ลุ้นเขย่าเก้าอี้ ซี 11

หยอก หยอก วันที่ 4 ตุลาคม 2567 *** ความซื่อสัตย์มีราคาแพง อย่าคาดหวังมันจากคนราคาถูก *** แค่วันที่ 2 ของการทำงานในสัปดาห์นี้ก็เกิดโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงในวงการศึกษา รสบัสนำนักเรียนและครูจากโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี ออกทัศนศึกษานอกสถานที่ เกิดอุบัติเหตุบนถนนวิภาวดีรังสิต เป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้รถบัสจนมีเด็กนักเรียนและครูเสียชีวิต 23 ราย และ ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวน 3 คน … ถือเป็นเหตุการณ์ที่แสนสะเทือนใจกับการที่ชีวิตของเด็กตัวเล็กตัวน้อยและคุณครูที่ยังอยู่ในวัยสดใสต้องถูกพรากไปอย่างสลดหดหู่ ด้วยคำว่า “อุบัติเหตุ”…หลังเกิดเหตุกระแสที่ตามมา คือ การเรียกร้องให้ยกเลิกการจัดกิจกรรมทัศนศึกษา เสียงเรียกร้องนี้ดังมาก ดังจน “ลุงอุ้ม” เสมา 1 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ยิน และ  มีคำสั่งให้งดการจัดทัศนศึกษาทันทีไม่มีกำหนด ไม่จำเป็นไม่ต้องไป เด็กต่ำกว่า ป. 4 ให้ยกเลิกการเดินทางทัศนศึกษาต่างจังหวัด แต่หากโรงเรียนไหนที่มีความจำเป็นจะต้องไปทัศนศึกษาต้องดูเป็นกรณีไป แต่ต้องดูมาตรการดูแลความปลอดภัยครู นักเรียนให้ครอบคลุมในทุกมิติ ต้องมีการวางแผน และต้องให้ผู้ปกครองไปด้วย อย่าไปไกลโรงเรียน อย่าให้เด็กต้องเดินทางเหนื่อยมาก … แต่ก็ยังติ่งไว้หน่อยว่า การทัศนศึกษาก็มีความจำเป็นต่อการเรียนรู้ ถ้าหากยกเลิกทัศนศึกษาเลยก็จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็ก  …  ถึงรัฐมนตรีจะไม่สั่งงดจัดทัศนศึกษา พ่อแม่ ผู้ปกครองก็คงไม่วางใจปล่อยให้ลูกหลานเดินทางไปทัศนศึกษากันแน่แล้ว  … แต่ถ้ามองอีกมุมการงดจัดทัศนศึกษาก็เป็นการปิดกั้นโอกาสการเรียนรู้ของเด็กจริง ๆ  เพราะเด็ก ๆ จะตั้งตารอการได้ออกไปศึกษา เรียนรู้ นอกห้องเรียนในสถานที่ต่าง ๆ เพราะหากจะรอพ่อแม่ ผู้ปกครองพาไปก็คงไม่เหมือน และจะมีเด็กจำนวนไม่น้อยแน่นอนที่ไม่มีโอกาสนี้ … ต่อจากนี้หลาย ๆ โรงเรียนคงงดจัดทัศนศึกษากันไปเลยเพราะยังขยาดกับเหตุการณ์นี้อยู่ … ก็ได้แต่เสียดายแทนเด็ก ๆ ขณะเดียวกันก็เข้าใจความรู้สึกผู้ปกครองในความเป็นห่วงลูก ๆ หลาน ๆ  … *** ที่แน่ ๆ ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คนพร้อม รถพร้อม อุปกรณ์พร้อม ระบบรักษาความปลอดภัยต้องพร้อมก่อนออกเดินทาง ***โซเชียลก็อย่าดราม่าว่า “ลุงอุ้ม” กันมากเลย เพราะความตกใจ เสียใจ ประกอบกับได้รับความกดดันไม่รู้จะฟังความทางไหน การเป็น“เจ้ากระทรวงเสมา”สวมบทครูถึงแม้จะเป็นตำรวจ แต่ความรู้สึกส่วนลึกก็สามารถดันให้น้ำในตาเอ่อออกมาได้ แม้จะพยายามกลั้นแล้ว น้ำเสียงเครือ ๆ ก็ยังลอดออกมาให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น … ก็แค่ “งด” แต่ไม่ได้ “ยกเลิก”..เนาะ *** ปรับโหมดมาถึงเรื่องที่หลายคนกำลังตกใจกับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงนามโดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นั่นคือ “ระเบียบคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการมอบอำนาจให้ศึกษาธิการจังหวัดปฏิบัติราชการแทน พ.ศ.2567”  หมวดที่ 2 การมอบอำนาจให้ศึกษาธิการจังหวัดปฏิบัติราชการแทน ในเรื่องการบริหารงานบุคคล บริหารวิชาการ การบริหารทั่วไป บริหารงบประมาณและสินทรัพย์ … เรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งพากันตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูม  “หยอก หยอก” ได้สอบถามผู้รู้มาแล้ว .. ยังไม่มีอะไร ก็แค่เพื่อความชัดเจน …แต่ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องใหม่ หน่วยงานในระดับพื้นที่มีอำนาจตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ซึ่งใหญ่กว่าหนังสือมอบอำนาจ ศึกษาธิการจังหวัดก็ทำหน้าที่ตามอำนาจที่เขามีอยู่ การปฏิรูปการศึกษาหรือที่ ทั่นเสมา 1 พูดเสมอว่า ไม่ใช่ “ปฏิรูป” แต่เป็น “ปฏิวัติ” โดยครั้งนี้จะมีการมอบอำนาจส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นอำนาจของส่วนราชการระดับกระทรวง เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)สำนักงานปลัดกระทรวง (สป.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)เป็นต้น ไปยังศึกษาธิการจังหวัดเพื่อให้เกิดการบูรณาการในพื้นที่ ที่ไม่ใช่หน่วยงานของตัวเอง แต่ทั้งนี้การมอบอำนาจต้องไม่ขัดกับพ.ร.บ.ซึ่งเป็นอำนาจที่เคยปฏิบัติอยู่เดิม เวลามอบอำนาจจริง ๆ จะมอบไม่ได้ทั้งหมด เพราะพ.ร.บ.ได้กำหนดไว้แล้ว *** ทว่าการออกประกาศฉบับนี้ จะเป็นต้นน้ำเพื่อนำไปสู่ single command หรือไม่ก็ต้องคอยติดตาม…เอานะ..***มาพูดถึงเรื่องการโยกย้ายทุกตำแหน่ง ทุกระดับในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็ยังพูดกันไม่เลิกในระดับผู้ปฏิบัติถึงความเหมาะสม ความเป็นธรรม และความไม่เป็นธรรมาภิบาล คำสั่งออกมาก็อึ้ง!ไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) และ กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) ที่ว่อนกันทั่วโซเชียล ว่า การโยกย้ายพิจารณาจากอะไร…จากความรู้ ความสามารถ การเมือง หรือ การวิ่งเต้น หรือ ย้ายเพราะเป็นคน..สนิท…ว่างั้น? มีข่าวว่ามีกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษานัดประชุมผู้บริหารสถานศึกษาบางกลุ่มของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร ไม่พอใจในการย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนของ นางรัตติกร ทองเนตร ผอ.สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร ว่า เป็นตัวการใหญ่ในการคัดคนเข้าโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษของ สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร หยอก หยอก ว่าใครสงสัยอะไรก็ให้มาดูคะแนนได้ที่ สพม.ได้เลย เพราะการคัดเลือกคนเธอไม่ได้ทำตามลำพังคนเดียว มีคณะกรรมการถึง 2 ชุด ที่มีองค์ประกอบตามหลักเกณฑ์ ที่ ก.ค.ศ. กำหนดทุกประการ กรรมการกลั่นกรองก็ตามองค์ประกอบ ผ่านมติที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา เรียบร้อย …อ้าวใครสงสัยอะไรก็ไปดูคะแนนที่ สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร ได้เลย…ไม่ต้องเล่นใต้ดินกันนะ เปิดคะแนนกันแบบ แฟร์ ๆ กันเลย … ส่วนที่มีข่าวว่าลูกจ้างธุรการโรงเรียน สพฐ. ทั่วประเทศนัดแต่งดำบุกกระทรวงศึกษาธิการ เรียกร้องให้ยกเลิกวิธีการจ้างเหมาบริการ ในวันที่ 8 ตุลาคม ล่าสุดแว่วมาว่าคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรู้เรื่องแล้วก็เลยเปลี่ยนใจจะไม่มาแล้ว เลื่อนไปแบบไม่มีกำหนด รู้มา บอกต่อ รอดู *** หยอก หยอก ก็เป็นแค่ผู้ส่งสาร..จะเป็นข่าวโคมลอยเท็จหรือจริงไม่รู้ว่า ว่าจะมีการสไลด์ผู้บริหารระดับ 11 อีกครั้ง ***ก็ว่ากันไป เอวัง

