“ศ.ดร.นฤมล”ฉุน “สั่ง”ปลัด.ศธ.จัดการขบวนการ “ขายเก้าอี้ครู”ตรวจพบต้องดำเนินการทั้งวินัยและอาญา

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ตนได้รับข้อสั่งการจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำเนินการตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริงโดยด่วน กรณีชมรม STRONG ต้านทุจริต ได้ออกมาเปิดโปงกลโกงทำลายระบบการศึกษาและความเป็นธรรมในระบบราชการครู โดยทางชมรมฯพบว่ามีกระบวนการ”ย้ายนักเรียนวนไป” เพื่อสร้างอัตรากำลังครูเกินจริงในกลุ่มโรงเรียนที่ต้องการหาผลประโยชน์ ซึ่งมีเป้าหมายสุดท้ายคือการ “ขายเก้าอี้ครู” โดยมีกลยุทธ์ 3 ขั้นตอน ใช้ช่องโหว่ของระบบคำนวณอัตรากำลังจากจำนวนนักเรียน ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คือ 1. ขั้นปั่นยอด: สร้างอัตราเกินจริง ซึ่งจะมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาในจังหวัดมหาสารคามเป็นตัวอย่าง เช่น ดำเนินการ ย้ายนักเรียน 4 คน (หรือมากกว่า) เข้า-ออกชั่วคราว เพื่อปั่นยอดจำนวนนักเรียนรวมให้ถึงเกณฑ์ เช่น 121 คน ผลที่ได้ตัวเลขที่สูงขึ้นอย่างไม่เป็นจริง ทำให้โรงเรียนมีสิทธิ์ได้รับ อัตรากำลังครูเพิ่ม หรืออัตราครุภัณฑ์เพิ่ม จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 2.ขั้นย้ายเข้า ครูสบาย โรงเรียนอื่นเดือดร้อน เพราะเมื่อมีอัตราครูเพิ่มจากการปั่นยอดแล้ว ครูในกลุ่มผลประโยชน์ก็จะถูกย้ายเข้าโรงเรียนดังกล่าว สร้างภาระให้กับครูโรงเรียนอื่นที่ขาดครูจริงอย่างไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม(สพป.มค.) และ 3. ขั้นขายตำแหน่ง: ล็อคสเปก แลกเงินจากอัตราครูที่ได้มาเกินจริง จะถูกนำไปใช้เพื่อหาผลประโยชน์ โดยโรงเรียนจะกำหนดความต้องการวิชาเอกให้ตรงกับกลุ่มบุคคล ที่ต้องการย้ายเข้ามา หรือต้องการบรรจุ ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้ถูกนำไปใช้ รับย้ายครู หรือ บรรจุครู ที่ ยินดีจ่ายเงินซื้อตำแหน่ง เพื่อแลกกับการได้ย้ายเข้าโรงเรียนในพื้นที่ทำเลดี

“ตอนนี้ผมได้ตั้งคณะกรรมการลงไปสืบหาข้อเท็จจริงในพื้นที่ ที่ได้รับการร้องเรียนแล้ว โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการขั้นเด็ดขาดว่าจะต้องไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง ทั้งแต่งตั้งและโยกย้าย หากพบว่าพื้นที่ไหนมีพฤติกรรมดังกล่าวจะดำเนินการทั้งวินัยและอาญา”ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว

“อ.แหม่ม” ลุยตรวจนำ้ท่วมโรงเรียนที่ชัยภูมิ สั่งเร่งซ่อม–สร้างที่พักครูให้ปลอดภัย

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมลงพื้นที่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในพื้นที่ชัยภูมิ ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและสร้างความเสียหายให้กับสถานศึกษา ได้แก่ โรงเรียนคอนสวรรค์ อ.คอนสวรรค์ และโรงเรียนบ้านลาดใต้ อ.หนองบัวแดง โดยมีผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนนักศึกษา ให้การต้อนรับ

ศ.ดร.นฤมล กล่าวในการตรวจเยี่ยมสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับอาคารเรียน และอุปกรณ์การเรียนการสอน พร้อมพูดคุยและให้กำลังใจครู อาจารย์ นักเรียน และผู้ปกครอง รวมทั้งได้เยี่ยมชมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center)ว่า กระทรวงศึกษาธิการ จะพัฒนา ปรับปรุง หรือซ่อมแซมอาคารสถานที่ให้มีความปลอดภัย พร้อมใช้งาน ทั้งโรงเรียน และที่พักอาศัยครู โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำรวจความต้องการในพื้นที่ ทั้งข้อมูลบ้านพัก/ที่พักครู ทั้งในโรงเรียนและสถานศึกษาทั่วประเทศให้เสร็จสิ้นในปีงบประมาณ 2569

นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งมีอยู่กว่า 1.4 ล้านล้านบาท ขณะนี้ถูกรวมไว้ในงบประมาณกลุ่มหนี้สินภาคประชาชน ซึ่งถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่เราจะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จเป็นรูปธรรมให้ได้

MOU 4 กระทรวง ศธ. -กษ.-กก. -พม. หนุนใช้ยางพาราในภาครัฐ สร้างรายได้เพิ่มความมั่นคงให้เกษตรกรไทย

