เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมห้างสรรพสินค้าสุนีย์ทาวเวอร์ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “สัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้อุบลราชธานี ครั้งที่ 14” ภายใต้แนวคิด “UBON Book Fair & Book of Paradise – สุดขอบฟ้าแห่งโลกจินตนาการ” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน2568 โดยมี ร้อยตรีสรมงคล มงคละสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีกล่าวต้อนรับ และมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานศึกษาและประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
ดร.เกศทิพย์ กล่าวถึงความสำคัญของการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตว่า งานนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ สกร. ที่ทดแทน กศน. เดิม ได้ดีที่สุด ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 เพราะเป็นงานที่เติมเต็มการเรียนรู้ครบวงจร ตั้งแต่การอ่าน การวางแผน และการสร้างอนาคตสำหรับทุกช่วงวัย พร้อมสะท้อนถึงความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายทุกหน่วยงานในจังหวัดอุบลราชธานี และสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด ที่สามารถร่วมมือกันจัดงานได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมถือเป็นต้นแบบให้กับ สกร. ทั่วประเทศ ได้ต่อยอดต่อไป ทั้งนี้ขอเชิญชวนพี่น้องชาวอุบลราชธานีมาร่วมงานสัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้อุบลราชธานี ครั้งที่ 14 เพื่อแสวงหาความรู้ ความบันเทิง และเลือกซื้อหนังสือดี ๆ เนื่องจากการอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ที่ยั่งยืนเมื่อใดก็ตามที่เราอ่านรอบหนึ่ง รอบสอง รอบสาม ความรู้จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ และความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นนั้น จะกลายเป็นนิสัยของการเรียนรู้ ซึ่งทำให้เราสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยการเติมเต็มความรู้และนำไปใช้จริง ซึ่งภายในงานมีนิทรรศการและกิจกรรมมากมาย อาทินิทรรศการ “สกร. Learn to Earn” ที่เชื่อมโยงการอ่านเข้ากับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพและทักษะชีวิต การออกร้านจำหน่ายหนังสือจากสำนักพิมพ์ชั้นนำทั่วประเทศ เวทีเสวนา “เรียนรู้สู่อาชีพ” การแสดงของเยาวชน และกิจกรรมเสริมปัญญา ตลอดจนการพบปะนักเขียน นักพูดและเวทีสร้างแรงบันดาลใจ
“กิจกรรมเหล่านี้ออกแบบตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “Flexible Education” ให้สอดคล้องกับแนวคิดของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ที่มุ่ง “เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกคนเข้าถึงได้” เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดอุบลราชธานีให้ก้าวสู่“เมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City)” อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ งานยังใช้รูปแบบ “ABC Model” : A = Art (ศิลปะ) B = Book (หนังสือ) C = Culture (วัฒนธรรม) เพื่อหลอมรวมศิลปะ วัฒนธรรม และความรู้ เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย สนุกสนาน และเปิดโลกทัศน์ให้ผู้ร่วมงานทุกช่วงวัย”ดร.เกศทิพย์กล่าวและว่า ขอขอบคุณ คุณสุนีย์ ตริยางกูรศรี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทในเครือก้าวหน้าไก่สด จำกัด เจ้าของสถานที่ที่มอบสถานที่และประสบการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อทำให้งานนี้เป็นมากกว่าแค่โลกแห่งจินตนาการ แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจจากครอบครัวที่เป็นต้นแบบด้วย
ภายหลังพิธีเปิด ดร.เกศทิพย์ พร้อมคณะ ได้เดินเยี่ยมชมบูธจำหน่ายหนังสือและนิทรรศการของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ รวมถึงให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และเครือข่ายผู้จัดงาน พร้อมมอบเกียรติบัตรให้กับศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอในจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีผลงานโดดเด่นในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ภายในงาน





เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ที่บ้านโจรก ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และนายศพล เวณุดกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) จัดกิจกรรม Fix it-จิตอาสาและการส่งมอบบ้านพักอาศัยพร้อมแปลงเกษตร รถจักรยานยนต์ และรถแทรคเตอร์ ให้กับครอบครัวนักเรียน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา โดย นายยศพล เป็นประธาน ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่พิธีมอบบ้านได้ขอให้ทุกคนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อแสดงความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต่อการสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระผู้ทรงเป็น“แม่ของแผ่นดิน” ทรงอุทิศพระวรกาย พระสติปัญญา และพระเมตตาธรรม เพื่อพสกนิกรชาวไทยในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะงานพัฒนาอาชีพ งานส่งเสริมศิลปาชีพและงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความเข้มแข็งในชุมชนไทยมาจนถึงปัจจุบัน
