“เกศทิพย์” ประชุมคณะที่ปรึกษาอธิบดี สกร.นัดแรก มั่นใจเป็นทีมเทพขับเคลื่อนงาน สกร.ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษาอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ครั้งที่ 1/2568 ที่มี ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เป็นประธานคณะที่ปรึกษา เพื่อกำหนดกรอบแนวทางการดำเนินงานของคณะที่ปรึกษาและจุดเน้นการขับเคลื่อนงานของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 อาคารกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom Cloud Meetings โดยมีนางยุพิน บัวคอม และนายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ พร้อมด้วยที่ปรึกษาอธิบดี ผู้ช่วยเลขานุการคณะที่ปรึกษา และผู้อำนวยการกอง/กลุ่มส่วนกลาง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ดร.เกศทิพย์ กล่าวถึงการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาอธิบดี สกร.ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า คณะที่ปรึกษาอธิบดี สกร. มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ การวางแผนและกำหนดแนวทางการดำเนินงาน ตลอดจนภารกิจอื่นตามที่อธิบดีมอบหมาย โดยจัดตั้งคณะที่ปรึกษาจำนวน 7 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการพัฒนาทักษะและสมรรถนะอาชีพ 2. ด้านกฎหมาย 3. ด้านวิชาการ  4. ด้านประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร  5. ด้านมาตรฐานและประกันคุณภาพการเรียนรู้  6. ด้านโครงสร้างบุคลากรและอัตรากำลัง และ 7. ด้านติดตามและประเมินผล  ซึ่งทีมที่ปรึกษามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่จะมาร่วมขับเคลื่อนงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อว่าหากเราแบ่งงานให้ตรงกับความถนัดของแต่ละท่าน งานจะเดินหน้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด

อธิบดี สกร. กล่าวต่อไปว่า การเปลี่ยนผ่านจาก กศน. มาสู่ สกร. ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องร่วมกันเติมเต็มช่องว่างและต่อยอดจุดแข็งเดิม เพื่อให้ สกร.เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง โดยมีเวลาอีกเพียงหนึ่งปีเศษในการปรับโครงสร้าง อัตรากำลัง และภาระงานให้สมบูรณ์ตามกฎหมายฉบับนี้  ซึ่งคณะที่ปรึกษาของ สกร.ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหลากหลายบริบท ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานในสังกัด ตลอดจนบุคคลจากภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีบทบาทสำคัญในสังคม ซึ่งจะสามารถให้คำแนะนำ เสนอแนวคิดเชิงนโยบาย และเป็นเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งในการขับเคลื่อนภารกิจของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี

ด้าน ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ประธานคณะที่ปรึกษา กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมทำงานกับทีมผู้บริหาร สกร. และขอบคุณอธิบดีที่เปิดโอกาสให้คณะทำงานหลากหลายสาขาได้มีส่วนร่วม โดยยืนยันว่าทุกคนจะทำงานอย่างเต็มความสามารถ มุ่งนำเสนอแนวคิดและข้อเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมา เพื่อร่วมขับเคลื่อนกรมส่งเสริมการเรียนรู้ให้ก้าวหน้าและตอบโจทย์ภารกิจตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 อย่างแท้จริง

“อ.แหม่ม”ลงพื้นที่ดูอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ที่โรงเรียนศรัทธาสมุทร เร่งของบฯซ่อมแซม พร้อมเดินหน้าปรับปรุงบ้านพักครูทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อติดตามและมอบนโยบายให้แก่องค์กรทางการศึกษาในจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมรับฟังปัญหาและความเดือดร้อนของผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครองในพื้นที่ ณ โรงเรียนศรัทธาสมุทร จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว โดยมี นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานศึกษาธิการ (กพฐ.) นายชยชัย แสงอินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม นายปัญญา บูรณะนันทสิริ ศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสงคราม ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และนักเรียน ร่วมให้การต้อนรับ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า โรงเรียนศรัทธาสมุทรได้จัดทำคำของบประมาณซ่อมแซมอาคารเรียนและเสนอผ่านสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แล้ว แต่ในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้เห็นปัญหาที่แท้จริง และได้รายงานต่อรองนายกรัฐมนตรีเพื่อขอรับการสนับสนุนงบกลางในการซ่อมแซมโรงเรียน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำรวจข้อมูลโรงเรียนทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ เพื่อแยกความเร่งด่วนและจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม โดยให้ประสานกับสำนักงบประมาณอย่างใกล้ชิด

“วันนี้อาจารย์ได้มาดูพื้นที่จริงร่วมกับเลขาธิการ กพฐ.เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนในการรวบรวมเสนอของบประมาณต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมให้การสนับสนุน เพียงแต่ขอให้เตรียมข้อมูลให้พร้อมและครบถ้วนสำหรับปัญหาบ้านพักครูในพื้นที่ ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากหลายแห่งมีสภาพทรุดโทรมจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ทำให้ครูบางส่วนต้องเช่าที่พักหรือกู้เงินส่วนตัวมาซ่อมแซม ส่งผลให้มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น ซึ่ง ศธ.โดยการกำกับของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้เร่งดำเนินการโครงการปรับปรุงบ้านพักครูให้เป็นรูปธรรมในรัฐบาลชุดนี้ โดยจะร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติ ภายใต้การกำกับของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อวางแผนดำเนินการเป็นระยะและบรรจุงบประมาณดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ.2570 และต่อเนื่องในปีถัดไป โดยใช้แนวทางทยอยชำระคืนแก่การเคหะแห่งชาติ เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณก้อนใหญ่ในคราวเดียว”ศ.ดร.นฤมลกล่าวและว่าศธ.ให้ความสำคัญทั้งคุณภาพชีวิตของครูและคุณภาพการศึกษาของนักเรียน โดยจะติดตามการซ่อมแซมอาคารเรียนและโครงการบ้านพักครูในทุกพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ครูและนักเรียนได้อยู่และเรียนรู้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ด่วน!ประกาศรับสมัครสรรหา ผอ. สกสค.77จังหวัด

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 นายพีระพันธ์ เหมะรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการแและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า วันนี้ สำนักงาน สกสค.ได้มีประกาศสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการแและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา เรื่อง รับสมัครบุคคลเพื่อสรรหาและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงาน สกสค.จังหวัด/ กรุงเทพมหานคร โดยเปิดให้ประสงค์สมัครเข้ารับการสรรหา ยื่นใบสมัครด้วยตนเองได้ตั้งแต่วันที่ 17 – 29 ตุลาคม 2568 ประกาศรายชื่อผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการสรรหา ภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 และประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสรรหา ภายในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ตามรายละเอียด

ประกาศฯ รับสมัครการสรรหาฯ ผอ สกสค. จังหวัด

“พิเชฐ”ไม่กั๊ก กระจายงานให้ “รองเลขาธิการ กพฐ.”เต็มที่ ใครดูงานอะไรต้องตอบคำถามได้

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)พร้อมด้วย ดร.พิเชฐร์ วันทอง ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ  นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการกพฐ.และผู้บริหารระดับสูง ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้มีการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 37/2568 โดย ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า วันนี้ ตนมารับฟังผลการดำเนินงานของสำนักต่างๆ ในการทำงานที่ผ่านมาซึ่งก็พบว่ามีผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ตนได้เน้นย้ำ หลักการทำงาน 9 ข้อ เพื่อการพัฒนาการทำงานของ สพฐ.ให้มีประสิทธิภาพในยุคที่ตนเป็นเลขาธิการ กพฐ. คือ 1.ยึดหลักราชการ 2. บูรณาการความร่วมมือ 3. ถือผู้เรียนเป็นสำคัญ 4. ก้าวทันเทคโนโลยี  5. มีจิตอาสา  6. พัฒนาอย่างต่อเนื่อง 7. รุ่งเรืองด้วยคุณธรรม 8. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และ 9. แสดงความจงรักภักดี ซึ่งถ้าเรายึดหลักการทั้ง 9 ข้อนี้ เชื่อว่าจะนำพาการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ ก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 ได้อย่างสมบูรณ์

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า จากที่ได้ลงพื้นที่ดูสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบทั้งครูและนักเรียน ร่วมกับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ พบว่าบ้านพักครูบางโรงเรียนมีความชำรุดทรุดโทรมมาก ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ ก็มีข้อสั่งการให้ สพฐ.ดูแลซ่อมแซมให้เรียบร้อย ให้ครูอยู่ด้วยความปลอดภัยและมีความสุข จึงได้มอบหมายให้ นางภัทริยาวรรณ ไปเจรจา กับการเคหะแห่งชาติ ซึ่งเชี่ยวชาญในการสร้างบ้าน

นางภัทริยาวรรณ กล่าวว่า ได้ดำเนินการใน 2 แนวทาง คือ ได้หารือกับกรมธนารักษ์ กับ การเคหะแห่งชาติ แล้ว โดยแนวทางแรก เป็นการจ้างการเคหะแห่งชาติมาซ่อมแซมอาคารเรียนที่มีเด็กลดลง เป็นอาคารว่างที่ไม่มีนักเรียนเรียนให้เป็นบ้านพักให้กับครู ให้เป็นสวัสดิการให้ครูอยู่ฟรี ส่วนโรงเรียนที่เป็นพื้นที่ถูกยุบเลิกแล้วก็จ้างการเคหะแห่งชาติมาสร้างบ้านพักครูให้ครู เป็นสวัสดิการให้ครูอยู่ฟรี ส่วนแนวทางที่สองเป็นแนวทางที่การเคหะแห่งชาติจะไปสร้างบ้านเพื่อขายให้กับครูโดยการเคหะแห่งชาติจะไปทำความร่วมมือ ในเรื่องของสวัสดิการต่างๆกับธนาคาร หรือ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูเพื่อให้ครูได้อยู่บ้านที่มีคุณภาพผ่อนระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ

ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี กล่าวอีกว่า เรื่องการขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ นั้น ขณะนี้ สพฐ.ได้ทำความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ในการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ตรงกับนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ แล้ว โดยจะทำให้เป็นรูปธรรมให้เร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นนโยบายเร่งด่วนที่เราจะต้องนำสู่การปฎิบัติ เพื่อให้ครูมีวิทยะฐานะ ลดภาระครู ส่วนกระแสข่าวเรื่องการปั่นจำนวนนักเรียน และการขายเก้าอี้ครูนั้น เรื่องนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้สั่งการขั้นเด็ดขาดแล้วว่าอย่าให้รู้ ถ้าตรวจสอบเจอจะต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัย และอาญา ซึ่งเรื่องนี้ตนได้มอบหมายให้ ดร.พิเชฐร์ วันทอง ไปดำเนินการแล้ว

ดร.พิเชฐร์ วันทอง กล่าวว่า ตนได้ตั้งกรรมการลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อเท็จจริงในเร็ว ๆ นี้

ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ  กล่าวถึง นโยบายไม่ให้จัดลำดับนักเรียน แต่ให้ประเมินศักดิ์ยภาพ ว่า จริงๆแล้วถ้าเราไปดูระเบียบการวัดและประเมินผลนักเรียน จะเน้นการประเมินดูความก้าวหน้าและความสามารถมาเทียบกับหลักเกณฑ์การเรียนรู้ ดังนั้นสิ่งที่โรงเรียนจะต้องดูคือระเบียบและประเมินผลเพื่อตัดสินว่าผ่านไม่ผ่านความก้าวหน้าหรือผลสัมฤทธิ์ ซึ่งการเรียงลำดับไม่ได้อยู่ในระเบียบ แต่อาจเป็นเพราะครูจะมาจัดเรียงลำดับเองตามคะแนน ดังนั้นเราต้องทำการสื่อสารและทำความเข้าใจให้กับผู้ปกครองให้ทราบถึงแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง รวมถึงการสื่อสารสร้างความเข้าใจ ให้กับครูผู้ปกครองด้วย

“การเรียนการสอนในห้องเรียน ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเรียงลำดับเด็กแต่หลักๆคือดูความก้าวหน้าดูผลการเรียนรู้ของเด็กและเทียบกับตนเองเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่เราอยากให้เด็กบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นสิ่งที่ครูต้องรู้คือจะต้องเตรียมเติมเต็มให้กับเด็ก ถ้าเขายังไม่ถึงจุดบรรลุเป้าหมาย” ดร.วิษณุ กล่าว

ครม. แต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง ศธ. “บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์”นั่งที่ปรึกษา เสมา 1

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติตามที่ แต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 4 ราย ตามที่เสนอ ดังนี้
1. นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
2. นายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
3. นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
4. นายสุธี พงษ์เพียร์ชอบ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการ รมช.ศึกษาธิการ)

“เกศทิพย์”เดินเต็มสูบ เร่งขับเคลื่อนสร้างองค์ความรู้สู่ประชาชนทุกช่วงวัย เชื่อมโยง Learn to Earn

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) มอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมการเรียนรู้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้แนวคิด “เสริมงานเดิม สร้างงานใหม่ ให้เท่าทันสังคมโลก By สกร.” ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้อย่างเป็นทางการ การประชุมจัดขึ้น ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ) โดยมีนางยุพิน บัวคอม และนายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ที่ปรึกษากรมฯ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้อำนวยการกลุ่ม ศูนย์/ส่วนกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด และผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ/เขตทั่วประเทศ เข้าร่วมทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ผ่าน Zoom Meeting

ทั้งนี้ ภายในงานมีการจัดเสวนา “Learn to Earn : การเรียนรู้สู่การสร้างอาชีพ สร้างรายได้“ โดยมีผู้ร่วมเสวนาจากภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และหน่วยงานรัฐ อาทิ ดร.ดิสพล จันสิริ คณบดีคณะดิจิทัลอาร์ตและดีไซน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นางกิตติยา ชัยสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) นายผกายเนติ์ เล่งอี้ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายธิติพัทธ์ อัครวงศ์วริศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินเนอร์ อินเตอร์ พลาส จำกัด นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ดำเนินรายการโดย นางสาววัชรีวรรณ กันเดช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาเครือข่าย พร้อมทั้งมีการเปิดตัวหลักสูตรใหม่ “Money for Teen : เรื่องเงินเรียนรู้ได้ตั้งแต่วัยรุ่น” โดย “โค้ชหนุ่ม The Money Coach” นายจักรพงษ์ เมษพันธุ์ เพื่อปลูกฝังวินัยทางการเงินตั้งแต่เยาว์วัย และกิจกรรมระดมแนวคิด “The Idea Forge for the New Era of DOLE : สานพลังความคิดสู่ยุคใหม่ สกร.”

จากการที่ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษในเวทีสมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติ ครั้งที่ 3 เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เรื่อง “Flexible Education การศึกษายืดหยุ่นตอบโจทย์ความหลากหลายของพื้นที่” ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดนโยบายสำคัญในการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้เกิดระบบการเรียนรู้ที่ ยืดหยุ่น ทันสมัย และตอบโจทย์พื้นที่ได้อย่างแท้จริง โดยมุ่งให้ผู้เรียนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม ผ่าน 4 มิติหลักของ Flexible Education ได้แก่ 1) Flexible Time ยืดหยุ่นด้านเวลา 2) Flexible Place ยืดหยุ่นด้านสถานที่ 3) Flexible Learning Pathways ยืดหยุ่นด้านรูปแบบการเรียนรู้ และ 4) Flexible Assessment ยืดหยุ่นด้านการวัดและประเมินผล ซึ่ง กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ได้ขานรับแนวนโยบายดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม โดย นางเกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้ เน้นย้ำในการมอบนโยบายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า สกร. จะเร่งพัฒนาและขยายโอกาสการเรียนรู้ให้ประชาชนทุกช่วงวัยเข้าถึงได้จริง ผ่านการจัดการศึกษาที่หลากหลาย ยืดหยุ่น และเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อให้ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” เกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่และกับทุกคนอย่างแท้จริง

อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้  กล่าวตอนหนึ่งในการมอบนโยบายว่า การขานรับตำแหน่งครั้งนี้ ถือเป็นการสืบสานและต่อยอดภารกิจจากสำนักงาน กศน. เดิม สู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “ทำให้ประชาชนทุกช่วงวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย เข้าถึงองค์ความรู้และเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง” โดยการดำเนินงานของ สกร. จะมุ่งสู่ 4 ด้านหลักที่จะนำไปสู่การสร้างการเรียนรู้ที่เท่าทันโลก ประกอบด้วย 1. การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 2. ส่งเสริมการอ่านตามมาตรา 5 พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ Up-skill, Re-skill และ New-skill เพื่อเชื่อมโยงสู่แนวคิด “Learn to Earn” 3. เสริมพลังภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ขยายการเรียนรู้สู่ทุกครัวเรือน ทุกชุมชน และทุกช่วงวัย 4. ยกระดับการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับให้เข้าถึงพื้นที่ห่างไกล เติมเต็มโอกาสทางการศึกษาให้ทุกคนอ่าน เขียน คิด และพัฒนาตนเองได้ต่อเนื่อง

ในโอกาสเดียวกันนี้ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้กล่าวถึงโครงการสำคัญ “Read for the Future” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างเครือมติชนและมูลนิธิเสริมกล้า เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านในสังคมไทย ภายใต้แนวคิด “หนังสือ คือ ประตูแห่งความสำเร็จของการเรียนรู้ก้าวแรก เมื่อคนไทยอ่านจนเป็นนิสัย จะสามารถค้นหาความรู้ด้วยตนเองและต่อยอดสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต”  โดย สกร. จะนำเทคโนโลยีและ AI เข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้ยั่งยืนและทั่วถึง ผ่าน 6 แนวทางสำคัญของการขับเคลื่อน สกร. ประกอบด้วย 1. บูรณาการงานเดิมกับภารกิจใหม่ สานต่อจุดแข็งของ กศน. ผนวกบทบาทใหม่ของ สกร. 2. เสริมพลังภาคีเครือข่าย ร่วมสร้าง “สังคมแห่งการเรียนรู้” กับทุกภาคส่วน 3. ยึดหลัก “Learn to Earn” เชื่อมโยงการเรียนรู้กับการสร้างรายได้และคุณภาพชีวิต 4. ส่งเสริมวินัยทางการเงินและความมั่นคงในครัวเรือน ผ่านการบริหารจัดการเชิงความรู้ 5. ใช้เทคโนโลยีและ AI เป็นกลไกหลัก เปิดโอกาสให้ทุกช่วงวัยเข้าถึงการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม 6. พัฒนาบุคลากร สกร. ให้เป็น “บุคคลแห่งการให้” ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างพลังบวกในองค์กร

“เป้าหมายของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ คือ ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นจริงในทุกครัวเรือน ทุกชุมชน และทุกช่วงวัยของประชาชนไทย พร้อมเดินหน้าสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง เชื่อมโยงทุกภาคส่วน และทำให้การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง”ดร.เกศทิพย์ กล่าว

ไม่เอาไว้ “นฤมล”สั่งเชือดครูใช้ฟุตเหล็กตีเด็ก ป.1 รับไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับเด็กในโรงเรียน

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวถึงกรณีครูได้ใช้ฟุตเหล็กตีนักเรียน ป.1 เพราะแอบหยิบขนมบนโต๊ะครูไปกิน จนเด็กขอบตาช้ำ แก้มบวมแดง เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยต่อกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงได้สั่งการให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาเร่งดำเนินการลงโทษทันที และเน้นย้ำว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่อาจยอมรับพฤติกรรมความรุนแรงในสถานศึกษาได้ พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีของเด็กนักเรียน เพราะหน้าที่ของครูคือ ผู้ปลูกฝัง ไม่ใช่ผู้ทำร้าย

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่อไปว่า ครูคนดังกล่าวเป็นครูผู้ช่วยของโรงเรียนแม่จาง ตำบลนาสัก อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 และเป็นผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นต้น ซึ่งออกให้เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2566 หมดอายุวันที่ 6 พ.ค. 2571 จึงรับเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ ตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยการพิจารณาการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. 2568

“ตามขั้นตอนแล้ว สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้นำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เสนอต่อคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อพิจารณาให้พักใช้ใบอนุญาตไว้ก่อน แต่หากหน่วยงานต้นสังกัดมีความเห็นให้ออกจากราชการ ก็สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอผลการสอบสวนใด ๆ ทั้งนี้ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพจะมีการวินิจฉัยชี้ขาดกำหนดระดับความผิดทางจรรยาบรรณของวิชาชีพต่อไป” ผศ.ดร.อมลวรรณ

“ธรรมนัส”นำทีมผู้บริหาร ศธ.ตรวจเยี่ยมบ้านพักครูที่บุรีรัมย์ “อ.แหม่ม”เตรียมจับมือการเคหะฯ เร่งซ่อม สั่งสพฐ.สำรวจทั้งประเทศ หวังยกระดับคุณภาพชีวิตครู

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อตรวจเยี่ยมที่พักอาศัยครู โรงเรียนภัทรบพิตร ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง รวม 7 หลัง ซึ่งได้รับการร้องเรียนว่าสภาพบ้านพักทรุดโทรมตามอายุการใช้งาน ครูต้องควักกระเป๋าส่วนตัวซ่อมแซมเอง ทำให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก

ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวว่า หลังลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพจริง พบว่า บ้านพักครูหลายแห่งทั่วประเทศอยู่ในสภาพชำรุด ทรุดโทรม บางหลังมีปัญหาปลวกกัดกิน โครงสร้างเสียหายจนไม่ปลอดภัยต่อการอยู่อาศัย แต่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ เพราะติดระเบียบราชการเก่า ทั้งของกรมธนารักษ์และของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งต้องเร่งแก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ยังถือว่า สภาพดีกว่าหลายพื้นที่ที่ตนและอาจารย์แหม่มลงไปดูมา ครูจำนวนมากอยู่ในสภาพบ้านที่ทรุดโทรม แต่ก็ไม่สามารถซ่อมได้เพราะติดกฎระเบียบต่าง ๆ ทั้งที่บ้านพักเหล่านี้คือสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของครู ซึ่งถือเป็นผู้หล่อหลอมเยาวชนของชาติ”

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่หลายจังหวัดพบว่า ปัญหาที่พักอาศัยครูเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ เพราะครูคือหัวใจสำคัญของการศึกษา การพัฒนาการศึกษาควรเริ่มต้นจากการดูแลความเป็นอยู่ของครูก่อน หากครูไม่มีความพร้อม ทั้งด้านจิตใจและคุณภาพชีวิต ก็ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กนักเรียนโดยตรง รวมปัญหาหนี้สินของครูก็เป็นอีกเรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ควบคู่กันไป โดย ศ.ดร.นฤมล กำลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกอย่างเป็นระบบ ครูหลายคนมีภาระหนี้สินสูง ต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัวและงานสอน รัฐบาลต้องหาทางลดภาระเหล่านี้ เพื่อให้ครูกลับมามีสมาธิในการทำหน้าที่หลักคือการสอนลูกหลานของเรา

“ในความคิดผม ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สอง ครูที่ดีคือรากฐานสำคัญของเด็กไทย การสร้างคุณภาพการศึกษาที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี แต่ต้องเริ่มจากการทำให้ครูมีความมั่นคงในชีวิต มีบ้านพักที่ปลอดภัย และมีขวัญกำลังใจที่ดี และในฐานะที่ผมเป็นนักการเมือง ผมเพิ่งรู้ว่า ปัญหาบ้านพักอาศัยของครูอยู่ที่ สส.ผมจะไปพูดคุย ทำความเข้าใจในกรรมาธิการคณะต่าง ๆ เพื่อที่งบประมาณปี 2570 เราจะได้ไม่ไปตัดงบในส่วนนี้ คุณต้องเห็นความเป็นจริงว่าเขาเดือดร้อนกันอย่างไร อยากฝากไว้ด้วย“ ร้อยเอกธรรมนัส กล่าว

ด้าน ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำรวจสภาพบ้านพักครูทั่วประเทศ เพื่อจัดลำดับความเร่งด่วนและความจำเป็นในการซ่อมแซม โดยจะร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติ ในการหาแหล่งงบประมาณมาดำเนินการ และ สพฐ.จะชำระคืนให้กับการเคหะแห่งชาติ ส่วนเรื่องการตั้งงบอย่างที่ท่านรองนายกฯได้กล่าวว่า จะต้องทำความเข้าใจกับ สส.ในสภา ในกรรมาธิการต่าง ๆ ให้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าได้บรรจุเข้าไปใน พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2570 เราก็จะเริ่มซ่อมปรับปรุงบ้านพักครูได้ภายในปีนี้ และจะบรรจุงบชดเชยคืนให้กับการเคหะฯ ในปีถัดไป

