“อดีตปลัด ศธ.”เตือน ปัญหา NEET คือระเบิดเวลาของประเทศ พบเด็กหลุดระบบกว่า 1 ล้านคน เป็นสัญญาณอันตรายของวิกฤตแรงงานรุ่นใหม่

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงรายงานล่าสุดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO, Global Employment Trends for Youth 2025) ว่า ปัจจุบันเยาวชนทั่วโลกกว่า 282 ล้านคน หรือคิดเป็น หนึ่งในแปดของเยาวชนทั้งหมด อยู่ในกลุ่ม NEET (Neither in Education, Employment or Training) คือ ไม่เรียน ไม่ทำงาน และไม่ฝึกอาชีพ ซึ่ง ILO เตือนว่าเป็นสัญญาณอันตรายของ “วิกฤตแรงงานรุ่นใหม่” ที่หลายประเทศต้องเร่งรับมือ ในส่วนของประเทศไทย มีรายงานของ ILO ระบุว่า สัดส่วนเยาวชนกลุ่ม NEET อยู่ที่ 13.2% ในปี 2022 หรือราว 1.2 ล้านคน แม้จะลดลงจาก 14.1% ในปี 2016 แต่ยังถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของหลายประเทศในเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่มีเพียง 6–7% เท่านั้น

ดร.อรรถพล กล่าวต่อไปว่า เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ น่าเป็นห่วงยิ่งขึ้นเมื่อประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” และจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยสุดยอด” ในไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อแรงงานวัยทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเยาวชน NEET ที่หลุดจากระบบจึงยิ่งกลายเป็น “แรงงานที่สูญเปล่า” ซึ่งถ้าไม่เร่งแก้ไขจะซ้ำเติมวิกฤตแรงงานในอนาคตอย่างรุนแรง แต่หากประเทศไทยสามารถดึงเยาวชนกลุ่มนี้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา หรือฝึกอาชีพได้เพียง 30% ก็จะช่วยเพิ่มกำลังแรงงานได้กว่า 4 แสนคน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ราว 1–2% ของ GDP ต่อปี ซึ่งเทียบได้กับมูลค่าทางเศรษฐกิจหลายแสนล้านบาท “นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะเราไม่ต้องสร้างแรงงานใหม่ เพียงแต่คืนโอกาสให้คนที่เคยหลุดไปจากระบบได้กลับมาอีกครั้ง” ดร.อรรถพล กล่าว

“ผมขอเสนอแนวทางเร่งด่วน 3 ประการ คือ 1. ค้นหาเชิงรุก (Active Outreach) โดยสร้างฐานข้อมูลระดับพื้นที่เพื่อติดตามเยาวชนที่หลุดออกจากระบบ 2. เชื่อมเส้นทางการเรียนรู้ (Flexible Pathways) เปิดโอกาสให้เรียนรู้ผ่านระบบการศึกษาทางเลือกและการฝึกอาชีพที่ยืดหยุ่น และ 3. สร้างแรงจูงใจและพี่เลี้ยง (Empower & Mentor) ให้แรงสนับสนุนทางรายได้และกำลังใจ เพื่อให้เยาวชนเห็นคุณค่าในตัวเองและกลับมาสู่ระบบอีกครั้ง”ดร.อรรถพลกล่าวและว่า อย่ามอง NEET เป็นตัวเลขในรายงาน แต่ควรมองว่ากลุ่มนี้คือคนหนุ่มสาวที่หลุดหายจากโอกาสและทุกคนในสังคมมีส่วนในการพาเขากลับมาได้เด็กที่อยู่นอกระบบไม่ใช่ภาระของประเทศ แต่คือศักยภาพที่ยังไม่ถูกจุดประกายถ้าเราพาเขากลับมาได้ ประเทศไทยจะมีกำลังคนเพิ่มขึ้นทันที โดยไม่ต้องรอให้คนรุ่นใหม่เกิด

สอศ.ต้องปรับการเรียนรู้ตามยุคการผันผวน ซับซ้อนและคลุมเครือ ที่เรียกว่า “ VUCA World”

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยถึงการจัดการเรียนการสอน ในโลกปัจจุบันที่เกิดการผันผวนมากมายไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 2019 ดิจิทัล ดิสรัปชั่น และการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า VUCA World คือ ผันผวนไม่แน่นอน ซับซ้อนและคลุมเครือ ซึ่ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ฝากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)นำเรื่องของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Anywhere Anytime(เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา)ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ผ่านการจัดหาระบบและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ มาช่วยทำงานที่ต้องใช้สติปัญญาของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การให้เหตุผล และการแก้ปัญหา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด ขณะเดียวกัน สอศ.ก็จะจัดการศึกษาระบบทวิภาคีแบบเข้มข้นมากขึ้น โดยจะให้เด็กเข้าไปเรียนรู้กับผู้ประกอบการ ภาคีเครือข่ายโดยตรง เพื่อให้เขามีสมรรถนะและตอบโจทย์รองรับความต้องการของตลาดแรงงานได้