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568เวลา 13.30 .ที่ อาคาร 99 ปี ..ชูชาติ กำภูกรมชลประทาน สามเสน .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยและนายองอาจ วงษ์ประยูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ยางพาราในภาครัฐกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่นำโดย ..ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์,นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

โดย .ดร.นฤมล กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราให้มีตลาดรองรับอย่างมั่นคงโดยเฉพาะการใช้ยางพาราในโครงการภาครัฐต่าง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การเรียน เฟอร์นิเจอร์ และโครงสร้างพื้นฐานของสถานศึกษาซึ่งนอกจากจะช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกรแล้ว ยังสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืนของรัฐบาล

“อ.แหม่ม” สั่ง ปรับเกณฑ์สอบครูใหม่ พร้อมตั้งมาตรฐานครูการศึกษาพิเศษ กำชับ สพฐ.จำกัดความเด็กเก่ง ไม่ควรมุ่งไปที่สายวิทย์-คณิต เพียงอย่างเดียว

เมื่อวันที่ 1 ต.ค.68 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ครั้งที่ 10/2568 โดยมีนายองอาจ วงษ์ประยูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการ และผู้ช่วยศาสตราจารย์อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เข้าร่วม ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบผลการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ประจำปี 2568 ซึ่งมีผู้ผ่านการทดสอบจำนวน 14,925 คน คิดเป็นร้อยละ 54 ของผู้สำเร็จการศึกษาครูทั้งหมด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบางส่วนเห็นว่าผู้ที่สำเร็จการศึกษาด้านการศึกษาได้รับการประเมินตามระบบของแต่ละสาขาอยู่แล้ว ขณะที่บางสาขาที่เน้นทักษะเฉพาะ เช่น วิศวกรรม หรืองานช่าง ไม่สามารถวัดผลด้วยข้อสอบวิชาการ จึงอาจทำให้จำนวนผู้ผ่านการทดสอบไม่สูงเท่าที่ควร ดังนั้นที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ปรับหลักเกณฑ์การทดสอบใหม่ โดยเน้นการวัดความรู้ด้านวิชาชีพครูเป็นหลัก ลดหรือยกเลิกการทดสอบกลุ่มสาขาวิชา พร้อมทั้งชะลอการทดสอบรายกลุ่มสาขาวิชาในรอบถัดไป ซึ่งเดิมจะจัดเดือนมกราคม 2569 ออกไปก่อน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ พ.ศ. … ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ เพื่อผลิตครูที่มีความรู้ความสามารถ สมรรถนะสูง และมีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษโดยเฉพาะ โดยในส่วนของการรับรองคุณวุฒิทางการศึกษา ที่ประชุมอนุมัติให้กับ 46 แห่ง จำนวน 131 หลักสูตร ครอบคลุม ปริญญาตรีทางการศึกษา 122 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู 6 หลักสูตร ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพบริหารการศึกษา) 2 หลักสูตร และปริญญาเอกทางการศึกษา 1 หลักสูตร นอกจากนี้ ยังอนุมัติการปรับแผนการรับนักศึกษาปริญญาตรีทางการศึกษาของ 3 แห่ง รวม 6 หลักสูตร

ศ.ดร.นฤมล ให้สัมภาษณ์ ภายหลังการประชุม ว่า ตนได้มอบนโยบายให้ สพฐ. ปรับระบบการวัดและประเมินผลผู้เรียน โดยเน้นประเมินตามศักยภาพรายบุคคล ไม่ยึดเกณฑ์เดียวกันทั้งหมด เพื่อสนับสนุนการพัฒนาความสามารถด้านต่าง ๆ ของนักเรียน ทั้งด้านวิชาการ ศิลปะ กีฬา ภาษา และดนตรี โดยฝากให้ สพฐ. พิจารณาเกณฑ์การประเมินนักเรียนรายบุคคล เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการเรียนของตัวเองกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มเด็กระดับชั้นเดียว และเทียบกับผลการเรียนของตนเองในอดีตว่ามีพัฒนาการดีขึ้นหรือไม่ ไม่ใช่ประกาศผลแบบจัดลำดับเหมือนที่ผ่านมา และควรเลิกระบบดังกล่าวได้แล้ว นอกจากนั้น การให้คำจำกัดความเด็กเก่ง ไม่ควรมุ่งไปที่สายคณิต-วิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ควรสนับสนุนความสามารถเฉพาะด้านของเด็กแต่ละคน เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่และไม่เสียโอกาสในการต่อยอดความสามารถเฉพาะด้านอื่นๆด้วย

14 หลักสูตรวิศวกรรม 8 มหาวิทยาลัยไทย คว้ามาตรฐานระดับโลก “ABET” ปลัด อว. ชี้ปี 2569 ทะลุ 28 หลักสูตร ตอกย้ำคุณภาพบัณฑิตไทยสู่สากล

