดล ในฐานะผู้อำนวยการค้าของ สกสค.นายภกร รงค์นพรัตน์ ในฐานะรองผู้อำนวยการองค์การค้าฯของสกสค.และนายธิติทัศน์ ธนัชนท์เดชน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุองค์การค้าฯ พิจารณาข้อกล่าวอ้างตามคำฟ้องของโจทก์แล้วไม่เป็นความจริง แต่อย่างใด โดยกรณีการให้ข่าวผ่านทางช่องทางสื่อออนไลน์ เว็บไซต์ขององค์การค้า สกสค. และทางการเสนอข่าวอีกหลายช่องทางนั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่เพื่อป้องกันความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ สำนักงาน สกสค.ให้การดำเนินงานการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนประจำปีการศึกษา 2567 ให้แล้วเสร็จ ทันก่อนเปิดภาคเรียนและเพียงพอต่อความต้องการของโรงเรียนตลอดถึงครู นักเรียน และผู้ปกครอง

ด้านนายนัทธพลพงศ์ จิวัจฉรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการผู้รับมอบอำนาจ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์(1977)จำกัด กล่าวว่า มีปัญหาตั้งแต่ TOR ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คุณสมบัติกระดาษที่ไม่มีอยู่จริง และเขาก็ยอมรับเองว่าขณะที่ทางโรงพิมพ์กำลังจัดพิมพ์หนังสือก็ส่งปกให้ไม่ครบตามใบสถานะที่ระบุ กว่าจะส่งครบก็วันที่ 27 เมษายน 2567 เหลือเวลาเพียง 10 กว่าวันก็จะครบกำหนดสัญญา โดยตอนที่จะพิมพ์ปกทางโรงพิมพ์ก็แจ้งองค์การค้าฯตลอดว่า ปกไม่ครบ ให้มานับ ซึ่งแทนที่เขาจะรีบทำปกส่งมากลับตอบมาว่าต้องการปกไหนให้แจ้งไป เพราะฉะนั้นการที่มาอ้างว่าเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตในฐานะเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่เพื่อป้องกันความเสียหายอันจะเกิดแก่สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ในการดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2567 ให้แล้วเสร็จทันก่อนเปิดเทอมนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะสิ่งที่พูดมานั้นดูเหมือนจะต้องการให้สังคมเห็นว่า โรงพิมพ์รุ่งศิลป์ไม่มีความสามารถ ไม่มีความพร้อม ไม่สมควรพิมพ์หนังสือให้ สกสค. ซึ่งในทางปฏิบัติหากองค์การค้า สกสค.รู้ว่า โรงพิมพ์มีปัญหา ควรต้องมาช่วยแก้ไขปัญหา เพื่อให้การจัดพิมพ์มีประสิทธิภาพและเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ซึ่งควรต้องมาร่วมมือกันถึงจะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ แต่กลับมาให้ข่าวใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จจึงไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้นข้อแก้ต่างนี้จึงฟังไม่ขึ้น

“ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ที่มีการให้ร้ายโรงพิมพ์รุ่งศิลป์โดยอ้างว่า ตนเองเป็นเจ้าพนักงาน เพื่อขอตั้งอัยการแก้ต่าง แต่ตอนที่ไปชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กลับบอกว่าตัวเองเป็นเอกชน หรือแม้แต่ตอนแถลงข่าวก็บอกว่าไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้ใช้งบฯของรัฐแม้แต่บาทเดียว แต่พอมาที่ศาลกลับบอกว่าเป็นเจ้าพนักงานอีก วันนี้ศาลจึงบอกให้กลับไปดูข้อกฎหมายให้ดีก่อน ซึ่งเราก็ต้องกลับไปทำการบ้านเพิ่มในประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาพยายามต่อสู้ว่าเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่ แต่เรามองว่าการให้ข่าวที่มีการแสดงความเห็นไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่”นายนัทธพลพงศ์ กล่าว

ลูกเสือ ผลิต “คฑาลูกเสือลุยโคลน” ช่วยผู้ประสบภัยเชียงราย

หลังจากวิกฤติน้ำท่วม โคลนถล่ม ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ผ่านไป การเก็บกวาดโกยโคลนโดยใช้ จอบ พลั่ว ถัง หรือ ใช้มือโกยดินนั้นทำได้ช้า ดังนั้นมูลนิธิส่งเสริมการลูกเสือแห่งประเทศไทยจึงได้พัฒนาอุปกรณ์ เรียกว่า “คฑาลูกเสือลุยโคลน” ซึ่งมีสองแบบคือแบบไม้และแบบเหล็กมีล้อ เพื่อเข้าไปช่วยกวาดโคลนในพื้นที่ โดย