“เสมา1”พร้อมลงพื้นที่นำทัพ Fix it Center ฟื้นฟูเยียวยาช่วยเหลือโรงเรียนน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการช่วยเหลือสถานศึกษา นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ประสบเหตุอุทกภัย โดยทุกหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เร่งระดมความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยในครั้งนี้ โดย ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อุทกภัยหลายพื้นที่ในปีนี้ ศธ.ได้รับมอบหมายจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาทุกข์แก่ประชาชน​ ฟื้นฟูสถานศึกษา​ คืนความสุขให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง ครู​ และบุคลากรทางการศึกษา

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ศธ.ได้จัดหน่วยจิตอาสา Fix it Center จากสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 70 ทีม ซึ่งมีวิทยาลัยในสังกัดหลายแห่ง​ อาสาระดมกำลังจัดทำอาหารกล่องแจกให้แก่ผู้ประสบภัย ช่วยขนย้ายสิ่งของหลังน้ำลด ช่วยทำความสะอาดบ้านเรือน สถานศึกษา ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ที่จมน้ำของประชาชน  รวมทั้ง​ได้รับความร่วมมือจากอาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนำรถแทรกเตอร์ขุดดินและเครื่องมือขนาดเล็กเข้าไปช่วยเหลือบริการประชาชนผู้ประสบภัยที่จังหวัดเชียงรายและพื้นที่อื่นแล้วกว่าหมื่นราย ซึ่งในระยะนี้ยังมีฝนตกสะสมอยู่ขอให้สถานศึกษาและหน่วยงานในสังกัดพื้นที่สุ่มเสี่ยงเฝ้าระวังตลอดเวลา คอยรับฟังข้อมูลประกาศเตือนจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือและขอความกรุณาอย่าแชร์ข้อมูลที่ไม่แน่ใจเพื่อไม่ให้เกิดการสับสน หากจุดไหนรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยให้เตรียมขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และหากมีแนวโน้มว่าจะถูกน้ำท่วมให้ตรวจสอบระบบไฟเพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า เหตุการณ์ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่หากเรามีมาตรการตั้งรับที่ดีก็จะลดความเสียหายได้มากขึ้น

“ขอบคุณทุกหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ​ ศธ. ที่พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างเต็มที่ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ที่เดือดร้อน​และผู้ปฏิบัติงาน เราจะผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้ตามแนวทาง “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ขอให้มั่นใจว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และในสัปดาห์หน้าจะมีการปล่อยคาราวานทัพเสริม นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ร่วมลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายวันที่ 6 ตุลาคม 2567  นี้” โฆษก ศธ.กล่าวและว่า ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังเพื่อช่วยเหลือสถานศึกษาที่ประสบเหตุอุทกภัย สพฐ. ได้แจ้งข้อมูลการช่วยเหลือ รายละเอียดดังนี้  สถานศึกษาได้รับผลกระทบจำนวน 487 โรงเรียน 60 สำนักงานเขตพื้นที่ (สพม. 13 เขต และ สพป. 47 เขต) รวม 34 จังหวัด นักเรียนที่ประสบเหตุอุทกภัย จำนวน 16,979 ราย ได้รับการเยียวยา จำนวน 14,671  ราย (สพท. 13,073 ราย และ สพฐ. 1,598 ราย)ครูและบุคลากร จำนวน 1,601 ราย ได้รับการเยียวยา จำนวน 1,207 ราย (สพท. 1,147 ราย และ สพฐ. 60 ราย) รวมจำนวนผู้ประสบเหตุอุทกภัย จำนวน 18,580 ราย  ได้รับการเยียวยา จำนวน 15,878 ราย (สพท. 14,220 ราย และ สพฐ. 1,658 ราย)  และอยู่ระหว่างดำเนินการ  2,702 ราย

สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาแก่สถานศึกษาและผู้ที่ได้รับผลกระทบ ระยะสั้นได้มอบถุงยังชีพ จำนวน 1,030,000 บาท จากกองทุนรวมน้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบภัย สพฐ. ส่วนระยะยาว ได้ประมาณการงบประมาณไว้ 23,456,456 บาท แบ่งเป็นงบจัดสรรซ่อมสุขาโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ 738,600 บาท งบล้าง ซ่อมแซมอาคารและสถานที่ 14,720,000 บาท และงบหนังสือ อุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ 7,997,856 บาท นอกจากนี้ องค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) หน่วยงานในกำกับของ ศธ. ยังได้มอบสิ่งของ ชุดนักเรียน หนังสือเรียน อุปกรณ์เครื่องเขียน และอุปกรณ์ทำความสะอาด มูลค่า 200,000 บาท เพื่อนำไปมอบให้กับโรงเรียนที่ประสบอุทกภัย 55 แห่ง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 32 จังหวัด รวมถึงสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน ยังได้จัดกิจกรรมจิตอาสาโครงการยุวกาชาดบำเพ็ญประโยชน์เพื่อฟื้นฟูหลังภัยพิบัติด้วย ในส่วนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) พบสถานศึกษาได้รับความเสียหาย 71 แห่ง​ ประมาณการค่าดำเนินการฟื้นฟู​กว่า  28​ ล้านบาท​ แบ่งเป็น สกร.ประจำจังหวัด 5 แห่ง ระดับอำเภอ 24 แห่ง ระดับตำบลและชุมชน 28 แห่ง​ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” 8 แห่ง ห้องสมุดประชาชน 6 แห่ง และประชาชนอีก 3 คน โดยได้ส่งมอบถุงยังชีพให้แก่สถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ด้วยงบดำเนินงานช่วยเหลือ 450,000 บาท และยังได้รับการสนับสนุนน้ำดื่มและผลิตภัณฑ์จากบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด 700,000 บาท เพื่อฟื้นฟูสำนักงาน สกร.จังหวัดและระดับอำเภอในจังหวัดเชียงราย 8 อำเภอ จัดซื้อวัสดุและถุงยังชีพ 700 ถุง รวมถึงจัดสรรงบช่วยเหลือบุคลากร 64 คน และนักศึกษา 633 คน

“เสมา2”เคลียร์ปมเปิดรับบริจาค “ช่วยเหลือครู-นักเรียน เหตุรถบัสไฟไหม้”ขอให้ใช้บัญชี สพฐ.บัญชีเดียว เพื่อป้องกันความสับสน

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567  นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงความชัดเจนเกี่ยวกับการเปิดรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือครูและนักเรียนจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี มีการเปิดรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ว่า เบื้องต้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ตรวจสอบการเปิดบัญชีรับบริจาค ซึ่งต้องมีความชัดเจนว่าได้ยอดเท่าไหร่ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอย่างถูกวัตถุประสงค์และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนต่อไป