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า องค์กรรับรองมาตรฐานการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) หรือ Accreditation Board for Engineering and Technology (ABET) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศรายชื่อสถาบันอุดมศึกษาไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน 14 หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์จาก 8 มหาวิทยาลัยไทย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สาขาวิศวกรรมเคมี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สาขาวิศวกรรมโยธา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล, มหาวิทยาลัยมหิดล 7 หลักสูตร ประกอบด้วย สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์ วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมอุตสาหการ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สาขาวิศวกรรมเคมี, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิศวกรรมนาโน, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2 หลักสูตร ประกอบด้วย วิศวกรรมชีวการแพทย์ และวิศวกรรมอุตสาหการและการจัดการโลจิสติกส์

ปลัดอว. กล่าวต่อว่า ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจาก โครงการส่งเสริมสถาบันอุดมศึกษาไทยให้ได้รับการรับรอง ABET ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวง อว. และสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา (ATPAC) นำโดย ศ.ดร.เมธี เวชารัตนา นายกสมาคม ATPAC รศ.ดร.วีระ จันทร์คง และ ศ.ดร.รัตติกร ฮิวเวท และได้รับงบประมาณสนับสนุนจากคณะอนุกรรมการด้านการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพการศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ของสถาบันอุดมศึกษาไทยให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก สามารถผลิตบัณฑิตที่มีสมรรถนะเทียบเคียงได้ในระดับนานาชาติตามข้อตกลงปฏิญญาสากล Washington Accord รวมถึงเป็นกลไกส่งเสริมความเป็นสากล และสู่การเป็นศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาคของการจัดการศึกษาในสาขาวิศวกรรมศาสตร์

“ปัจจุบันยังมีอีก 14 หลักสูตร จาก 6 มหาวิทยาลัย ที่กำลังเตรียมความพร้อมเข้ารับการประเมินจาก ABET ในช่วงปลายปี 2568 นี้ ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (หลักสูตรนานาชาติ) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงคาดว่าในปี 2569 ไทยจะมีหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ที่ผ่านการรับรอง ABET รวม 28 หลักสูตร ถือเป็นก้าวสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพบัณฑิตวิศวกรไทย เพิ่มโอกาสทำงานและศึกษาต่อในต่างประเทศ และตอกย้ำศักยภาพของระบบอุดมศึกษาไทยในการผลิตกำลังคนคุณภาพสูงเพื่อการพัฒนาประเทศ” ศ.ดร.ศุภชัย กล่าว

“เกศทิพย์” ประกาศเจตนารมณ์พลิกโฉม สกร.เร่งขับเคลื่อนให้ติดตลาดแทนที่ กศน.เดิม

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) เป็นประธานการประชุมรับมอบแนวทางการดําเนินงานกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยมี นางยุพิน บัวคอม รองอธิบดี สกร. นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดี สกร. นายชัยพัฒน์ พันธุ์วัฒนสกุล รองอธิบดี สกร. คณะที่ปรึกษาอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้อำนวยการกองและกลุ่มที่ตั้งอยู่ส่วนกลาง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมหม่อมหลวงจินตนา นพวงศ์ ชั้น 3 ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้

ดร.เกศทิพย์ กล่าวเน้นย้ำถึงการขับเคลื่อนภารกิจของ สกร.
ว่า เป็นกลไกหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกครัวเรือน  “ทุกเรื่องที่รับผิดชอบ ต้องทำงานแล้วสำเร็จ” โดยต้องทำให้ทุกคนเห็นถึงความแตกต่างระหว่าง สกร. กับ กศน.ในอดีต และเน้นการใช้พระราชบัญญัติใหม่ที่เปิดโอกาสให้ สกร. ทำงานร่วมกับศาสนาและชุมชนได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้บทบาทของผู้นำในพื้นที่ ทุกคนคือคน สกร. ไม่ใช่สายใคร แต่เป็นทีมเดียวกันที่ต้องสร้างผลสัมฤทธิ์ให้ชัดเจน ซึ่งขอประกาศเจตนารมณ์ พลิกโฉมให้ สกร.ติดตลาดแทน กศน. และผลักดันให้ สกร. เป็นที่รู้จักและอยู่ในใจประชาชนทุกครัวเรือน

อธิบดี สกร. กล่าวด้วยว่า สกร.โชคดีที่มีบุคลากรที่ทำงานด้วยหัวใจ มีจิตบริการ ขยัน และสะอาด แต่ยังขาดความพร้อมด้านสื่อและทรัพยากรในห้องสมุด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ และหนังสือ ซึ่งจะเป็นจุดเน้นในการพัฒนา โดยเฉพาะการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิต การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อน สกร. อย่างเต็มกำลัง โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ และสื่อสารให้ประชาชนรับรู้ถึงความตั้งใจจริงในการดำเนินงานด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิตของ สกร.ต่อไป

รร.เจี้ยใช้ เอกชนการกุศลสงเคราะห์ ร่วมมือ พว.นำ GPAS 5 Steps อบรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียน ตอบโจทย์การศึกษาชาติ

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 โรงเรียนเจี้ยไช้ เอกชนการกุศลสงเคราะห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งจัดการเรียนการสอนระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่างโรงเรียนเจี้ยไช้กับสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) โดย  นายมาโนชญ์ อรรฆภัทรโฆษิต ผู้อำนวยการโรงเรียนเจี้ยไช้ กับ ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ร่วมลงนาม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาการเรียนรู้แบบ Active Learning ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ด้านการศึกษา ที่ได้กำหนดกิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนในปัจจุบันไปสู่การเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ภายใต้หลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-based Curriculum) ด้วยการส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาชีพของครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเจี้ยไช้ เพื่อยกระดับคุณภาพนักเรียนให้มีความฉลาด สามารถสร้างความรู้ได้เอง นำไปสู่นวัตกรรม จนผู้เรียนสามารถพัฒนาเป็นนวัตกรได้ ตามที่ยุทธศาสตร์ชาติกำหนด