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้สอศ.ยังได้ร่วมมือกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (กรอ.อศ.) 33 กลุ่มอาชีพที่เกิดขึ้นขณะนี้ รวมสำรวจความต้องการของตลาดแต่ละวิชาชีพที่สังคมต้องการ ซึ่งตอนนี้พบว่า กรมที่ดินยังขาดวิศวกรรมสำรวจ ที่เป็นนายช่างรังวัด และนายช่างสำรวจ โดยขณะนี้สอศ.ได้อนุมัติหลักสูตรนี้แล้วตั้งแต่ปี2567 ซึ่งเด็กที่จบประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)สามารถเรียนต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)สาขาวิชาเทคนิควิศวกรรมสำรวจได้ รวมถึงหลักสูตรระยะสั้นที่มีวิชาชีพใหม่ ๆ ครูก็ต้องไปพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นด้วย เพราะตอนนี้ประชาชนมีการซื้อขายทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ครูและนักศึกษาก็ต้องพัฒนาควบคู่กันไป ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่านักศึกษาจำนวนมากก็หันมาทำออนไลน์ เรียนไปด้วย มีรายได้ไปด้วย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในยุคที่เกิดการผันผวน

บอร์ด.องค์การค้าสกสค.อนุมัติวงเงิน1,010ล.ให้พิมพ์แบบเรียนฯปี2569 ดึง ป.ป.ช.-สตง.สังเกตการณ์

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ)เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(บอร์ด.องค์การค้าสกสค.) ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติกรอบวงเงินเบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน 1,010 ล้านบาท ตามคำขอขององค์การค้าสกสค.เพื่อไปดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าสกสค.ปีการศึกษา 2569 โดยที่ประชุมมีมติให้การดำเนินการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าฯทุกขั้นตอนให้องค์การค้าฯเชิญสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.)สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)เข้ามาสังเกตการณ์ด้วย เพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนในสมัยนี้ ส่วนแผนการชำระหนี้สินขององค์การค้าฯนั้น วันนี้ยังทำแผนไม่ทันคงต้องรอให้ได้ ผอ.องค์การค้าฯก่อน

ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(บอร์ด สกสค.)ได้อนุมัติแผนจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าสกสค.ปีการศึกษา 2569  เรียบร้อยแล้ว ซึ่งต่อไปก็จะเป็นกระบวนการประกาศจัดซื้อจัดจ้างฯซึ่งเป็นอำนาจขององค์การค้าสกสค.อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินการเกิดความโปร่งใสที่ประชุมจึงมีมติให้องค์การค้าฯเชิญหน่วยงานตรวจสอบเข้ามาสังเกตการณ์ทุกขั้นตอน

ด้านนายภกร รงค์นพรัตน์ รองผู้อำนวยการองค์การค้าสกสค.กล่าวว่า องค์การค้าสกสค.จะทำหนังสือไปยัง ป.ป.ช.และ สตง.เพื่อขอให้เข้ามาร่วมสังเกตการณ์ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์หนังสือขององค์การค้าสกสค.ทุกขั้นตอนเพื่อความโปร่งใสจะได้ไม่ถูกฟ้องร้อง แม้ว่าที่ผ่านมาจะถูกฟ้องร้องและศาลยกฟ้องให้ดำเนินการต่อ แต่ก็ทำให้เราเสียเวลา ดังนั้นรอบนี้เมื่อมีหน่วยงานตรวจสอบมาสังเกตการณ์ก็น่าจะจบครั้งเดียว ส่วนจะประกาศจัดซื้อจัดจ้างเมื่อไรนั้นต้องรอ ผอ.องค์การค้าสกสค.มาก่อน ซึ่งคาดว่าเดือนกุมภาพันธ์2569 น่าจะได้เซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ที่ชนะการประกวดราคามาจ้างพิมพ์หนังสือฯ

สอศ.เดินหน้าส่งเสริมให้คนอาชีวะมีวิทยฐานะสูงขึ้นจากอำนวยการต้นเป็นอำนวยการสูงเทียบเท่าศธจ.ผอ.เขตพื้นที่ฯ

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ในการประชุม ผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา ประจำปี2569 เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้ย้ำในเรื่องการมุ่งมั่นพัฒนาขวัญกำลังใจข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ครูอาชีวะ มีวิทยฐานะสูงขึ้น แต่การมีและเลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้น ก็ไม่ใช่ว่าได้มาง่ายๆ แต่ต้องมีการทำงานที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องไป มุ่งมั่นในการจัดการเรียนการสอนให้เกิด คุณภาพแก่ผู้เรียน มีผลงานทางวิชาการในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม สื่อการเรียนการสอน และการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ

เลขาธิการกอศ.กล่าวต่อไปว่า สอศ.มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนส่งเสริม ในเรื่องการจัดทำผลงานทางวิชาการเพราะหากกลุ่มครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ มีผลงานทางวิชาการ ที่มีศักยภาพจำนวนมาก หมายถึง การเรียนการสอนอาชีวศึกษามีการพัฒนาขึ้นซึ่งจะตอบโจทย์ ให้ครูและบุคลากรอาชีวศึกษา มีความก้าวหน้าในวิชาชีพมีรายได้เพิ่มขึ้นสามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาหนี้สิน ไปในตัวด้วย ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่ง พร้อมกันนี้ สอศ.ได้จัดทำหลักเกณฑ์ ความก้าวหน้าของบุคลากรในกลุ่ม บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา38 ค(2) ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในสถาบันการอาชีวศึกษาที่สอนในระดับปริญญาตรี  ซึ่งสอศ. ได้เสนอให้ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) พิจารณา จำนวน 2 หลักเกณฑ์ คือ การขยับจากชำนาญการพิเศษขึ้นเป็นเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นในเรื่องของวิชาการ ส่วนอีกเกณฑ์จะตอบโจทย์อาชีวศึกษาโดยตรง คือ ผู้อำนวยการสำนักที่อยู่ในสถาบันการอาชีวศึกษา ซึ่งตอนนี้เป็น อำนวยการระดับต้น ก็ขอเกณฑ์ที่จะกำหนดให้เป็นอำนวยการระดับสูง เทียบเท่าศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) หรือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)

“ในที่ประชุมคณะกรรมการก.ค.ศ.ครั้งล่าสุด ได้เห็นชอบทั้ง 2 หลักเกณฑ์ตามที่สอศ.เสนอ ทั้งหมดนี้เป็นความก้าวหน้าของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดสอศ. ที่จะเกิดขึ้นในภาคราชการ ทั้งนี้การได้โอกาสความก้าวหน้านี้ จะต้องมีปริมาณงานที่มีคุณภาพ ซึ่งต้องปรับให้เป็นไปตาม เกณฑ์ที่ก.ค.ศ.กำหนด ทั้งเรื่องค่าตอบแทน และการทำงานอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อไป ขณะเดียวกันก็คงต้องมาดูโครงสร้างของสถาบันการอาชีวศึกษา เพราะยังมีความกระจัดกระจาย ซึ่งคงต้องมาพูดคุย กับนายกสภาสถาบันฯและผู้บริหารสถาบันฯเพื่อวางแผนการดำเนินงาน ว่าจะทำอย่างไร ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง เพื่อเป็นความก้าวหน้าของบุคลากร“นายยศพล กล่าว

“อ.แหม่ม”ยอมรับองค์การค้าฯหนี้สินมาก หนี้สะสม เร่งหาผู้เชี่ยวชาญมาบริหาร

จากกรณี คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ได้มีวาระพิจารณาตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนองค์การค้า ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) ในประเด็นองค์การค้าของ สกสค.ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์ต้นฉบับกระทรวงศึกษาธิการ รายวิชาภาษาไทย และกลุ่มสาระอื่น ๆ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.)เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โดย ผู้แทนจาก สพฐ. ได้ชี้แจงว่า การเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ต้นฉบับของสพฐ.เป็นการดำเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์สื่อการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2552 โดยกำหนดให้ สพฐ.นำส่งต้นฉบับพร้อมลิขสิทธิ์ให้กับหน่วยงานที่ดำเนินการผลิตหนังสือแบบเรียน โดยในส่วนขององค์การค้าของ สกสค. ได้รับลิขสิทธิ์พิมพ์หนังสือแบบเรียนของ สพฐ.ทุกปีการศึกษา ซึ่งต้องชำระค่าลิขสิทธิ์หนังสือแบบเรียนแยกตามระดับชั้น ในอัตราร้อยละ 3,5,10 และ15 แต่ยอมรับว่า ปัจจุบัน องค์การค้าของ สกสค. ได้ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์ สพฐ.อยู่กว่า 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดค้างชำระสะสมมาตั้งแต่ปี 2559 นั้น

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ศ.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตนได้รับทราบจาก ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากแต่เดิมที่ไม่มีการทวงหนี้เพราะเห็นว่าองค์การค้าฯ ขาดทุนทุกปี และเพิ่งได้มามีกำไรก็ตอนที่ได้ ลิขสิทธิ์ พิมพ์หนังสือ ของ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)เมื่อปีการศึกษา2564ทำให้มีรายได้ขึ้นมาบ้าง สพฐ.จึงได้เริ่มทวงหนี้อย่างจริงจัง ที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่ทวง แต่น่าจะไม่รู้ว่าจะทวงอย่างไรเพราะเห็นว่าองค์การค้าขาดทุนอยู่

ส่วนตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การค้าฯที่ยังว่างอยู่ก็ได้มีการหารือกับคณะกรรมการองค์การค้าฯแล้วว่าถ้ายังไม่มีผู้บริหารตัวจริงก็จะทำให้การขับเคลื่อนเป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งจะมีการหารือกันอีกครั้งว่าจะใช้วิธีการใดจึงจะเหมาะสม แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้ใครเข้ามารักษาการต่อจากนายพัฒนะพัฒนทวีดล อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ที่รักษาการผอ. องค์การค้าฯที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ก็อยากหาคนที่จะมาเป็นตัวจริงเพื่อจะได้มาช่วยกันแก้ปัญหาซึ่งรวมถึงปัญหาหนี้สะสมขององค์การค้าด้วย

