“ดร.เกศทิพย์”ร่วมสัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้อุบลราชธานี ครั้งที่ 14 พร้อมย้ำ “เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกคนเข้าถึงได้”

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ลานกิจกรรมห้างสรรพสินค้าสุนีย์ทาวเวอร์ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้อุบลราชธานี ครั้งที่ 14” ภายใต้แนวคิด “UBON Book Fair & Book of Paradise – สุดขอบฟ้าแห่งโลกจินตนาการซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน2568 โดยมี ร้อยตรีสรมงคล มงคละสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีกล่าวต้อนรับ และมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานศึกษาและประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

ดร.เกศทิพย์ กล่าวถึงความสำคัญของการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตว่า งานนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ สกร. ที่ทดแทน กศน. เดิม ได้ดีที่สุด ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ .. 2566 เพราะเป็นงานที่เติมเต็มการเรียนรู้ครบวงจร ตั้งแต่การอ่าน การวางแผน และการสร้างอนาคตสำหรับทุกช่วงวัย พร้อมสะท้อนถึงความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายทุกหน่วยงานในจังหวัดอุบลราชธานี และสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด ที่สามารถร่วมมือกันจัดงานได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมถือเป็นต้นแบบให้กับ สกร. ทั่วประเทศ ได้ต่อยอดต่อไป ทั้งนี้ขอเชิญชวนพี่น้องชาวอุบลราชธานีมาร่วมงานสัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้อุบลราชธานี ครั้งที่ 14 เพื่อแสวงหาความรู้ ความบันเทิง และเลือกซื้อหนังสือดี เนื่องจากการอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ที่ยั่งยืนเมื่อใดก็ตามที่เราอ่านรอบหนึ่ง รอบสอง รอบสาม ความรู้จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อย และความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นนั้น จะกลายเป็นนิสัยของการเรียนรู้ ซึ่งทำให้เราสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยการเติมเต็มความรู้และนำไปใช้จริง ซึ่งภายในงานมีนิทรรศการและกิจกรรมมากมาย อาทินิทรรศการสกร. Learn to Earn” ที่เชื่อมโยงการอ่านเข้ากับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพและทักษะชีวิต การออกร้านจำหน่ายหนังสือจากสำนักพิมพ์ชั้นนำทั่วประเทศ เวทีเสวนาเรียนรู้สู่อาชีพการแสดงของเยาวชน และกิจกรรมเสริมปัญญา ตลอดจนการพบปะนักเขียน นักพูดและเวทีสร้างแรงบันดาลใจ

กิจกรรมเหล่านี้ออกแบบตามนโยบายของ .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “Flexible Education” ให้สอดคล้องกับแนวคิดของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ที่มุ่งเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกคนเข้าถึงได้เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดอุบลราชธานีให้ก้าวสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City)” อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ งานยังใช้รูปแบบ “ABC Model” : A = Art (ศิลปะ) B = Book (หนังสือ) C = Culture (วัฒนธรรม) เพื่อหลอมรวมศิลปะ วัฒนธรรม และความรู้ เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย สนุกสนาน และเปิดโลกทัศน์ให้ผู้ร่วมงานทุกช่วงวัยดร.เกศทิพย์กล่าวและว่า ขอขอบคุณ คุณสุนีย์ ตริยางกูรศรี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทในเครือก้าวหน้าไก่สด จำกัด เจ้าของสถานที่ที่มอบสถานที่และประสบการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อทำให้งานนี้เป็นมากกว่าแค่โลกแห่งจินตนาการ แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจจากครอบครัวที่เป็นต้นแบบด้วย

ภายหลังพิธีเปิด ดร.เกศทิพย์ พร้อมคณะ ได้เดินเยี่ยมชมบูธจำหน่ายหนังสือและนิทรรศการของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ รวมถึงให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และเครือข่ายผู้จัดงาน พร้อมมอบเกียรติบัตรให้กับศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอในจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีผลงานโดดเด่นในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ภายในงาน

ข้าราชการและบุคลากร สังกัด ศธ. ไว้ทุก 1 ปี หน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัด งดกิจกรรมรื่นเริง 1 ปี พร้อมเผยแพร่พระราชกรณียกิจพระพันปีหลวงบนเว็บไซต์หน่วยงาน ส่วนสถานศึกษาจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีหนังสือบันทึกข้อความ ไปยังหน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานในกำกับ กำหนดให้ข้าราชการ บุคลากรทางการศึกษา และพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติเพื่อถวายความอาลัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

“นฤมล” ส่งต่อ”อาชีวะ”มอบบ้านหลังใหม่ครอบครัวน้องน้ำโขง “ปู่”ซาบซึ้งน้ำใจกระทรวงศึกษาธิการ