“คฑาลูกเสือลุยโคลน“ แบบไม้ ดัดแปลงมาจาก ”คฑาโกยข้าวเปลือก“ ที่ชาวนาไทยโบราณใช้มานานน่าจะกว่าพันปี ผลิตจากไม้ไผ่ หรือไม้ยูคา กับเศษไม้กระดานที่รื้อมาจากบ้านเก่า ทำให้ชาวบ้านยากจนสามารถผลิตและซ่อมแซมอุปกรณ์โกยโคลนเองได้ โดยไม่เสียเงินซื้อ หรือทำเองราคาไม่แพง ราวอันละ 200 บาท ขณะนี้มูลนิธิลูกเสือ ได้เริ่มหน่วยผลิต “คฑาลูกเสือโกยโคลน” แบบไม้ สองแห่งที่ อ.แม่สาย และ อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย คาดว่าจะผลิตได้ราว 200 อัน ส่วนคฑาลูกเสือลุยโคลนแบบเหล็ก มีลูกล้อ ดัดแปลงมาจากอุปกรณ์โกยหิมะของชาวยุโรป ผลิตโดยลูกเสืออาชีวะ วิทยาลัยเทคนิคลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ สมุทรปราการ ราคาอันละประมาณ 1,500 บาท

ทั้งนี้ มูลนิธิลูกเสือได้นำอุปกรณ์ทั้งแบบไม้และแบบเหล็กมีล้อ ไปช่วยโกยโคลนที่ รร บ้านไม้ลุงขน รร บ้านเหมืองแดง และ รร บ้านน้ำลัด อ แม่สาย เชียงราย แล้วได้ผลดี ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2567

ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ทั้ง 4 ประเภท กว่า 2 แสนราย ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯ หมดอายุ 8 ธ.ค.นี้ อย่าลืมต่ออายุภายใน 180 วัน

 ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภากล่าวว่า การลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษสามารถทำภารกิจด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษาได้ทุกที่ ทุกเวลา ( Anywhere Anytime) เป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย เรียนดีมี ความสุข ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ซึ่งเมื่อ วันที่ 25 กันยายน 2567 สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พบว่า ในปี 2567 จะมีผู้ที่ใบอนุญาตฯ หมดอายุ ในวันที่ 8 ธันวาคม 2567 ประมาณ 200,000 ราย ซึ่งข้อบังคับคุรุสภา กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา สามารถยื่นต่ออายุใบอนุญาตฯ ได้ภายใน 180 วันก่อนวันหมดอายุ และสามารถตรวจสอบวันหมดอายุใบอนุญาตฯ ของตนเองได้ผ่านระบบ KSP Self–Service หรือ เว็บไซต์คุรุสhttps://www.ksp.or.th/service/license_search.php

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่อไป สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ให้บริการใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ทั้งการขึ้นทะเบียน และต่ออายุใบอนุญาตฯ แบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถใช้บริการได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ KSP Self – Service บนเว็บไซต์ของคุรุสภา www.ksp.or.th และเพื่อให้การดำเนินการต่ออายุใบอนุญาต เป็นไปด้วยควาสะดวก เรียบร้อย และรวดเร็ว เมื่อยื่นคำขอเข้ามาในระบบพร้อมกับชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้วขอให้ผู้ยื่นคำขอกลับมาตรวจสอบสถานะเบื้องต้นภายใน 15 วันทำการ เพื่อตรวจสอบว่าเอกสารที่จัดส่งทางออนไลน์นั้น มีความถูกต้อง ครบถ้วน หรือต้องส่งเอกสารเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อประโยชน์ของทุกท่าน และขอย้ำว่าการตรวจสอบสถานะเบื้องต้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อรุสภาได้รับเอกสารครบถ้วนถูกต้อง จึงจะดำเนินการในขึ้นตอนต่อไปได้ แต่หากผู้ยื่นคำขอไม่ตรวจสอบสถานะหรือส่งเอกสารเพิ่มเติมให้เรียบร้อย จะส่งผลให้คำขอดังกล่าวค้างอยู่ในระบบ และคุรุสภาจะไม่สามารถพิจารณาอนุมัติใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของท่านได้

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวอีกว่า วิชาชีพทางการศึกษา ประกอบด้วย ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศน์ ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนี้ เป็นวิชาชีพควบคุม ตาม ..บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ดังนั้น ผู้ที่ประกอบวิชาชีพทั้ง 4 ประเภทนี้ จำเป็นต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหากผู้ใดประกอบวิชาชีพโดยที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมดอายุ หรือ ไม่มีใบอนุญาตฯ จะมีความผิด ตาม..บ.สภาครูฯ ในมาตรา 78 และ มาตรา 79แล้วแต่กรณี และตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ พ.ศ. 2565 ได้กำหนดให้ผู้ที่ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตหลังจากวันที่หมดอายุแล้ว จะต้องเสียค่าดำเนินการกรณีขอต่ออายุใบอนุญาตล่าช้า เป็นเงินเดือนละ 200 บาท แต่ไม่เกิน2,000 บาท นับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ใบอนุญาตหมดอายุถึงวันที่ยื่นคำขอต่ออายุ และระยะเวลาที่นับได้ไม่ถึง 1 เดือน ให้นับเป็น 1 เดือน

