สมเด็จพระกนิษฐาฯทรงย้ำในยุคการเรียนรู้ที่ AI มีอิทธิพล ครูควรใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ สอนนักเรียนให้ใช้ AI อย่างชาญฉลาด มีจริยธรรมและความรับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ประจำปี 2568 ณ ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยเป็นการประชุมในรูปแบบผสมผสานทางออนไลน์โดยเชื่อมสัญญาณกับสถานทูตไทยใน 13 ประเทศ ผู้เข้าร่วมพิธีทางออนไลน์ ประกอบด้วย เอกอัครราชทูตไทยประจำ 13 ประเทศ ผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการ และแขกผู้มีเกียรติซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทยในแต่ละประเทศ สำหรับผู้เข้าร่วมพิธีพระราชทานรางวัล ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกระดับจังหวัด คณะกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครูไทยที่ได้รับรางวัลครูยิ่งคุณและครูขวัญศิษย์ และนักการศึกษา

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเนื่องในพิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ปี 2568 ว่า ขอแสดงความยินดีกับครูทั้ง 14 ท่าน จาก 10 ประเทศในอาเซียน ติมอร์-เลสเต บังกลาเทศ ภูฏาน และมองโกเลีย ที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นครูที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นครูผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตศิษย์ ครูที่มีคุณภาพจะนำไปสู่นักเรียนที่มีคุณภาพซึ่งจะกลายเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศต่อไป ครูจำเป็นต้องพัฒนาวิธีการสอนที่สอดคล้องกับบริบทของนักเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต หลักสูตรและวิธีการสอนควรจะวางรากฐานการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้นักเรียนพร้อมรับมือและเสริมสร้างทักษะสำหรับการทำงาน และทักษะสังคม ครูมีหน้าที่สร้างความตระหนักถึงคุณค่าทางวัฒนธรรม ชี้นำทางให้ลูกศิษย์ได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาตนเองให้ดีที่สุด ในโลกปัจจุบัน AI มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้มากขึ้น ครูควรใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน และสอนนักเรียนให้ใช้ AI อย่างชาญฉลาด มีจริยธรรมและความรับผิดชอบ นับจากนี้ สุดยอดครูทั้ง 14 ท่าน สามารถร่วมมือกับครูเครือข่ายรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เพื่อช่วยเหลือครูท่านอื่น ๆ โดยเชื่อมั่นว่าครูรางวัลแต่ละท่านเปรียบเสมือนแสงเทียนที่จุดประกายเทียนเล่มใหม่อีกมากมาย ขอให้ครูถ่ายทอดความรู้และทักษะ และสร้างแรงบันดาลใจให้ครูท่านอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนได้มากขึ้น

ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในโลกยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ครูที่ดีต้องไม่เพียงแต่เป็นผู้นำทางและเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นโค้ชและนักนวัตกร ผู้ที่กล้าที่จะจิตนาการการเรียนรู้ใหม่ ผู้ที่เชื่อมโยงบทเรียนในห้องเรียนกับประสบการณ์จริง และผู้ปลูกฝังคุณธรรม ความยืดหยุ่น และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กระทรวงศึกษาธิการมีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพผ่านการพัฒนาวิชาชีพอย่างครอบคลุม เพื่อให้ครูสามารถตอบสนองความต้องการของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงการขยายโอกาส การฝึกอบรม การบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การนำ AI มาใช้ และการส่งเสริมการสอนที่เป็นนวัตกรรม รวมถึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลดภาระงานของครู เพื่อให้ครูสามารถอุทิศเวลาให้กับการสอนและการดูแลนักเรียนมากขึ้น พร้อมกับพัฒนาสวัสดิการและระบบสนับสนุนครู เพื่อสร้างหลักประกันว่า ทุกคนจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ครอบคลุม เท่าเทียม และทั่วถึง

ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี กล่าวว่า รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เป็นรางวัลเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตศิษย์และช่วยเหลือเด็กขาดโอกาส ในประเทศอาเซียน ติมอร์-เลสเต บังกลาเทศ ภูฏาน และมองโกเลีย รวม 14 ประเทศ ประเทศละ 1 รางวัล โดยจัดมอบรางวัลในทุก 2 ปี และเพื่อถวายเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เจ้าฟ้านักการศึกษา รางวัลประกอบด้วย เหรียญรางวัล ประกาศนียบัตร โล่ เข็มเชิดชูเกียรติทองคำ และเงินรางวัล รางวัลละ 10,000 เหรียญสหรัฐ โดยความร่วมมือของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ จาก 14 ประเทศ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ดร. กฤษณพงศ์ กล่าวว่า ครูผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ปี 2568 จาก 14 ประเทศ ในปีนี้มีครูจากบังกลาเทศ ภูฏาน และมองโกเลีย เข้าร่วมพิธีพระราชทานรางวัลเป็นปีแรก โดยแต่ละประเทศได้คัดเลือกครูที่ดีที่สุดของประเทศเพื่อเข้ารับพระราชทานรางวัล ซึ่งมีประวัติที่น่าสนใจ ดังนี้
1. สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ นายโมฮัมหมัด ชาฟิอุล อิสลาม (Mr. Mohammad Shafiul Islam) ครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาเบงกาลี ผู้ให้การสนับสนุนนักเรียนนอกห้องเรียนด้วยการเยี่ยมบ้านและให้ความรู้เรื่องโภชนาการ จัดการสอนโดยบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สร้างบทเรียนวิดีโอสำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน และใช้สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ จัดกิจกรรมสวมบทบาทในโรงเรียนโดยอิงจากวิชาต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนได้สัมผัสประสบการณ์จริงและพัฒนาคุณสมบัติความเป็นมนุษย์ ความเมตตาและการมุ่งเน้นชุมชน นับเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้เรียนอย่างแท้จริง
2. ราชอาณาจักรภูฏาน นางสาวชิมี เดมา (Ms. Chimi Dema) ครูผู้สอนภาษาอังกฤษและได้ตีพิมพ์นวนิยายชื่อ “Twice Born” เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องเล่า จุดประกายให้เกิดการเคลื่อนไหวด้านการเขียนในหมู่นักเรียนและเป็นพี่เลี้ยงให้นักเรียนที่มีปัญหาด้านภาษา จนนักเรียนสามารถตีพิมพ์นวนิยายและมีทุนสำหรับการศึกษา เป็นผู้นำจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษออนไลน์ฟรีในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน และจัดหลักสูตรภาษาอังกฤษเข้มข้นให้กับนักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ดี
3. เนการาบรูไนดารุสซาลาม นางชาริฟะฮ์ บินติ ฮาจี โมห์ด ชาห์ลัน (Mrs. Shahrifah binti Haji Mohd Shahlan) ครูสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์ ผู้สนับสนุนการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยเชื่อว่านักเรียนควรเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่ผ่านการสอบ จึงใช้การมีส่วนร่วมกับนักเรียนเพื่อให้นักเรียนสนุกกับการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แข่งขัน กระตุ้นด้วยนิทรรศการเพื่อขยายมุมมองและสัมผัสกับประสบการณ์จริง ปฏิบัติจริงเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น
4. ราชอาณาจักรกัมพูชา นางเมียะ โสมาวาเตย์ (Mrs. Mea Somavatey) ครูสอนคณิตศาสตร์ที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลและกลยุทธ์เชิงสร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนผู้ด้อยโอกาสประสบความสำเร็จทางการศึกษา และสร้างความไว้วางใจกับครอบครัวของนักเรียน พร้อมทั้งเป็นผู้นำทางให้ผู้เรียนสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ
5. ประเทศอินโดนีเซีย นางอาเด ปูตรี ซาร์เวนดะห์ (Mrs. Ade Putri Sarwendah) ครูสอนการศึกษาพิเศษผู้อุทิศตนเพื่อช่วยให้นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้เรียนรู้ โดยพัฒนาเครื่องมือช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น แอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อช่วยนักเรียนหูหนวก แอปพลิเคชันด้านสุขภาพการเจริญพันธุ์สำหรับนักเรียนวัยรุ่นที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เอกสารการเรียนรู้ภาษามือ และการเรียนรู้แบบมัลติมีเดียเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ เติบโต และพึ่งพาตนเองได้
6. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นางบุนมา โพธิลาด (Mrs. Bounma Phothilath) ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูสอนวิชาเคมีและชีววิทยา ใช้สื่อการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริงและสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนให้ร่วมกันสนับสนุนโรงเรียนและจัดหาทรัพยากร ภายใต้หลักการทำงาน 4 ประการ ได้แก่ การวางแผน การดำเนินการ การประเมิน และการปรับปรุง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกงานได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบและสำเร็จ ความเป็นผู้นำของครูบุนมาเป็นที่ยอมรับจากทั่วประเทศ
7. ประเทศมาเลเซีย ทีเอส. โมฮัมหมัด รอสนิซัม บิน โมฮัมหมัด ยซอฟ (Ts. Mohd Rosnizam bin Mohd Yusoff) ครูอาชีวศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การอาหารและนักเทคโนโลยีมืออาชีพที่พัฒนาโมเดล T.A.R.S. – คิด (Think) วิเคราะห์ (Analyses) ค้นคว้า (Research) และแก้ปัญหา (Solve) ส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการแก้ปัญหา ส่งเสริมสร้างศักยภาพให้กับนักเรียนจากภูมิหลังชนบทและครอบครัวที่มีรายได้น้อย ริเริ่มโครงการ “โฉมหน้าใหม่ของการเกษตร” เพื่อฝึกให้นักเรียนคิดนอกกรอบและเป็นผู้ประกอบการ
8. ประเทศมองโกเลีย นางอุยังกะ อาดิยาสุเรน (Mrs. Uyanga Adiyasuren) ครูและผู้จัดการฝึกอบรมที่โรงเรียนอาชีวศึกษาเอเนเรล โดยสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สนับสนุนการเรียนรวม ฝึกให้นักเรียนมีทักษะต่าง ๆ เช่น การทำอาหารและการเย็บผ้า ทักษะการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสารที่สอดคล้องกับบริบทของนักเรียนเพื่อให้พึ่งพาตนเองในการใช้ชีวิตและการทำงาน
9. สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นางสาวมอว์ มอว์ (Ms. Maw Maw) ครูสอนภาษาอังกฤษ ผู้ช่วยให้นักเรียนบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง ทั้งความสามารถทางวิชาการหรือการจัดการกับความท้าทาย สนับสนุนนักเรียนที่มีความหลากหลายทางสติปัญญาและมีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยใช้เวลาทำความรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล และสร้างโอกาสให้นักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันพูดภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะของตน ส่งเสริมพัฒนาการรอบด้านของนักเรียน
10. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ นางเลอา โดมิงโก (Mrs. Lea Domingo) ครูประถมศึกษา ผู้ริเริ่มโครงการสิ่งแวดล้อม เช่น ร้านจัดการขยะที่เปลี่ยนขยะให้เป็นสมบัติ พื้นที่สีเขียว สำหรับการปลูกต้นไม้ และปกป้องสัตว์ป่าและนก สนับสนุนให้นักเรียนสร้างโครงการเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างความตระหนักถึงการจัดการขยะในชุมชน ส่งผลให้มีการลดขยะและเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน
11. สาธารณรัฐสิงคโปร์ มาดาม อัง ซิง ยี (Mdm. Ang Sing Yee) ครูผู้ส่งเสริมการศึกษาแบบเรียนรวม ที่เปิดรับและส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนได้เรียนรู้ โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างด้านความสามารถ ภูมิหลัง หรือความพิการ เน้นการสนับสนุนนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษและนักเรียนที่ประสบปัญหา ริเริ่มโครงการ STAR เพื่อส่งเสริมจุดแข็งของนักเรียนด้วยประสบการณ์จริง พัฒนาบุคลิกภาพและความสามารถในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเชื่อมโยงประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของนักเรียน
12. ประเทศไทย นายไพรวัลย์ ยาปัญ (Mr. Phaiwan Yapan) ครูโรงเรียนบ้านไล่โว่ ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา อ. สังขละบุรี จ. กาญจนบุรี โดยนำการศึกษาไปสู่ชุมชนชาติพันธุ์ที่อยู่ห่างไกล ทำให้นักเรียนได้รับโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิตและขัดเกลาให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศ สร้างรายได้ให้กับชุมชนและเป็นทุนการศึกษาของนักเรียน ส่งเสริมการรู้หนังสือและสิทธิในหมู่เด็กชนกลุ่มน้อย จนได้รับการขนานนามว่า “ดวงตะวันหรือแสงสว่างสำหรับเด็กชายขอบ”
13. สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต นายฟรานซิสโก เดอ คาร์วัลโญ่ (Mr. Francisco de Carvalho) ครูและผู้อำนวยการโรงเรียนที่ใช้วิธีการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางและสอนแบบคละชั้นเรียนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ ส่งเสริมการใช้ภาษาแม่ในการสอนเพื่อช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัด ครูได้ระดมผู้ปกครองและชุมชนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนในโรงเรียน นำไปสู่ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของชุมชนในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็ก ๆ
14. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นางเหงียน ถิ ถู ลาน (Mrs. Nguyen Thi Thu Lan)