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568  ที่บ้านโจรก ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนายศพล เวณุดกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) จัดกิจกรรม Fix it-จิตอาสาและการส่งมอบบ้านพักอาศัยพร้อมแปลงเกษตร รถจักรยานยนต์ และรถแทรคเตอร์  ให้กับครอบครัวนักเรียน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา โดย นายยศพล เป็นประธาน ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่พิธีมอบบ้านได้ขอให้ทุกคนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อแสดงความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต่อการสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระผู้ทรงเป็น“แม่ของแผ่นดิน” ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระเมตตาธรรม เพื่อพสกนิกรชาวไทยในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะงานพัฒนาอาชีพ งานส่งเสริมศิลปาชีพและงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความเข้มแข็งในชุมชนไทยมาจนถึงปัจจุบัน

และในโอกาสนี้ ในนามของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ กระผมขอกราบถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้ง และขอปฏิญาณว่าจะสืบสานแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะการพัฒนาคนให้มีอาชีพ มีรายได้ และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน นายยศพล กล่าวทิ้งท้าย

จากนั้น นายยศพล กล่าวระหว่างเป็นประธานมอบบ้านให้กับครอบครัว ด.ช.ธิติวัฒน์ บุญแต่ง หรือน้องน้ำโขง วัย 8 ขวบ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์จรวด BM21 ของทหารกัมพูชายิงตกใส่บ้าน เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ก็ได้มอบทุนการศึกษาให้เด็กที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ด้วย ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษารู้สึกห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา ขอแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียและความลำบากที่เกิดขึ้น และขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยพลังแห่งความรัก ความห่วงใย และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนวันนี้ การมอบบ้านพักอาศัยจึงไม่เพียงเป็นการช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินตามรอยพระยุคลบาทของพระพันปีหลวงในการ “ให้โอกาส และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชน”สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในภารกิจช่วยเหลือสังคมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นหัวใจของ “อาชีวะเพื่อสังคม” ที่ไม่เพียงใช้ความรู้ในวิชาชีพ แต่ยังใช้หัวใจของความเป็นมนุษย์ ในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคม และขอชื่นชมผู้บริหาร ครู และนักเรียนอาชีวะทุกคน ที่เสียสละแรงกายแรงใจ ทำงานด้วยความตั้งใจและอบอุ่น จนสามารถคืนความสุขและรอยยิ้มให้แก่ครอบครัวนักเรียนและประชาชนได้อีกครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นมากกว่าการส่งมอบ “บ้าน” แต่คือการส่งมอบ“ความหวัง” และ “ความเชื่อมั่น” ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะอยู่เคียงข้างนักเรียน ครอบครัว และประชาชนทุกคน เราจะร่วมมือกับหน่วยงานทุกระดับ เพื่อคุ้มครองและดูแลสวัสดิภาพของผู้เรียน ลดผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่า เมื่อเราร่วมมือกันอย่างจริงใจ ประเทศไทยของเราจะผ่านพ้นทุกวิกฤติไปได้ด้วยพลังแห่งความสามัคคี

ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า จริง ๆ แล้ววันนี้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)วางแผนที่จะมาร่วมกิจกรรมด้วยตัวเอง เตรียมการจะมาถึงเช้านี้วันนี้ แต่เมื่อคืนนี้ พระพันปีหลวง ได้เสด็จสวรรคต คณะรัฐมนตรี(ครม.)จึงได้มีการเรียกประชุมด่วน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าท่านจะไม่สามารถมาร่วมพิธีได้ทัน แต่ท่านได้ฝากความเป็นห่วงและฝากแสดงถึงความมีน้ำใจของทุกหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ได้เข้ามาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบที่บ้านโจรก และมอบหมายให้ผมเข้ามาดำเนินการที่จะดูแลแทน

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ท่านได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด ได้มอบหมายให้อาชีวศึกษาดูแลซ่อมแซมรถแทร็คเตอร์ รถจักรยานยนต์พ่วงท้ายและสร้างบ้าน และยังได้ลงพื้นที่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันแรก ๆ และท่านก็ได้มีโอกาสเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพน้องน้ำโขง รับปากที่จะช่วยดูแลเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งจริงๆแล้วท่านเป็นห่วงทุกคนที่ได้รับผลกระทบ เพียงแต่ว่าในส่วนของครอบครัวนายสุธีร์ มีความเสียหายที่ร้ายแรงสูญเสียน้องน้ำโขง แต่ก็สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการเยียวยาฟื้นฟูจิตใจครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ดีที่สุด ซึ่ง ศธ.ก็ได้ประสานเครือข่ายอาชีวศึกษาจังหวัดสุรินทร์ และสถานศึกษาในสังกัดร่วมดำเนินการก่อสร้างบ้าน และวางแปลงเกษตรครัวเรือน เช่น 1.วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG 2.มอบรถจักรยานยนต์ โดยบริษัท คุณเฮงยานยนต์สุรินทร์ (1999) จำกัด 3. การซ่อมบำรุงรถแทร๊คเตอร์ โดยบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด และ 4.มอบอิฐสำหรับงานก่อสร้าง โดยบริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด(มหาชน)เป็นต้น