“ ในการประชุมคณะกรรมการองค์การค้าฯได้มีการหารือเรื่องนี้กันยาวว่าจะทำอย่างไรที่จะให้มีแผนปรับโครงสร้างหนี้ขององค์การค้าฯมิฉะนั้นดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ องค์การค้าก็ต้องมาทยอยใช้หนี้ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก”รมว.ศึกษาธิการกล่าว

 

“ธรรมนัส”ย้ำ อ.แหม่ม ปั้นอาชีวะเป็นพระเอกสร้างกำลังคนของชาติ พร้อมเปลี่ยนค่านิยมผู้ปกครองส่งลูกเรียนสายอาชีพแทนมุ่งเข้ามหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่โรงแรมโฆษะ .ขอนแก่น .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2569 โดยมีนายชรินทร์  ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นายยศพล เวณุโกเศศเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) พร้อมด้วยรองเลขาธิการ กอศ. ได้แก่ นายวิทวัต ปัญจมะวัต  นายสง่า แต่เชื้อสาย  นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ ตลอดจนคณะที่ปรึกษา ผู้บริหาร สอศ.จากส่วนกลาง และผู้บริหารสถาบันอาชีวศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษารัฐและเอกชนจากทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 1,000 คน

.ดร.นฤมล กล่าวว่า ..ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ย้ำมาตลอด ว่าอยากให้ช่วยยกระดับอาชีวศึกษา ให้ผู้ปกครองและนักเรียนได้เห็นว่าอาชีวะสามารถเป็นทางเลือก ในการเข้าศึกษาต่อ ไม่อยากให้เด็กเน้นเข้าเรียนเฉพาะสายสามัญ เพื่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น ในส่วนของศธ. เองก็มีนโยบายที่จะผลักดันเรื่องดังกล่าว ทั้งการประชาสัมพันธ์หรือจัดโครงการเพื่อจูงใจให้เด็กเข้ามาเรียนอาชีวศึกษามากขึ้น ขณะเดียวกัน ตนยังได้ฝากเลขาธิการกอศ. และผู้บริหารทุกคน ให้เข้าไปมีส่วนในการแก้ปัญหาเด็กนอกระบบ โดยจากนี้ต้องไปดูว่า จะทำอย่างไร ที่จะดึงเด็กนอกระบบ กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา แต่ที่ผ่านมาอาจจะไปฝากไว้กับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เป็นหลัก แต่จากนี้สอศ. และกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) จะเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว เพราะ การเรียนอาชีวะ ช่วยให้เด็กมีงานทำ  ไม่ใช่มาเรียนแต่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ขอแค่ได้วุฒิการศึกษาเท่านั้น

ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่ได้หารือกับนายยศพล และอยากเข้าไปช่วยดูแลพวกเราชาวอาชีวะให้ได้รับการสนับสนุนในเรื่องต่างๆ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตรากำลังที่ยังขาดแคลน ทรัพยากรในการจัดการเรียนการสอนที่ยังไม่เพียงพอ ดิฉันก็ขอรับปากว่าจะช่วยผลักดัน เพื่อนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 ส่วนเรื่องการประเมินวิทยฐานะสิ้นเดือนตุลาคมนี้น่าจะได้เห็นหลักเกณฑ์ใหม่ที่เป็นรูปธรรม โดยจากนี้ผู้ประเมินจะต้องมาจากอาชีวะ รวมถึงจะเพิ่มช่องทางการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะให้สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น และจากนี้หลักเกณฑ์ต่างๆต้องมาจากทางอาชีวะ โดยมีเป้าหมาย ให้ครูอาชีวะทุกคนมีความก้าวหน้าในวิชาชีพ มีรายได้เพิ่ม ถือเป็นความภาคภูมิใจในการทำงาน สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาหนี้สินได้ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษารมว.ศึกษาธิการกล่าว