“ล่าสุดผมได้รับข้อมูลว่าทาง สพฐ.ได้มีการเปิดใช้บัญชีระดมทุนเพียงบัญชีเดียว คือ ชื่อบัญชี “รวมน้ำใจ ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุไฟไหม้รถบัสโดยสารขณะเดินทางไปทัศนศึกษา โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี” ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่  059-0-43728-3 ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิ​การ​ เพียงบัญชีเดียวเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าที่ผ่านมาอาจมีการเปิดบัญชีหลายบัญชี จนทำให้เกิดความสับสน ซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดเกิดจากความหวังดีจึงมีการเปิดบัญชีรับบริจาคหลายช่องทาง แต่เชื่อว่าทุกคนอยากจะทำให้กับผู้เสียชีวิตและครอบครัว คงไม่มีใครอยากหาผลประโยชน์ ดังนั้นจากนี้ไปขอให้บริจาคได้ที่บัญชีซึ่งเปิดโดยสพฐ.เพียงบัญชีเดียวเท่านั้น และต้องขอขอบคุณทุกน้ำใจที่ร่วมด้วยช่วยกันบริจาคในครั้งนี้” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

ศธ.จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา“เสมา1”รอรับพวงมาลาและน้ำหลวงอาบศพวันนี้

ที่กระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 3 ต.ค.2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ)พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาได้ทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จังหวัดอุทัยธานี เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองนักเรียนที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทั้ง 3 คนให้แคล้วคลาดปลอดภัยสามารถไปเรียนได้ตามปกติ และขอให้ทุกพื้นที่ร่วมพิธีทำบุญพร้อมกันในครั้งนี้กันทั่วประเทศ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเยียวยาครอบครัวผู้ประสบเหตุ และการประกอบพิธีทางศาสนา ได้มอบหมายให้สำงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เป็นหน่วยกลางในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมทุกมิติ โดยเบื้องต้น สพฐ. ได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว รวม 500,000 บาท และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต2  ได้มอบเงินสมทบอีก จำนวน 120,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในโอกาสนี้ขอขอบคุณโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนด้านที่พัก อาหาร และรถรับส่ง อาทิ โรงเรียนเบญจมราชาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภ์ โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสายปัญญาฯ โรงเรียนพญาไท โรงเรียนพระยาประเสริฐสุนทราศรัย(กระจ่าง สิงหเสนี) สำนักงาน สกสค. และคุรุสภา ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ตน พร้อมด้วยผู้บริหารจะไปร่วมพิธีรดน้ำศพและสวดอภิธรรมผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นน้ำหลวงพระราชทาน และไปรับพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ และในวันที่ 8 ต.ค.2567 ซึ่งเป็นวันพระราชทานเพลิงตนและผู้บริหารก็จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน

เครื่องกลั่นน้ำดื่มแบบ“ลูกเสือชลาทิพย์”สำหรับพื้นที่ประสบภัย

เมื่อเกิดสาธารณภัยทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ หรือ โรคระบาด  สิ่งที่ผู้ประสบภัยต้องการมากที่สุด ไม่ใช่ข้าวสาร อาหารแห้ง หรือ เสื้อผ้า แต่เป็นน้ำดื่มที่สะอาดปราศจากเชื้อโรค เพราะบางทีน้ำประปาหยุดไหลหรือสกปรกดื่มไม่ได้ น้ำบ่อและน้ำที่ท่วมเต็มไปด้วยโคลน น้ำในห้วย หนอง คลอง บึ งสกปรกเน่าเหม็น ฯลฯ

มนุษย์เราสามารถอดอาหารได้ถึง 30 วัน แต่จะอดน้ำได้เพียง 7 วันเท่านั้น เพราะถ้าร่างกายอดน้ำนานจะมีผลเสียต่อสุขภาพและมีโรคไตตามมา ดังนั้นในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจึงมักจะต้องนำน้ำดื่มใส่ขวด ขนส่งทางเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ยานยนต์ ม้า ลา หรือใช้คนแบกหาม ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายและเวลาเป็นอันมาก บรรดาทหาร และ นักนิยมไพร จึงชอบใช้เม็ดคลอรีนใส่ในน้ำ ในห้วย หนอง คลอง บึง เพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำแล้วนำน้ำมาดื่ม แต่ปัญหาก็คือเม็ดคลอรีนซื้อยาก ขณะที่เครื่องกรองน้ำแบบใช้ใส้กรอง ก็มีข้ดจำกัดต้องเปลี่ยนใส้กรองบ่อยๆ เพราะดินโคลน หรือ ตะกรันจะไปอุดใส้กรอง จึงมีการสร้างเครื่องกลั่นน้ำจากอากาศโดยใช้ระบบเครื่องปรับอากาศ แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องราคาที่ค่อนข้างสูง และต้องใช้ไฟฟ้า ซึ่งในกรณีเกิดสาธารณภัย ที่ไฟฟ้าอาจดับเพราะเสาไฟฟ้าล้ม สายไฟขาด ไฟรั่ว เครื่องปั่นไฟขัดข้อง หรือแบตเตอรี่โซล่าร์หมดไฟ เครื่องกลั่นน้ำก็ใช้งานไม่ได้