นายสุธร์ บุญแต่ง ปู่น้องน้ำโขง กล่าวว่า ในนามครอบครัวนักเรียนผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชาใคร่ขอกราบขอบพระคุณต่อความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วน รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจให้ความช่วยเหลือในการสร้างบ้านพักอาศัยหลังใหม่ให้แก่ครอบครัวของข้าพเจ้า ความเมตตาและน้ำใจในครั้งนี้เป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้ครอบครัวของเราผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากและเป็นแรงใจอันยิ่งใหญ่ที่เติมเต็มความอบอุ่น มั่นคงและความหวังในการดำเนินชีวิตต่อไป ในวันนี้ข้าพเจ้าและครอบครัวรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของทุกท่านอย่างหาที่สุดมิได้ขอกราบขอบพระคุณจากใจจริง และขออำนวยพรทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

“อ.แหม่ม”เร่งเข็น 3 เรื่องหลักดูแลครูสนองนโยบายรองนายกฯธรรมนัส ดีเดย์ 29 ต.ค.ลงนามร่วมการเคหะจัดการบ้านพักครู 30 ต.ค.ลุ้น ก.ค.ศ.เคาะเกณฑ์วิทยฐานะใหม่

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวระหว่างการเป็นประธานการประชุมสัมมนาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 245 เขต ครั้งที่ 2/2568 และ มอบเกียรติบัตรพร้อมมอบโล่รางวัล จำนวน 140 รางวัล แก่หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานดีเยี่ยม ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรม เดอะคาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 500 คน ซึ่งศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า จากที่เราได้พูดคุยกันแล้วเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา  วันนี้จะมารับฟังปัญหาต่าง ๆ ของเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อนำไปขอการสนับสนุนจากรัฐบาลและรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และวันนี้ก็ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการบริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เพราะเราได้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) และรองเลขาธิการ กพฐ.คนใหม่ทั้ง 4 คน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนมีนโยบายให้นำวิชาประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง มาจัดการเรียนการสอน โดยให้บรรจุในหลักสูตร เพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลก็ฝากมา และเรื่องที่อยากเน้นย้ำคือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ได้พระราชทานไว้กับเยาวชน ถึงความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ พระองค์มิได้ทรงต้องการให้ครูสอนแบบท่องจำว่า “เกิดอะไรขึ้นในประวัติศาสตร์แล้วมาสอบ” แต่ให้สอนเพื่อให้เด็กเข้าใจและคิดวิเคราะห์ได้ว่า “ทำไมเหตุการณ์นั้นถึงเกิดขึ้น” และ “เหตุใดผู้นำในยุคนั้นจึงตัดสินใจเช่นนั้น” เพื่อให้เด็กมีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน จึงขอฝากผู้อำนวยการเขตทุกท่านให้ตระหนักถึงความสำคัญของ วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองด้วย

“ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ร่วมลงพื้นที่กับ ศธ.หลายครั้งและได้เน้นย้ำตลอดว่า ท่านให้ความสำคัญ 3 เรื่อง คือ เรื่องสวัสดิการของครู เรื่องความเป็นอยู่ของครู และเรื่องหนี้สินครู ที่ยังไม่ได้ดูแลเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องบ้านพักครูที่มีสภาพทรุดโทรมมาก ดังนั้นในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ จะมีการลงนามความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติเพื่อให้เข้ามาดำเนินการ นอกจากนี้ในเรื่องของหนี้สินครูที่มีจำนวนมาก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีการประชุมลงนามเข้ามาอยู่ในสำนักงานนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็จะทำคู่ขนานไปกับการจัดตั้งสหกรณ์กลาง ดำเนินการโดยสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ซึ่งจะมีแหล่งเงินก้อนแรกมาจากธนาคารของรัฐที่จะลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษแต่เราจะต้องขอเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมาชดเชยให้ เมื่อสหกรณ์กลางเกิดขึ้นก็จะได้รวมหนี้ครูมาไว้ที่สหกรณ์กลาง โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษเช่นเดียวกัน แต่ขออย่างเดียว ขอครูอย่าก่อหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก จนกว่าจะแก้ปัญหาหนี้สินก้อนแรกได้”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า ส่วนเรื่องการลดภาระครู นั้น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ได้เห็นชอบให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ที่เกินเกณฑ์ มาเปลี่ยนเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่ง เจ้าพนักงานพัสดุปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน และเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน แล้ว 1,706 อัตรา ให้แก่สถานศึกษาที่ขาดแคลนบุคลากรที่จะมาทำหน้าที่ด้านธุรการและจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้ครูกลับมาปฏิบัติหน้าที่สอนได้อย่างเต็มที่ แต่เราจะไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีย้ำมาโดยตลอด