.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องความทุกข์ของคนเป็นหนี้ส่วนหนึ่งก็คือ การต้องจ่ายดอกเบี้ยให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในอัตราที่ค่อนข้างสูงซึ่งสวนทางกับเป้าหมายในการจัดตั้งสหกรณ์ ที่ต้องการนำดอกเบี้ยไปช่วยเหลือสมาชิก แต่กลับกลายเป็นหวังเงินปันผล ทำให้ระบบสหกรณ์มีความบิดเบี้ยว ทั้งที่ไม่มีความเสี่ยงหนี้สูญ เพราะสหกรณ์จะตัดเงินเดือนครู เพื่อชำระหนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเก็บดอกเบี้ยสูง บางแห่งสูงถึง 7%   จึงมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้ข้อสรุปว่าจะมีการจัดตั้งสหกรณ์กลาง ของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) โดยมีวงเงินกว่า 1 แสนล้าน จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (...) และเตรียมเสนอ คณะรัฐมนตรี( ครม.) ของบเพื่อชดเชยอัตราดอกเบี้ย เพื่อจูงใจให้ครูที่อยู่ในสหกรณ์จังหวัดต่างๆโอนหนี้มาอยู่สหกรณ์กลางฯ โดยปีแรก ดอกเบี้ย 0% ปีที่สอง 1% ปีที่สาม 3% ไปจนถึงปีที่5 ไปจบที่ไม่เกิน 4% หากมีการแก้ปัญหาในส่วนนี้แน่นอนว่าจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม สหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆต้องลดดอกเบี้ยลง เพื่อรักษาสมาชิก ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  เกิดความเป็นธรรมกับครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งตนจบการเงินมาและเห็นชัดเจนว่าดอกเบี้ยสูงขนาดนี้ไม่มีความเป็นธรรมและสวนทางกับรายได้  โดยครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ รวมถึงครูอาชีวะ เปรียบเหมือนพ่อแม่คนที่สองของเด็กหากพ่อแม่ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างมีความสุข มีความกังวลเรื่องภาระหนี้สิน แล้วจะเอากำลังใจที่ไหนไปดูแลเด็ก

รมว.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า  อีกเรื่องที่อยากฝากไว้ คือ การผลักดันร่างพ...การศึกษาแห่งชาติ .…. ซึ่งตนได้ลงนามเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้วตั้งแต่รัฐบาล ..แพรทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่มีการเปลี่ยนรัฐบาลจึงต้องทำการยืนยันร่างเดิมเข้าไปอีกครั้ง  คาดว่าจะได้รับการบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯสมัยนี้  ซึ่งเชื่อว่าเมื่อไปถึงสภาฯทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านยินดีที่จะให้การสนับสนุน โดยขณะนี้ มีร่างพ...การศึกษาแห่งชาติ  ที่เตรียมเสนอให้สภาฯ พิจารณาทั้งหมด 8 ฉบับ  รวมถึงฉบับของ ศธ. ด้วย ซึ่ง...การศึกษาฯจะช่วยปลดล็อคพันธนาการต่างๆ รวมถึงอาชีวศึกษาด้วย ที่จะส่งเสริมให้สามารถเติบโตก้าวหน้าในสายอาชีพได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น

..ธรรมนัส ในฐานะรองนายกฯ ที่กำกับดูแลศธ. จะพูดกับอาจารย์เสมอว่า อาชีวะมีความสำคัญ ดังนั้นต้องทำให้ อาชีวะเป็นพระเอกให้ได้อย่าไปเน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานมากเกินไป อาจารย์ต้องให้ความสำคัญกับการอาชีวะให้มาก ซึ่งอาจารย์ก็เห็นด้วย เพราะการให้เด็กเลือกเรียนสายอาชีพ และสายสามัญควรต้องมีความเท่าเทียม ไม่ควรจะกำหนดว่าสายสามัญดีกว่า และอยากให้ช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมผู้ปกครองที่อยากให้เด็กเข้าแต่มหาวิทยาลัย ด้วยการโชว์ผลงาน และศักยภาพ ของเด็กอาชีวะ ว่าสามารถทำประโยชน์ได้มากกว่า เพื่อชักจูงเด็กให้มาอยู่กับอาชีวะเพิ่มขึ้น อาจจะเริ่มจากเด็กที่หลุดจากระบบ หรือเด็กที่กำลังจะเลือกไปทางไหนก็ได้ ว่าเรียนจบ ปวช. ปวส.แล้วสามารถทำงานได้ทันทีซึ่งในต่างประเทศก็ส่งเสริมให้เด็กเรียนสายอาชีพ และวิทยาลัยเทคนิควิทยาลัยเทคโนโลยีดังกว่ามหาวิทยาลัย ซึ่งก็หวังว่าถ้าเราร่วมกันผลักดันจริงจังประเทศไทยจะเกิดค่านิยมนั้นเช่นกัน.ดร.นฤมล กล่าว

ในงานมีการจัดนิทรรศการการจัดการเรียนการสอน โดยวิทยาลัยการอาชีพขอนแก่น นำเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาช่างอากาศยานหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานการเรียนการสอนเทียบเท่าสากล

วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น นำเสนอความก้าวหน้าในการจัดการเรียนการสอนสาขาแฟชั่นและสิ่งทอ รวมถึงสาขาMice  และEvent  โดยมุ่งพัฒนาทักษะเชิงสร้างสรรค์ควบคู่กับความเป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรม

วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ นำเสนอการจัดการเรียนการสอนสาขาระบบราง เน้นการพัฒนาทักษะด้านเทคนิคและความปลอดภัย เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมระบบรางที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

และวิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น นำเสนอการจัดการเรียนการสอนในสาขาช่างสำรวจ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ครอบคลุมการสำรวจด้านโยธาภายใต้ความร่วมมือกับ สปก. กรมที่ดิน และกรมธนารักษ์