นายมาโนชญ์ กล่าวว่า หลังจากที่โรงเรียนได้ทำ MOU กับ พว.แล้ว ตนมีความคาดหวังว่าลูก ๆ โรงเรียนเจี้ยใช้ จะได้รับการเรียนการสอนตามกระบวนการ GPAS 5 Steps และจะได้สิ่งใหม่ ๆ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น อีกทั้งจะเป็นเครื่องมือให้ครูของโรงเรียนเจี้ยใช้ได้นำไปสอน รูปแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะนำการเรียนรูปแบบใหม่ ๆ มาปรับใช้กับโรงเรียนเจี้ยใช้ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนการกุศลสงเคราะห์ เด็กส่วนใหญ่มาจากต่างอำเภอ ต่างจังหวัด มีโอกาสเรียนกวดวิชาน้อย แต่เราก็ไม่ได้ย่อท้อ พยายามหาสิ่งดี ๆ มาให้ลูก ๆ ของเราได้เรียนรู้เหมือนโรงเรียนทั่วไป โดยเฉพาะการเรียนรู้แบบ Active Learning ซึ่งครูประมาณ 100 คนจะเริ่มเข้ารับการอบรมในวันที่ 3ตุลาคมนี้ หลังจากนั้นทางโรงเรียนจะเริ่มดำเนินการจัดการเรียนการสอนในภาคเรียนที่2/2568 นี้เลย เพื่อให้เด็กเข้าใจกระบวนการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมด้วยตัวเอง

“จริง ๆ แล้ว ผมมีโอกาสอยู่ในบรรยากาศการทำ MOU ระหว่างโรงเรียนดรุณาราชบุรี กับ พว. และมีโอกาสได้รู้จักกับ ดร.ศักดิ์สิน ซึ่งท่านจะส่งวิทยากรเข้ามาอบรมการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Stepsเพื่อที่จะเติมเต็มให้กับลูก ๆ ตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญว่าเด็กทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม”นายมาโนชญ์ กล่าว

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวว่า โรงเรียนเจียใช้ถือเป็นโรงเรียนเอกชนการกุศลสงเคราะห์แห่งแรก ที่ร่วม MOU กับ พว. ทั้งนี้ในแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาได้กำหนดไว้เลยว่า เด็กจะต้องมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ขั้นสูงเชิงระบบ ไม่ใช่แค่อ่านออกเขียนได้ ทุกคนจะต้องได้รับการพัฒนาพหุปัญญาอย่างสมดุลย์ และเด็กในระดับประถมศึกษาจะต้องสามารถมีการคิดวิเคราะห์สูงกว่าเด็กอนุบาล ต้องสามารถพัฒนางาน โครงงานนวัตกรรมได้เลย ซึ่งนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 จะต้องสามารถสร้างนวัตกรรมได้ และนวัตกรรมนี้จะต้องไปสนับสนุนครอบครัวของตัวเองในการประกอบอาชีพใด ๆ ก็ตาม เด็กจะสามารถนำนวัตกรรมที่ทำขึ้นไปต่อยอดอาชีพให้กับครอบครัวได้ ซึ่งแผนการศึกษาชาติได้กำหนดไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า อยากให้เด็กตั้งแต่เยาว์วัยสามารถเรียนรู้และรับผิดชอบต่อครอบครัวพัฒนาอาชีพของพ่อแม่โดยนำนวัตกรรมจากโรงเรียนไปช่วย

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวอีกว่า ในห้องเรียนเป็นเวทีของนักเรียนไม่ใช่เป็นเวทีของครู ซึ่งเด็กจะต้องได้รับการเรียนรู้ได้มากที่สุด ถ้าครูเข้าใจการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ก็จะนำพานักเรียนไปสู่จุดเป้าหมาย เด็กสามารถคิดเป็นขั้น เป็นตอน คิดเป็นกระบวนการลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ซึ่งในศตวรรษที่ 21 เน้นการคิดเป็นหลัก คิดวิเคราะห์ขั้นสูงเชิงระบบ แต่คนไทยยังพูดแค่คิดวิเคราะห์ แต่ยังไม่เป็นระบบ ซึ่งระบบจริง ๆ ต้องมีกระบวนการเข้ามาช่วย ซึ่งตรงนี้ที่ประเทศไทยยังเข้าไม่ถึง ส่วนมากจะสอนเนื้อหาแต่ยังไม่มีกระบวนการซึ่งในการอบรมของ พว.เราจะเริ่มให้เด็กได้เรียนรู้ถึงขั้นตอนกระบวนการคิด ตั้งแต่ระดับอนุบาล เพราะเด็กวัยนี้จะเรียนรู้ได้เร็วมาก เส้นใยประสาทจะพัฒนาได้สูงกว่าทุกวัยของมนุษย์จะเก็บเกี่ยวเชื่อมโยงในสิ่งที่เขาเรียนรู้ ในระบบ ซึ่งจะพัฒนาได้เร็ว ดีกว่าที่จะมาเริ่มพัฒนาตอนที่เด็กโตแล้ว