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า เรื่องของการมีและเลื่อนวิทยฐานะ อาจารย์ก็ได้เรียนให้รองนายกฯทราบเพิ่มเติมว่าครูจะต้องมีความก้าวหน้า ซึ่งที่ผ่านมามีการร้องเรียนเรื่องนี้เยอะ ซึ่งอาจารย์ก็ได้มอบให้ ก.ค.ศ.ไปกำหนดหลักเกณฑ์มาใหม่ ต้องเพิ่มทางเลือกให้กับครู ต้องปรับหลักเกณฑ์ให้เหมาะสม และเป็นธรรม ไม่ควรชักบันไดออก เพราะเราต้องส่งเสริมรุ่นหลังให้มีและเลื่อนวิทยฐานะมากขึ้น ซึ่งจะมีการประชุม ก.ค.ศ.เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ในวันที่ 30 ตุลาคม นี้

จากนั้น ศ.ดร.นฤมล ได้เปิดโอกาสให้ผู้บริหาร ครู ศึกษานิเทศก์ สะท้อนปัญหาต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปัญหาในเรื่องการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ และรมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า เสียงที่สะท้อนมาก็สอดคล้องกันกับที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง โดยมีประเด็นปัญหาเรื่องของหลักเกณฑ์และตัวผู้ประเมินการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ ซึ่งก็ได้นำไปพิจารณาในที่ประชุม ก.ค.ศ. แล้ว และจะมีการทบทวนทั้งในเรื่องของผู้ประเมินและตัวหลักเกณฑ์ โดยจะประชุม ก.ค.ศ.วันที่ 30 ตุลาคมนี้ ซึ่งตนก็ยังไม่เห็นรายละเอียดว่ามีการกำหนดหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง ผู้ที่จะสะท้อนปัญหากับ ก.ค.ศ.เป็นหลักก็น่าจะเป็น เลขาธิการ กพฐ. ที่จะต้องไปรวบรวม รวมถึงปัญหาอื่นๆที่สะท้อนขึ้นมารายงานให้ทราบว่ามีอะไรบ้าง อะไรที่ สพฐ.ทำได้เอง และส่วนไหนที่จะต้องได้รับการผลักดันในระดับนโยบายจากรัฐมนตรี

ส่วนเรื่องการลงนามกับการเคหะแห่งชาตินั้น ได้มอบหมายให้ นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ.เป็นเจ้าภาพหลักในงานนี้ ซึ่งมีความคืบหน้าโดยจะลงนามร่วมกันกับการเคหะแห่งชาติและหลายหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรองนายกฯ ในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ ส่วนเรื่องที่ศึกษานิเทศก์สะท้อนปัญหาการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ เป็นเรื่องของ เลขาธิการ กพฐ.ที่จะต้องไปศึกษาในรายละเอียดว่าโครงสร้างของศึกษานิเทศเป็นแบบไหน ทำอย่างไรจะให้เขามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ ซึ่งจะต้องไปหารือร่วมกันกับ ก.ค.ศ.ด้วย ว่าควรจะเป็นอย่างไรให้มีโครงสร้างที่เหมาะสม

ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1.เพื่อให้ผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้รับทราบนโยบายและจุดเน้น พร้อมทั้งนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญ ของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 2. เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะใหม่ ๆ ในการบริหารงานด้านการศึกษาให้กับผู้บริหาร และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ในหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้บริหารการศึกษา” 3. เพื่อวางแผนการดำเนินงานตามนโยบายและจุดเน้นการจัดการศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติงานที่จะขับเคลื่อนนโยบาย และจุดเน้นดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติในเขตพื้นที่การศึกษา 4. เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ สภาพปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ ที่จะนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนางาน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านงบประมาณ ด้านบุคลากร ด้านวิชาการ และด้านการบริหารทั่วไป 5. เพื่อศึกษาแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่น และเศรษฐกิจพอเพียง ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

สกร. – กรมราชทัณฑ์ ร่วมขับเคลื่อนสังคมแห่งการเรียนรู้ ทุกคนมีสิทธิและโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างเท่าเทียม สนองพ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) เป็นประธานเปิดการประชุมประสานความร่วมมือการจัดการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับกับกรมราชทัณฑ์ ณ ห้องประชุมสุนทร สุนันท์ชัย ชั้น 4 กรมส่งเสริมการเรียนรู้ โดยมีนางยุพิน บัวคำ รองอธิบดีสกร. นายธานี เครืออยู่ ผู้อำนวยการกองมาตรฐานและส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิ นายสุรเกียรติ รัตนรอด ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบ จาก สกร. พร้อมด้วยคณะจากกรมราชทัณฑ์ได้แก่ นายกลยุทธ พานาสันต์ ผู้อำนวยการกองทัณฑวิทยา นางสาววริศรา ศิริสุทธิเดชา ผู้อำนวยการกองพัฒนาพฤตินิสัย นางสาวจันทร์ทิมา อุ่ยยะเสถียร ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการศึกษา และคณะบุคลากรจากทั้งสองกรม เข้าร่วมประชุม