ก.ค.ศ.ไฟเขียวเกณฑ์บุคลากร 38 ค(2)อำนวยการสูง ต้องดูปริมาณงาน-คุณภาพงานย้อนหลัง 2 ปี  พร้อมโอนอัตราครู สพฐ.เป็น 38 ค(2) 1,706 ตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้

1.อนุมัติ การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวนทั้งสิ้น 9,830 อัตรา ดังนี้

– สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 92 อัตรา

– สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 6 อัตรา

– สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 9,311 อัตรา

– สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 306 อัตรา

– สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ จำนวน 115 อัตรา

ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการดำเนินการเกลี่ยอัตรากำลังที่ได้รับอนุมัติไปกำหนดตำแหน่งในหน่วยงานการศึกษา โดยกำหนดจำนวนและประเภทตำแหน่ง ตามเงื่อนไขที่ คปร. กำหนด และประเภทตำแหน่งตามที่ ก.ค.ศ. อนุมัติ ในหน่วยงานการศึกษาที่มีอัตรากำลังไม่เกินกรอบหรือเกณฑ์อัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนดโดยเคร่งครัด และให้ใช้ได้ไม่ก่อนวันที่ 1 ต.ค. 2568 ยกเว้นตำแหน่งที่จัดสรรคืนทั้งหมด ตามมาตรการ คปร. ข้อ 2.2 อนุ 1 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อการบริหารงานของสถานศึกษา โดยให้ส่วนราชการสามารถบริหารตำแหน่งได้อย่างต่อเนื่องทันที ได้แก่ ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีนักเรียน 120 คนขึ้นไป และตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) เฉพาะตำแหน่งประเภทอำนวยการ

2.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ   ซึ่ง เดิม ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ตาม ว 19/2556 สำหรับใช้ในการกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ เพื่อรองรับการกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

โดยในปัจจุบัน ส่วนราชการ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
และกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้มีการกำหนดตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ใน 4 สายงานดังกล่าว ประกอบกับสำนักงาน ก.พ. ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลงาน
เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการใหม่ ตามหนังสือ ที่ นร 1006/ว 25 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2564

ดังนั้น เพื่อให้การบริหารงานบุคคลฯ ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) มีความสอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน และมีความชัดเจนในทางปฏิบัติ ก.ค.ศ. จึงได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ

ทั้งนี้ เพื่อให้การกำหนดตำแหน่งและประเมินบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น
ตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ครอบคลุมกับทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งสอดคล้องกับแนวทางประเมินบุคคลของข้าราชการพลเรือน และเพื่อให้หน่วยงานการศึกษาหรือส่วนราชการ สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการต่อไป

 

3.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

 สืบเนื่องจากที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น และระดับสูง ตาม ว 15/2560 และมีมติอนุมัติกำหนดตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก/ศูนย์ ในสถาบันการอาชีวศึกษา และสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร รวม 23 สถาบัน เป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น ตาม ว 18/2561

ดังนั้น เพื่อให้การบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากร
ทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ประเภทอำนวยการ ในสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็นไปตามมาตรฐานตำแหน่งที่ ก.ค.ศ. กำหนด และสอดคล้องกับบริบทและกลไกการบริหารงานบุคคลของตำแหน่งบุคลากร
ทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในปัจจุบัน ก.ค.ศ. จึงได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้มีความชัดเจนในทางปฏิบัติ และส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติได้
อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการต่อไป โดยสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้

  1. การกำหนดตำแหน่ง ต้องยึดหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ไม่เพิ่มตำแหน่งและงบประมาณรายจ่าย
    ด้านบุคคล
  2. นำตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น มากำหนดเป็นตำแหน่งประเกทอำนวยการระดับสูง และนำตำแหน่งว่างที่มีอัตราเงินเดือนมายุบรวม เพื่อให้ครอบคลุมค่าตอบแทนเฉลี่ย
  3. มีการประเมินค่างาน ตามหลักเกณฑ์การประเมินค่างานที่ ก.ค.ศ. กำหนด
  4. ให้หน่วยงานการศึกษาตรวจสอบและจัดทำรายงานปริมาณงานและคุณภาพของงานย้อนหลัง 2 ปี หากเห็นว่ามีปริมาณและคุณภาพของงานสูงขึ้น จัดทำข้อมูลเสนอ สอศ. ต้นสังกัด

 

4.เห็นชอบ การตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู
มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขออนุมัติตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ตำแหน่งครู รวม 944 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นอัตราเกษียณอายุราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และติดเงื่อนไข คปร. มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา ตำแหน่งเจ้าพนักงานพัสดุ ระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน จำนวน 844 ตำแหน่ง และตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน จำนวน 862 ตำแหน่ง รวม 1,706 ตำแหน่ง

