จากกรณี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ซึ่งถือเป็นช่วงจังหวะสำคัญของประเทศในการกำหนดทิศทางการพัฒนาทุนมนุษย์ในระยะยาว โดยมีการคาดหมายว่าการจัดทำแผนฉบับนี้จะเชื่อมโยงเป้าหมายเศรษฐกิจ โครงสร้างประชากรโลกใหม่ การแข่งขันด้านดิจิทัล และความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ เข้ากับการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของคนไทยในทุกช่วงวัย แผน 14 จึงไม่ได้เป็นเพียงแผนเศรษฐกิจและสังคม แต่เป็นกรอบเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนด “เป้าหมายความสามารถของคนไทยในอนาคต” ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการต้องเข้าไปมีบทบาทโดยตรงในการเข้าไปกำหนดผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ ตั้งแต่ระยะออกแบบแผน ไม่ใช่เฉพาะช่วงนำไปสู่การปฏิบัติ
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเห็นว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่ระบบการศึกษาต้องยกระดับบทบาทจาก “ผู้รับแผน” ไปสู่ “ผู้ออกแบบเป้าหมายของชาติ” โดยต้องเข้าไปวางกรอบสมรรถนะและผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปกำหนดรายละเอียดเป็นโครงการ งบประมาณ หรือมาตรการต่าง ๆ ในระดับปฏิบัติการ แผน 14 จะต้องไม่ใช่แผนของสภาพัฒน์แต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่คือสนามยุทธศาสตร์ของการศึกษาไทย หากกระทรวงศึกษาธิการไม่เข้าไปกำหนดผลลัพธ์ตั้งแต่ต้นน้ำ เราจะกลายเป็นเพียงหน่วยปฏิบัติการ ไม่ใช่กลไกขับเคลื่อน”ดังนั้น หากเรากำหนด “ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติ” (National Learning Outcomes) ให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นทาง ไม่เพียงช่วยให้แผน 14 มีทิศทางเชิงเป้าหมาย แต่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่กระบวนการเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งให้น้ำหนักสูงต่อฐานข้อมูลเชิงหลักฐานและการเชื่อมโยงระหว่างคุณภาพทุนมนุษย์กับโครงสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจ OECD จะไม่มองแค่การปฏิรูปโครงการ แต่จะดูว่าประเทศมีระบบวางผลลัพธ์เป็นตัวตั้งหรือไม่ การกำหนดผลลัพธ์ระดับชาติคือบทพิสูจน์ว่าประเทศพร้อมขยับสู่มาตรฐาน OECD อย่างแท้จริง”
“ผมขอเสนอว่า เพื่อให้การศึกษาไทยสามารถยืนอยู่ในฐานะ “สถาปนิกทุนมนุษย์ของชาติ” ภายใต้แผน 14 และพร้อมสำหรับการเข้าสู่ OECD ในเชิงโครงสร้าง ต้องมีการเดินหน้าเชิงนโยบายที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้ 1.กำหนดตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติ (National Learning Outcomes) ให้เชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล ต้องประกาศให้ชัดว่าคนไทยในยุคแผน 14 ควรมีสมรรถนะระดับใด และทักษะแบบไหนที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจและสังคมอนาคต โครงสร้างตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติต้องสามารถเทียบได้กับกรอบ Learning Compass ของ OECD เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าทิศทางการพัฒนาการศึกษาของไทยเคลื่อนไปในมาตรฐานเดียวกับประเทศสมาชิก 2.ยกระดับระบบประเมินเพื่อการเรียนรู้ (assessment for learning) เพื่อสร้างฐานข้อมูลคุณภาพเชื่อถือได้ การประเมินผลต้องไม่หยุดอยู่เพียงผลสอบปลายทาง แต่ต้องมีระบบติดตามพัฒนาการเรียนรู้ระหว่างทาง ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่ OECD ใช้ตรวจสอบความพร้อมของประเทศสมาชิกในมิติคุณภาพของระบบ นี่คือหัวใจของการปฏิรูปเชิงระบบ เพราะถ้าไม่มีข้อมูลคุณภาพ การพัฒนาเชิงนโยบายก็จะขาดหลักฐานรองรับ และ 3.ยกระดับบทบาท ศธ. จาก “ผู้รับโจทย์” เป็น “ผู้ออกแบบเป้าหมายทุนมนุษย์ของชาติ” ศธ. ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในชั้นออกแบบผลลัพธ์ ไม่ใช่รอรับตัวชี้วัดที่กำหนดจากภาคเศรษฐกิจหรือแรงงานเท่านั้น เพราะแผน 14 คือกลไก pivot สำคัญที่จะแสดงว่าไทยสามารถจัดวางระบบทุนมนุษย์ได้สอดคล้องกับเกณฑ์ของ OECD และยืนยันทิศทางการเป็น “ประเทศผู้สมัครสมาชิก” ในเชิง readiness ไม่ใช่เชิงประกาศ”ดร.อรรถพล กล่าวและว่า จึงอาจสรุปได้ว่า หากต้องการให้แผน 14 เป็นมากกว่าเอกสารเชิงนโยบาย แกนกลางคือการมี “ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติ” ที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากลอย่างเป็นระบบ “เมื่อเรากำหนดเป้าหมายผลลัพธ์ก่อน เราจะออกแบบโครงสร้าง แผน และงบประมาณได้ถูกทิศ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเดินสู่การเป็นสมาชิก OECD อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ในเชิงถ้อยแถลง” งานเชิงนโยบายทั้งหมดนี้จึงควรถูกกำหนดไว้ในช่วงต้นของแผน 14 เพื่อเป็นสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่าไทยกำลังยกระดับการศึกษาในระดับที่สอดรับกับมาตรฐานการพัฒนาประเทศชั้นนำของโลก



เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU “บูรณาการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย” 4 กระทรวง และ 3 สมาคม ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยมี นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายองอาจ วงษ์ประยูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายพิเชฐร์ วันทอง นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดย การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อบูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัยทั่วไทย ในด้านคุณภาพชีวิต ด้านคนเปราะบาง ด้านการศึกษา และด้านอาชีพ เพื่อร่วมสร้างรายได้ภายในครอบครัว ลดรายจ่าย เป็นแนวทางการยกระดับคุณภาพชีวิตจากจุดเล็กที่สุดของสังคม นั่นคือ “ครอบครัว” ด้วยการ Restart ประชาชน
จากนั้น ได้มีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ “โครงการสวัสดิการที่พักสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดย นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ. และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) โดย นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามเจตนารมณ์ของรองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้ครูมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและปลอดภัย เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ โดยปัจจุบัน สพฐ. มีบ้านพักครูอยู่ในความดูแลกว่า 41,000 หลัง พบว่ามีสภาพทรุดโทรมกว่า 14,900 หลัง และในจำนวนนี้กว่า 13,000 หลัง ยังมีครูอาศัยอยู่จริง จึงกำหนดให้เป็นเฟสแรกในการเร่งปรับปรุงภายในปีนี้ และจะบรรจุในแผนพัฒนาเพื่อปรับปรุงให้ครบ 40,000 หลัง ภายในปีงบประมาณ 2570

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มอบหมายให้ นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการ กพฐ. เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 40/2568 โดยมี นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ รองเลขาธิการ กพฐ. และนางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ สพฐ. ร่วมประชุม ซึ่งการประชุมมีการเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน พร้อมมอบแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting ในการนี้ ผู้บริหารระดับสูง ผู้อำนวยการสำนัก และบุคลากรของ สพฐ. ได้ร่วมน้อมถวายความอาลัย แด่องค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ โดยพร้อมเพรียงกัน
วันที่ 27 ตุลาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)เปิดเผยว่า ตามที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติแสดงความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นั้น ภายหลังการประชุม ในส่วนของ สกร.ตนได้จัดประชุมออนไลน์กับผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้อำนวยการกอง กลุ่ม และศูนย์ส่วนกลาง เพื่อชี้แจงแนวทางปฏิบัติให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน โดยได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ซักถามข้อสงสัย และได้ตอบข้อซักถามอย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกจังหวัดนำแนวทางไปสื่อสารต่อในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ทั้งนี้ อธิบดีได้มอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดทั่วประเทศทำหน้าที่เป็น “ตัวแทนสื่อสารของกรม” ในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อการปฏิบัติให้เข้าถึงประชาชนอย่างครบถ้วนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจตนารมณ์ของหนังสือสั่งการของกระทรวงศึกษาธิการ