“ตอนนี้กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้เรียนรู้แบบ Active Learning เป็นหลักการจาก GPAS 5 Steps จากการท่องจำมาเป็น Active Learning โดยการปฎิบัติแต่จะปฏิบัติอย่างไรที่จะทำให้เด็กเหล่านั้นสร้างความรู้ได้เอง ตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ หรือ กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นความรู้ที่เด็กคิดเอง จะไปประเมินเชื่อมโยงกับความดี ความงาม คุณธรรม จริยธรรม ซึ่งความรู้ตรงนี้จะไปวางแผนแล้วลงมือปฏิบัติจริง จนเกิดผลและสามารถประเมินตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพปรับสิ่งที่ขาดหายไปให้เกิดผลผลิตขึ้น จนเกิดเป็นนวัตกรรมขึ้นมา ดังนั้นตัวกระบวนการ GPAS 5 Steps ต่างหากคือความสำเร็จและสามารถใช้ได้ทุกเนื้อหาสาระ เพราะหากกระบวนการติดตัวเด็กไปแล้วเด็กก็จะได้เรียนหนังสือเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นกลายเป็นความรู้ขั้นสูง ซึ่ง พว.ได้ทำการวิจัยมาแล้ว”ดร.ศักดิ์สินกล่าว

“อ.แหม่ม” ลงพื้นที่พิจิตร ชู  “Fix it center”เป็นพระเอกช่วยเหลือประชาชนทุกสถานการณ์ พร้อมแจงแก้จุดอ่อนระบบ TRS ย้ำใครมีข้อมูลเสียเงินแลกการย้ายส่งหลักฐานถึง รมต.ได้โดยตรง จะจัดการขั้นเด็ดขาด พร้อมมั่นใจสหกรณ์กลาง สกสค.เกิดแน่นอน

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ดร.พิเชฐ โพธิภักดี ว่าที่ เลขาธิการ กพฐ. ดร.ประวิต เอราวรรณ เลขาธิการสภาการศึกษา ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ข้าราชการระดับสูงศธ.และผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปเยี่ยม รับฟังปัญหา ให้กำลังใจนักเรียน ผู้ปกครอง ครูและบุคลากร และตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมสร้าง Fix it center ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพิจิตรโรงเรียนกำแพงดินพิทยาคม และโรงเรียนชุมชนวัดวังจัก จังหวัดพิจิตร

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า จากที่ได้รับฟังปัญหาและรายงานผลกระทบในพื้นที่ ที่เกิดขึ้นจากพายุในหลายระลอก และกำลังจะมีเข้ามาอีก ก็ได้มีการเตรียมการรับมือซึ่งในส่วนของโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้มอบหมายให้ผู้บริหารในพื้นที่ดูแลในเรื่องของการเยียวยาและช่วยเหลือดูแลเบื้องต้นในเรื่องของถุงยังชีพและข้าวของเครื่องใช้ที่จะไปช่วยครูและผู้ปกครองแล้ว ส่วนเงินเยียวยานั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้สั่งการแล้วว่า หลังจากแถลงนโยบายรัฐบาลในวันที่ 30 กันยายน นี้ จะสามารถใช้งบประมาณได้ ก็ให้ดำเนินการเรื่องการเยียวยาทันที โดยขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรกำลังเร่งสำรวจความเสียหายในพื้นที่ เพื่อรายงานไปยังกระทรวงมหาดไทยให้เตรียมเงินเยียวยาเพื่อมอบให้แก่พี่น้องประชาชนต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ณ ตอนนี้หลายพื้นที่น้ำท่วมเต็มพื้นที่ 100% แต่เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงปิดภาคเรียน ก็หวังว่าเมื่อเปิดเทอมแล้ว สถานการณ์จะคลี่คลายสามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ต้องถือว่า Fix it center เป็นพระเอกตัวจริง ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่ทางกระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ให้การสนับสนุนพื้นที่ในการเข้ามาช่วยเหลือซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึง รถยนต์ จักรยานยนต์ ซึ่งสามารถช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมาก อย่างไรก็ตามคิดว่า สอศ.คงต้องการรับการช่วยเหลือสนับสนุนเรื่องของงบประมาณและอุปกรณ์การทำงานเพิ่มเติม ซึ่งตนรับที่จะไปหารือกับนายกรัฐมนตรีเรื่องงบประมาณต่อไป ส่วนเรื่องของอุปกรณ์นั้นเท่าที่ทราบได้มีภาคเอกชนเข้ามาให้การสนับสนุนในลักษณะกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR)ทั้งการสนับสนุนน้ำมันเครื่อง หรือ อะไหล่ เป็นต้น