โดยอัตราเกษียณอายุราชการ ตำแหน่งครู ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 944 ตำแหน่ง ดังกล่าว
เป็นอัตราที่ไม่สามารถจัดสรรคืนให้กับสถานศึกษาได้ เนื่องจากมีนักเรียนต่ำกว่า 250 คน จึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไข
ที่ คปร. กำหนด ประกอบกับในปัจจุบันสถานศึกษาจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเงินและพัสดุ เป็นการเพิ่มภาระให้ครูต้องมาปฏิบัติหน้าที่ในด้านนี้ และส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเรียน
การสอนตามมา ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด สพฐ. (ว 23/2563)
ได้กำหนดอัตรากำลังตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา ไว้ในสถานศึกษาที่มีนักเรียน 360 คนขึ้นไป และปัจจุบันมีกรอบอัตรากำลังในสถานศึกษา แต่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอ

ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาให้กับโรงเรียนที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเงินและพัสดุ และเพื่อลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ให้ครูได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนภารกิจการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวม ก.ค.ศ. จึงมีมติเห็นชอบให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู 944 ตำแหน่ง ซึ่งมีค่าตอบแทนเฉลี่ย 51,029,980 บาท มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา รวมจำนวน 1,706 ตำแหน่ง คิดเป็นค่าตอบแทนเฉลี่ยจำนวน 50,982,400 บาท และเหลือเพื่อใช้ในการกำหนดตำแหน่งครั้งต่อไป รวมเป็นเงิน 47,580 บาท ซึ่งการนำค่าตอบแทนเฉลี่ยไปกำหนดในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม่เป็นการเพิ่มอัตรากำลังเกินกรอบและเพิ่มภาระงบประมาณของราชการแต่อย่างใด โดยให้เสนอ คปร. พิจารณาให้ความเห็นชอบการดำเนินการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนฯ ดังกล่าวอีกครั้งก่อน

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สพฐ. นำเสนอแผนการจัดสรรอัตรากำลังบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา ตำแหน่งเจ้าพนักงานพัสดุ ระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน จำนวน 844 ตำแหน่ง และตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน จำนวน 862 ตำแหน่ง รวม 1,706 ตำแหน่ง ให้กับสถานศึกษา และให้ ก.ค.ศ. พิจารณาอนุมัติต่อไป

 

สพฐ.รับลูกรองนายกฯธรรมนัส เร่งของบฯสร้างอาคารเรียน บ้านพักครู รร.ศรัทธาสมุทร เดินหน้าMOUการเคหะแห่งชาติ

เมื่อวันที่ 14ต.ค.2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)พร้อมด้วย ดร.พิเชฐร์ วันทอง ดร. วิษณุ ทรัพย์สมบัติ และนางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ.ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ว่า การประชุมผู้บริหารฯวันนี้ สพฐ.ได้นำนโยบายของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาปฏิบัติเพื่อให้ครูและนักเรียนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการสร้างพักครู อาคารเรียนโรงเรียนศรัทธาสมุทร ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว มีนักเรียนกว่า 2,000 ชีวิตได้รับผลกระทบ โดยสพฐ.จะประสานสำนักงบประมาณเพื่อของบฯฉุกเฉินมาสร้างอาคารใหม่ ขณะเดียวกันก็ได้เร่งรัดให้มีการสำรวจข้อมูลโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ด้วย และภายในเดือนนี้ก็จะลงนามความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติ เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ให้เขตพื้นที่การศึกษาที่ได้รับงบประมาณให้เร่งรัดใช้จ่ายให้ทันเวลาและเกิดประโยชน์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาการศึกษา โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างด้วย

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องการบริหารงานบุคคลไม่ว่าจะเรื่องการโยกย้ายบรรจุแต่งตั้ง ที่มีข่าวตลอดว่าจะต้องเสียเงินเสียทองก็ได้กำชับอีกครั้งหนึ่งว่าอย่าให้เกิดขึ้นอีก เพราะว่านโยบายของรมว.ศึกษาธิการ ได้กำชับไว้ว่าถ้าพบว่ามีการเสียเงินเสียทองในการโยกย้าย จะต้องดำเนินการให้เด็ดขาด รวมถึงการมีจำนวนนักเรียนเพิ่มผิดปกติในบางพื้นที่ด้วย ทั้งนี้เรื่องการเตรียมอบรมผู้บริหารก่อนบรรจุแต่งตั้งก็ให้เร่งดำเนินการให้เรียบร้อย

“ในวันที่ 24-25 ตุลาคม นี้ สพฐ.จะจัดประชุมผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา 245 เขตพื้นที่ฯทั่วประเทศ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยจะรับฟังนโยบายจาก ศ.ดร.นฤมล นำไปสู่การขับเคลื่อน จากนั้น ก็จะให้แต่ละเขตพื้นที่ฯได้เสนอความคิดเห็นที่เปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆในการบริหารทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น งบประมาณ บุคลากร วิชาการ และการบริหารทั่วไป ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ ต้องการฟังเสียงสะท้อนจากเขตพื้นที่ เพื่อสะท้อนความคิดเห็นที่เกิดประโยชน์ เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น”ดร.พิเชฐ กล่าว

นอกจากนี้ เลขาธิการ กพฐ.ยังชื่นชมนักเรียนที่เข้าไปร่วมแข่งขันวิทย์-คณิต ระหว่างวันที่ 5-9 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีนักเรียนได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้รับรางวัล 25 คน โดยมีนักเรียนในสังกัด สพฐ.11 คน การศึกษาเอกชน 11 คน อุดมศึกษา 3 คน และรางวัลประเภททีม 1 รางวัล ซึ่งถือว่านักเรียนเหล่านี้ เป็นผลผลิตของประเทศ ที่ครูอาจารย์ ช่วยกันพัฒนาจนสามารถเข้าไปแข่งขันกับนานาประเทศได้ โดยตนจะนำนักเรียนเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจะได้เห็นว่ามีกลุ่มเด็กเก่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศในโอกาสต่อไป