“อ.แหม่ม”ฟังอาชีวะเอกชน พร้อมช่วยแก้ทุกปัญหา

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับคณะผู้แทนสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีผู้แทนสำนักบริหารการอาชีวศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เข้าร่วม ณ ห้องประชุมวชิราวุธ กระทรวงศึกษาธิการ

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ต้องการรับฟังปัญหาของหน่วยงานและผู้ปฏิบัติ ก่อนที่จะกำหนดนโยบายด้านการศึกษาอะไรออกไป และที่ผ่านมา ก็ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหามาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานที่ ศธ. ซึ่งก็พบว่ายังมีสิ่งที่ต้องการจะผลักดันให้สำเร็จหลายเรื่อง ได้แก่ การแก้ไขพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการศึกษาในระดับชาติ, การส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งในเรื่องของการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูฯ โดยผลักดันการจัดตั้งสหกรณ์กลาง เพื่อรวมหนี้ครูไว้ที่เดียว และให้เงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ การปรับหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อขอมี/เลื่อนวิทยฐานะอย่างเหมาะสม การปรับปรุงบ้านพักครู เป็นต้น

“วันนี้ได้มีการหารือร่วมกันถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของสมาคมฯ หลายประเด็น เช่น ด้านรายได้ของโรงเรียน/วิทยาลัยของอาชีวะเอกชน ในส่วนที่มาจากเงินบริจาคของสถานประกอบการ ตามพระราชกฤษฎีกา (พรก.) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 768) พ.ศ. 2566 ที่ระบุให้นิติบุคคลได้รับการลดหย่อนภาษีจากเงินบริจาคให้แก่สถานศึกษา ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ส่งผลให้สถานประกอบการบริจาคน้อยลง รวมทั้งปัญหาผู้เรียนลดลง และด้านกฎระเบียบที่เป็นข้อจำกัดของวิทยาลัย/โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน เปิดการเรียนการสอนในระดับ ปวช. และ ปวส. ด้วยแผนจัดการเรียนการสอนได้ไม่หลากหลายเหมือนสถานศึกษาอาชีวะของรัฐ เช่น หลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพเฉพาะ การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาทางไกลออนไลน์ และการใช้ระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit bank)” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวด้วยว่า ยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันการแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาแก่สถานศึกษาเอกชนโดยเร็ว โดยเฉพาะในเรื่องข้อจำกัดด้านการเปิดหลักสูตร/แผนจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาอาชีวะเอกชน สามารถดำเนินการได้ก่อน โดยมอบหมายให้ สอศ. พิจารณาระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับสถานศึกษาอาชีวะเอกชน จากนั้นจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนร่วมด้วย

มึน“องค์การค้า สกสค.”ค้างค่าลิขสิทธิ์พิมพ์หนังสือแบบเรียน200ล.‘สพฐ.’ เพิ่งตื่น ร่อนหนังสือทวงหนี้

เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ทั้งนี้ในการประชุมดังกล่าวได้มีวาระพิจารณาตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนองค์การค้า ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) โดยมี นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และผู้เกี่ยวข้องจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ผู้แทนเลขาธิการ กพฐ.เข้าชี้แจง ในประเด็นองค์การค้าของ สกสค.ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์ต้นฉบับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีวิชาภาษาไทย กับกลุ่มสาระอื่น ๆซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.)เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

 นายปรีติ เจริญศิลป์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(สส.)พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.ป.ป.ช. คนที่ 5 ได้สอบถามถึงหลักการในการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์กับหน่วยงานต่างๆ ที่นำไปผลิตหนังสือแบบเรียน และขอข้อมูลในส่วนค่าลิขสิทธิ์พิมพ์หนังสือแบบเรียนที่องค์การค้าของ สกสค.ค้างชำระอยู่ ซึ่งผู้แทนจาก สพฐ. ได้ชี้แจงว่า การเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ต้นฉบับของสพฐ.เป็นการดำเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์สื่อการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2552 โดยกำหนดให้ สพฐ.นำส่งต้นฉบับพร้อมลิขสิทธิ์ให้กับหน่วยงานที่ดำเนินการผลิตหนังสือแบบเรียน โดยในส่วนขององค์การค้าของ สกสค. ได้รับลิขสิทธิ์พิมพ์หนังสือแบบเรียนของ สพฐ.ทุกปีการศึกษา ซึ่งต้องชำระค่าลิขสิทธิ์หนังสือแบบเรียนแยกตามระดับชั้น ในอัตราร้อยละ 3,5,10 และ15 ทั้งนี้ยอมรับว่า ปัจจุบัน องค์การค้าของ สกสค. ได้ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์ สพฐ.อยู่กว่า 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดค้างชำระสะสมมาตั้งแต่ปี 2559