และในโอกาสนี้ ในนามของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ กระผมขอกราบถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้ง และขอปฏิญาณว่าจะสืบสานแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะการพัฒนาคนให้มีอาชีพ มีรายได้ และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน นายยศพล กล่าวทิ้งท้าย
จากนั้น นายยศพล กล่าวระหว่างเป็นประธานมอบบ้านให้กับครอบครัว ด.ช.ธิติวัฒน์ บุญแต่ง หรือน้องน้ำโขง วัย 8 ขวบ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์จรวด BM21 ของทหารกัมพูชายิงตกใส่บ้าน เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ก็ได้มอบทุนการศึกษาให้เด็กที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ด้วย ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษารู้สึกห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา ขอแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียและความลำบากที่เกิดขึ้น และขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยพลังแห่งความรัก ความห่วงใย และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนวันนี้ การมอบบ้านพักอาศัยจึงไม่เพียงเป็นการช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินตามรอยพระยุคลบาทของพระพันปีหลวงในการ “ให้โอกาส และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชน”สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในภารกิจช่วยเหลือสังคมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นหัวใจของ “อาชีวะเพื่อสังคม” ที่ไม่เพียงใช้ความรู้ในวิชาชีพ แต่ยังใช้หัวใจของความเป็นมนุษย์ ในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคม และขอชื่นชมผู้บริหาร ครู และนักเรียนอาชีวะทุกคน ที่เสียสละแรงกายแรงใจ ทำงานด้วยความตั้งใจและอบอุ่น จนสามารถคืนความสุขและรอยยิ้มให้แก่ครอบครัวนักเรียนและประชาชนได้อีกครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นมากกว่าการส่งมอบ “บ้าน” แต่คือการส่งมอบ“ความหวัง” และ “ความเชื่อมั่น” ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะอยู่เคียงข้างนักเรียน ครอบครัว และประชาชนทุกคน เราจะร่วมมือกับหน่วยงานทุกระดับ เพื่อคุ้มครองและดูแลสวัสดิภาพของผู้เรียน ลดผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่า เมื่อเราร่วมมือกันอย่างจริงใจ ประเทศไทยของเราจะผ่านพ้นทุกวิกฤติไปได้ด้วยพลังแห่งความสามัคคี
ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า จริง ๆ แล้ววันนี้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)วางแผนที่จะมาร่วมกิจกรรมด้วยตัวเอง เตรียมการจะมาถึงเช้านี้วันนี้ แต่เมื่อคืนนี้ พระพันปีหลวง ได้เสด็จสวรรคต คณะรัฐมนตรี(ครม.)จึงได้มีการเรียกประชุมด่วน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าท่านจะไม่สามารถมาร่วมพิธีได้ทัน แต่ท่านได้ฝากความเป็นห่วงและฝากแสดงถึงความมีน้ำใจของทุกหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ได้เข้ามาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบที่บ้านโจรก และมอบหมายให้ผมเข้ามาดำเนินการที่จะดูแลแทน
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ท่านได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด ได้มอบหมายให้อาชีวศึกษาดูแลซ่อมแซมรถแทร็คเตอร์ รถจักรยานยนต์พ่วงท้ายและสร้างบ้าน และยังได้ลงพื้นที่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันแรก ๆ และท่านก็ได้มีโอกาสเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพน้องน้ำโขง รับปากที่จะช่วยดูแลเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งจริงๆแล้วท่านเป็นห่วงทุกคนที่ได้รับผลกระทบ เพียงแต่ว่าในส่วนของครอบครัวนายสุธีร์ มีความเสียหายที่ร้ายแรงสูญเสียน้องน้ำโขง แต่ก็สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการเยียวยาฟื้นฟูจิตใจครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ดีที่สุด ซึ่ง ศธ.ก็ได้ประสานเครือข่ายอาชีวศึกษาจังหวัดสุรินทร์ และสถานศึกษาในสังกัดร่วมดำเนินการก่อสร้างบ้าน และวางแปลงเกษตรครัวเรือน เช่น 1.วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG 2.มอบรถจักรยานยนต์ โดยบริษัท คุณเฮงยานยนต์สุรินทร์ (1999) จำกัด 3. การซ่อมบำรุงรถแทร๊คเตอร์ โดยบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด และ 4.มอบอิฐสำหรับงานก่อสร้าง โดยบริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด(มหาชน)เป็นต้น