ดร.เกศทิพย์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญของการขับเคลื่อน พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ.2566 ที่มุ่งเน้นให้ “ทุกคนมีสิทธิและโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างเท่าเทียม” ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในสถานะหรือสถานที่” โดยการจัดการเรียนรู้ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวจะดำเนินการ ทั้งในรูปแบบการเรียนการสอนภายในเรือนจำโดยตรง การฝึกอบรมอาชีพ และการนำความรู้และประสบการณ์มาใช้เพื่อการเทียบโอนผลการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้แม้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของสภาพแวดล้อม

อธิบดี สกร. กล่าวว่า สกร.จะเร่งพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายราชทัณฑ์ รวมถึงระบบการวัดผลและการเทียบระดับการศึกษาที่เป็นธรรมและเชื่อถือได้ เพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการเมื่อพ้นโทษ และสามารถต่อยอดสู่อาชีพหรือการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นได้จริง ซึ่ง สกร. เชื่อมั่นว่า ทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา สามารถเรียนรู้ได้  การศึกษาไม่ควรถูกจำกัดด้วยกำแพงใด ๆ การเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองคือการคืนคนดีสู่สังคม และเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

“การประชุมครั้งนี้จึงสะท้อนเจตนารมณ์ของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ในการ “ขยายโอกาสการศึกษาอย่างเท่าเทียมทั่วถึง” ให้ทุกคนในทุกบริบทของสังคมสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ ตอบสนองต่อเป้าหมายของพ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 อย่างแท้จริง” ดร.เกศทิพย์ กล่าว

“อ.แหม่ม”มอบ สช.-สพฐ.ไปอุดช่องโหว่กฏหมายเปิดช่องทำธุรกิจการศึกษาเปิดโรงเรียนกวดวิชาตามห้างสรรพสินค้า

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ)เปิดเผยภายหลัง เป็นประธาน ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ว่า วันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาถึงแนวทางการอุดหนุนเป็นค่าอาหารกลางวันนักเรียนโรงเรียนเอกชนที่จัดไม่ครบ เพราะมีนักเรียนที่มีภาวะทุพโภชนาการและขาดแคลน ปี2569 ที่เหลืออีก1 เทอม ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.)จะต้องของบฯกลางเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับอาหารกลางวันครบทุกคน ส่วนในปี 2570 ก็ให้ตั้งงบประมาณในพ.ร.บ.รายจ่ายประจำปี จำนวน 3,900 ล้านบาทต่อปี ต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาถึงการตั้งอนุกรรมการด้านต่าง ๆ เพื่อมากลั่นกรองปัญหาที่เกิดขึ้น ก่อนเสนอเรื่องเข้าที่ประชุม กช.เช่น อนุกรรมการด้านกฎหมาย อนุกรรมการพัฒนากฎหมาย ระเบียบต่างๆอนุกรรมการด้านอาชีวะเอกชน เป็นต้น

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า  นอกจากนี้ที่ประชุมยังรายงานความคืบหน้าการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)โรงเรียนเอกชน พ.ศ..ซึ่ง สช.ได้ทำประชาพิจารณ์ผ่านความคิดเห็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่า สช.จะนำร่างฯพ.ร.บ.ดังกล่าวเสนอให้ตนภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อลงนามเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)และเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ..จะไม่ผ่านในรัฐบาลชุดนี้ อย่างน้อยก็ได้เข้าสู่ขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎรไว้ก่อนแล้ว

“พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ..ล้าสมัยมาก ต้องมีการแก้ไขกว่า 20 มาตรา เพราะตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เช่น พ.ร.บ.เดิมเป็นคู่มือมีเรื่องที่ละเอียดยิบย่อย เรื่องสวัสดิการครู เรื่องกองทุนสงเคราะห์ คุณสมบัติผู้ได้รับใบอนุญาต เรื่องการแก้ปัญหาเกี่ยวกับครูต่างชาติที่มีปัญหาในเรื่องการจ่ายค่าชดเชย เป็นต้น”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.ศุภเสฏฐ์ คณากูล นายกสมาคมคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชน (ส.ปส.กช.)กล่าวว่า ที่ประชุมได้พูดคุยกันมากถึงเรื่องการร้องเรียนจากหลายโรงเรียนทั้งในระบบและนอกระบบเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงเรียนนอกระบบที่เปิดตามห้างสรรพสินค้า ต่าง ๆ ซึ่งผู้จัดการโรงเรียนมีกำไรมหาศาล ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ไปทำข้อตกลงร่วมกับ สช. ว่าจะต้องเอากฎหมายตัวไหนมาใช้ เนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้จดทะเบียนในรูปแบบศูนย์การเรียน ซึ่งขึ้นตรงกับ สพฐ.และสพฐ.เป็นผู้ออกวุฒิการศึกษาให้ โรงเรียนเหล่านี้จึงใช้ช่องโหว่ของกฏหมายนำมาบูรณาการกับโรงเรียนนอกระบบกวดวิชาเพื่อจะใช้คำว่า”โรงเรียน” ซึ่งทั้งสองหน่วยงานจะต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาร่วมกัน เนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายมาจัด เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็ให้นำมาเข้าที่ประชุม กช.ในครั้งต่อไปว่าจะหาทางแก้ไขปัญหานี้อย่างไร