อย่างไรก็ตาม ผู้แทน สพฐ. ชี้แจงด้วยว่า เนื่องจากที่ผ่านมา สพฐ.ไม่ได้ทำการทวงถาม จึงไม่ทราบว่าเหตุใดองค์การค้าของ สกสค.จึงไม่ได้ชำระค่าลิขสิทธิ์ให้กับ สพฐ. มีเพียงช่วงเชื้อไวรัสโควิด-19 เท่านั้นที่แจ้งขอผลัดชำระเข้ามา อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม 2568 สพฐ.ได้ทำหนังสือแจ้งเตือนไปยัง องค์การค้าของ สกสค. ให้ดำเนินการชำระค่าลิขสิทธิ์ที่ค้างชำระ พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับเบี้ยปรับ ซึ่งทางองค์การค้าของ สกสค.ก็ได้มีหนังสือแจ้งกลับมาว่า จะทยอยชำระให้เดือนละ 3 ล้านบาท และชำระร้อยละ 40 ของจำนวนจ้างพิมพ์ นอกจากนี้ผู้แทน สพฐ.ยังยอมรับว่า ที่ผ่านมา สพฐ.และองค์การค้าของ สกสค.ไม่ได้มีการทำสัญญาเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์แบบเรียนระหว่างกันตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์สื่อการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2552 กำหนด

ทั้งนี้ในที่ประชุม กมธ.ป.ป.ช. ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ องค์การค้าของ สกสค.ไม่ชำระค่าลิขสิทธิ์ให้แก่ สพฐ.ตามระเบียบฯนั้นถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ว่าจ้างรายอื่น ๆ ทั้งรัฐและเอกชนที่พิมพ์หนังสือและจำหน่ายหนังสือแบบเรียนเล่มที่ซ้ำกับองค์การค้าของ สกสค. แต่ชำระค่าลิขสิทธิ์ให้กับ สพฐ.ตามกำหนดทุกปี เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงส่งผลให้องค์การค้าของ สกสค.มีต้นทุนการผลิตหนังสือแบบเรียนที่ต่ำกว่า กมธ.ป.ป.ช.จึงเสนอให้เชิญ กรมบัญชีกลาง มาสอบถามว่า การที่ สพฐ.ไม่ทวงถามค่าลิขสิทธิ์จาก องค์การค้าของ สกสค. รวมถึงการที่องค์การค้าของ สกสค.ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์มาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีเข้าข่ายมีความผิด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ อย่างไร รวมถึงอาจเข้าข่ายมีพฤติกรรมทุจริตด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการประชุมวันนี้ ผู้แทน สพฐ.ไม่ได้เตรียมเอกสารต่างๆ ที่อ้างอิงมาประกอบการชี้แจง โดยระบุว่า เพิ่งได้รับมอบหมายจาก เลขาธิการ กพฐ.ให้มาชี้แจงต่อ กมธ.ป.ป.ช.อย่างกะทันหัน ดังนั้นที่ประชุม กมธ.ป.ป.ช. จึงได้ขอให้สพฐ.นำส่งเอกสารต่างๆ ให้ กมธ.ป.ป.ช.โดยเร็ว และจะเชิญ ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ.มาชี้แจงในประเด็นนี้อีกครั้ง พร้อมทั้งเชิญ อธิบดีกรมบัญชีกลาง มาให้ข้อมูลประกอบในการประชุม กมธ.ป.ป.ช.ในวันที่ 22 ต.ค.2568 นี้

“อ.แหม่ม” มอบรางวัลครูเจ้าฟ้ามหาจักรี รุ่นที่ 6 มั่นใจครูดีมีอยู่จริง วิชาชีพครูไม่มีวันหมดจากสังคมไทยแน่นอน  

เมื่อเวลา 9.00 น.วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการมอบรางวัลให้แก่ครูเครือข่ายมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี (ครูไทย) รุ่นที่ 6 ปี 2568 (Princess Maha Chhakri Award Ceremony) ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม 2 เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี จัดโดยมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการและครูที่ได้รับรางวัล ประกอบด้วย รางวัลคุณากร รางวัลครูยิ่งคุณ และรางวัลครูขวัญศิษย์ รวมกว่า 200 คน เข้าร่วม

ศ.ดร.นฤมล กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมครูทุกคนที่มาร่วมรับรางวัลด้วยความภาคภูมิใจในครั้งนี้ ว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการศึกษา เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี เด็กและเยาวชนของเราไม่ได้เรียนรู้กับครูเพียงอย่างเดียว เพราะเมื่ออยากรู้อะไร ก็มักจะไปถามจาก AI ทั้ง Google, Chat GPT จนบางครั้งอาจถูกมองว่า อาชีพครูเป็นอีกอาชีพที่ถูก Distruption แต่การที่ครูกว่า 200 คน ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความเป็นครูไม่ได้ทำเพียงการสอนวิชาการในสาขาต่าง ๆ เท่านั้น แต่ครูยังมีบทบาทสำคัญในการบ่มเพาะ ขัดเกลาจิตใจของเด็ก และที่สำคัญที่สุดคือ ครูเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตของเด็ก ๆ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดาร ซึ่ง AI คงทำไม่ได้ ถ้าไม่มีครูเป็นผู้ชี้แนะ

“ขอฝากให้กำลังใจกับครูทุกท่านในการก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ โดยยังดำรงหลักการ ในการถ่ายทอดความรู้และการดูแลเด็ก ๆ ไม่ใช่เฉพาะด้านวิชาการ แต่ดูแลไปถึงจิตใจ ชีวิตความเป็นอยู่ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเขาด้วย เชื่อว่าวิชาชีพครูจะไม่มีวันหมดไปจากสังคมไทยแน่นอน พร้อมกันนี้ขอแสดงความขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกและกลั่นกรองผู้ที่ได้รับรางวัล ซึ่งทราบว่าเป็นกระบวนการที่เข้มข้นตั้งแต่ระดับจังหวัดมาจนถึงระดับภูมิภาค ซึ่งก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของตัวครู ครอบครัว และสถานศึกษา และท้ายสุดขอขอบคุณมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ที่สามารถดำเนินงานได้สำเร็จลุล่วงตามเจตนารมณ์ และเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญในการสรรหาและคัดเลือกครูดีในทุกจังหวัด เพื่อที่ครูเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนครูและ นักศึกษาครูในอนาคต ที่จะร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับชีวิตลูกศิษย์ และสร้างคุณูปการต่อการศึกษา” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวด้วยว่า ได้มอบหมายให้องค์กรหลักทั้งสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หารือร่วมกันเพื่อวางแผนต่อยอดครูที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เพื่อขยายผลให้เกิดการเรียนรู้และการนำไปปฏิบัติสู่นักเรียนทั่วประเทศ ที่จะเป็นการยกระดับผลสัมฤทธิ์ และสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาต่อไป ในส่วนตัวอาจารย์เอง ก่อนเข้างานก็ได้รับฟังปัญหาอุปสรรคในการทำงานของครูบางท่าน จึงขอยืนยันว่าหากมีนโยบายใดที่จะช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการทำงานของครูได้ จะทำอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยดูแลเด็กและเยาวชนของเราต่อไปในอนาคต

บอร์ด.สกสค.อนุมัติงบฯ3,000ล.ให้สกสค.-องค์การค้า บริหารจัดการ พร้อมมอบองค์การค้าฯทำแผนจัดการหนี้กว่า6,000ล.รายงานบอร์ด.ทุกครั้ง

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(บอร์ด สกสค.)และคณะกรรมการองค์การค้าสกสค.ว่า บอร์ด สกสค.ได้อนุมัติกรอบงบประมาณของ สกสค.ปี 2569 ในวงเงินกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้มีงบฯองค์การค้าสกสค.รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ สกสค.ยังแจ้งให้ที่ประชุมทราบถึง “เรื่องการรับสมัครบุคคลเพื่อสรรหาและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสกสค.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร” โดยจะรับสมัครตั้งแต่วันที่ 17-29 ตุลาคม นี้ สมัครด้วยตัวเองที่ สำนักงาน สกสค.ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30น.เว้นวันหยุดราชการ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สกสค.ยังได้รายงานให้ทราบถึงความคืบหน้าการจัดตั้งสหกรณ์กลาง ซึ่ง สกสค.ได้ทำหนังสือส่งไปที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) แล้ว แต่ สลค.ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่ง สำนักงาน สกสค.ก็ทำข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ขณะเดียวกันก็จะรอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย เมื่อได้ข้อมูลสมบูรณ์แล้วก็จะได้นำไปบรรจุในระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในการประชุมครั้งต่อไป นอกจากนี้ที่ประชุมยังมอบหมายให้องค์การค้าสกสค.ไปทำแผนปรับโครงสร้างหนี้ รายงานให้ที่ประชุมทราบทุกครั้ง ว่ามีความคืบในการบริหารจัดการหนี้อย่างไรบ้าง เพราะขณะนี้ องค์การค้าสกสค.มีหนี้สินค่อนข้างสูงมากถึง 6,000 กว่าล้านบาท ไม่รู้ว่าหนี้จะลดลงเมื่อไหร่ ซึ่งจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมืออาชีพมาให้คำแนะนำ ส่วนการสรรหาผอ.องค์การค้า สกสค.มาแทนนายพัฒนะ พัฒนทวีดล อดีตรองเลขาธิการ กพฐ.ที่เกษียณอายุราชการไปนั้น จะหารือผู้บริหารระดับสูง ศธ.อีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีผู้รับผิดชอบมีแต่รักษาการ ส่วนเรื่องการพิมพ์หนังสือแบบเรียนที่องค์การค้าฯเคยได้ลิขสิทธิ์พิมพ์หนังสือเรียนนั้น เรื่องนี้ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็ถามอยู่ สัปดาห์หน้าองค์การค้าฯจะเสนอแผนการพิมพ์มาเข้าที่ประชุมเพื่อเตรียมการได้ทันก่อนเปิดภาคเรียน