คุรุสภา พร้อมให้บริการด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแบบออนไลน์ ด้วยระบบ KSP Self – Serviceเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบวิชาชีพทั้งการขึ้นทะเบียน และต่ออายุใบอนุญาตฯ อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพสามารถพิมพ์ใบอนุญาตได้ด้วยตนเอง ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านระยะเวลา และการเดินทาง แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทุกคน ตามนโยบายของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. หากมีข้อสงสัยในด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และ พนักงานเจ้าหน้าที่คุรุสภา ในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศ ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว.

 

สั่งพักราชการ ผอ.สพม.สระแก้ว หวังคืนความเชื่อมั่นให้ระบบการศึกษา

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ​ คณะที่ปรึกษา​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ ปฏิบัติ​หน้า​ที่โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกรณี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)สระแก้ว ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดในการดำเนินการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสรรหาและเลือกสรรพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งครูผู้สอน ซึ่งพบว่ามีความผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อีกทั้งยังกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยตรง

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ศธ. แสดงความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ผอ.สพม.สระแก้ว เพื่อให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปอย่างละเอียดและโปร่งใส ทั้งนี้ ศธ. ได้สั่งให้พักราชการ ผอ.สพม.สระแก้ว เป็นการชั่วคราว จนกว่าผลสอบสวนจะเสร็จสิ้น ซึ่งเป็นมาตรการในการป้องกันการแทรกแซงหรือส่งผลกระทบต่อการสอบสวน เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยตำรวจ อัยการ และเจ้าหน้าที่ ศธ. ส่วนกลาง ทำงานอีกชุดหนึ่งด้วย พร้อมส่งหลักฐานทุกอย่างให้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบความชัดเจน และยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขหรือดัดแปลงหลักฐาน

“การทำงานของคณะกรรมการสอบสวนของ ศธ. จะไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภายนอกที่ร่วมสอบสวน แต่เป็นการทำงานคู่ขนานเพื่อเร่งหาข้อเท็จจริง ซึ่งจะไม่ล่าช้าแน่นอน ทั้งนี้ ศธ. พร้อมแสดงข้อเท็จจริงให้สังคมได้รับทราบในทุกขั้นตอน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก พร้อมย้ำว่า กระบวนการตรวจสอบครั้งนี้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการศึกษา และคลายข้อสงสัยทุกประเด็นต่อสังคม”นายสิริพงษ์กล่าว

 

สพม.ขอนแก่น ได้ข้อสรุปผอ.โรงเรียนชุมแพศึกษาแล้ว จะส่งให้เลขาฯกพฐ.สั่งการจันทร์นี้

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2567 นายศักดา ชัยภัย ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)ขอนแก่น ให้สัมภาษณ์ กรณีนักเรียนโรงเรียนชุมแพศึกษา กว่า 200 คน ออกมารวมตัวชูป้ายข้อความประท้วง เพื่อขับไล่ นายฉัตร สิงห์บุราณ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมแพศึกษา พร้อมนำรถเครื่องเสียงมาจอดกล่าวปราศรัยตำหนิการบริหารงานต่างๆ นานา ว่า  การบริหารงานไม่โปร่งใส ไม่สนับสนุนกิจกรรมเด็กนักเรียน ใช้วาจาไม่สุภาพ รวมถึงการจัดเก็บเงินค่าบัตรศึกษาดูงานสวนสัตว์ เติมน้ำมันหลวง โดยมี นายวิศรุต ปู่เพ็ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ น.ส.อ้อยใจ คำบุญเรือง นายอำเภอชุมแพ ลงมารับหนังสือข้อร้องเรียน ว่า หลังเกิดเหตุ 1 ชั่วโมง ตนได้มอบหมายให้นายทวีศักดิ์ สมนอก และนายปฐมพงษ์ สมอฝาก รองผู้อำนวยการ สพม.ขอนแก่น เข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการคนดังกล่าวเคยมีเรื่องร้องเรียนอยู่หลายเรื่อง ซึ่งตนได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอยู่ จนมีสภาพร้ายแรงกับตนเป็นคู่กรณีฟ้องศาลทุจริตกันอยู่ ตนจึงไม่มีอำนาจสั่งย้ายเพราะเกรงว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งกัน ซึ่งก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้อำนวยการโรงเรียนคนนี้ด้วย ทั้งนี้ตนจะรวบรวมข้อสรุปส่งให้ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน นี้ เพื่อให้พิจารณาสั่งการ แต่ทั้งนี้ สพม.ขอนแก่น จะต้องตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้อำนวยการโรงเรียนได้ชี้แจง