จากปัญหาอุปสรรคข้างต้น จึงเป็นที่มาที่ มูลนิธิส่งเสริมการลูกเสือแห่งประเทศไทย คิดค้นสร้างเครื่องผลิตน้ำดื่ม “ลูกเสือชลาทิพย์” เป็นนวัตกรรมที่อาศัยหลักการจากเครื่องกลั่นสุราชุมชนแบบโบราณ หรือเหล้าเถื่อน ที่สืบทอดวัฒนธรรมภูมิปัญญาต่อกันมาหลายร้อยปี โดยน้ำดื่ม “ลูกเสือชลาทิพย์” เป็นน้ำดื่มที่ใช้น้ำสกปรกที่ท่วม หรือน้ำประปาที่มีเชื้อโรค มากลั่นเป็นน้ำสะอาดปลอดภ้ย โดยไม่ใช้ไฟฟ้า แต่ใช้ต้นไม้ที่ลอยตามน้ำ หรือไม้จากบ้านพังๆมาเป็นเชื้อเพลิง ใช้หม้อนึ่งข้าวเหนียว ที่ทำจากดินเผาหรืออลูมิเนียมราคาร้อยกว่าบาท และกระทะใบเดียวเท่านั้น สามารถผลิตน้ำดื่มได้ราวชั่วโมงละลิตร ถ้าต้องการ100 ลิตรต่อชั่วโมงก็ใช้ 100 เครื่อง

ทั้งนี้ ลูกเสือโรงเรียนวัดดอนหวาย นครปฐม ได้ทดลองใช้เครื่องกลั่นน้ำดื่ม “ชลาทิพย์”  ที่พัฒนามาจากหม้อต้มเหล้าเถื่อนโบราณพันปีผลิตน้ำดื่มส่งไปช่วยผู้ประสบภัยเชียงราย

 

ศธ.ของบฯกลางกว่า 260 ล้านบาทช่วยฟื้นฟูหน่วยงานสถานศึกษา เยียวยาครูบุคลากรและนักเรียน ประสบภัยน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 34/2567  ว่า จากรายงานสถานการณ์น้ำท่วมของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม – 1 ตุลาคม 2567 มี 37 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก พะเยา น่าน ลําพูน ลําปาง แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ เลย อุดรธานี หนองคาย นครพนม

ขอนแก่น ชัยภูมิ มหาสารคาม บึงกาฬ หนองบัวลําภู อุบลราชธานี ปราจีนบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ระยอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ยะลา นครศรีธรรมราช พังงา ตรัง และสตูล มีประชาชนได้รับผลกระทบ 181,870 ครัวเรือน เสียชีวิต 49 ราย และบาดเจ็บ 28 ราย ขณะที่ข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 26 กันยายน 2567 มีนักเรียน นักศึกษาที่ประสบภัย 21,739 คน มีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ประสบภัย 1,488 คน โดยจำนวนนี้มีสถานศึกษาและหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบ รวม 256 แห่ง แบ่งเป็น สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(สป.ศธ.) 2 แห่ง  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) 25 แห่ง  กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) 43 แห่ง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) 143 แห่ง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) 43 แห่ง

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้รวบรวมงบประมาณ เพื่อของบกลางในการช่วยเหลือเยียวยาหน่วยงานและสถานศึกษา ศธ.ที่ประสบภัย จำนวน 260 กว่าล้านบาท พร้อมดำเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยา ใน 2 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1 การช่วยเหลือเยียวยานักเรียน นักศึกษา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง เป็น “ค่าหนังสือ ค่าเครื่องแบบนักเรียน และค่าอุปกรณ์การเรียน” ในอัตราเงินอุดหนุนรายหัว ของโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน แก่นักเรียน นักศึกษา ในสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง สพฐ. สช. (ยกเว้นโรงเรียนนานาชาติ และ โรงเรียนที่ไม่รับเงินอุดหนุน) สอศ.รัฐและเอกชน สกร. ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย มาตรการที่ 2 การช่วยเหลือเยียวยานักเรียน นักศึกษา เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูอาคาร สถานที่ และวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอน เป็น “ค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด ซ่อมแซม ฟื้นฟูอาคารเรียน สิ่งปลูกสร้าง ห้องน้ำ ห้องสุขา และสภาพแวดล้อม ถนน หรือพื้นที่ในบริเวณสถานศึกษาที่ใช้สำหรับการจัดการเรียนการสอน” แก่หน่วยงาน สถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง สป. สพฐ. สอศ. สช. และ สกร. ที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัย ให้กลับสู่สภาพปกติ สามารถปฏิบัติงาน และจัดการเรียนการสอนได้”

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวด้วยว่า สำหรับความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา กาประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ของ สพฐ. และ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ได้รับรายงานว่า มีการอบรมออนไลน์ “การสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาตร์ และคณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น” ระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคม 2567 จำนวน 3 วิชา วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาไทย ในรูปแบบผสมผสาน ทั้งออนไลน์และออนไซต์ หลักสูตร 5 วัน จำนวน 8 รุ่น ๆ รุ่นละ 40 คนต่อวิชา รวม 960 คน  , มีการติดตามการประชุมการถอดบทเรียนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วยชุดพัฒนาความฉลาดรู้ และ Computer Based Test ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในสถานศึกษาทุกแห่ง , มีการรายงานการขับเคลื่อนและนำนำชุดพัฒนาความฉลาดรู้ไปใช้ในห้องเรียน ภาคเรียนที่ 1/2567 รวมถึงมีการต่อยอดคุณภาพ โรงเรียนพี่-โรงเรียนน้อง Learn to earn การศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต

“อย่างไรก็ตามนอกจากมีการจัดทำคู่มือและบันทึกเทปในการสร้างข้อสอบตามแนวมาตรฐานสากลแล้ว ยังจัดให้มีระบบประเมินภายหลังการอบรมว่า มีการนำความรู้และทักษะไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพิ่มขึ้นหรือไม่ อย่างไร พร้อมจัดระบบห้องเรียนออนไลน์เพื่อขยายผลในระดับพื้นที่ของ สพฐ. สอศ. สช. ด้วย” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

 

“เพิ่มพูน” สุดกลั้น สะอื้นไว้อาลัยต่อการสูญเสีย สั่งงดกิจกรรมทัศนศึกษาไม่มีกำหนด หากจำเป็นต้องไปให้ผู้ปกครองไปด้วย สั่งสพฐ.เร่งดูแล-เยียวยาเด็กและครู ให้สมเกียรติ

เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงเหตุโศกนาฏกรรมรถบัสนักเรียนทัศนศึกษาไฟไหม้ ซึ่งเป็นนักเรียนจาก โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม หมู่ 5 ต.ลานสัก อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี เขต 2 ซึ่งมีผู้โดยสารเป็นนักเรียน 39 คน  ครู 6 คน  รวม 45 คน ระหว่างเดินทางเข้ามาทัศนศึกษาใน จ.นนทบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 23 ราย นักเรียนได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย และได้รับบาดเจ็บจากการช่วยเหลือเพื่อนอีก 1 ราย ว่า กระทรวงศึกษาธิการขอแสดงความเสียใจในเหตุโศกนาฎกรรมในครั้งนี้ ขอยืนยันว่า กระทรวงศึกษาธิการ จะดูแลครอบครัว ผู้ประสบเหตุ อย่างเต็มที่ ในส่วนของการเยียวยา ครู ที่เสียชีวิตทางคุรุสภาจะมีการเชิดชูเกียรติมอบรางวัลครูถิรคุณ ทั้งผู้เสียชีวิตและผู้ที่ช่วยเหลือเด็ก รวม 6 คน ส่วนครูฝึกสอนจะมีการมอบเกียรติบัตรให้ด้วย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต้องได้รับการเชิดชู ส่วนการดูแลเรื่องของสุขภาพจิต ก็ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พ.ม.)เข้าไปดูแล พร้อมกันนี้จะมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ดูเรื่องสิทธิประโยชน์ของผู้เสียชีวิต โดยจะพิจารณาในเรื่องของเงินเดือนจะปรับขึ้นให้ตามกฎหมาย และให้เป็นเจ้าภาพหลักในการรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้เสียชีวิต เป็นค่าปลงศพ เป็นทุนการศึกษา และช่วยเหลือบุพการีของผู้เสียชีวิต

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กล่าวต่อไปว่า สำหรับประเด็นเรื่องการทัศนศึกษาของเด็ก ที่หลายฝ่ายถกกันอยู่ขณะนี้ ตนได้มีคำสั่งให้งดการจัดทัศนศึกษาทันทีไม่มีกำหนด ไม่จำเป็นไม่ต้องไป เด็กต่ำกว่า ป. 4 ให้ยกเลิกการเดินทางทัศนศึกษาต่างจังหวัดแต่หากโรงเรียนไหนที่มีความจำเป็นจะต้องไปทัศนศึกษาต้องดูเป็นกรณีไป แต่ต้องดูมาตรการดูแลความปลอดภัยครู เด็กนักเรียนให้ครอบคลุมในทุกมิติ ให้มีการวางแผน และต้องให้ผู้ปกครองไปด้วย อย่าไปไกลโรงเรียน อย่าให้เด็กต้องเดินทางเหนื่อยมาก อย่างไรก็ตาม การทัศนศึกษาก็มีความจำเป็นต่อการเรียนรู้ ถ้าหากยกเลิกทัศนศึกษาเลยก็จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็กอายุการใช้งานของรถก็ไม่ควรเกิน 5 ปี ส่วนจะเป็นรถติดแก๊ส LPG หรือก๊าซ CNG ไม่ได้ห้าม ให้ดูที่สภาพรถเป็นหลัก รวมถึงต้องมีการซ้อมแผนเผชิญเหตุทั้งครูและนักเรียน ประสานกรมการขนส่งให้เข้าตรวจสภาพรถ ยางรถ อุปกรณ์ต่างๆ ก่อนเดินทาง เพื่อป้องกันเหตุที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเราไม่อาจคาดคิดได้ ส่วนกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือยังมีความจำเป็น ยังคงให้มีอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการให้สัมภาษณ์ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ได้แสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อการสูญเสีย ซึ่งระหว่างการแถลงข่าวมีการสะอื้นเป็นระยะตลอดการแถลงข่าว โดยรมว.ศึกษาธิการได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ช่วยกัน เราจะไม่โทษใครผิดใครถูก อย่าซ้ำเติมกัน ขอให้ทุกคนช่วยให้กำลังใจกัน ฟื้นฟูให้เด็กและครูเข็มแข็ง ส่วนเรื่องคดีให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากนั้นเวลา 11.00 น.นายแทนคุณ จิตอิสระ และนางชลิดา พะละมาต์ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง เข้ายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้พิจารณายกเลิก การจัดทัศนศึกษาของเด็กนักเรียน และกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อถอดบทเรียนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษาฯและโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ รับหนังสือ โดยนายแทนคุณ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นโศกนาฏกรรมอีกครั้งที่เจ็บปวดของประเทศไทย ในฐานะที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชน จึงอยากให้ภาครัฐหามาตรการเร่งรัดและล้อมกรอบด้านความปลอดภัยให้มากขึ้น โดยเฉพาะชีวิตและทรัพย์สินเด็กและเยาวชน การมายื่นหนังสือครั้งนี้ ต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการทบทวนความจำเป็นในการจัดทัศนศึกษาให้กับเด็กเล็ก อนุบาล 1 ถึง ป.2 ที่ต้องรอบคอบระมัดระวังที่สุด เนื่องจากยังไม่มีมาตรการฝึกฝนทักษะการเอาตัวรอดอย่างจริงจัง รวมถึงการใช้รถใช้ถนนที่จะต้องระมัดระวัง และมีการวางโครงสร้างอย่างเป็นระบบ ควรให้มีการจัดระเบียบรถโดยสารเด็ก เช่นการติดไฟรอบตัวรถ เพื่อให้สังเกตุได้ว่ามีเด็กนักเรียนอยู่เหมือนรถรับส่งนักเรียน และมีสีรถที่เป็นสัญลักษณ์ที่แตกออกไป และให้พิจารณาแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นก่อน ซึ่งจะช่วยลดเหตุและมีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังขอให้ ศธ.ตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างจริงจัง ไม่อยากให้มีการจัดกิจกรรมเพื่อแลกกับเงินทอน หรือเพื่อใช้งบประมาณให้หมด รวมถึงการตรวจสอบสภาพรถ ทำไมถึงยังใช้รถเก่าวิ่งให้บริการได้