 

จับข่าวมาเล่า

หยอก หยอก วันที่ 22 ตุลาคม 2568 ***เพราะทุกการยอมรับไม่ได้แปลว่าแพ้แต่คือการให้โอกาสได้เริ่มใหม่อย่างเข้มแข็งกว่าเดิม***เงียบไปนาน FC บ่นคิดถึง โทรมาถามไถ่ว่าช่วงนี้ไม่มีเรื่องราวอะไรมาเล่าให้ฟังหรอเหงา..ว่างั้นจริง แล้วก็มีอยู่ แต่บางเรื่องก็มาเล่าต่อไม่ได้(น้ำท่วมปาก)วันนี้ก็เอาพอหอมปากหอมคอก็แล้วกันเนาะ***วันก่อนเป็นที่ฮือฮาในวงการศึกษา ในการเปิดตัวกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค มีการแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรคตามภารกิจจำนวน 8 คน และชื่อคนที่คุ้นชินอัมพร พินะสาอดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ที่ได้รับการทาบทามให้มาเป็นรองหัวหน้าพรรคด้านการศึกษา เรียกว่าเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันกันเลยทีเดียว งานนี้เรียกเสียงฮือฮาตื่นเต้นให้กับคนการศึกษา มิใช่น้อย ไม่คิดว่า พรรคประชาธิปัตย์จะตาถึง เลือกดร.อัมพร พินะสามาเป็นกูรูด้านการศึกษาสมมงโดยแท้เพราะนอกจากจะมีความรู้ความสามารถรอบด้านการศึกษาแล้ว ยังเป็นที่รักและนับถือของผู้บริหาร ครูเล็ก ครูน้อย และเพื่อนฝูง ไปที่ไหนลูกน้องทั่วสารทิศคอยดูแล ถึงขนาดนี้แล้วพรรคประชาธิปัตย์คงได้เสียงจากครูจำนวนไม่น้อยแน่นอน*** คนก่อนหน้านี้ไม่เห็นถึงความสำคัญก็ไม่ต้องมาเสียดายกันตอนนี้แล้วนะฮ่าฮ่าฮ่า*** พูดถึงอดีตผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ก็ต้องขอแสดงความยินดี กับ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา อดีตเลขาธิการ กพฐ.คนล่าสุด เกษียณอายุราชการได้แค่ 21 วันสงสัยทำงานเข้าตารัฐบาลชุดนี้อนุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรี ถึงลงนามเห็นชอบเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติแต่งตั้งให้ไปทำงานในตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน  .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยังบอกว่าจะให้เข้ามาช่วยงานการศึกษาตรงนี้ ก็น่าคิดไหน ก็จะเอามาช่วยงานการศึกษาแล้วทำไมไม่แต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการไปเลย เพราะตำแหน่งนี้ยังว่างอยู่..(หยอก หยอก ก็แค่สงสัยเด้อ)หรือจะเก็บไว้ให้ใครรึเปล่าน้อฮิฮิ***ปรับโหมดมาที่การบริหารราชการในวังจันทร์เกษม ต้องยอมรับในความสามารถความเก่ง ความแม่น ความฉลาด ความมีจิตวิทยาสูง ของอาจารย์แหม่ม.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ใครได้ทำงานด้วยแล้วเป็นต้องตื่นตัวแถมมาด้วยความสนุก เพราะมีทั้งลูกล่อลูกชน ตอบคำถามได้ทุกคำถาม ไม่มีถอย ไม่มีหนีนักข่าว(แม้จะมีอยู่แค่คนเดียวก็ให้ข่าว)แบบนี้สิเขาถึงเรียกว่านักการเมืองมืออาชีพ ไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง  ถ้าอยู่พัฒนาการศึกษาไปอีกซัก 2-4 ปี รับรองว่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในกระทรวงศึกษาธิการอีกเยอะแต่น่าเสียดายที่การเมืองตอนนี้ อยู่ในยุค VUCA World ผันผวน ซับซ้อน ไม่มีอะไรแน่นอน ทำให้ทำอะไรไม่ได้เยอะ นโยบายก็จะไปได้แค่ครึ่งทางเอง ไม่สะเด็ดน้ำ*** ส่วนเรื่องนี้ยังเงียบอยู่เลยสำหรับการลงพื้นที่ไปสืบข้อเท็จจริงกรณีเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ดเขต1 ที่ยกเลิกประกาศย้ายครูเกือบทั้งบัญชีโดยอ้างว่าระบบTRSคลาดเคลื่อน แต่ที่แท้จริงเป็นเพราะเขตพื้นที่ป้อนข้อมูลผิด เอาอัตราว่างจากการเกษียณมาวิเคราะห์กันเองแล้วพิจารณาย้าย ซึ่งตามระเบียบกฎหมายต้องคืนอัตราไปให้ ...ก่อน อย่างไรก็ตาม ทราบมาว่าเรื่องนี้มีมูลเหตุหลายเรื่องต้องรอฟังจากคณะกรรมการที่ลงไปสืบข้อเท็จจริงก่อน ข่าวว่า มีการตั้งกรรมการลงไปสืบข้อเท็จจริงทั้งกรรมการส่วนกลางและนิติกรของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)แล้ว แต่ยังไม่สะเด็ดน้ำเหมือนกันรอกันไปก่อนนะใจเย็น สงสารแต่ครูที่ได้ย้าย บางคนเก็บข้าวของคืนบ้านพัก เลี้ยงส่ง และเข้ากลุ่มไลน์โรงเรียนใหม่แล้ว แบบนี้อยากเอาความรู้สึกไปใส่ใจคนทำจัง…***ยังไม่ลงตัวสำหรับการสรรหาผู้บริหารระดับต้นและผู้บริหารระดับสูง ข่าวว่า ศึกษาธิการภาค ระดับ10 มีรายชื่อสรรหาตั้งแต่สมัยพลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการไว้แล้ว จะมีบางรายชื่อสไสด์เข้าออก ส่วนบริหารต้นโดยเฉพาะตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ว่าง 2ตำแหน่ง แว่วว่าจะเป็นสุภาพสตรีทั้ง2 คน คนหนึ่งอยู่ใน สพฐ.อีกคนอยู่นอก สพฐ.แต่เป็นลูกหม้อเก่าว่าซั่นยังไงก็ต้องได้ลุ้นในยุคอาจารย์แหม่มเป็นเสมา1 ***ข่าว สพฐ.มีให้ถามอีกเยอะ แต่พอหอมปากหอมคอก่อน..ว่าแต่วันนี้จะส่งใครไปตอบคำถามของคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ....) สภาผู้แทนราษฎร ที่จะเชิญ กรมบัญชีกลาง มาสอบถามว่า การที่ สพฐ.ไม่ทวงถามหนี้ชำระค่าลิขสิทธิ์พิมพ์หนังสือต้นฉบับ สพฐ.จากองค์การค้าของ สกสค. รวมถึงการที่องค์การค้าของ สกสค.ค้างชำระค่าลิขสิทธิ์มาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีเข้าข่ายมีความผิด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่อย่างไร..ก็ขอให้ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดีเลขาธิการ กพฐ.ส่งคนรู้เรื่องนี้อย่างดีไปชี้แจง..น้อ..จะได้ไม่เป็นข่าวใหญ่โตเหมือนครั้งที่แล้ว***ช่วงนี้ ตั้งแต่กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)ได้อธิบดีคนใหม่ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิชย์รู้สึก สกร.มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที มีข่าวงาน สกร.ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปที่ไหนโลกต้องรู้ แบบนี้สิถึงเรียกว่าสมมงกับตำแหน่งที่ต้องดูตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงตายทำดี งานมากกว่าอยู่ สพฐ.อีก แต่น่าจะอยู่ได้ปีเดียว เพราะปีหน้าจะขยับขึ้น ซี 11 แล้วคร่าฮิฮิฮิ***ตบท้ายด้วยกับการคืนตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาของมนัสฌาน์ ชูเชิดผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม (นักศึกษาน้อยกว่าที่เดิมหลายเท่า)ผู้บริหาร และครูคนอื่น ทยอยกลับเข้ามารับราชการ ที่ถูกคดี SP2 พ่นพิษกว่า 2 ปี ให้ออกจากราชการ ต่อสู้กับระบบสั่งการของผู้มีอำนาจจนพ้นผิด ได้กลับมาทำงาน สงสารแต่บางคนเป็นแพะรับบาปครอบครัวล่มสลาย ไม่เจอใคร ไม่รู้หรอก นักการเมืองลอยตัว คนติดคุกคือ ข้าราชการเอวัง*** วันนี้เล่าเยอะแล้ว พอแค่นี้ก่อนนะ..บาย