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ให้ สพม.ขอนแก่น รายงานมาที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ก่อน ตนถึงจะสั่งให้คณะทำงานลงไปตรวจสอบอีกครั้ง ถ้าตรวจสอบแล้วมีมูลความจริงก็ต้องสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนออกจากพื้นที่ไว้ก่อน เพื่อสะดวกในการตรวจสอบ

สอศ.ระดมอาชีวะอาสา Fix it Center ลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วมเหนือ-อีสาน เตรียมส่งคาราวานเสริมทัพเคลียร์โคลนเชียงราย

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นากยรัฐมนตรี และ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีห่วงใยในสถานการณ์และความเดือดร้อนของประชาชนครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียน นักศึกษา จึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)จัดทีมอาชีวะอาสาไปช่วยเหลือ ฟื้นฟูสถานศึกษา และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีมาตรการดำเนินการช่วยเหลือทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว คือ ทีมจิตอาสา Fix it Center ของชาวอาชีวศึกษาได้ลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมแรก ๆ โดยเข้าไปตั้งโรงครัวทำข้าวกล่องแจกให้แก่ผู้ประสบภัย ช่วยขนย้ายข้าวของ พอน้ำลดก็ระดมวิทยาลัยที่อยู่ภาคเหนือเข้าพื้นที่แล้วประมาณ 45 ทีม เพื่อช่วยทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชน สถานศึกษา ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ที่จมน้ำ ส่วนทางภาคอีสาน 6 อำเภอ 19 ตำบลในจังหวัดหนองคายก็มีจิตอาสา Fix it Center เข้าไปแล้ว 25 ทีมเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั้งการทำความสะอาดบ้านเรือน ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ที่จมน้ำเช่นกัน

เลขาธิการ กอศ.กล่าวว่า อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางภาคอีสานยังมีแค่น้ำ ไม่มีดินโคลนเหมือนทางภาคเหนือโดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงรายที่การช่วยเหลือฟื้นฟูจะเป็นไปด้วยความยกลำบากกว่า โดยล่าสุดรมว.ศึกษาธิการ ได้สั่งการให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ซึ่งมีรถขุด แทรกเตอร์ รวมถึงเครื่องมือขนาดเล็ก ระดมกันส่งไปเป็นทัพเสริมช่วยที่จังหวัดเชียงรายแล้ว  โดยจะมีการปล่อยคาราวานทัพเสริมในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567  พบว่า ทีม Fix it Center สามารถช่วยเหลือให้บริการประชาชนไปแล้วกว่าหมื่นรายการ

“อาชีวะโคราช”ยืนหนึ่งสอนออกแบบเครื่องแต่งกาย กวาดรางวัลเพียบ ยึดนโยบาย เรียนดี มีความสุข

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา ปฎิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างภาพลักษณ์อาชีวศึกษา เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นำสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจกรรม ที่แสดงถึงศักยภาพของชาวอาชีวศึกษา โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ต้องการโชว์ศักยภาพของชาวอาชีวศึกษาซึ่งมีสถานศึกษาในสังกัดมากมายทั้งของรัฐและเอกชน รวมทั้งสิ้น 877 แห่ง23 สถาบัน โดยเรามุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปจบการศึกษาแล้วมีงานทำ ฉะนั้นโจทย์ของ สอศ.คือจะทำอย่างไรให้งานอาชีวศึกษาเข้าไปอยู่ในหัวใจของคนไทย ให้ทุกคนรู้ว่าการศึกษาสายอาชีวะมีดีอย่างไร ซึ่งเราจะยกระดับการอาชีวศึกษาให้เป็นโซ่ข้อกลางในการเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยวันนี้เราได้นำสื่อมวลชนมาลงพื้นที่อาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งจะเป็นนครราชสีมาโมเดลต่อไป โดยเริ่มที่วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา  และเทคนิคนครโคราช ซึ่งมีความโดดเด่นในการจัดการเรียนการสอนสาขาวิชาวิชาที่น่าสนใจอย่างมาก