“ร.อ.ธรรมนัส”สั่ง เร่งสร้างอาคารเรียนใหม่โรงเรียนศรัทธาสมุทร หลังแผ่นดินไหวถล่ม ย้ำ อย่านำความแตกแยกทางการเมือง มาทำลายการพัฒนา

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวระหว่างลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามว่า หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวซึ่งส่งผลให้อาคารเรียน ของโรงเรียนศรัทธาสมุทร จังหวัดสมุทรสงคราม ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนนักเรียนกว่า 2,000 คนต้องเรียนในโดมชั่วคราว ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเข้ามาช่วยเหลือโดยเร็ว

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้ลงพื้นที่จังหวัดมาติดตามปัญหาดังกล่าวไปแล้ว จึงได้ปรึกษาหารือและสั่งการให้นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานศึกษาธิการ (กพฐ.)เร่งจัดสรรงบประมาณปี 2569 มาก่อสร้างอาคารเรียนใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เรื่องนี้ตนรับผิดชอบเอง ต้องทำให้ได้

“การศึกษาคือรากฐานสำคัญของสังคม จึงจำเป็นต้องดูแลให้ลูกหลานได้รับการอบรมสั่งสอนในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พร้อมฝากถึงผู้นำท้องถิ่นให้ร่วมมือกันพัฒนา โดยไม่นำการเมืองมาสร้างความแตกแยกในพื้นที่ เพราะเมื่อไม่สามัคคี การพัฒนาก็เกิดขึ้นไม่ได้”รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า

“เสมา 1″ นำ ผู้บริหาร ข้าราชการ ศธ.จัดพิธีทำบุญตักบาตร “วันนวมินทรมหาราช” น้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9

เมื่อเวลา 7.09 น.วันที่ 13 ตุลาคม 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “วันนวมินทรมหาราช” โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธี มี นายองอาจ วงษ์ประยูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ข้าราชการการเมือง ผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีในเพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ศ.ดร.นฤมล ได้จุดเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากนั้น นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ ศธ. ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ฯ และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 89 รูป ตามลำดับ

จากนั้น ศ.ดร.นฤมล และนายองอาจ เดินทางไปยังอุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพฯ เพื่อร่วมคณะ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ในพิธีวางพวงมาลาเนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2568

“ร.อ.ธรรมนัส-ศ.ดร.นฤมล”ลงตรวจราชการ จ.เชียงราย “ยาหอม”ในห้วงเวลาของรัฐบาลชุดนี้ มีความตั้งใจให้ครูมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ-หนี้สิน-และบ้านพักครู

เมื่อวันที่ 11ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมคณะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)และนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดเชียงราย โดยได้เดินทางไปที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และโรงเรียนเวียงชัยวิทยาคม เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาจากผู้บริหาร คณะครู อาจารย์

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตครู ซึ่งถือเป็นกลไกหลักของระบบการศึกษาไทย เพราะหากครูเองยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่มั่นคง ก็ยากที่จะดูแลและสร้างอนาคตของชาติให้เติบโตได้อย่างมีคุณภาพ โดยรองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส ย้ำมาตลอดว่าครูคือพ่อแม่คนที่สองของเด็กไทย ดังนั้นรัฐบาลต้องเริ่มต้นการปฏิรูปการศึกษาจากการดูแลครูอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงพูดถึงการยกระดับหลักสูตรหรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แต่ต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา โดยเฉพาะเรื่อง สวัสดิการ ความมั่นคง รายได้ของครูและบุคลากรทางการศึกษา ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)มีบ้านพักครูอยู่ในความดูแลกว่า 41,000 หลัง โดยพบว่า บ้านพักทรุดโทรมกว่า 14,900 หลัง และอีกหลายหมื่นหลังอยู่ในสภาพพอใช้เท่านั้น ซึ่งเราตั้งเป้าจะดำเนินการปรับปรุง ก่อสร้างใหม่ในพื้นที่จำเป็น โดยทำงานร่วมกันระหว่าง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) การเคหะแห่งชาติ หากคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบก็จะสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในรัฐบาลนี้

รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวถึง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของครู ว่า เราจะมีการจัดตั้งสหกรณ์กลางสำหรับรวมหนี้สินครูจากทั่วประเทศเข้ามาบริหารจัดการร่วมกัน โดยให้ครูย้ายหนี้จากสหกรณ์ต่าง ๆ เข้าสู่สหกรณ์กลาง เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และจะดูแลช่วยเหลือดอกเบี้ยให้ครูที่เข้าร่วมโครงการ โดยปีแรกดอกเบี้ย 0% ปีที่สอง 1% ปีที่สาม 2% ปีที่สี่ 3% และปีต่อไปไม่เกิน 4% ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะเสนอของบประมาณชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลวงเงินราว 6,000 ล้านบาท แต่ขอเพียงอย่างเดียวคือ ขอให้ครูอย่าก่อหนี้เพิ่มอีก

“ในเรื่องของวิทยฐานะ เราจะต้องช่วยกันส่งเสริมให้บุคลากรทางการศึกษาทุกประเภท สามารถยื่นขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะได้สำหรับคนที่มีความพร้อม ให้มีช่องทางพิเศษ มีช่องทางเพิ่มเติม โดยไม่ต้องรอระยะเวลา หากผลงานของเขาพร้อมและดีจริง ก็ให้ยื่นขอวิทยฐานะได้เลย ส่วนช่องทางเดิม ๆ ที่ต้องทำงานวิชาการในรูปแบบของงานวิจัย ก็ขอช่องทางที่หลากหลายตามความถนัด และเป็นไปตามลักษณะงานของครูทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในทุกสังกัดของ ศธ. รวมทั้งครูในสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)หรือครูการศึกษาพิเศษ ที่มีลักษณะการทำงานไม่เหมือนกับครูทั่วไป เมื่อครูได้เลื่อนวิทยฐานะแล้ว ก็จะได้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต มีความก้าวหน้าและความภาคภูมิใจในอาชีพ แต่หลักเกณฑ์ตรงนี้จะเป็นอย่างไร ฝากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) หารือร่วมกับองค์กรหลัก เพื่อให้ได้หลักเกณฑ์ที่เหมาะสมและถูกต้องตามระเบียบ เป็นการส่งเสริมให้พวกเราทุกคนสามารถมีวิทยฐานะเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานและมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น“ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า นโยบายทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของรองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส และกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครูไทยให้เป็นรูปธรรมในรัฐบาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้านพักครู หนี้สินครู หรือความก้าวหน้าในอาชีพ เพื่อให้ครูสามารถทำหน้าที่ สร้างคนของชาติได้อย่างเต็มภาคภูมิ