นายสุธร์ บุญแต่ง ปู่น้องน้ำโขง กล่าวว่า ในนามครอบครัวนักเรียนผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชาใคร่ขอกราบขอบพระคุณต่อความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วน รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจให้ความช่วยเหลือในการสร้างบ้านพักอาศัยหลังใหม่ให้แก่ครอบครัวของข้าพเจ้า ความเมตตาและน้ำใจในครั้งนี้เป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้ครอบครัวของเราผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากและเป็นแรงใจอันยิ่งใหญ่ที่เติมเต็มความอบอุ่น มั่นคงและความหวังในการดำเนินชีวิตต่อไป ในวันนี้ข้าพเจ้าและครอบครัวรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของทุกท่านอย่างหาที่สุดมิได้ขอกราบขอบพระคุณจากใจจริง และขออำนวยพรทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวระหว่างการเป็นประธานการประชุมสัมมนาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 245 เขต ครั้งที่ 2/2568 และ มอบเกียรติบัตรพร้อมมอบโล่รางวัล จำนวน 140 รางวัล แก่หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานดีเยี่ยม ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรม เดอะคาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 500 คน ซึ่งศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า จากที่เราได้พูดคุยกันแล้วเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา วันนี้จะมารับฟังปัญหาต่าง ๆ ของเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อนำไปขอการสนับสนุนจากรัฐบาลและรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และวันนี้ก็ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการบริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เพราะเราได้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) และรองเลขาธิการ กพฐ.คนใหม่ทั้ง 4 คน
“ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ร่วมลงพื้นที่กับ ศธ.หลายครั้งและได้เน้นย้ำตลอดว่า ท่านให้ความสำคัญ 3 เรื่อง คือ เรื่องสวัสดิการของครู เรื่องความเป็นอยู่ของครู และเรื่องหนี้สินครู ที่ยังไม่ได้ดูแลเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องบ้านพักครูที่มีสภาพทรุดโทรมมาก ดังนั้นในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ จะมีการลงนามความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติเพื่อให้เข้ามาดำเนินการ นอกจากนี้ในเรื่องของหนี้สินครูที่มีจำนวนมาก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีการประชุมลงนามเข้ามาอยู่ในสำนักงานนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็จะทำคู่ขนานไปกับการจัดตั้งสหกรณ์กลาง ดำเนินการโดยสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ซึ่งจะมีแหล่งเงินก้อนแรกมาจากธนาคารของรัฐที่จะลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษแต่เราจะต้องขอเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมาชดเชยให้ เมื่อสหกรณ์กลางเกิดขึ้นก็จะได้รวมหนี้ครูมาไว้ที่สหกรณ์กลาง โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษเช่นเดียวกัน แต่ขออย่างเดียว ขอครูอย่าก่อหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก จนกว่าจะแก้ปัญหาหนี้สินก้อนแรกได้”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า ส่วนเรื่องการลดภาระครู นั้น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ได้เห็นชอบให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ที่เกินเกณฑ์ มาเปลี่ยนเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่ง เจ้าพนักงานพัสดุปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน และเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน แล้ว 1,706 อัตรา ให้แก่สถานศึกษาที่ขาดแคลนบุคลากรที่จะมาทำหน้าที่ด้านธุรการและจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้ครูกลับมาปฏิบัติหน้าที่สอนได้อย่างเต็มที่ แต่เราจะไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีย้ำมาโดยตลอด
จากนั้น ศ.ดร.นฤมล ได้เปิดโอกาสให้ผู้บริหาร ครู ศึกษานิเทศก์ สะท้อนปัญหาต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปัญหาในเรื่องการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ และรมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า เสียงที่สะท้อนมาก็สอดคล้องกันกับที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง โดยมีประเด็นปัญหาเรื่องของหลักเกณฑ์และตัวผู้ประเมินการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ ซึ่งก็ได้นำไปพิจารณาในที่ประชุม ก.ค.ศ. แล้ว และจะมีการทบทวนทั้งในเรื่องของผู้ประเมินและตัวหลักเกณฑ์ โดยจะประชุม ก.ค.ศ.วันที่ 30 ตุลาคมนี้ ซึ่งตนก็ยังไม่เห็นรายละเอียดว่ามีการกำหนดหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง ผู้ที่จะสะท้อนปัญหากับ ก.ค.ศ.เป็นหลักก็น่าจะเป็น เลขาธิการ กพฐ. ที่จะต้องไปรวบรวม รวมถึงปัญหาอื่นๆที่สะท้อนขึ้นมารายงานให้ทราบว่ามีอะไรบ้าง อะไรที่ สพฐ.ทำได้เอง และส่วนไหนที่จะต้องได้รับการผลักดันในระดับนโยบายจากรัฐมนตรี
ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1.เพื่อให้ผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้รับทราบนโยบายและจุดเน้น พร้อมทั้งนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญ ของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 2. เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะใหม่ ๆ ในการบริหารงานด้านการศึกษาให้กับผู้บริหาร และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ในหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้บริหารการศึกษา” 3. เพื่อวางแผนการดำเนินงานตามนโยบายและจุดเน้นการจัดการศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิบัติงานที่จะขับเคลื่อนนโยบาย และจุดเน้นดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติในเขตพื้นที่การศึกษา 4. เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ สภาพปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ ที่จะนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนางาน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านงบประมาณ ด้านบุคลากร ด้านวิชาการ และด้านการบริหารทั่วไป 5. เพื่อศึกษาแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่น และเศรษฐกิจพอเพียง ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) เป็นประธานเปิดการประชุมประสานความร่วมมือการจัดการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับกับกรมราชทัณฑ์ ณ ห้องประชุมสุนทร สุนันท์ชัย ชั้น 4 กรมส่งเสริมการเรียนรู้ โดยมีนางยุพิน บัวคำ รองอธิบดีสกร. นายธานี เครืออยู่ ผู้อำนวยการกองมาตรฐานและส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิ นายสุรเกียรติ รัตนรอด ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบ จาก สกร. พร้อมด้วยคณะจากกรมราชทัณฑ์ได้แก่ นายกลยุทธ พานาสันต์ ผู้อำนวยการกองทัณฑวิทยา นางสาววริศรา ศิริสุทธิเดชา ผู้อำนวยการกองพัฒนาพฤตินิสัย นางสาวจันทร์ทิมา อุ่ยยะเสถียร ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการศึกษา และคณะบุคลากรจากทั้งสองกรม เข้าร่วมประชุม
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังรายงานความคืบหน้าการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)โรงเรียนเอกชน พ.ศ..ซึ่ง สช.ได้ทำประชาพิจารณ์ผ่านความคิดเห็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่า สช.จะนำร่างฯพ.ร.บ.ดังกล่าวเสนอให้ตนภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อลงนามเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)และเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ..จะไม่ผ่านในรัฐบาลชุดนี้ อย่างน้อยก็ได้เข้าสู่ขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎรไว้ก่อนแล้ว
“พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ..ล้าสมัยมาก ต้องมีการแก้ไขกว่า 20 มาตรา เพราะตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เช่น พ.ร.บ.เดิมเป็นคู่มือมีเรื่องที่ละเอียดยิบย่อย เรื่องสวัสดิการครู เรื่องกองทุนสงเคราะห์ คุณสมบัติผู้ได้รับใบอนุญาต เรื่องการแก้ปัญหาเกี่ยวกับครูต่างชาติที่มีปัญหาในเรื่องการจ่ายค่าชดเชย เป็นต้น”ศ.ดร.นฤมล กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ศุภเสฏฐ์ คณากูล นายกสมาคมคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชน (ส.ปส.กช.)กล่าวว่า ที่ประชุมได้พูดคุยกันมากถึงเรื่องการร้องเรียนจากหลายโรงเรียนทั้งในระบบและนอกระบบเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงเรียนนอกระบบที่เปิดตามห้างสรรพสินค้า ต่าง ๆ ซึ่งผู้จัดการโรงเรียนมีกำไรมหาศาล ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ไปทำข้อตกลงร่วมกับ สช. ว่าจะต้องเอากฎหมายตัวไหนมาใช้ เนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้จดทะเบียนในรูปแบบศูนย์การเรียน ซึ่งขึ้นตรงกับ สพฐ.และสพฐ.เป็นผู้ออกวุฒิการศึกษาให้ โรงเรียนเหล่านี้จึงใช้ช่องโหว่ของกฏหมายนำมาบูรณาการกับโรงเรียนนอกระบบกวดวิชาเพื่อจะใช้คำว่า”โรงเรียน” ซึ่งทั้งสองหน่วยงานจะต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาร่วมกัน เนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายมาจัด เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็ให้นำมาเข้าที่ประชุม กช.ในครั้งต่อไปว่าจะหาทางแก้ไขปัญหานี้อย่างไร



“ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สนับสนุนที่จะให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงการเรียนรู้ด้านประชาธิปไตยอย่างทั่วถึง เพราะประชาธิปไตยจะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อประชาชนรู้เท่าทันสิทธิและหน้าที่ของตน ซึ่งในระยะต่อไป สกร. จะขยายการดำเนินโครงการนี้ไปยังสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกพื้นที่ได้จัดอบรมประชาชนตามบริบทของแต่ละชุมชน โดยยึดหลัก “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เพื่อสร้างเครือข่ายพลเมือง รู้คิด รู้สิทธิ รู้หน้าที่ และร่วมสร้างสังคมประชาธิปไตยที่มั่นคงอย่างยั่งยืน