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ได้ให้ความสำคัญ กับการพัฒนาการศึกษาเรียนดี มีความสุขเน้น การศึกษาที่มีคุณภาพ โดยนักเรียนนักศึกษาที่จบออกไปแล้วจะต้องมีงานทำ ซึ่งปัจจุบัน สาขาเทคโนโลยีแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย มีสถานศึกษาอาชีวศึกษาเปิดสอนสาขานี้ ถึง 46 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยมีทั้งหลักสูตประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาวิชาเทคโนโลยีแฟชั่นและสิ่งทอ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ซึ่งวิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมาได้เป็นศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center Of Vocational Manpower Networking Management : CVM)ที่มุ่งเน้นการผลิตบุคลากรที่มีความรู้และทักษะในด้านเทคโนโลยีแฟชั่นและสิ่งทอ โดยผู้เรียนจะได้เรียนรู้หลักการและกระบวนการทำงานด้านการออกแบบแฟชั่น แพทเทิร์นเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และเทคโนโลยีด้านการออกแบบแฟชั่น แพทเทิร์นเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย รวมทั้งสามารถปฏิบัติงาน สร้างสรรค์และวิเคราะห์ปัญหา ด้านการออกแบบแฟชั่น แพทเทิร์นเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายได้ โดยมีรายวิชาที่น่าสนใจ เช่น ความรู้เรื่องสิ่งทอ การออกแบบเสื้อผ้า เทคนิคการตัดเย็บ ตกแต่ง และการออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งทอ การออกแบบการจัดแสดงแฟชั่น คอมพิวเตอร์เพื่องานออกแบบแฟชั่น เป็นต้น

อาชีวศึกษานครราชสีมา มีการพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล การส่งเสริมให้ครูผู้สอนได้พัฒนาทักษะและประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ล้วนเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ศูนย์ CVM นำมาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาในสาขาวิชานี้นายยศพล กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษาที่กำลังศึกษาในสาขาวิชานี้ทั่วประเทศรวมกว่า 1,400 คน ซึ่งนับว่าเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทยในอนาคต ผู้สำเร็จการศึกษาจากสาขานี้สามารถประกอบอาชีพได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์หรือนักออกแบบแฟชั่น(Fashion designer) นักวิเคราะห์เทรนด์แฟชั่น นักวาดภาพประกอบแฟชั่น นักออกแบบลายผ้า สไตลิสต์ ช่างแพทเทิร์น นายแบบ นางแบบ แฟชั่นมาร์เกตติ้ง Make-up artist หรือแม้แต่การเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองนอกจากความหลากหลายของอาชีพแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้หลายคนสนใจวงการแฟชั่นคือโอกาสในการสร้างรายได้ที่น่าสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่แฟชั่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์และมีการแข่งขันสูงทำให้ผู้ที่มีความสามารถและความคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างรายได้ได้อย่างมหาศาลอย่างแฟชั่นดีไซเนอร์ นักออกแบบแฟชั่นชื่อดังระดับโลกหลายคนมีรายได้สูงถึงหลักล้านดอลลาร์ต่อปี นอกจากค่าตอบแทนจากการออกแบบคอลเลกชั่นแล้ว ยังมีรายได้จากการร่วมงานกับแบรนด์ดัง การออกแบบชุดให้กับดารา หรือการเปิดแบรนด์ของตัวเอง สไตลิสต์ชื่อดังก็มีรายได้สูงเช่นกัน

นางจิตโสมนัส ชัยวงษ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา กล่าวว่าวิทยาลัยส่งเสริมผู้เรียนให้เรียนรู้แบบActive  Learning ตามนโยบายเรียนดีมีความสุขของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายยศพลเวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเรียนรู้และส่งเสริมการยกระดับทักษะฝีมือของเด็กโดยผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ ซึ่งทำให้ทุกคนมีความสุขในการเรียนโดยมีครูเป็นผู้ให้การสนับสนุนอำนวยการเรียนรู้อย่างมีความสุข โดยเฉพาะในสาขาที่เรามีความเป็นเลิศอย่างเช่น สาขาแฟชั่น สาขาอาหาร ที่ผลงานของเด็ก จะมีรางวัลกันทุกปี จนทุกวันนี้เราเป็นที่หนึ่งในระดับจังหวัดแล้ว

การเรียนรู้แบบบูรณาการเด็กทุกคนจะมีความสุข ผลงานที่เกิดจากเด็กจะสะท้อนกลับไปว่าครูสอนอย่างไร อย่างตอนนี้ในเรื่องของแฟชั่นและการตัดเย็บครูของวิทยาลัยได้รับมาตรฐานช่างตัดเย็บระดับ 5 แล้ว ซึ่งเราก็จะไปเตรียมพร้อมว่าเด็ก หรือผู้เรียนของวิทยาลัยก็จะต้องผ่านมาตรฐานนี้เช่นกันทั้งระดับ ปวช.และ ปวส. เพื่ออนาคตเด็ก จะได้เป็นดีไซเนอร์ คอสตูม หรือเป็นอะไรที่อยากจะเป็น รวมถึงเป็นผู้ประกอบการที่จะสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ด้วยซอฟพาวเวอร์ทางด้านแฟชั่นผอ.วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา กล่าวและว่า  นักเรียน นักศึกษา ของวิทยาลัยจะมีโอกาสได้เรียนรู้จากการเข้าร่วมโครงการสำคัญ  ต่างๆ ที่ทางวิทยาลัยเข้าร่วมกับภาคส่วนต่าง ภายนอก นับเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่ทำให้เด็ก มีความสุขในการเรียน ซึ่งจะเห็นได้จากผลงานที่ไปชนะการประกวดในเวทีต่าง ทั้งในระดับจังหวัดระดับประเทศ และสากล ซึ่งนอกจากเด็กจะมีความภาคภูมิใจที่ได้แสดงออกในเวทีต่างๆ แล้วผอ.เองและครูทุกคนก็รู้สึกว่ามีความสุขที่ได้เป็นแรงผลักให้เด็กได้แสดงออกและนำเสนอผลงานในเวทีต่างๆ อย่างหลากหลายด้วย