สพฐ.หาแนวทางตั้งงบฯให้เขตพื้นที่ฯบริหารจัดการเอง พร้อมเตรียมทำปฏิทินใช้งบฯปี 69 ย้ำเดินตามจุดเน้นและนโยบายเร่งด่วน

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหาร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า  ที่ประชุมได้หารือถึงการตั้งงบประมาณสำหรับ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) โดยมีแนวคิดให้มีการตั้งงบประมาณ สำหรับเขตพื้นที่ฯ เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการบริหารจัดการงบประมาณ ที่เหมาะสมตามบริบทของพื้นที่ โดยจะมีการเตรียมการพิจารณาแนวทาง และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความเห็นชอบจัดตั้งต่อไป  สำหรับการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะจัดทำและนำเสนอกระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 15 ธันวาคม นี้ โดยอิงตามนโยบายและจุดเน้นฯ และนโยบายระยะเร่งด่วนของ สพฐ. ปี 2569 ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำ และเป็นไปตามแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรี( ครม. )วันที่ 14 ตุลาคม ที่ผ่านมา ดังนี้

  1. มุ่งเน้นดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
  2. จัดทํางบประมาณเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  3. พิจารณาลำดับความสำคัญตามความจำเป็นเร่งด่วนและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
  4. จัดทำแผนงาน/โครงการ โดยมีการกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด ผลลัพธ์ที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชน
  5. พิจารณาให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณ และเงินนอกงบประมาณ
  6. ให้ความสําคัญกับการจัดทำงบประมาณในมิติพื้นที่ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพื้นที่
  7. ดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฯ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้ย้ำถึงการประชุมสัมมนาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั่วประเทศ ครั้งที่ 2/2568 ระหว่างวันที่ 23 – 25 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรม เดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิด และในวันที่ 26 ตุลาคม สพฐ.จะมีพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สพฐ. ประจําปี 2568 ณ วัดวิเวกวายุพัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่ง สพฐ.ได้เปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมอนุโมทนาทรัพย์ได้ที่ บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เลขที่ 059 – 0 – 44473-5 ชื่อบัญชี กฐินพระราชทาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจําปีพุทธศักราช 2568  โดยยอดเงิน ณ วันที่ 21 ต.ค. 2568 รวม 4,527,762.14 บาท

ครม.เห็นชอบตั้ง”ธนุ วงษ์จินดา”ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้เสนอครม.พิจารณาผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยได้แต่งตั้ง ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธนุ วงษ์จินดา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ไปทำงานในตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีบทบาทหน้าที่สนับสนุนการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจะครอบคลุมงานด้านการบริหารราชการทั่วไป การประสานงานกับส่วนราชการอื่น การกำกับดูแลงานนโยบาย และการอำนวยการและสนับสนุนการปฏิบัติงานให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี การเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา การจัดทำแผนงาน และการดูแลงานด้านบุคลากร พัสดุ การเงิน และงบประมาณ

 

 

 

 

สกร.เร่งอบรมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ปลูกฝังจิตสำนึกของพลเมืองให้มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)กล่าวในการประชุมเชิงปฏิบัติการภายใต้โครงการ “ส่งเสริมหน้าที่พลเมืองที่ดีและประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเร่งด่วน (Quick Win) ที่กรมให้ความสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และปลูกฝังจิตสำนึกของพลเมืองที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมี นางเกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นประธานเปิดการประชุม ฯ นายวัชรินทร์ จำปี ที่ปรึกษาอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิชาการ  นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้  ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด/กรุงเทพมหานคร และผู้บริหารหน่วยงานการศึกษาที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ฯ ว่า ขอเน้นย้ำว่าการส่งเสริมความรู้ด้านประชาธิปไตยเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของประชาชนในสังคม เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และกระตุ้นให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างมีสติและจิตสำนึกของความเป็นพลเมือง การอบรมต้องไม่ใช่แค่การบรรยายความรู้ แต่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนมุมมอง และสะท้อนประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง เพื่อให้การเรียนรู้เป็นวงจรต่อเนื่อง เกิดผลลัพธ์ที่นำไปสู่การพัฒนาเชิงพฤติกรรม

“ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สนับสนุนที่จะให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงการเรียนรู้ด้านประชาธิปไตยอย่างทั่วถึง เพราะประชาธิปไตยจะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อประชาชนรู้เท่าทันสิทธิและหน้าที่ของตน ซึ่งในระยะต่อไป สกร. จะขยายการดำเนินโครงการนี้ไปยังสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกพื้นที่ได้จัดอบรมประชาชนตามบริบทของแต่ละชุมชน โดยยึดหลัก “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เพื่อสร้างเครือข่ายพลเมือง รู้คิด  รู้สิทธิ รู้หน้าที่ และร่วมสร้างสังคมประชาธิปไตยที่มั่นคงอย่างยั่งยืน