นางชลิดา กล่าวว่า มีผู้ปกครองร้องเรียนมาทางมูลนิธิเป็นจำนวนมาก เรื่องการเข้าค่ายลูกเสือ จึงอยากเรียกร้องว่าสามารถย้ายจัดกิจกรรมภายในโรงเรียนได้ไหม เพื่อให้ผู้ปกครองมาดูได้

ด้าน นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ขอบคุณที่ทางมูลนิธิฯ มีความห่วงใยและตระหนักถึงความสำคัญ เราในฐานะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และพ่อแม่ของเด็ก เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้สั่งงดกิจกรรมทัศนศึกษาอย่างไม่มีกำหนด และเด็กต่ำกว่า ป.4 ห้ามเดินทางออกต่างจังหวัด แต่กรณีถ้าจำเป็นในการเดินทาง ต้องมีผู้ปกครองไปดูแลด้วยตลอดระยะเวลาเดินทาง รวมถึงต้องมีมาตรการตรวจสอบคุณภาพรถก่อนออกเดินทาง นอกจากนี้ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดมาตรการและมาตรฐาน ทั้งเรื่องรถนำขบวน ผู้ดูแล ผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ซึ่งต้องยอมรับที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการอาจมีบางประเด็นที่หละหลวม และยังไม่ได้รับการยอมรับจากสหวิชาชีพ ซึ่ง กระทรวงฯจะร่วมมือกับทุกหน่วยงาน เพื่อวางมาตรการให้เกิดความปลอดภัยกับนักเรียนมากที่สุด

“ธนุ”รับโอน”นิยม ไผ่โสภา”นั่ง ผอ.นโยบายและแผน สพฐ. ประเภทอำนวยการระดับสูง

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ 2401/2567 เรื่องการรับโอนข้าราชการ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 47 มาตรา 63 และมาตรา 132 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่สองพ.ศ. 2558 กฏ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน พ.ศ. 2551 กฏ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนนอกเหนือจากเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างประจำประกอบกับมติ ก.พ.กระทรวงศึกษาธิการประกาศ ณวันที่ 19 สิงหาคม 2567 เรื่องประสบการณ์ในงานที่หลากหลายของกระทรวงศึกษาธิการตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่งประเภทอำนวยการจึงรับโอนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทอำนวยการระดับสูง 1 ราย คือ นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็น ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน การศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

ครม.ตั้ง 6 ซี 10 ศธ. ยังไม่ตั้งเลขาธิการ ก.ค.ศ. เสมา 1 ลั่น ไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก ให้“ประวิต”ถ่างขาสานต่องานย้ายครูระบบใหญ่TRSจนกว่าจะนิ่ง

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.ได้เห็นชอบรายชื่อแต่งตั้งผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 6 ราย ได้แก่ นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็น รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) นายสง่า แต่เชื้อสาย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็น รองเลขาธิการ กอศ. นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นางสาววันเพ็ญ บุรีสูงเนิน ศึกษาธิการภาค 8 เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุภชัย จันปุ่ม ศึกษาธิการภาค 13 มาเป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และ ว่าที่ร้อยเอก วิสาร ปัญญชุณห์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