“เสมา1”ลงตรวจเยี่ยมพื้นที่จังหวัดตาก พบปะรับฟังปัญหารร.ชายขอบ มั่นใจ บ้านพักครูเกิดในรัฐบาลชุดนี้

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ศ.ดร. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ลงพื้นที่จังหวัดตาก ร่วมกับคณะ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นายสุภชัย จันปุ่ม รองเลขาสภาการศึกษา นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรับฟังปัญหา ข้อมูล ข้อคิดเห็นของผู้บริหารหน่วยงานการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในพื้นที่จังหวัดตาก ณ โรงเรียน แม่กุวิทยาคม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่สูงติดชายขอบ ห่างไกล ทุรกันดาร โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า วันนี้ต้องการมารับฟังเสียงสะท้อน ปัญหา และอุปสรรคของการจัดการศึกษาในจังหวัดตาก เพราะเข้าใจดีว่าแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างทางภูมิประเทศ ซึ่ง ในพื้นที่จังหวัดตาก มีลักษณะเป็นทั้งที่ราบตามตะเข็บชายขอบ ภูเขาสูง อยู่ห่างไกล ทุรกันดาร รวมทั้งมีนักเรียนหลากหลายชาติพันธุ์

ทั้งนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดตาก ได้เสนอปัญหาและความต้องการของโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โดมเอนกประสงค์ สำหรับจัดการเรียนรู้ กิจกรรมดนตรี กีฬา เป็นศูนย์กลางการจัดงานวันครู และสนับสนุนงานของชุมชน, โรงอาหาร ที่เพียงพอกับจำนวนนักเรียน,นักเรียนได้รับผลกระทบจากมติครม.ยกเลิกค่าอาหาร,ไฟฟ้าและระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพ, ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ สำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อชุมชน(ศศช.)สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้บนพื้นที่สูง, ถังเก็บน้ำไว้ใช้ในโรงเรียนใน ศศช., หอพักนอนสำหรับนักเรียนที่มีบ้านอยู่ห่างไกลทุรกันดาร จำเป็นต้องพักนอนในโรงเรียนซึ่งอยู่ในตัวอำเภอ ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่มีนักเรียนหลุดจากระบบการศึกษา การปรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 นอกจากนี้ ยังต้องการให้มีเกณฑ์พิเศษ ในการขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะสำหรับครูที่อยู่บนพื้นที่สูง และในถิ่นทุรกันดาร เป็นต้น

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ ดร.พิเชฐ เลขาธิการ กพฐ. ทำการสำรวจจำนวนโรงเรียนและนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากมติคณะรัฐมนตรี ยกเลิกค่าอาหาร 20 บาท สำหรับนักเรียนพักนอนในโรงเรียนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่พิเศษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อจำนวนนักเรียนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา โดยให้สำรวจโรงเรียนลักษณะเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อของบกลางมาเยียวยาในเบื้องต้น และนำไปบรรจุในแผนงบประมาณปี 2570 ต่อไป เช่นเดียวกับข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 ให้มีความทันสมัยต่อเทคโนโลยีและโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่มอบนโยบายให้เลขาธิการ กพฐ. ไปดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วนเรื่องการขอปรับเกณฑ์ขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะสำหรับครูในพื้นที่พิเศษนั้น ต้องมาช่วยกันคิดว่าอยากจะให้ตั้งเกณฑ์แบบไหน เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ต่อไป

“สำหรับแนวคิดจะสร้างบ้านพักครู เป็นโครงการของ รองนายกรัฐมนตรี คิดว่าครู คือ พ่อแม่ที่สองของเด็กหากสภาพชีวิตครูไม่ดีจะมีกำลังใจสอนเด็กที่เป็นอนาคตของชาติได้อย่างไร จึงให้การเคหะแห่งชาติเข้ามาสร้างปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักให้กับครู ซึ่งท่านก็กำกับดูแลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ด้วย โดยได้คุยกับการเคหะแห่งชาติและกรมธนารักษ์ว่าจะต้องใช้พื้นที่ในบางจุดที่จะนำมาสร้างบ้านพักครูใหม่ โดย ศธ.พม.และกรมธนารักษ์ จะลงนามร่วมกันภายในเดือนนี้ แล้วจะนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อชี้แจงให้ครม.ทราบว่ากระทรวงศึกษาธิการจะทำอะไรบ้าง เพื่อให้ครม.มีมติเห็นชอบ ถ้าครม.เห็นชอบก็จะตั้งเป็นงบผูกพันตั้งแต่ปี 2570 แต่สิ่งที่การเคหะแห่งชาติจะต้องทำตอนนี้คือจะต้องไปหาแหล่งเงินทุนมาสร้างบ้านให้ครู ส่วน สพฐ.จะของบประมาณมาชำระคืนให้ ซึ่งครูจะได้บ้านที่มีคุณภาพผ่อนระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ โดยจะดำเนินการให้สำเร็จในรัฐบาลนี้ โดยให้มีมติ ครม.รองรับ”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม เฟสแรกในปีนี้ จะเร่งดำเนินการซ่อมแซมปรับปรุงบ้านพักครูที่ทรุดโทรมที่มีครูยังอาศัยอยู่ 13,000 หลัง (จากทั้งหมด 14,000 หลัง) และบรรจุเป็นแผนพัฒนาปรับปรุงปีงบประมาณ 2570 ให้ครบทั้งหมด 40,000 หลัง