ผอ.จิตโสมนัส กล่าวด้วยว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมามีความโดดเด่นในหลายสาขาโดยทางด้านแฟชั่นเราเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว และยังมีสาขาที่ได้รับการยอมรับอย่างมากก็คืออาหารและโภชนาการ เพราะได้รับโอกาสให้ทำอาหารพื้นถิ่น ได้เป็นกรรมการในการประกวดทุกเวที  ภายใต้แบรนด์ครัวอาชีวะโคราชเป็นที่ทราบดีว่ามีคุณภาพและมาตรฐาน รสชาติอร่อย รักษามาตรฐานความเป็นไทย โดยล่าสุดได้รับรางวัล 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่นรสชาติที่หายไป The Lost Taste” นำเมนูน้ำพริกหมู (โคราช) ของครัวอาชีวะโคราช ได้รับการประกาศเป็นอาหารถิ่นประจำจังหวัดนครราชสีมา และได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากประชาชน ในโครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thailand Best Local Food รสชาติที่หายไป The Lost Taste) ประจำปี 2567 ด้วย นอกจากนี้ยังมีครัวเบเกอรี่สินค้าที่เด็ก ได้ร่วมกันผลิตและจำหน่ายที่ศูนย์ฝึกภายในวิทยาลัยที่เปิดให้บริการบุคคลภายนอกด้วย นอกจากนี้ยังมีสาขาอื่นที่เป็นสาขาที่มีชื่อเสียงของวิทยาลัย คือ  สาขาการโรงแรม การบัญชี   ศิลปกรรม และธุรกิจสถานพยาบาล เป็นต้นทุกสาขาของวิทยาลัยจะมีทำงานร่วมกันเพื่อให้ผลงานออกมาดี ทั้งครูและเด็กได้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะฉะนั้นเด็กทุกคนที่เข้ามาเรียนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา นอกจากจะได้รับความรู้ในแต่ละสาขาแล้วยังได้ทักษะอื่นๆจากการร่วมทำกิจกรรมอีกมากมายเป็นการเรียนอย่างมีความสุขแน่นอน

นายกิตติ ทุมมาลา นักศึกษา ปวส.1  กล่าวว่า ที่เลือกมาเรียนสาขาแฟชั่นที่วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา ก็เป็นความชอบส่วนตัวที่สนใจเรื่องผ้าอยู่แล้ว และ มั่นใจวิทยาลัยนี้เพราะมีชื่อเสียงระดับประเทศ และเมื่อได้เข้ามาเรียน ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประกวดก็ได้รับรางวัลมา ถ้าเรียนจบไปก็คิดว่าจะทำธุรกิจเกี่ยวกับผ้าไทยโดยนำผ้าท้องถิ่นมาต่อยอด

..อมิตา ทิมอุดม นักศึกษา ปวส. 2 กล่าวว่า ผลงานที่ส่งประกวดได้แรงบันดาลใจมาจากโคนม ซึ่งเกิดจากความสงสัย ว่า นมที่เราดื่มกันมาตั้งแต่เด็กมาจากไหนจึงได้ไปค้นคว้าและทราบว่ามาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้มาทำชุดพอส่งประกวดโครงการเยาวชนสร้างสรรค์ต่อยอดแฟชั่นหัตถศิลป์ไทย ก็ได้รับรางวัลชนะเลิศมาเลย ส่วนที่เลือกมาเรียนที่นี่ เพราะอยากเป็นดีไซเนอร์และไปสานต่อกิจการของครอบครัว

เสมา 1 ตั้งกรรมการตรวจสอบซ้อนกรรมการสอบสวนทางวินัย ให้ความเป็นธรรม กรณี ‘ครูเบญ’ ชื่อหาย ย้ำเพื่อพิสูจน์ว่า กระบวนการศธ.โปร่งใส ไม่เล่นพรรคเล่นพวก