“ ทุกคนมีความเหมาะสมและมีความรู้ความสามารถกับตำแหน่ง โดยเชื่อว่าทุกคนจะขับเคลื่อนงานการศึกษาตามนโยบายเรียนดี มีความสุขได้อย่างแน่นอน ส่วนตำแหน่งเลขาธิการ ก.ค.ศ. นั้น รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ยังรักษาการไปพลางก่อน เนื่องจากยังมีงานย้ายข้าราชการครูระบบ TRS : Teacher Rotation System คาอยู่ ก็อยากให้ TRS ขึ้นระบบให้ได้ก่อน ซึ่งก็คงต้องให้รศ.ดร.ประวิตดูไปเรื่อย ๆ จนระบบนิ่งและขับเคลื่อนไปได้ เพราะเรื่องงานบบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ จะเปลี่ยนม้ากลางศึกไม่ได้  ซึ่งผมก็ได้สอบถาม รศ.ดร.ประวิต แล้ว เชื่อว่าทำได้ไม่เกินความสามารถ”รมว.ศึกษาธิการกล่าว

ศธ.-สพฐ.วอนลูกจ้างอย่าเพิ่งแต่งดำบุกกระทรวงกำลังเร่งหารือสำนักงบ-กรมบัญชีกลาง หาทางออก

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า วันนี้ได้นำเรื่องสำคัญมาหารือกันในที่ประชุมและให้แจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ กรณี การออกแถลงการณ์ของสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการแห่งประเทศไทย เรื่อง “ขอยกเลิกจ้างเหมาบริการผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568” โดยระบุว่า สำนักงบประมาณได้แจ้งกรอบการจัดสรรงบประมาณโดยไม่ได้จัดสรรเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และให้ปรับวิธีการจ้างเป็นวิธีการจ้างเหมาบริการ ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 พร้อมทั้งแจ้งบัญชีจัดสรรธุรการโรงเรียน อัตราละ 15,000 บาท และอัตราละ 9,000 บาท พร้อมทั้งได้นัดหมายที่จะมาที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อมาขับเคลื่อนให้ยกเลิกวิธีการจ้างเหมาบริการ ในวันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2567 นี้ นั้น

ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวว่า การออกระเบียบของกรมบัญชีกลางส่งผลกระทบกับการจ้างงานตำแหน่งลูกจ้าง ทุกตำแหน่งของสพฐ.ซึ่งมี มากกว่า 60,000 รายทั่วประเทศ ซึ่ง พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และสพฐ.รับทราบปัญหาแล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งเมื่อวานนี้ตนได้ทำหนังสือหารือไปยัง กรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นผู้ออกระเบียบในการจ้างผู้ปฏิบัติงานและจัดสรรเงินงบประมาณ โดยขอหารือใน 4 ประเด็น คือ 1. การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการดังกล่าวถือเป็นการจ้างลูกจ้างชั่วคราวหรือการจ้างเหมาบริการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และการจ้างเอกชนดำเนินงาน ซึ่งส่วนราชการต้องดำเนินการเป็นไปตามนัยของหนังสือที่อ้างถึง 2. การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการดังกล่าว สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ในฐานะผู้ว่าจ้างสามารถจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคมได้หรือไม่ 3. หาก สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในฐานะผู้ว่าจ้าง ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคม ตามข้อ 2 สพฐ. สามารถขอเงินเพิ่มเพื่อจ่ายเงินในส่วนของผู้ว่าจ้างได้หรือไม่ และ 4.สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในฐานะผู้ว่าจ้าง ต้องจ่ายอัตราค่าแรงขั้นต่ำและอัตราเงินเดือนให้กับผู้ปฏิบัติงานให้ราชการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ได้เห็นชอบรายงานผลการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 (เรื่อง การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2567 ได้หรือไม่ โดยขอให้กรมบัญชีกลางตอบข้อหารือดังกล่าวภายในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เพื่อที่ สพฐ. จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบรอคำตอบจากสองหน่วยงานนี้ก่อน โดยในวันพรุ่งนี้(2 ต.ค.)ตนจะเชิญตัวแทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการแห่งประเทศไทยมาหารือกันเพื่อหาความเหมาะสมต่อไป ดังนั้นตนอยากขอร้องว่าอย่าเพิ่งเดินทางมาขับเคลื่อนในวันที่ 8 ต.ค.นี้ เลย

“ผมเห็นด้วยในเรื่องการปรับค่าจ้างคนที่จบปริญญาตรีให้เท่ากับข้าราชการที่เริ่มสตาร์ทที่ 16,500 บาท เพราะตอนนี้เราจ้างระดับปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งผมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้เห็นชอบในโอกาสต่อไป ส่วนที่มีความกังวลว่าหากเป็นลูกจ้างเหมาจะเสียสิทธิ์สอบครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ(ว.16 ว.17)นั้น จะไม่กระทบสิทธิ์ตรงนั้นแน่นอน เพราะสพฐ.ได้แก้หลักเกณฑ์ระเบียบให้แล้ว ถ้าเป็นลูกจ้างทำงานครบ 3ปีก็มีสิทธิ์เข้าสอบ ว.16 ว.17 เหมือนเดิมไม่กระทบสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ สพฐ. โดยตรง เนื่องจากเป็นระเบียบที่กรมบัญชีกลางกำหนด และสำนักงบประมาณเป็นผู้จัดสรรเงิน”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว