กกอ.เสนอ ม.44 มทร.ล้านนา (มีคลิป!)

กกอ.เสนอใช้อำนาจ ม.44 จัดการปัญหาธรรมาภิบาล มทร.ล้านนา-ม.แม้โจ้“หมอธี” เผยรู้ข้อมูลแล้วพร้อมดำเนินการตามที่กกอ.เสนอ

วันนี้(31พ.ค.)นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) มีมติเสนอให้รมว.ศึกษาธิการ ใช้อำนาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พ.ศ.2557 เพื่อแก้ปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ตามคำสั่ง39/2559 เรื่องการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา กับมหาวิทยาลัย 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)ล้านนา และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อเป็นการพิทักษ์ธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะกรณีมทร.ล้านนา ที่ขณะนี้นายกสภามหาวิทยาลัย พร้อมทั้งอุปนายกสภาฯ และกรรมการสภาฯ บางคนลาออกจากตำแหน่งแล้ว ทำให้เกิดสุญญากาศในการบริหารมหาวิทยาลัย
     “นโยบายรัฐบาลและผม ในการใช้คำสั่ง คสช.ที่ 39 /2559 เพื่อให้มหาวิทยาลัยมีธรรมาภิบาล โดยคำสั่งดังกล่าวมีอยู่แล้ว เพียงแต่ กกอ.สามารถเสนอให้ประกาศชื่อมหาวิทยาลัยที่มีปัญหาธรรมาภิบาลเพิ่มเข้าไปได้ อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวผมไม่รู้จักใครเลย เมื่อ กกอ.เสนอมาให้แก้ปัญหาและผมก็เห็นข้อมูลแล้วก็จะดำเนินการตามนั้นนพ.ธีระเกียรติกล่าว
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การที่ กกอ.เสนอให้ใช้อำนาจ ม.44 โดยประกาศชื่อ มหาวิทยาลัยเพิ่มในคำสั่ง คสช.ที่ 39/2559 เพื่อแก้ปัญหาธรรมาภิบาล เนื่องจาก กรณี ม.แม่โจ้ กกอ.เคยเสนอให้ใช้อำนาจไปแล้ว เพราะมีเรื่องร้องเรียนปัญหาธรรมาภิบาลผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่ามีมูลความจริงกกอ.จึงเสนอใช้อำนาจตามม. 44 แต่รมว.ศึกษาธิการ เห็นว่าควรให้ใช้กฎหมายปกติดำเนินการไปก่อน แต่เมื่อระยะเวลาผ่านมาก็ยังไม่มีการแก้ปัญหาแต่อย่างไร จึงได้เสนอยืนยันให้ใช้อำนาจตาม ม.44 อีกครั้ง สำหรับกรณี มทร.ล้านนา นั้น ผศ.ประพัฒน์เชื้อไทย ถูกร้องเรียนการทุจริตตั้งแต่แรกเริ่มได้รับการเสนอชื่อเป็นอธิการบดี มทร.ล้านนา และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ที่มี รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล เป็นประธาน ได้สรุปผลการสอบข้อเท็จจริงว่า เข้าข่ายมีมูลกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่ถูกร้องเรียน ซึ่ง สกอ.ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว ประกอบกับผศ.ประพัฒน์ ได้หมดวาระรักษาราชการแทนอธิการบดี มทร.ล้านนา ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.2561 อีกทั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภา มทร.ล้านนา พร้อมด้วย ศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อุปนายกสภามหาวิทยาลัย และกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ศ.ดร.ทรงศักดิ์ ศรีบุญจิตต์ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิรศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ นายโอภาส เขียววิชัย กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ และ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดสุญญากาศในมหาวิทยาลัย จึงจำเป็นต้องเสนอใช้อำนาจ ม.44 เพื่อพิทักษ์ธรรมาภิบาลในมหาวิทยาลัยเช่นกัน

ผู้ปกครอง เด็ก เครียดมึนระบบ TCAS

ทปอ.รับเคลียริงเฮาส์ TCAS รอบ 3/2 ยังมีปัญหากั๊กที่นั่ง แต่ปัญหาจะลดลง เชื่อเกิดเฉพาะมหาวิทยาลัยดังไม่เกิน 5 แห่ง แจงคัดเลือกเด็กตามลำดับไม่ได้ เหตุมหาวิทยาลัยมีเกณฑ์พิจารณาเอง ไม่มีเกณฑ์กลางแบบแอดมิชชัน ห่วงเด็กคะแนนสูงยังไม่รู้จักตัวตน ไม่มีเป้าหมายชัดเจนในการเลือกเรียน ด้านผู้ปกครองพ้อระบบทำเครียดทั้งบ้าน ลูกถึงกับร่ำไห้ เผยเคยทำหนังสือแจง ทปอ.แล้ว แต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีการกั๊กที่แน่นอนทปอ.รับเคลียริงเฮาส์ TCAS รอบ 3/2 ยังมีปัญหากั๊กที่นั่ง แต่ปัญหาจะลดลง เชื่อเกิดเฉพาะมหาวิทยาลัยดังไม่เกิน 5 แห่ง แจงคัดเลือกเด็กตามลำดับไม่ได้ เหตุมหาวิทยาลัยมีเกณฑ์พิจารณาเอง ไม่มีเกณฑ์กลางแบบแอดมิชชัน ห่วงเด็กคะแนนสูงยังไม่รู้จักตัวตน ไม่มีเป้าหมายชัดเจนในการเลือกเรียน ด้านผู้ปกครองพ้อระบบทำเครียดทั้งบ้าน ลูกถึงกับร่ำไห้ เผยเคยทำหนังสือแจง ทปอ.แล้ว แต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีการกั๊กที่แน่นอนทปอ.รับเคลียริงเฮาส์ TCAS รอบ 3/2 ยังมีปัญหากั๊กที่นั่ง แต่ปัญหาจะลดลง เชื่อเกิดเฉพาะมหาวิทยาลัยดังไม่เกิน 5 แห่ง แจงคัดเลือกเด็กตามลำดับไม่ได้ เหตุมหาวิทยาลัยมีเกณฑ์พิจารณาเอง ไม่มีเกณฑ์กลางแบบแอดมิชชัน ห่วงเด็กคะแนนสูงยังไม่รู้จักตัวตน ไม่มีเป้าหมายชัดเจนในการเลือกเรียน ด้านผู้ปกครองพ้อระบบทำเครียดทั้งบ้าน ลูกถึงกับร่ำไห้ เผยเคยทำหนังสือแจง ทปอ.แล้ว แต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีการกั๊กที่แน่นอน

วันนี้ (30 พ.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีการประชุมหารือกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS) รอบ 3 โดยเฉพาะกรณีการกั๊กที่นั่ง จนจะมีการระดมพลมายัง สกอ.ในวันที่ 31 พ.ค. 2561 ซึ่งมีผู้ปกครองบางส่วนเข้าร่วมหารือด้วยนั้น

รศ.ดร.ประเสริฐ คันธมานนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธยบุรี (มจธ.) ในฐานะเลขาธิการ ทปอ. แถลงภายหลังการประชุมว่า จากข้อกังวลและร้องเรียนเรื่องดังกล่าว ทปอ.จึงมีการหารือและแก้ไขปัญหาโดย เพิ่มการเคลียริงเฮาส์ TCAS รอบ 3 เป็น 2 รอบ โดยในรอบที่ 3/1 ตรงกับวันที่ 1-3 มิ.ย. 2561 หลังจากยืนยันสิทธิ์แล้ว จะนำที่นั่งที่ยังว่างส่งกลับคืนมหาวิทยาลัย เพื่อให้มหาวิทยาลัยคัดเลือกเด็กและส่งรายชื่อกลับคืนมา เพื่อเคลียริงเฮาส์รอบ 3/2 โดยให้มีการสอบสัมภาษณ์พร้อมกันวันที่ 10-11 มิ.ย. 2561 โดยนักเรียนไม่ต้องสมัครใหม่หรือชำระเงิน เพราะจะใช้ 4 ตัวเลือกเดิมในการนำมาประมวลผล ทั้งนี้ หากนักเรียนไม่ได้รับคัดเลือกในรอบ 3/1 ทั้ง 4 ตัวเลือกจะนำมาพิจารณาในรอบ 3/2 ทั้งหมด แต่หากได้รับการคัดเลือกแล้ว แต่พิจารณาแล้วว่าตัวเลือกอื่นที่ยังไม่ติด มีโอกาสที่จะติดในรอบ 3/2 ก็สามารถสละสิทธิ์ได้ แต่สาขาที่สละสิทธิ์นั้นเท่ากับสละสิทธิ์ไปเลย ไม่มีการนำมาพิจารณาใหม่ในรอบ 3/2

เมื่อถามถึงรอบ 3/2 ก็จะยังมีปัญหาการกั๊กที่ เพราะหากคะแนนถึงก็สามารถติดได้ทุกอันดับ รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า ในอดีตการวิ่งรอกสอบก็มีการกั๊กที่จำนวนมาก อาจจะมากกว่า 10 ที่ และทางมหาวิทยาลัยไม่ทราบเลยว่าเด็กสละสิทธิ์หรือไม่ ส่วนระบบ TCAS รอบ 3 จะทำให้การกั๊กที่น้อยลงจาก 10 กว่าที่เหลือเพียง 4 ที่ และพอมีรอบ 3/2 ก็จะทำให้การกั๊กที่น้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะนักเรียนที่สอบติดกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ซึ่งมีประมาณ 2,000 กว่าคนเท่านั้น ได้มีการยืนยันสิทธิ์ไปแล้ว ดังนั้น การกั๊กที่จากเด็กกลุ่มนี้จะไม่เกิดขึ้น โดยเชื่อว่าจะทำให้ปัญหาการกั๊กที่นั่งลดลง 70-90% แต่คงตอบไม่ได้ว่าจะหายไปทั้งหมด ทั้งนี้ ปัญหาการกั๊กที่นั่ง มองว่าจะเกิดในมหาวิทยาลัยดังที่เด็กทุกคนอยากเข้าเรียน เชื่อว่าจะเกิดกรณีรุนแรงไม่น่าจะเกิน 5 มหาวิทยาลัยดังที่เด็กอยากเข้าเท่านั้น

เมื่อถามถึงข้อเสนอให้ TCAS รอบ 3 มีการจัดลำดับในการเลือก เพื่อไม่ให้เกิดการกั๊กที่นั่ง รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า เรื่องนี้ ทปอ.ไม่สามารถทำได้ เพราะ TCAS รอบ 3 เป็นการรับตรงของแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งมีเกณฑ์ในการคัดเลือกแตกต่างกัน ทปอ.ทำหน้าที่เป็นเพียงหน่วยงานประสานเท่านั้น ไม่ได้มีเกณฑ์กลาง หรือเป็นผู้กำหนด ต่างจากรอบ 4 แอดมิชชัน ที่ ทปอ.สามารถจัดลำดับได้ เพราะมีเกณฑ์กลางในการคัดเลือกเด็ก ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่ามีผู้ยืนยันสิทธิ์ TCAS รอบที่ 1 และ 2 แล้วและไม่มีการสละสิทธิ์จำนวน ประมาณ 120,000 คน ส่วนรอบที่ 3 มีผู้สมัครจำนวน 106,000 คน แต่มีที่นั่งรองรับ 100,300 ที่นั่ง

“ขณะนี้สิ่งที่ผมเป็นห่วง ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการกั๊กที่ แต่เป็นประเด็นที่เด็กกลุ่มได้คะแนนสูงเลือกทั้งคณะแพทย์ในส่วนของ กสพท. และยังไปเลือกคณะนิเทศศาสตร์ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กไม่มีความชัดเจนในเป้าหมายการเรียนและในชีวิต ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะเท่ากับเด็กไม่รู้จักตนเอง อาจจะส่งผลต่อการเรียนในอนาคต อีกทั้งสะท้อนให้เห็นว่าเด็กไม่สนใจเรียนในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ แต่มองว่าตัวเองคะแนนสูงจะเรียนในสาขาใดก็ได้ ดังนั้น ผมคิดว่าการที่จะมาคิดว่าการกั๊กที่เป็นเรื่องน่ากลัว เราควรจะกลัวอนาคตของประเทศก่อนดีหรือไม่ หากเด็กเลือกมหาวิทยาลัยจากคะแนนสูงอย่างเดียว” รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าว

รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่สังคมมองว่าการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเป็นรายได้ของมหาวิทยาลัยเพราะต้องเสียค่าสมัครนั้น ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยอาจจะมีรายได้จากการสมัครจริง เนื่องจากระบบการรับตรงอิสระมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้จัดสอบ กำหนดค่าสมัคร และเกณฑ์ต่างๆ เป็นไปตามมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ซึ่งทำให้เด็กวิ่งรอกสอบและต้องเสียค่าสมัครจำนวนมาก รวมถึงบางคนต้องเสียค่าเดินทาง ค่าที่พัก หรือบางมหาวิทยาลัยต้องเสียค่าเล่าเรียนเพื่อจองมหาวิทยาลัยไว้ และบางคนสามารถสมัครได้ถึง 10 มหาวิทยาลัย แต่ในระบบทีแคสรอบ 3 นี้ เป็นการแก้ปัญหาวิ่งรอกสอบและลดค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง ซึ่งนักเรียนจะเสียค่าสมัครตามที่นักเรียนเป็นคนเลือกเท่านั้น ซึ่งหากเลือก 4 อันดับ จะเสียค่าสมัครมากสุดเพียง 900 บาท เท่านั้น

เมื่อถามว่าในปีถัดไปก็จะยังเกิดปัญหาเดิมหรือไม่ รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า จะมีการพัฒนาระบบให้ดีขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ TCAS ออกแบบและคิดเพื่อแก้ปัญหาที่มีในประเทศ ซึ่งยอมรับว่าอาจมีความไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าเห็นก็ต้องแก้ไข หากทำให้น้องๆ รู้สึกกังวลใจเดือดร้อนเมื่อจัดการแล้วทำให้เกิดข้อกังวลใจเพิ่มขึ้นมาก็พร้อมขอโทษ ซึ่งระบบนี้คิดว่าพยายามสร้างสมดุลของระบบที่ไม่มีทางเลือกเลย และให้ทางเลือก สมดุลระหว่างการเลือกและลดความไม่เป็นธรรม

เมื่อถามถึงเด็กที่เดินทางมาในวันที่ 31 พ.ค. รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า หากคิดว่ามีปัญหาก็เดินทางมาได้ แต่ ทปอ.ก็พยายามแก้ปัญหาแล้ว

นางเฉลิม เติมทอง ผู้ปกครองนักเรียนที่สอบ TCAS รอบ 3 กล่าวว่า พวกตนกังวลกันมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ระบบ TCAS รอบ 3 นี้จะต้องมีการกั๊กที่ ซึ่งผู้ปกครองบางกลุ่มก็มีการทำหนังสือมายัง ทปอ. แต่ก็ได้รับการตอบกลับว่าอย่าไปกังวล ไม่มีการกั๊กที่แน่นอน แต่จากการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกาศผลสอบ TCAS รอบ 3 เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ในส่วนของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ลูกตนเลือกสมัครนั้น มีนักเรียนที่มีชื่อติดหลายสาขาซ้ำกัน เช่น ติดทั้งวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ติดทั้งวิศวกรรมทั่วไป แต่เลือกยืนยันสิทธิ์ได้เพียงสาขาเดียว ส่งผลให้ตรงนี้กลายเป็นการกั๊กที่ เพราะเด็กโคตรเก่งจะต้องถีบเด็กเก่งปานกลางลงไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการกั๊กที่

“จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ลูกและครอบครัวเครียดกันมาก ลูกถึงขั้นกับร้องไห้กับเรื่องนี้ มองว่า ทปอ.ควรทำให้เด็กที่สมัครรอบ 3 ได้ที่นั่งให้เต็ม ไม่ควรผลักไปยัง TCAS รอบ 4 เนื่องจากใช้เกณฑ์คนละเกณฑ์ เช่น สอบวิศวะในรอบ 3 ใช้แพต 3 แต่รอบ 4 ใช้แพต 2 ซึ่งลูกตนไม่ได้สอบแพต 2 ถามว่าหากผลักไปเป็นรอบ 4 ก็ได้รับผลกระทบ รวมไปถึงบางสาขาอาจไม่เปิดรับในรอบที่ 4 ด้วยซ้ำ” นางเฉลิม กล่าว

นางเฉลิม กล่าวว่า รอบ 3 ควรเป็นการเลือกแบบมีลำดับ คะแนนถึงตรงไหนก็ควรได้อันดับนั้นที่เดียว ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เข้าใจกันว่าเลือกแบบไม่มีอันดับหมายความว่าอะไร สุดท้ายจึงมารู้ว่าไม่มีลำดับคือ คนที่คะแนนสูงได้ทุกที่ และหาก TCAS 3/2 ไม่มีลำดับทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นแบบเดิม เพราะคนสอบมีกว่า 3 แสนคน ก็ต้องมีการกั๊กที่กันเหมือนเดิมอยู่ดี จึงอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบ และการแก้ปัญหาของ ทปอ.ควรให้มีผู้ส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ไม่ใช่แอบหารือกันแล้วออกมาประกาศ และไม่ควรใช้ระบบนี้อีกในปีหน้า เพราะตนมีลูกอีกคนก็หวั่นว่าจะเกิดปัญหาแบบเดิมๆ

ด่วน..เปิดปฏิทินสอบครูผู้ช่วย ครั้งแรก ปี 61

สพฐ.เตรียมประกาศรับสมัครสอบครูผู้ช่วยปี 2561 สอบ ภาค ก 18 ส.ค.นี้ บรรจุแต่งตั้งภายใน 1 ต.ค. 

     นายอัมพร พินะสา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการ   ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ประจำปี 2561  ซึ่งจะบรรจุ วันที่ 1 ต.ค.2561 เพื่อแก้ปัญหาในภาพรวมทั้งการทดแทนอัตราเกษียณฯ และเพื่อไม่ให้กระทบกับครูโรงเรียนเอกชนนั้น ขณะนี้ ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการ กพฐ.ได้เห็นชอบปฏิทินสอบครูผู้ช่วยแล้ว โดยจะประกาศรับสมัครสอบแข่งขันภายในวันที่ 11 ก.ค.61  รับสมัคร วันที่ 18-24 ก.ค.61 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ วันที่ 31 ก.ค.61 สอบข้อเขียน ภาค ก ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม และอุดมการณ์ความเป็นครู มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา วันที่ 18 ส.ค.61  สอบภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง วันที่ 19 ส.ค.61 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์ ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ วันที่ 27 ส.ค.61 สอบสัมภาษณ์ ภาค ค วันที่ 1 ก.ย.61 ประกาศผลสอบวันที่ 6 ก.ย.61 และบรรจุแต่งตั้งภายในวันที่ 1 ต.ค.61

 “ ปฏิทินนี้สอดคล้องกับการย้ายครู การขอใช้อัตรากำลังครูที่จะเกษียณฯ และการสอบครูผู้ช่วยและบรรจุทดแทนอัตราเกษียณฯ  ซึ่งคาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการในอีกประมาณ 2 สัปดาห์  ทั้งนี้ปี 2561 มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา  ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการโรงเรียนเกษียณฯ ประมาณ 20,000 คน โดยอัตราที่คืนมาจะใช้บรรจุโครงการครูพัฒนาท้องถิ่น บรรจุสอบคัดเลือกพนักงาน ลูกจ้างเป็นข้าราชการครู และบรรจุนักศึกษาทุนประเภทต่าง ๆ ส่วนที่เหลือจะใช้บรรจุครูทั่วไป”นายอัมพรกล่าว

“ธีระเกียรติ”ลุยสางทุจริตศธ.เผยชื่อ 3บิ้กเอี่ยวควาเรียม โกศล เดินสายปราบทุจริต ประเดิมภาคอีสานใต้ พบตั้งฏีกาลอย 57 ฏีกา

     นพ.ธีระเกียรติ  เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.)  เปิดเผย ถึงความคืบหน้าการติดตามปัญหาการทุจริต ที่เกิดขึ้นในศธ. ว่า  นายการุณ  สกุลประดิษฐ์  ปลัดศธ.  และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการก่อสร้างโครงการสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา ที่วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ได้ส่งสรุปผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ระยะแรก ตั้งแต่เริ่มโครงการปี 2549 จำนวนเงิน 835 ล้านบาท  มาให้ตนพิจารณาแล้ว โดยข้อเท็จจริงก็ควรจะดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่ปี2556-2557 มิหนำซ้ำยังมีการจ่ายเงินล่วงหน้าทันที 15% หรือจำนวน เงิน125 ล้านบาท แต่การก่อสร้างก็ไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และมีการแก้ไขแบบรูปรายการถึง  6 ครั้ง  ทั้งนี้คณะกรรมการตรวจสอบฯ สรุปชัดเจนว่า การแก้ไขแบบรูปรายการทั้ง 6 ครั้ง มีเหตุผลไม่เพียงพอ และน่าจะเอื้อกับผู้รับเหมาก่อสร้าง ทำให้ราชการเสียประโยชน์  และจากการหารือกับฝ่ายกฎหมาย เห็นว่า ผลสรุปของทางคณะกรรมการตรวจสอบฯ ยังขาดการสรุป ในส่วนข้อมูลสำคัญ ทั้งขั้นตอนการส่งให้แก้ไขแบบรูปรายการมีใครบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง  เพียงแต่บอกว่าช่วงที่มีการแก้ไขแบบรูปรายการ ใครเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ดังนั้นจึงสั่งการให้คณะกรรมการตรวจสอบขั้นตอนการแก้ไขแบบรูปรายการดังกล่าว

     รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า แม้ข้อมูลจะยังไม่เพียงพอ แต่ไม่ใช่ว่า อดีตเลขาธิการกอศ. ที่เกี่ยวข้องจะพ้นผิดได้ ซึ่งมี 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัญญา ดังนั้นเพื่อความชัดเจน และให้เกิดความยุติธรรม ตนจึงมีคำสั่งให้คณะกรรมการตรวจสอบฯ ไป สรุปเพิ่มเติมในส่วนของขั้นตอนการดำเนินงาน  เช่น การแก้ไขแบบรูปรายการว่ามีการสั่งการจากใคร หรือมีคนข้างล่างเสนอขึ้นมา  ขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง  ซึ่งตรงนี้ยังไม่ได้สรุปให้ตนทราบ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า อดีตเลขาธิการกอศ. ทั้ง 3 คน จะไม่ต้องรับผิดชอบ เพียงแต่ตนต้องการเห็นภาพให้ชัดเจนว่า ใครเกี่ยวข้องอย่างไร และต้องรับผิดชอบตรงไหน

     ระยะที่ 2 อยู่ระหว่างรอสรุปผล โดยที่ผ่านมา ตนและนายสุเทพ  ชิตยวงษ์ เลขาธิการกอศ. ได้หารือกับ พล.อ. สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์  รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อย่างไม่เป็นทางการ โดยขั้นตอนต่อไป นายสุเทพ จะประเมินความเสียหาย และจัดสรรงบฯ ประมาณ ดำเนินการจัดสร้างอควาเรียมให้แล้วเสร็จ จากนั้นจะส่งมอบให้ ทส. บริหารต่อเพราะศธ. ไม่มีผู้เชี่ยวชาญและกำลังในการดำเนินการ ทั้งนี้สาเหตุที่ต้องดำเนินการให้เสร็จก่อนส่งมอบเพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระกับทางทส.

     นพ.ธีระเกียรติ กล่าวอีกว่า  นอกจากนี้  พล.ท.โกศล  ประทุมชาติ  ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการศธ.  ได้รายงานข้อมูลจากการลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาการทุจริตในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 จังหวัด คือ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม นครราชสีมา และชัยภูมิ  ซึ่งหลายเรื่องทำให้ตนไม่สบายใจว่า น่าจะมีการทุจริต จึงมอบหมายให้ดำเนินการตรวจสอบต่อไป

     พล.ท.โกศล กล่าวว่า กรณีการตรวจสอบอควาเรียม มีอดีตเลขาธิการกอศ. ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขแบบรูปรายการก่อสร้าง 3 ราย คือ  นายพรหมสวัสดิ์ ทิพย์คงคา ดำรงตำแหน่งปี2552-2553 มีการแก้ไขแบบ 1 ครั้ง นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์  ดำรงตำแหน่งปี2553-2554 แก้ไขแบบ 1 ครั้ง และนายชัยพฤกษ์  เสรีรักษ์ ดำรงตำแหน่งปี2555-2559 แก้ไขแบบ 4 ครั้ง  ทั้งนี้คณะกรรมการตรวจสอบคงยังไม่เชิญ ทั้ง 3 รายมาให้ข้อมูล เพราะขั้นในตอนสอบสวนวินัย จะต้องเชิญให้ข้อมูลอยู่แล้ว ซึ่งระหว่างรอคณะกรรมการตรวจสอบฯสรุปผลเพิ่มเติม ตนอาจจะเสนอให้ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยควบคู่ไปด้วย ส่วนจะสอบวินัยร้ายแรงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับข้อมูลคณะกรรมการตรวจสอบฯ รวมถึงดูด้วยว่ามีความเชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้องในส่วนใดบ้าง

     ส่วนการลงพื้นที่จังหวัดภาคอีสาน  พบปัญหาการทุจริตเกิดขึ้นในหลายจังหวัด หลายเรื่องดำเนินการในรูปแบบเครือข่าย  กรณีแรก พบเจ้าหน้าที่พัสดุ ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา( สพป.)นครราชสีมา เขต 5 มีการวางฎีกาเบิกเงินซ้ำ โดยโรงเรียนแรก เบิกซ้ำไป 8 หมื่นบาท ส่วนอีกโรงเรียนโดนไป 3 ฎีกา 3 แสนบาท ทั้งนี้รูปแบบการทุจริต พบว่า มีการใช้ข้อมูลของร้านค้าที่โรงเรียนตั้งเบิกเงิน  แต่เปลี่ยนชื่อรหัส ซึ่งร้านค้าที่โรงเรียนใช้อยู่ในจังหวัดนครราชสีมา แต่ร้านค้าที่ถูกเปลี่ยนชื่อ อยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร นอกจากนั้นยังมีการทำฎีกาลอยทิ้งไว้ที่เขตพื้นที่ฯ พอใกล้สิ้นปีงบประมาณ  ซึ่งจะมีงบฯเหลือจ่าย กลุ่มคนเหล่านี้จะใช้ฎีกาลอย เบิกเงินของโรงเรียนซ้ำอีกเป็นประจำ เท่าที่พบมีการตั้งฎีกาลอยไว้แล้วประมาณ 57 ฎีกา  เรื่องนี้มีผู้หวังดีกับศธ. และทนพฤติกรรมไม่ไหว มาให้ข้อมูลโดยคณะทำงานของตนได้ทำบันทึกปากคำไว้เรียบร้อยแล้ว  ถือว่ามีพยานหลักฐานชัดเจน  และตอนนี้ทราบว่าศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ได้ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงเจ้าหน้าที่พัสดุแล้ว ทั้งนี้เท่าที่ตรวจสอบพบว่าข้อมูลที่ตนได้รับจากการลงพื้นที่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลการสอบสวนของศธจ. โดยตนคิดว่า น่าจะมีผู้บริหารระดับสูงในเขตพื้นที่ฯ เกี่ยวข้องด้วย  จึงขอสรุปสำนวนผลสืบสวนจากศธจ. เพื่อประมวลได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ ไม่ใช่จับปลาซิว ปลาสร้อย  เจ้าหน้าที่พัสดุคนเดียวไม่น่าจะทำได้เพราะรหัสการตั้งเบิกจะมีเฉพาะหัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน  และผู้อำนวยการเขตฯเท่านั้น  โดยขณะนี้ผู้ที่ให้ข้อมูลมีการถูกข่มขู่และทำร้าย ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะต้องสั่งให้มีการคุ้มครองพยานด้วย

     พล.ท.โกศล กล่าวต่อว่า อีกเรื่อง เป็นพฤติกรรมของผู้บริหารเขตพื้นที่ฯ ในจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีผู้อำนวยการโรงเรียนในพื้นที่จำนวน 10 คนเข้ามาให้ข้อมูลพร้อมหลักฐานว่ามีการตกเขียว ในปีงบประมาณ 2562  โดยเรียกเงิน 10%จากผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ   ให้โรงเรียนจ่ายก่อน 5% เมื่อได้รับงบฯ แล้ว ให้จ่ายอีก 5% โรงเรียนส่วนใหญ่ต้องยอมเพราะถ้าไม่ให้ก็จะไม่ได้รับงบฯ  การดำเนินการจะทำเป็นระบบเครือข่าย ประธานเครือข่ายกลุ่มโรงเรียน จะแจ้งผู้อำนวยการโรงเรียนที่ได้รับงบฯ   ซึ่งเรื่องนี้เรามีหลักฐานเป็นพยานบุคคลชัดเจนและจะส่งเรื่องให้สพฐ. เร่งดำเนินการกับผอ.สพท. ต่อไป

     “เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดยโสธร  ร้องเรียนมาที่คณะทำงานของผม  ขอให้ตรวจสอบการจัดซื้อครุภัณฑ์ฝึกทักษะมัธยมศึกษาตอนต้น งบประมาณ 6 แสนบาทต่อโรงเรียน  ว่าอาจจะมีการล็อกสเป็ก  จากการลงพื้นที่ มีโรงเรียนในพื้นที่มาให้ข้อมูล และได้ตรวจสอบกับ ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สพฐ. พบว่า งบดังกล่าว มีการแจ้งจัดสรรเมื่อ 26 ธันวาคม 2560 โรงเรียนได้รับการจัดสรรรวม 458 โรงเรียน งบทั้งสิ้น 279 ล้านบาท แต่ภายหลังเมื่อมีการอนุมัติงบฯ พบว่า มีโรงเรียนที่ได้รับการจัดสรรงบฯทั้งหมด 600 กว่าโรงเรียน ไม่ตรงกับที่อนุมัติ  ขณะที่มีหลายโรงเรียนสะท้อนว่าไม่ได้ต้องการครุภัณฑ์ดังกล่าว บางโรงเรียนเสนอขอแต่ได้ไม่ตรงตามที่เสนอ โดยทราบว่างบฯดังกล่าวจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม ซึ่งอยู่ที่สพฐ.จะพิจารณาว่า จะเดินต่อหรือจะหยุด โดยขณะนี้ยังไม่มีการเบิกจ่ายงบ โรงเรียนที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน  ทั้งนี้เรื่องดังกล่าว ทางสพฐ.  มีหนังสือสอบถามไปยังโรงเรียนทั้งหมดแล้วว่า ประสงค์อยากได้ครุภัณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ “พล.ท.โกศล กล่าว

     ด้านนายอัมพร พินะสา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ความคืบหน้าการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) 32 บุรีรัมย์ จำนวน 3 ราย ต่อเนื่อง จัดอบรมครู โดยไม่มีการอบรมจริง ซึ่งล่าสุด ตนในฐานประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริต ได้สรุปผลสอบ โดยล่าสุดดร.บุญรักษ์  ยอดเพชร เลขาธิการ กพฐ. ได้ลงนาม ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง อดีตผู้อำนวยการสพม.32 บุรีรัมย์ ทั้ง 3 รายแล้ว โดยปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสพม. เขต1 กทม. และสพม. เขต2 กทม. ส่วนอีก 1 รายเป็นรองศึกษาธิการภาค (ศธภ.)   ทั้งนี้ไม่ต้องใช้ มาตรการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ ประพฤติมิชอบในระบบราชการ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะทั้ง 3 รายไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดิมแล้ว

5 มิ.ย.ได้ฤกษ์MOUภาคเอกชนร่วมพัฒนาโรงเรียน

      นพ.อุดม คชินทร  รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังประชุมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบรายละเอียดในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการดำเนินโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาระหว่างภาคเอกชนและโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการซึ่งมีกรอบเวลาความร่วมมือ 5 ปี โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการประกาศรายชื่อภาคเอกชน 10 แห่งและรายชื่อ 40 โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ แต่ล่าสุดมีภาคเอกชนเสนอเข้าร่วมโครงการเพิ่มอีก 1 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมบริหารโรงเรียน 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนวัดนิเวศวุฒาราม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครสวรรค์ เขต 1 และโรงเรียนบางหมาก สพป.ตรัง เขต 2  ซึ่งเท่ากับว่าภายใต้โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา มีภาคเอกชนร่วมสนับสนุน 11 แห่งและโรงเรียน 42 แห่ง โดยพิธีลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทุกโรงเรียนเปิดเทอมแล้ว  ซึ่งกลุ่มโรงเรียนร่วมพัฒนาจะต้องเร่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถานศึกษา  โดยการบริหารงานจะเปลี่ยนไปเน้นความคล่องตัวขึ้น สามารถบริหารจัดการบุคลากร  งบประมาณ  การจัดการศึกษา ได้เอง โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็จะดูแล ปลดล็อก ระเบียบข้อกฎหมายที่เป็นข้อ จำกัดให้

     “ในวันที่ 4 มิ.ย.นี้จะเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนทั้ง 42 แห่ง มาให้ข้อมูลว่าทำอะไรไปบ้าง และมีข้อติดขัดอะไรหรือไม่ ขณะเดียวกัน จะมีการคณะกรรมการติดตามประเมินและวิจัย ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลติดตามประเมินผลตั้งแต่ผู้บริหาร  ครู นักเรียน ชุมชน โดยเชื่อมโยงในทุกมิติเพื่อดูผลสัมฤทธิ์  ที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปอย่างที่ตั้งใจหรือไม่” นพ.อุดม กล่าวและว่า  โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ถือเป็นเป้าหมายสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ ที่ ศธ.จะต้องทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิรูปการศึกษาได้แท้จริง  ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ โครงการนี้ครอบคลุมโรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันเฟสแรกที่ทำกับโรงเรียน 42 แห่งนั้นครอบคลุม 31 จังหวัด ขณะที่เป้าหมายของโครงการแต่ต้นคือ 77 จังหวัด ทั้งนี้ยัง มีข้อเสนอว่าอนาคตอาจจะขยายไปให้มีโรงเรียนร่วมพัฒนาใน 225 เขตพื้นที่การศึกษาเขตละ 1 แห่งเพื่อเป็นแนวทางกับโรงเรียนอื่นๆในสังกัดกว่า 3 หมื่นโรง ขณะเดียวกัน จะเจรจากับหน่วยงานอื่นๆ ที่มีสถานศึกษาในกำกับ เช่น กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้มาร่วมมือตามแนวทางนี้เพื่อเป็นพลังในการพัฒนาประเทศด้วย

     ด้าน นายมีชัย วีระไวทยะ คณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา กล่าวว่า สิ่งที่จะได้เห็นในโรงเรียนร่วมพัฒนาคือ โรงเรียนจะกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคน เช่น อยากรู้เรื่องกฎหมาย อาชีพ สุขภาพ มาบอกโรงเรียนก็จะหาผู้รู้มาช่วยสอน และเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งชุมชนตนเองและชุมชนใกล้เคียง ให้รอดพ้นจากความยากจน ขณะที่นักเรียน จะต้องมีส่วนร่วมในการเรียน การสอน และการจัดการในโรงเรียนตลอดจนร่วมดูแลชุมชน ซึ่งจะมีการจัดตั้งองค์การบริหารหมูบ้านเยาวชนขึ้น ให้เยาวชนร่วมกำหนดวางแผนดูแลชุมชน

เอกชนใจดีมอบที่ดิน 41 ไร่สร้างโรงเรียนเพื่อเด็กพิเศษ

ปนัดดา อยู่วิทยาบริจาคที่ดิน 5 แปลง รวม 41 ไร่ สร้างโรงเรียนศึกษาพิเศษชลบุรี หวังแทนคุณแผ่นดิน

     นายณรงค์ แผ้วพลสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิการจัดการศึกษาในศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ เพื่อเปิดให้ผู้มีความประสงค์และมีความพร้อมเข้ามาช่วยรัฐจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในรูปแบบศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ โดยรัฐจะส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียบกับการศึกษารูปแบบอื่น ๆ และเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และ บอร์ด กพฐ.ก็ได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งโรงเรียนศึกษาพิเศษชลบุรี และโรงเรียนศึกษาพิเศษเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จังหวัดยะลา เป็นโรงเรียนเฉพาะความพิการ เพื่อดูแลเด็กพิการในพื้นที่ไปแล้วนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ น.ส.ปนัดดา อยู่วิทยา ที่ได้แสดงความจำนงที่จะบริจาคที่ดินและสิ่งก่อสร้างให้แก่โรงเรียนศึกษาพิเศษชลบุรี ได้มาทำลงนามบันทึกข้อตกลงบริจาคที่ดินจำนวน 5 แปลง รวมกว่า 41 ไร่ พร้อมเตรียมดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนศึกษาพิเศษชลบุรี ต่อไป

     “ถือเป็นเจตจำนงที่แนวแน่ที่จะช่วยเหลือเด็กกลุ่มพิเศษอย่างจริงจัง เพราะไม่ใช่แค่บริจาคที่ดินและสิ่งก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังได้ลงลึกโดยส่งทีมงามมาให้แนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) และสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(สศศ.) ที่จะมาบูรณาการและออกแบบการบริหารจัดการ เพื่อให้มีโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษและเด็กพิการที่จะเป็นต้นแบบในการดูแลเด็กเหล่านี้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึงทั้งประเทศในอนาคต ”รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าว

     ด้าน น.ส.ปนัดดา กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นความตั้งใจมานานแล้วที่จะตอบแทนแผ่นดิน โดยมองว่าวันนี้ศูนย์การศึกษาพิเศษที่ดี ๆ ในประเทศไทยยังมีน้อยมาก ที่มีอยู่ก็ยังมีปัญหาอยู่บ้าง ดังนั้นจึงมีความตั้งใจที่จะทำให้โรงเรียนศึกษาพิเศษชลบุรี เป็นโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนรวมพร้อมระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นในปี 2562 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566

รร.เอกชนโวยเด็กลาออกหลังสพฐ.ยืดหยุ่นเกณฑ์รับนักเรียน

     หลังเปิดให้โรงเรียนรัฐยืดหยุ่นจำนวนนักเรียนต่อห้องได้มากกว่า 40 คน ปรากฎเด็กกว่า 4,000 คนขอลาออกจากโรงเรียนเอกชนไปใช้สิทธิเข้าเรียนพื้นที่บริการ ขนาดเปิดเรียนแล้วเกือบอาทิตย์หน้ายังมาลาออก แค่อ้างยังไม่มีที่เรียนก็รับแล้ว

จากกรณีที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เห็นชอบให้คณะกรรมการสถานศึกษาและ คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.) พิจารณายืดหยุ่นจำนวนนักเรียนต่อห้อง จาก 40 คน และจำนวนห้องเรียน ได้ตามความเหมาะสม และตามสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงคุณภาพของนักเรียน และความเดือดร้อนของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการรับนักเรียนปีการศึกษา 2561 เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการได้รับร้องเรียนว่าการกำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้องที่ 40 คนทำให้นักเรียนในเขตพื้นที่บริการบางส่วนไม่มีโอกาสเข้าเรียนในพื้นที่บริการได้ นั้น ผศ.ดร.ศุภเสฏฐ์ คณากูล นายกสมาคมคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชน (ส.ปส.กช.) เปิดเผยว่า จากการยืดหยุ่นดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชนอย่างมาก เนื่องจากการประกาศยืดหยุ่นเกิดขึ้นก่อนเปิดภาคเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งขณะนั้นโรงเรียนได้รับนักเรียนและมีการจัดห้องเรียน รวมถึงเตรียมแผนการสอนกันแล้ว

“เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)แจ้งไปยัง กศจ. เขตพื้นที่การศึกษา และมีการพิจารณายืดหยุ่นให้ปรับเพิ่มจำนวนนักเรียนต่อห้องได้มากกว่า 40 คนปรากฎว่า มีนักเรียนโรงเรียนเอกชนลาออกเพื่อไปเข้าเรียนโรงเรียนรัฐรวมทั้งประเทศกว่า 4,000 คน แม้แต่เปิดเทอมไปแล้วเด็กเข้ามาเรียนแล้วเกือบหนึ่งสัปดาห์ก็ยังมีเด็กมาลาออก ซึ่งทำให้โรงเรียนเอกชนได้รับความเดือดร้อน และผลกระทบนี้อาจส่งไปถึงการเลิกจ้างครูในโรงเรียนเอกชนบางส่วนด้วย”นายก ส.ปส.กช.กล่าวและว่า ในทางปฏิบัติโรงเรียนเอกชนก็เข้าใจ สพฐ.ที่ถูกกดดันจากหลายทางให้ต้องยืดหยุ่นเรื่องนี้ แต่เมื่อยืดหยุ่นแล้วโรงเรียนปฏิบัติตามนโยบายก็จะไม่มีปัญหา แต่บางโรงเรียนไม่ทำตามเงื่อนไข แค่เด็กมาบอกว่าไม่มีที่เรียนก็รับแล้วทำให้เกิดผลกระทบขึ้นมา จึงอยากขอให้ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาแก้ไขปัญหานี้รวมถึงเตรียมวางมาตรการรองรับการรับนักเรียนในปีการศึกษาหน้าด้ว

สพฐ.คุมเข้มพัฒนาครูเฟส2 “หมอธี”เปิดทางให้วิพากษ์.

หลังจากปีที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)โดยนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ทุ่มงบฯก้อนโต ถึง 4,000 ล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาครูให้ครบวงจร…หวังจะให้ครูได้พัฒนาเพื่อนำไปต่อยอดให้กับนักเรียน เรียนอย่างมีคุณภาพ และเรียนอย่างมีความสุข ตามเป้าหมายของรัฐบาล…โดยมอบหมายให้ สำนักพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา(สพค.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)รับผิดชอบ เป็นเจ้าของโครงการ แต่เพราะเป็นนโยบายเร่งด่วน..เร่งรีบ..จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ ครูแตกตื่นกับคูปองครูหัวละ 10,000 ที่ให้ครูเลือกช้อปปิ้งหลักสูตรอบรม…ผลที่ตามมาจึงไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ของเสมา1 ผู้กุมบังเหียนในวังจันทร์เกษม

เพราะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ ประกอบกับได้รับคำแนะนำและข้อเสนอแนะจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งนักวิชาการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงเรื่องของงบประมาณ คุณภาพวิทยากร หลักสูตร ราคา และการเดินทางของครู  รวมถึงผลที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาครูในปี 2560  ซึ่ง ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าการพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร ซึ่งเป็นการจัดงบประมาณอบรมหรือคูปองให้แก่ครู สำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นการจัดโครงการพัฒนาครูแบบครบวงจร ระยะที่ 2 ปีนี้จะคุมเข้มมากขึ้น โดยจะมีหลักการที่สำคัญ  4 เรื่อง คือ  1. การคัดเลือกหลักสูตรให้เป็นหน้าที่ของสถาบันคุรุพัฒนา ที่จะพิจารณาว่า หลักสูตรที่หน่วยจัดอบรมเสนอมา เป็นอย่างไร เป็นไปตามหลักวิชาการหรือไม่  เมื่อสถาบันคุรุพัฒนาพิจารณาหลักสูตรเรียบร้อยแล้วก็จะส่งหลักสูตรนั้นมาที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ซึ่งสพฐ.ก็จะพิจารณาโดยคณะกรรมการ 2 คณะ คือคณะกรรมการประเมินและคัดเลือกหลักสูตร เพื่อประเมินความเหมาะสม ในการนำหลักสูตรไปใช้ ในการพัฒนาข้าราชการครูของสพฐ. โดยมีนางสุกัญญา งามบรรจง รองเลขาธิการกพฐ.เป็นประธาน และคณะกรรมการประเมินความเหมาะสมราคาค่าลงทะเบียนหลักสูตร ให้สอดคล้องตามระเบียบของกระทรวงการคลัง โดยมีนายณรงค์ แผ้วพลสง รองเลขาธิการ กพฐ.เป็นประธาน เพื่อให้มั่นใจว่า หลักสูตรนั้น ๆ มีความเหมาะสมกับการนำมาพัฒนาครูอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ.หรือไม่

เรื่องที่ 2. ค่าลงทะเบียนมีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะไม่ว่าหน่วยจัดอบรมจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐ สพฐ.ก็ต้องอนุมัติภายใต้กรอบระเบียบของกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และที่สำคัญมาตรการประหยัดของ สพฐ. ซึ่งมีการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด เพราะ สพฐ.มีภาระต้องดูแลครูกว่า 400,000 คน  เรื่องที่ 3. คุณภาพหลักสูตร ซึ่งจะมีการติดตามประเมินว่า หน่วยจัด หรือหน่วยพัฒนา ได้ทำตามเงื่อนไขการจัดอบรมหรือไม่  โดย สพฐ.จะมีคณะกรรมการประเมินหลักสูตร ประกอบด้วย  ผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) และผู้แทนครูที่เข้ารับการอบรม มาช่วยกันประเมินว่า สิ่งที่หน่วยจัดโฆษณาประชาสัมพันธ์กับสิ่งที่จัดอบรมเป็นอย่างไร หากไม่ผ่านการประเมินและไม่ทำตามเงื่อนไขที่เสนอกับสถาบันคุรุพัฒนา สพฐ.ก็จะแจ้งให้สถาบันคุรุพัฒนาเพิกถอนการอนุมัติหลักสูตร ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถเบิกเงินที่จัดอบรมได้ และ เรื่องที่ 4  จะมีการกำหนดระยะทางในการเดินทางไปอบรมของครู โดยเบื้องต้นได้มีการหารือกันแล้วว่า จะให้อยู่ในกลุ่มจังหวัด เพราะไม่อยากให้ครูเดินทางไกล ซึ่งนอกจากต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงแล้ว อาจต้องเบียดบังเวลาราชการที่จะต้องอยู่กับเด็กได้

นพ.ธีระเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ ได้พูดถึงเรื่องนี้เช่นกันว่า ขณะนี้ทราบว่ามีหน่วยพัฒนาครูเสนอหลักสูตรพัฒนาครูให้สถาบันคุรุพัฒนา พิจารณารับรองกว่า 5,000 หลักสูตร แต่ปรากฏว่ามีหลักสูตรที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานน้อยมาก เพราะปีนี้ มีนโยบายและกำชับสถาบันคุรุพัฒนา ต้องพิจารณาหลักสูตรด้วยความเข้มข้น เนื่องจากปีที่ผ่านมา ถูกติงว่าสถาบันคุรุพัฒนา ให้ผ่านง่ายเกินไป ไม่ตรงวัตถุประสงค์ที่จะนำไปพัฒนาเด็กจริง ๆ และหลักสูตรที่อบรมส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องเทคนิคการสอนไม่ค่อยมีองค์ความรู้ ฉะนั้นปีนี้คณะกรรมการพิจารณาหลักสูตร จึงต้องพิจารณาด้วยความเข้มข้นและต้องหลายขั้นตอน โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐานอย่างแท้จริง

“ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่าทำเพื่ออะไร ถ้าทำเพื่อครูก็ต้องยอมรับในมาตรฐาน ถ้าคิดว่าไม่ดีก็ต้องเสนอแนะเข้ามา ซึ่งสถาบันคุรุพัฒนา และคณะกรรมการพิจารณาหลักสูตร ล้วนแต่เป็นนักวิชาการก็ต้องนำไปคิด แต่ผมจะไม่ยุ่งเรื่องการพิจารณาหลักสูตร เพราะเป็นหน้าที่ของสถาบันคุรุพัฒนา แม้แต่หลักสูตรของมูลนิธิที่ผมเป็นประธานอยู่เสนอเข้ามาก็ยังตก หรือหลักสูตรของคนรู้จักก็ยังตก ซึ่งผมก็บอกไปว่าเรื่องนี้ไม่มีการใช้เส้นใด ๆ ทั้งสิ้น หลักสูตรที่ผ่านจะต้องได้มาตรฐานจริง ๆ”นพ.ธีระเกียรติ  กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สิ่งที่ต้องการคือหลักสูตรที่ไม่มีผู้เสนอให้สถาบันคุรุพัฒนารับรอง ซึ่งตนจะให้นโยบายไปว่าสถาบันคุรุพัฒนา ต้องออกไปตามหาและให้การรับรองหลักสูตรเหล่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กำหนดด้วย เพื่อให้ครูเข้าไปรับการอบรม เช่น บูทแคมป์ หรือการอบรมออนไลน์ เพื่อให้ครูได้รับการอบรมอย่างทั่วถึง เพราะบางคนอาจจะอยู่ไกลเดินทางไม่สะดวก

ก็ต้องจับตาดูว่า สำนักพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ จะติดตามดูหลักสูตรที่ผ่านการคัดเลือกจากสถาบันคุรุพัฒนา จะเป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์กับเด็กจริงหรือไม่

ปี 2561 ส่งเสริมคุณธรรมองค์กร-บุคคล มุ่งเน้น4ประการ”พอเพียง-วินัย-สุจริต-จิตอาสา”

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ  เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้หารือหลักเกณฑ์การคัดเลือกองค์กรคุณธรรม ซึ่งมี 3 ระดับ คือ องค์กรส่งเสริมคุณธรรม องค์กรคุณธรรม และ องค์กรคุณธรรมต้นแบบ ซึ่งประเด็นคือคณะกรรมการมีความเห็นว่า เรื่องคุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ และของประชาชนตั้งแต่เด็กจึงอยากให้ส่งเสริมคุณธรรมให้เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กรด้วย เพราะฉะนั้นในปี 2561การคัดเลือกจะเน้นเพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรและบุคคล

รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือถึงการขับเคลื่อนแผนแม่บท 4 ภาค ซึ่งได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว โดยจะเน้นการส่งเสริมคุณธรรมหลัก 4 ประการ คือ พอเพียง วินัย สุจริต และ จิตอาสา ซึ่งจะมีการรณรงค์และสร้างการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในองค์กรต่าง ๆ ระดับโรงเรียน ชุมชน จนถึงบริษัท ห้างร้าน โดยคุณธรรมทั้ง 4ประการนี้ จะเป็นหัวข้อหลักที่จะใช้จัดสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 9ในเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม 2561 ด้วย โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณารูปแบบการจัดงาน ที่จะเน้นการมีส่วนร่วมของสังคมและส่งเสริมคุณธรรมในประเทศให้เข้มแข็งและยังยืนต่อไปในอนาคต

“รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของเรื่องคุณธรรม จึงมีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรมให้เป็นรากฐานที่แข็งแรงของประเทศ อย่างไรก็ตามการส่งเสริมคุณธรรมนั้น หน่วยงานต่าง ๆ ได้มีการทำงานในเชิงบูรณาการร่วมกันอยู่แล้ว แต่คิดว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็ควรนำไปรณรงค์ในเด็กให้มากขึ้น ที่สำคัญการสอนหน้าที่พลเมืองซึ่งน่าจะมีสอดแทรกอยู่ในวิชาต่างๆ อยู่แล้ว หากได้มีการเน้นย้ำและมีการพูดเรื่องการส่งเสริมการสร้างความดีให้มาก เชื่อว่าจะเป็นการกำหนดทิศทางการปฏิรูปการศึกษาทุกระดับได้อย่างแน่นอน”นายสุวพันธุ์ กล่าว