“การอาชีวศึกษาถือเป็นกลไกหลักสำคัญในการพัฒนาชาติไทย อาจารย์ได้คุยกับนายยศพล เลขาธิการ กอศ.มาตลอดในเรื่องของการยกระดับการอาชีวศึกษาของไทย ซึ่งจริง ๆ แล้วก็มีการขับเคลื่อนไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทวิภาคีหรือความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อที่จะนำองค์ความรู้ที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ตลาดแรงงาน ความต้องการกำลังคนอาชีวศึกษา ในหลายสาขา ซึ่งยอมรับว่าไปได้ไกลมากแล้ว และรัฐบาลก็พร้อมจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่”ศ.ดร.นฤมลกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างพบปะผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียนและผู้ปกครอง ที่โรงเรียนกำแพงดินพิทยาคม  ศ.ดร.นฤมล ได้เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมประชุมนำเสนอประเด็นปัญหา หรือ สิ่งที่ต้องการให้ช่วยเหลือ สนับสนุน ซึ่ง นายทศพล ขุนนาถ ผู้อำนวยการโรงเรียนสากเหล็กวิทยา ได้สอบถามเรื่องการพิจารณาย้ายข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านระบบ TRS (Teacher Rotation System) ที่ทำให้จำนวนคนที่ได้รับการพิจารณาให้ย้ายมีปริมาณลดลงจากระบบการย้ายแบบเดิมมาก ซึ่งเรื่องนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า จากข้อมูลที่ได้รับรายงานทราบว่า ตอนเปิดใช้ระบบ TRS มีครูขอย้ายมากถึง 30,000 กว่าคน แต่กลับได้ย้ายจริงแค่ 2,000 กว่าคน หรือประมาณ 7.7% เท่านั้น ตนจึงได้หารือ ดร.ธนู ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้รับคำอธิบายมา แต่ก็ได้ขอให้ ดร.ธนู ไปหารือกับเลขาธิการ กพฐ. ทั้ง 2 คน ว่า จะทำอย่างไรได้บ้าง เพราะไม่ต้องการเป็นการสั่งการลงไปจากรัฐมนตรี แต่อยากให้ผู้ที่ต้องใช้ระบบและผู้ดูแลระบบได้ทราบปัญหาและหาทางแก้ไขร่วมกัน

โดยในที่ประชุม ดร.ธนู ได้กล่าวว่า โดยหลักการระบบ TRS เป็นระบบที่ดีมาก แต่เมื่อนำไปใช้จริงก็มีเสียงสะท้อนและตัวเลขที่ออกมาก็ได้ไม่มาก ระบบยังไม่ไหลลื่น รมว.ศึกษาธิการ และ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้แนะนำให้แก้ปัญหาโดยให้ครูได้ย้ายกลับภูมิลำเนาหรือถ้าย้ายกลับภูมิลำเนายังไม่ได้ก็ให้ไปพื้นที่ใกล้เคียงก่อน  ซึ่งจากการหารือกับเลขาธิการ กพฐ.ทั้ง ว่าที่ร้อยตรี ธนุ และ ดร.พิเชฐ ก็เห็นตรงกันว่า อาจจะต้องกลับมาทบทวนใหม่ ซึ่งคงต้องใช้เวลาซักระยะว่ามีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของครูได้มากที่สุด ให้ครูได้ย้ายกลับภูมิลำเนาได้มากที่สุด โดยจะนำเข้าสู่คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.) และ นำเสนอบอร์ด ก.ค.ศ.ในเร็ว  ๆ นี้

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้กล่าวว่า เรื่องนี้ เท่าที่ได้รับฟังจากผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ทราบว่า ในอดีตที่ผ่านมามีเรื่องของการวิ่งเต้น เรียกรับผลประโยชน์ เพื่อแลกกับการย้าย ซึ่งพลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ อดีต รมว.ศึกษาธิการ ก็พยายามแก้ปัญหาจึงคิดให้นำระบบ TRS มาใช้ เป็นการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาจัดการ แต่เมื่อนำมาใช้แล้วเกิดปัญหาในบางจุด จึงจำเป็นต้องปรับให้สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหานั้น แต่อย่างไรก็ตามหากยังมีการวิ่งเต้นเรียกรับผลประโยชน์เกิดขึ้นอีก ขอให้พี่น้องครูรายงานเข้ามา หรือจะส่งเรื่องตรงมาถึง รมว.ศึกษาธิการเลยก็ได้ ถ้ามีหลักฐานว่า ใครไปเรียกรับผลประโยชน์ตรงไหน ตนไม่เอาไว้ จะดำเนินการให้เด็ดขาด

“ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินครูนั้น อาจารย์จะนำเรื่องเข้า ครม.เพื่อให้สามารถตั้งสหกรณ์กลางของสกสค.ได้ ในการรวมหนี้ครูมาไว้ที่สหกรณ์กลาง โดยเริ่มต้นที่ 100,000 ล้านบาทก่อน ที่จะได้ดอกเบี้ยต่ำ แล้วให้เกิดแรงกระเพื่อมในสหกรณ์ครูทั้งหลายเพื่อให้ลดดอกเบี้ยให้เช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าสามารถทำให้เห็นผลเป็นรูปธรรมได้เชื่อว่ารัฐบาลก็พร้อมที่จะให้แหล่งเงินเพิ่มอีก โดยเรื่องนี้อาจารย์ได้คุยกับ นายกฯ ไปว่า ให้บรรจุเข้าไปในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ซึ่ง นายกฯ ก็สั่งไปที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ซึ่งทุกท่านที่เกี่ยวข้องก็มาคุยกับอาจารย์ บอกว่า นายกฯ ให้ใส่เข้าไปในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล แต่ถ้าใส่ลงไปก็จะมีหนี้ ของส่วนอื่น ๆ เข้ามาอีก จึงขอให้ ใช้คำว่า หนี้สินภาคประชาชน แต่ในนั้นจะมีหนี้สินครูรวมอยู่ด้วย ก็ขอให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลจะช่วยกันพาครูให้พ้นจากภาระเรื่องค่าของชีพ เรื่องการทำงานและทำให้ครูมีได้รายได้เพิ่มจากวิทยฐานะที่สมควรได้ ขอให้ความมั่นใจกับทุกคน

“ธรรมนัส”รับโจทย์ใหญ่ ลดปริมาณน้ำแก้ปัญหาน้ำท่วม ควง รมต.พรรคกล้าธรรม ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตรช่วยเหลือชาวบ้าน ออกโฉนด มอบถุงยังชีพ ขณะที่ ศ.ดร.นฤมล ดูโรงเรียน  ตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมสร้าง Fix it center

เมื่อวันที่ 28 กันยายน  2568 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยรัฐมนตรี ของพรรคกล้าธรรม ประกอบด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  นายอรรถกร ศิริลัทยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และนายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และติดตามสถานการณ์น้ำ

ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า กล่าวว่า วันนี้เรามาในนามรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยในวันที่ 29-30 กันยายน นี้  นายกรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าคณะรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้จะทำงานในกรอบระยะเวลาเท่าใดก็ตาม จะทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง ตามที่ได้ถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเราจะดูแลพี่น้องประชาชนภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 อย่างเคร่งครัดจะบริหารราชการอย่างซื่อสัตย์สุจริต

รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ตนได้รับรายงานจากผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ว่า น้ำท่วมจังหวัดพิจิตรตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคมจนถึงวันนี้ วันที่  28 กันยายน ซึ่งเป็นเวลาเดือนกว่า โดยเฉพาะที่อำเภอสามง่ามน้ำท่วมถึงหน้าอก ซึ่งก็สาหัสทุกปี ทั้งนี้ตนก็ได้รับนโยบายจากนายกรัฐมนนตรีให้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำกับกรมชลประทาน ซึ่งก็ได้พูดคุยหารือกับอธิบดีกรมชลประทานตลอด แทบจะเอาตัวมาติดกันเลย เพราะต้องช่วยกันแก้ปัญหา โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำ สิ่งที่เราต้องทำคือ การลดปริมาณและการระบายน้ำจากเขื่อน ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่จะต้องลงมาสั่งการด้วยตนเอง เพื่อแก้ปัญหาให้กับชาวจังหวัดพิจิตรและจังหวัดอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ บรรเทาความเดือดร้อน

“และวันนี้ผมมามอบเอกสารสิทธิโฉนด ส.ป.ก.4-01 ที่ได้ต่อสู้ให้กับประชาชนในสมัยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งแรก โดยผมได้สั่งการให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกเอกสารแสดงสิทธิให้แก่เกษตรกร ที่เรียกว่า ส.ป.ก.4-01 ซึ่งก็ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าจะเอาที่ดินของหลวงไปขายให้กับนายทุน ซึ่งผมก็ได้อภิปรายบนเวทีคนเดียวถึง 2 ชั่วโมง เพื่อให้สส.เข้าใจ เนื่องจาก ส.ป.ก.4-01 มีข้อจำกัดไม่สามารถเอาไปต่อยอดได้ ตรงนี้ก็ทำเพื่อชาวบ้านเพื่อพี่น้องประชาชนจะได้มีที่ดินทำกิน อันไหนทำให้คนไทยมีความสุขผมก็จะทำ”ร้อยเอกธรรมนัส กล่าว

หลังจากนั้นร้อยเอกธรรมนัส โดยมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ได้มอบถุงยังชีพ จำนวน 1,500 ชุดให้กับชาวบ้าน จากนั้นช่วงบ่ายรัฐมนตรีของพรรคกล้าธรรมก็แยกย้ายลงพื้นที่ตามภารกิจที่รับผิดชอบ โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ได้ลงตรวจเยี่ยมโรงเรียนที่ถูกน้ำท่วม และเยี่ยมศูนย์ซ่อมสร้าง Fix it center ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยมี ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพิจิตร วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร และวิทยาลัยอาชีวศึกษาพิจิตร มาออกศูนย์ซ่อมสร้าง

“อ.แหม่ม”ได้ใจครู ฟื้นผลงานเชิงประจักษ์เลื่อนวิทยฐานะ พร้อมผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติให้คลอดทันในรัฐบาลชุดนี้ ขณะที่วิชาประวัติศาสตร์หน้าที่พลเมืองต้องให้ความสำคัญมากขึ้น