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน  ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง นายประยงค์ สารภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว หลังพบการประกาศผลสอบพนักงานราชการตำแหน่งครูผู้สอนผิดพลาดนั้น ยังไม่ถือเป็นการตัดสินว่า ผอ.สพม.สระแก้ว มีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ต้องรอสรุปผลการสอบสวนก่อน  หากผลออกมาว่า ผิดวินัยไม่ร้ายแรงก็ต้องว่าไปตามนั้น รวมถึงต้องรอผลการพิสูจน์หลักฐานของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อจะดูว่ามีการแก้ไขกระดาษคำตอบครูเบญหรือไม่ ทั้งนี้ขอให้เชื่อมั่นว่า สพฐ. และ ศธ. พยายามให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยล่าสุดตนได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ  เพื่อตรวจสอบกระบวนการสอบข้อเท็จจริง ขึ้นมาอีกหนึ่งชุด โดยเป็นบุคคลภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ใครเป็นคณะกรรมการบ้าง เพื่อให้มีอิสระในการแสวงหาข้อเท็จจริงได้ด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม  เหมือนเป็นการตั้งกรรมการซ้อนกรรมการ เพื่อไปตรวจสอบว่า กรรมการของสพฐ.ดำเนินการถูกต้องหรือไม่ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และทำให้สังคมเห็นว่า กระบวนการสอบข้อเท็จจริงของ ศธ.ไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวก

“การตั้งคณะกรรมการฯชุดนี้ ให้เข้ามาดูกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง ว่ามีความครบถ้วนแล้วหรือไม่  และกระบวนการจัดสอบมีความบกพร่องในส่วนใด หากสรุปแล้วพบว่า เป็นความผิดพลาด ที่เกิดขึ้นจากบุคคล ก็จะได้แก้ไขให้ตรงจุด แม้วันนี้จะเชื่อว่า ระบบค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ก็ต้องหาคนกลางเข้ามาช่วยตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง โดยขอให้เชื่อมั่นว่า ศธ. มีความยุติธรรมให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นครูเบญ หรือใครก็ตาม จะต้องได้รับความเป็นธรรมทุกคน  โดยเบื้องต้นขอให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

ด้าน ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง เป็นการตั้งขึ้นจากข้อสรุปของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งพบว่ามีมูล และเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจและเป็นคดีที่กระทบกับภาพลักษณ์ของ ศธ.ทำให้ราชการเสียหาย ดังนั้น จึงต้องตั้งวินัยร้ายแรงไว้ก่อน ส่วนสุดท้ายผลจะออกมาอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการพิสูจน์หลักฐานของกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ส่วนจะแถลงสรุปคดีเมื่อไรนั้น ขึ้นอยู่กับการพิสูจน์หลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ  โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. ก็ลงพื้นที่เพื่อดูแลในเบื้องต้นแล้ว