หลังจากนั้น รมว.ศึกษาธิการ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ Learn to earn สร้างงาน สร้างรายได้ การจัดการเรียนรู้สำหรับผู้ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ห้องสมุดเคลื่อนที่ ของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ และผลงานนักเรียนโรงเรียนแม่กุวิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตาก กิจกรรมคุกกี้แปจ่อ วุ้นเพื่อดูดซับโลหะหนักในน้ำ เป็นต้น

 

“อ.แหม่ม” ย้ำ ให้ความสำคัญการศึกษาพิเศษ รับปากดูแลทั้งเด็กและครู

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษส่วนกลาง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสุธี พงษ์เพียร์ชอบ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการ รมช.ศธ.) ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เข้าร่วม

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า อาจารย์ได้รับมอบหมายจาก ร้อยเอกธรรมนัส พรรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ให้ผลักดันงานด้านการศึกษาพิเศษ ตามแนวคิดที่มองเด็กพิเศษ เป็นผู้ที่มีทักษะความสามารถที่แตกต่างออกไป ให้ได้รับการส่งเสริมให้มีอาชีพ มีงาน มีรายได้ หรือได้รับการพัฒนาด้านอื่น ๆ ตามศักยภาพ เช่น กีฬาพาราลิมปิก เป็นต้น ซึ่งล่าสุดคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้เห็นชอบแต่งตั้ง นายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับผู้พิการและการจัดกีฬาของผู้พิการ หรือ พาราลิมปิก ซึ่งจะเข้ามาช่วยดูแลการศึกษาพิเศษด้วยเช่นกัน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า จากการรายงานทำให้ทราบว่า ปัจจุบันในจำนวนผู้เรียนของ สพฐ.กว่า 6 ล้านคน มีนักเรียนพิการเรียนรวมสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และ สังกัดศูนย์การศึกษาพิเศษ (สศศ.) ถึงจำนวน 351,531 คนในโรงเรียน 21,165 แห่ง สวนทางกับจำนวนผู้เรียนโดยรวมของประเทศที่ลดลง จึงต้องการมารับฟังปัญหา อุปสรรคและความต้องการของการจัดการศึกษาพิเศษ ก่อนที่จะมีนโยบายอะไรออกไป เพราะทางรัฐบาลและรองนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและต้องการสนับสนุนเพื่อยกระดับการศึกษาพิเศษให้เป็นรูปธรรม เช่น เรื่องของงบประมาณ อุปกรณ์ อัตรากำลัง เพราะเราเข้าใจดีว่า โรงเรียนที่ดูแลเด็กเหล่านี้ไม่เหมือนโรงเรียนทั่วไป รวมทั้งเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพการงานของครู และบุคลากรด้วย ที่จะต้องมีเกณฑ์ประเมินแตกต่างจากเกณฑ์ทั่วไป

“วันนี้ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากผู้บริหาร ครู และบุคลากรภาคส่วนต่าง ๆ ในการจัดการศึกษาพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใบประกอบวิชาชีพ เรื่องวิทยฐานะ เรื่องเงินอุดหนุนต่าง ๆ จึงได้สั่งการให้เลขาธิการ กพฐ. และสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จัดประชุมสัมมนาระดมความคิดเห็นเรื่องเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การขอวิทยฐานะในกลุ่มครูการศึกษาพิเศษ รวบรวมสรุปเป็นข้อเสนอต่อบอร์ด ก.ค.ศ.ต่อไป“ศ.ดร.นฤมลกล่าวและว่า ส่วนในเรื่องของการพัฒนานักวิชาชีพให้มีโอกาสในการที่จะเข้ามาเป็นครู นั้น ตนได้ให้ สพฐ.ไปหารือร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา เพื่อหาแนวทางปลดล็อคในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการพัฒนาครู ที่ครูจะจบเฉพาะเอกภาษาไทย เอกวิทยาศาสตร์ แต่ยังไม่มีความรู้ในเรื่องของการดูแลเด็กพิการ ทาง สพฐ. จะต้องดำเนินการพัฒนาครูกลุ่มนี้ โดยให้โรงเรียนเรียนรวมที่มีความโดดเด่น ประสานเชื่อมต่อการทำงานด้านการจัดการศึกษาพิเศษให้กับโรงเรียนเรียนรวมอื่นที่อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวย้ำว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการศึกษาพิเศษ ที่จะต้องไปดูว่าจะเกลี่ยงบประมาณสนับสนุนการศึกษาพิเศษให้มากขึ้นได้อย่างไร รวมทั้งเรื่องของสวัสดิการครูการศึกษาพิเศษ ที่ย้ายกลับบ้านไม่ได้ และจะต้องอยู่จังหวัดที่ใกล้เคียงแทน พบว่ามีค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพที่สูงนั้น ก็จะสอดคล้องกับนโยบายการปรับปรุงบ้านพักครู ที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องทำงานร่วมกับการเคหะแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และกรมธนารักษ์ เพื่อปรับปรุงบ้านพักครูในปีนี้ในระยะเร่งด่วน และระบุไว้ในแผนงบประมาณปี 2570 เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาวต่อไป

 

สอศ.จัดแข่งขันช่างฝีมือ ตามแนวทางโรงเรียนพระดาบสระดับชาติครั้งที่ 5 สืบสานพระราชปณิธาน พัฒนาทักษะวิชาชีพ

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันทักษะวิชาชีพ อาชีวะสร้างช่างฝีมือ ตามแนวทางโรงเรียนพระดาบส ระดับชาติ ครั้งที่ 5 ปีการศึกษา 2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 10 ตุลาคม 2568 ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด

นายยศพล กล่าวว่า โครงการอาชีวะสร้างช่างฝีมือ ตามแนวทางโรงเรียนพระดาบส เป็นโครงการของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในการสร้างโอกาสทางการศึกษาและอาชีพให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ในพื้นที่ห่างไกล ชายแดน ชายขอบ เขตชนบท และเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ประสบปัญหาความยากจนและขาดโอกาสทางการศึกษา ซึ่ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับโครงการอาชีวะสร้างช่างฝีมือ ตามแนวทางโรงเรียนพระดาบส โดยมีนโยบายส่งเสริมการขยายโอกาสทางการศึกษาวิชาชีพสู่กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ห่างไกลให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พร้อมสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะวิชาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน อีกทั้งยังมุ่งเน้นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ดีให้แก่เยาวชน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดย ปัจจุบันมีสถานศึกษาในสังกัด สอศ. ที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 30 แห่ง กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ 8 แห่ง ภาคกลาง 7 แห่ง ภาคตะวันออก 1 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9 แห่ง และภาคใต้ 5 แห่ง จัดการเรียนการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ระยะเวลา 1 ปี (12 เดือน) เน้นการฝึกทักษะวิชาชีพควบคู่กับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ผู้เรียนที่จบหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตรจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสามารถสอบผ่านมาตรฐานฝีมือแรงงานได้ทุกคน การจัดการแข่งขันทักษะวิชาชีพในครั้งที่ 5 นี้ เป็นเวทีให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้แสดงออกถึงความรู้ ความสามารถ ทักษะ และความชำนาญในสาขาวิชาชีพ เป็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาหลักสูตร เพื่อมุ่งสู่การยกระดับคุณภาพการอาชีวศึกษา อีกทั้งยังเป็นการสร้างความรัก ความสามัคคี ในหมู่คณะ ให้รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า การแข่งขันในครั้งนี้มีสถานศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วม 30 วิทยาลัย ครูและนักเรียน นักศึกษาเข้าแข่งขันจำนวนกว่า 800 คน โดยมีการแข่งขันทักษะวิชาชีพทั้งหมด 10 ทักษะตามฐานการเรียนของโครงการ ได้แก่ ทักษะงานไม้ งานไฟฟ้า งานเชื่อม งานตะไบ งานปูน งานตีเหล็ก งานเขียนแบบ งานเครื่องยนต์เล็ก งานซ่อมบำรุง และทักษะการสอน 14 ขั้นตอน (วิธีการสอนที่เน้นการปฏิบัติจริงแบบมืออาชีพ ประกอบด้วย 14 ขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์งาน การสาธิต การให้ผู้เรียนปฏิบัติ จนถึงการประเมินผล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสอนตามแนวทางโรงเรียนพระดาบส) การแข่งขันในครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การแข่งขันทักษะวิชาชีพของนักเรียน นักศึกษา 9 ทักษะ และการแข่งขันทักษะการสอน 14 ขั้นตอนสำหรับครูผู้สอน เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนของโครงการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากการแข่งขันทักษะวิชาชีพแล้ว ยังมีกิจกรรมเสริมสร้างความสามัคคีและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้เข้าร่วมการแข่งขัน เช่น กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ การแสดงทางวัฒนธรรมจากทุกภูมิภาค และการจัดนิทรรศการแสดงผลงานของนักเรียนนักศึกษา โดยชิ้นงานที่เกิดจากการแข่งขันและการจัดนิทรรศการจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ และบางชิ้นงานจะจำหน่ายเป็นการสนับสนุนกิจกรรมของนักเรียน นักศึกษาอีกด้วย ทั้งนี้ในการแข่งขันยังมีกิจกรรมพิธีส่งมอบธงการแข่งขันให้แก่เจ้าภาพจัดการแข่งขันในปีถัดไป คือ วิทยาลัยการอาชีพเวียงสา จังหวัดน่าน ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการสืบสานและต่อยอดความสำเร็จของโครงการ เพื่อให้การพัฒนาทักษะวิชาชีพของเยาวชนในทุกพื้นที่ได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง อันเป็นการสืบสานพระราชปณิธานในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ และเตรียมความพร้อมกำลังคนด้านอาชีวศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต

 

จัดหนัก“ศ.ดร.นฤมล สั่งด่วน”ภายใน24ชั่วโมง ให้ คุรุสภา เพิกถอนใบอนุญาตฯ “ครูศูนย์เด็กเล็กเมือง101รับจ้างขนยาบ้า 3.7แสนเม็ด

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568  จากกรณีที่ปรากฏข่าว “รวบแม่กับลูกสาว แม่เป็นครูศูนย์เด็กเล็ก ลูกสาวเป็นนักศึกษา รับจ้างขนยาบ้า ยึดของกลาง 3.7 แสนเม็ด” นั้น ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ได้สั่งการด่วนให้ ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา ดำเนินการทางจรรยาบรรณของวิชาชีพทันที

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวว่า จากข้อสั่งการของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีที่ปรากฏในข่าวแล้ว พบว่าผู้ต้องหา 2 คน เป็นแม่กับลูก ซึ่งแม่มีอาชีพเป็นครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งหนึ่งในอำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ และเป็นผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู วันออกใบอนุญาตเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 หมดอายุวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ซึ่งปัจจุบันไม่พบข้อมูลการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ  ทั้งนี้ในส่วนของการดำเนินการทางจรรยาบรรณของวิชาชีพ  กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง มีระดับโทษถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาจะเสนอต่อคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพเพื่อพิจารณาการดำเนินการทางจรรยาบรรณของวิชาชีพตามข้อบังคับคุรุสภา และบันทึกพฤติการณ์ดังกล่าวไว้ในระบบสารสนเทศผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาเพื่อประกอบการพิจารณาลักษณะต้องห้ามในการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หากครูดังกล่าวยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตต่อไป

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่อไปว่า ต่อไปนี้ถ้าพบว่าครูหรือบุคลากรทางการศึกษา เข้าไปมีส่วนยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จะถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่คุรุสภาจะดำเนินการเอาผิดทางจรรยาบรรณของวิชาชีพทันที และไม่มีการประนีประนอมต่อผู้กระทำผิด เพราะครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมไปถึงผู้ที่ประสงค์จะประกอบวิชาชีพทางการศึกษาทุกคน จะต้องไม่ประพฤติตนไปในทางที่เสื่อมเสีย และจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นที่เคารพและศรัทธาของศิษย์และสังคมด้วย