วันที่ 25 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 245 เขตทั่วประเทศ ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพบปะและพูดคุยถึงแนวทางการทำงานด้านการขับเคลื่อนการศึกษา โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั้ง 245 เขตทั่วประเทศ ผู้อำนวยการสำนัก ผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรของ สพฐ. เข้าร่วมกว่า 350 คน ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กล่าวว่า วันนี้ได้มาพบปะผู้บริหาร สพฐ. และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขต เป็นการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันและเตรียมการล่วงหน้า โดยประเด็นเร่งด่วนที่กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการทันที คือ การลดภาระค่าครองชีพและการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ซึ่งตนได้หารือกับนายกรัฐมนตรี และจะถูกรวมไว้ในนโยบายรัฐบาลกลุ่มหนี้สินภาคประชาชน ส่วนการปรับปรุงระบบวิทยฐานะครู ที่ผ่านมาเกณฑ์ประเมินมักไม่สอดคล้องกับภารกิจของครู ทำให้ครูจำนวนไม่น้อยไม่สามารถก้าวหน้าทางวิชาชีพได้อย่างเป็นธรรม แนวทางใหม่จะมีการปรับโครงสร้างผู้ประเมิน โดยกำหนดให้ผู้ประเมินต้องมีประสบการณ์ตรงในสายงาน เพื่อให้การตัดสินเป็นธรรมมากขึ้น พร้อมทั้งเปิดทางเลือกให้ครูใช้ผลงานการสอน หรือผลงานเชิงประจักษ์ แทนผลงานวิจัยเพียงอย่างเดียว คล้ายแนวทาง “teaching track” และ “research track” ของต่างประเทศ รวมทั้งกำหนดให้จำนวนครูที่สามารถเลื่อนวิทยฐานะได้ เป็นหนึ่งใน KPI ของผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริหารสนับสนุนครูอย่างจริงจัง โดยต้องจัดทำหลักเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน โปร่งใส และเปิดให้ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน นอกจากนี้ จะมีการเพิ่มตำแหน่งสายสนับสนุน จำนวน 1,706 อัตรา เพื่อบรรเทาภาระงานที่ไม่ใช่งานสอน เช่น งานธุรการ งานพัสดุ งานซ่อมบำรุง ฯลฯ โดยคาดว่าจะสามารถจัดสรรให้เขตพื้นที่การศึกษาต่าง ๆ ได้ภายในสัปดาห์ถัดไปหลังการแถลงนโยบายรัฐบาล เพื่อให้ครูสามารถทุ่มเทให้กับการสอนและดูแลเด็กได้อย่างเต็มศักยภาพ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการผลักดันร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตินั้น เรื่องนี้ ตนพยายามจะดำเนินการให้สำเร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากในอดีต พ.ร.บ.การศึกษาเคยถูกเลื่อนพิจารณาออกไปหลายครั้งเมื่อเข้าสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฏร แต่ครั้งนี้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นที่จะทำให้ร่างกฎหมายการศึกษาได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาให้ได้ โดยได้หารือกับกรรมาธิการการศึกษาทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านซึ่งต่างมีท่าทีพร้อมสนับสนุน หากมีการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดให้เหมาะสม ดังนั้น หาก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ผ่านความเห็นชอบ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการปฏิรูประบบการศึกษาไทย ทั้งด้านโครงสร้างหลักสูตร การประเมินคุณภาพผู้เรียน การกระจายอำนาจการบริหารจัดการ และการกำหนดบทบาทหน่วยงานด้านการศึกษาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“อาจารย์อยากฝากเรื่องที่สำคัญอีกเรื่อง คือ การศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวิชาทางสาย STEM อย่าง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ เท่านั้น แต่ยังต้องส่งเสริมความถนัดด้านอื่นของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ดนตรี กีฬา ภาษา หรือทักษะทางสังคม รวมถึงวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านการจัดการเรียนการสอน และการบรรจุเข้าสู่ระบบการสอบ เพื่อสร้างความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เด็กเข้าใจระบอบการปกครองของไทยได้อย่างถ่องแท้ และป้องกันไม่ให้เด็กได้รับข้อมูลที่ผิด ๆ จึงขอฝากให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและบุคลากรในพื้นที่ ร่วมกันสนับสนุนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เพื่อสร้างความเข้าใจต่อระบอบประชาธิปไตย บทบาทพลเมือง และสถาบันหลักของชาติต่อไป“ศ.ดร นฤมล กล่าว

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญเนื่องจากเป็นการประชุม onsite ครั้งแรกในรอบหลายปี และเป็นการประชุม ผอ.เขต ครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 เพื่อให้ผู้บริหาร สพฐ. และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขต ได้รับฟังแนวทางการดำเนินงานจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งจะเป็นทิศทางสำคัญสำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณต่อไป พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการปฏิบัติงานจากทุกเขตตรวจราชการ รวมถึงสรุปผลการดำเนินงาน การถอดบทเรียน การรับฟังข้อเสนอแนะจากพื้นที่ต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานในอนาคต การประชุมครั้งนี้จึงเป็นทั้งการทบทวนความสำเร็จ และการจัดเตรียมแนวทางที่จะช่วยให้การนำนโยบายระดับชาติมาสู่โรงเรียนให้เกิดผลอย่างแท้จริง และเกิดคุณภาพกับผู้เรียนทุกคนอย่างยั่งยืนสืบไป