ย้าย ผอ.เขต สพฐ.จุ้น

หยอก หยอก วันอังคารที่ 24 กันยายน 2567 *** ไร้ซึ่งยุทธศาสตร์ ประเทศชาติมีอันตราย ประชาชนย่อมไร้ความสงบ ***นับเวลาถอยหลังอีก 6 วัน ก็จะสิ้นปีงบประมาณ 2567 ถึงเวลาข้าราชการไทยที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จะต้องอำลาชีวิตข้าของแผ่นดิน ปีนี้กระทรวงศึกษาธิการมีผู้ที่จะเกษียณอายุราชการกว่า 10,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้บริหารระดับสูง 1 คน คือ ดร.อรรถพล สังขวาสี เลขาธิการสภาการศึกษา ซึ่งจะทำให้ซี 11 ว่างลง 1 ตำแหน่ง แต่ก็ได้เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ มารับตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษาไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนระดับ 10 จะว่างลงจากการเกษียณ 3 ตำแหน่ง คือ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) 2 ตำแหน่ง จาก นายประพัทธ์ รัตนอรุณ และ เรืออากาศโทสมพร ปานดำ อีก 1 ตำแหน่ง คือ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นายชัยณรงค์ ป้องบ้านเรือ และ เลขาธิการ ก.ค.ศ. ที่ว่างลงจากการที่ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ ไปดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาการศึกษา … จากนี้ก็ต้องมาลุ้นกันละว่าจะได้ใครมาแทนในตำแหน่งระดับ 10 ที่ว่างลง แถมด้วยตำแหน่งผู้บริหารระดับต้นของ ศธ.ที่จะว่างลงตามมา ทั้งจากการเกษียณอายุราชการ อย่าง นายสุรินทร์ มั่นประสงค์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน(กพฐ.) และจากการที่จะได้ขึ้นไปครองตำแหน่งระดับ 10 … หลายคนที่เคยมีลุ้น มีโอกาสมาหลายรอบหลายหน ก็ยังมีลุ้นต่อไป (ถ้าไม่ถอดใจ โบกมือลาซะก่อน) *** ว่าแต่ตอนนี้มีกระแสชุลมุนวุ่นวายกับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ที่จะเข้ามาแทนตำแหน่งเกษียณ 38 อัตรา ซึ่ง สพฐ.จะสลับสับเปลี่ยนโยกย้ายผู้อำนวยการเขตพื้นที่เดิมก่อนแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ ว่ากันว่าการย้ายครั้งนี้ มีการสลับสับเปลี่ยนเป็นโดมิโนหางยาวกันเลยทีเดียว เพราะพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายให้เกียรติ สส.ภายในพรรคอยู่จังหวัดไหนก็ให้เสนอชื่อแต่งตั้งคนนั้นขึ้นมาเพื่อช่วยงานได้เลย แต่ละจังหวัด มี สส. 2 คนบ้าง 3 คนบ้าง จังหวัดใหญ่ก็มีมากเป็น 10 คน คนหนึ่งก็อุ้มไก่ของตัวเอง 1 ตัว บางจังหวัดมีไก่หลายตัว ก็ต้องอุ้มออกมาตีกัน ที่เป็นกระแสแรงตอนนี้ โดยเฉพาะทางภาคอีสาน เป็นไก่ใกล้ ๆ ฝั่งโขง ไม่รู้ว่า ไก่ตัวผู้ หรือไก่ตัวเมียจะชนะ แต่มีพรายกระซิบบอกว่าไก่ตัวเมียชนะแน่นอน เนื่องจากไก่ตัวเมียมีนม ไก่ตัวผู้ไม่กล้าตีแรง…555 *** ส่วนเรื่อง สส.คนดัง ที่ข้าราชการวิ่งหาตำแหน่งประจำในจังหวัดขอนแก่น ทราบว่าพรรคภูมิใจไทยเขาไม่ไว้ใจแล้ว ดังนั้นเรื่องร้องเรียนการบริหารงานของ สพม.ขอนแก่น ก็ต้องจบอยู่ที่เดิม…เนาะ? เพราะตอนนี้ก็รวมโผรายชื่อโยกย้ายแต่งตั้ง ส่งถึงมือ..สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพื่อเข้าพิจารณาในบอร์ดพรรคภูมิใจไทย แล้ว และคาดว่า รายชื่อแต่งตั้งโยกย้าย ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา ของ สพฐ.จะประกาศวันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน นี้…หลังจากส่งกลับไปกลับมาแก้ไขหลายครั้ง…เฮ้อ *** หยอก หยอก ขอส่งกำลังใจให้ ธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)ที่รับคลื่นซัดกระหน่ำยิ่งกว่าน้ำท่วมภาคเหนือเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่องข่าวการโยกย้าย ผอ.สกร.จังหวัด เรื่อง ผอ.สกร.อำเภอศรีณรงค์ ปมถูกแฉนอนกินเงินเดือนฟรีอยู่บ้าน ณ ตอนนี้ก็ยังคงเงียบไม่มีวี่แววข่าวการโยกย้ายของ สกร.ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 1 ตุลาคม นี้…ก็ต้องทำกันเงียบ ๆ แหละ เดี๋ยวมีประเด็นอะไรขึ้นมาอีก รอลุ้นกันครั้งเดียวตอนรายชื่อออกนะจ๊ะ อย่าพึ่งอยากรู้กันก่อนเลย เดี๋ยวจะนอนไม่หลับ…อิอิอิ ***สำหรับผู้ที่ผิดหวังกับตำแหน่งอื่น ยังมีให้วิ่งกันอีกนะจ๊ะ เพราะเร็ว ๆ นี้ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำจังหวัด(ผอ.สกสค.จังหวัด)จะพ้นวาระกันทั้งประเทศ ก็ไม่รู้ว่างานนี้ เงินจะสะพัดเข้ากระเป๋าใครบ้าง…เนาะ…เรื่องการจัดพิมพ์หนังสือเรียนองค์การค้า ของสกสค.ก็ยังอยู่ในกระแส…เพราะเนชั่นทีวี ก็ยังเล่นไม่เลิก…หยอก หยอก ก็ได้แต่ออกมาเตือน กลัวลืมหาข้อมูลหลักฐานมาตั้งรับกันให้ดีก็แล้วกัน เพราะอีก 6 วันก็จะได้ไต่สวนมูลฟ้องกันแล้ว…เด้อ *** ปรับโหมด …มาเรื่อง “ครูเบญ” ชื่อหาย เห็นเรื่องเงียบ ๆ ซาไป แต่สังคมยังตามฟังผลการสอบสวนอยู่ … เค้าอยากรู้ว่า สพฐ.จะจัดการกับความผิดพลาดของกระบวนการที่สามารถก่อกวน ทำร้ายชีวิตของคนคนหนึ่งได้อย่างสาหัส … อยู่ ๆ ก็เอาความว้าวุ่นไปให้เขาแล้วก็จะจากไปดื้อ ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้นะ *** ขอบอกว่าเหตุการณ์นี้ใจร้ายมาก … ***