“การแก้ปัญหาบ้านพักครูถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของครูทั่วประเทศ ให้ครูมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ปลอดภัย และมีศักดิ์ศรีสมกับวิชาชีพ เพราะครูคือผู้สร้างอนาคตของชาติ” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

เลขาธิการกพฐ.มอบ “พิเชฐร์ วันทอง”ส่งนิติกรลงพื้นที่สพป.มหาสารคาม สืบหาข้อเท็จจริงขบวนการปั่นยอดจำนวนนักเรียน ขายเก้าอี้ครู

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผย กรณีชมรม STRONG ต้านทุจริต ได้เผยแพร่ข้อมูลกล่าวอ้างว่า โรงเรียนบางแห่งในพื้นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม(สพป.มค.)อาจมีพฤติกรรม ปั่นยอดจำนวนนักเรียน โดยการเคลื่อนย้ายนักเรียนเข้า–ออกชั่วคราว เพื่อให้จำนวนถึงเกณฑ์และนำไปใช้ในการคำนวณอัตรากำลังครูเกินจริง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นธรรมในการจัดสรรบุคลากรครูและคุณภาพการศึกษาของผู้เรียน โดยล่าสุด ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)สั่งตั้งคณะกรรมการกลาง ของศธ. เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวแล้วนั้น ว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว โดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงได้มอบให้ ดร.พิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการกพฐ. ซึ่งดูแลงานบุคคล ให้ฝ่ายนิติกร ของสพฐ. ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกทางหนึ่ง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะต้องลงไปดูข้อมูลทั้งการสอบครู และจำนวนนักเรียน อย่างไรก็ตาม ตนได้กำชับให้เร่งดำเนินการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า สพฐ. พร้อมนำนโยบาย ของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปดำเนินการ และกำชับ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่ามีความสำคัญ และการสอบครูผู้ช่วยต้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นธรรม โปร่งใส และขอให้ประชาชน และผู้เกี่ยวข้องให้ความเชื่อมั่น ว่า สพฐ.จะดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย เพื่อคุณภาพและโอกาสทางการศึกษาที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน

จัดซื้อและกระจายเครื่องผ่าตัดสมองด้วยรังสีให้โรงเรียนแพทย์ไม่มีจริง “สุรศักดิ์”สั่ง อว.เร่งตรวจสอบ

จากกรณีที่มีสมาชิกวุฒิสภาได้อภิปรายโดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยหน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จะดำเนินการจัดซื้อและกระจายเครื่องผ่าตัดสมองด้วยรังสี หรือ Gyroscopic Radiosurgery จำนวน 10 เครื่อง ไปยังโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพการรักษาผู้ป่วย เนื้องอกสมองบางชนิด และ Brain functional disorder เช่น โรคพาร์คินสัน เป็นต้น โดยที่โรงเรียนแพทย์ไม่ได้ร้องขอนั้น

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดอว. เปิดเผยว่า นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.อว. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพราะถือว่าสร้างความเสียหายให้กับกระทรวง อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบเบื้องต้น ตนได้สอบถามไปยัง สกสว. พบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่มีกลุ่มบุคคลไปแอบอ้างกับโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ว่าเป็นโครงการของ อว.ที่จะได้รับทุนจาก สกสว. โดยหลังจากนี้ สกสว.จะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มบุคคลที่ไปแอบอ้างต่อไป

“ รมว.อว. ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขอขอบคุณสมาชิกวุฒิสภาที่อภิปรายเรื่องดังกล่าว ที่สำคัญ อว.จะตรวจสอบให้ถี่ถ้วนและจะไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก ยืนยันว่าทุกการดำเนินการจะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้” ปลัด อว. กล่าว

ขณะที่ สกสว. ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดสรรเครื่อง Gyroscopic Radiosurgery ว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง ปัจจุบันไม่มีนโยบายหรือโครงการจัดซื้อเครื่องมือดังกล่าว และไม่มีการจัดสรรงบประมาณ 2,500 ล้านบาทตามที่มีการกล่าวอ้าง ทั้งนี้ สกสว. มีภารกิจหลักในการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ประเทศ การพิจารณางบประมาณทุกด้านยึดหลักความเหมาะสมของเทคโนโลยี ความต้องการของหน่วยบริการ และความคุ้มค่าต่อประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