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) พร้อมด้วยนายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการ กอศ. นายสง่า แต่เชื้อสาย รองเลขาธิการ กอศ. และ นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการ กอศ. ตรวจเยี่ยมสนามสอบการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ณ อาคารศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จังหวัดปทุมธานี
นายยศพล กล่าวว่า การสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาในครั้งนี้ สอศ.ประกาศรับสมัครจำนวน 75 อัตรา ประกอบด้วย ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา 8 อัตรา และตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา 67 อัตรา ในวันนี้ผู้สมัครเข้ารับการสอบตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ทั้งสิ้น 333 คน จากจำนวนผู้สมัครทั้งหมด 335 คน คิดเป็นร้อยละ 99.40 ในขณะที่ผู้เข้ารับการสอบตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 55 คน จากจำนวนผู้สมัครทั้งหมด 58 คน คิดเป็นร้อยละ 94.83 โดยจากการตรวจเยี่ยมในวันนี้ ไม่พบความผิดปกติ สามารถดำเนินการสอบได้อย่างเรียบร้อย รวมทั้งขอให้กำลังใจผู้สมัครสอบทุกท่านที่เข้าสู่กระบวนการในวันนี้ และขอยืนยันว่าการสอบครั้งนี้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส มีระบบการตรวจสอบที่มั่นคงปลอดภัย โดยมีสถาบันที่มีชื่อเสียงเข้ามาดำเนินการ ขอให้ผู้สมัครทุกท่านมั่นใจและอย่าเชื่อข่าวลือเรื่องการวิ่งเต้น เพราะ สอศ. ต้องการคัดสรรผู้นำที่มีความรู้ความสามารถและมีคุณภาพอย่างแท้จริง เพื่อมาพัฒนาการศึกษาอาชีวะของประเทศต่อไป ขอขอบคุณผู้สมัครทุกท่านที่เข้าสู่กระบวนการคัดเลือกในครั้งนี้
เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า การคัดเลือกผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ดำเนินการคัดเลือก แบ่งเป็น 3 ภาค ดังนี้ ภาค ก ความรู้และความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ ดำเนินการด้วยวิธีการสอบข้อเขียนแบบปรนัย ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ ดำเนินการด้วยวิธีการประเมิน ตามตัวชี้วัด องค์ประกอบ และคะแนนการประเมินที่กำหนด แบ่งเป็น ประวัติ ประสบการณ์ และผลงานที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน และภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง ดำเนินการด้วยวิธีการสัมภาษณ์ และการประเมิน ตามตัวชี้วัด องค์ประกอบ โดยแบ่งเป็นวิสัยทัศน์และแนวทางการบริหารงาน ตามมาตรฐานตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ที่ ก.ค.ศ. กำหนด และการสัมภาษณ์ สำหรับเกณฑ์การตัดสินผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก ต้องได้คะแนน ภาค ก ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 จึงจะมีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค ต่อไป
ทั้งนี้ สอศ.จะประกาศผลการสอบภาค ก ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 โดยกำหนดให้มีการประเมิน ภาค ข ในระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2568 สำหรับการประเมินภาค ค จะประกาศกำหนดการให้ทราบอีกครั้งในลำดับถัดไป และจะประกาศผลการคัดเลือกฯ ภายในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และเว็บไซต์กลุ่มงานจัดการงานบุคคล 2 สำนักอำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา https://ipa.vec.go.th/
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ศ.ดรฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์กรณีมีข้อท้วงติงเกี่ยวกับหนังสือด่วนที่สุดของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงานในสังกัดงดจัดกิจกรรมที่มีลักษณะรื่นเริงเป็นเวลา 1 ปี เพื่อแสดงความอาลัย นั้น ตนได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจในแนวทางปฎิบัติต่างๆ ในห้วงเวลาแห่งการไว้อาลัย โดยที่ประชุมมีข้อสรุปร่วมกันว่า การจัดกิจกรรมตามหลักสูตร หรือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาการของเด็ก หรือ กิจกรรมเสริมหลักสูตรซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ไม่มีการสั่งห้ามหรือให้งด รวมถึงกิจกรรมประเพณีวัฒนธรรมของชนชาติใด ศาสนาใด ก็สามารถดำเนินการได้ตามปกติเช่นกัน โดยผู้บริหารระดับสูงของแต่ละหน่วยงาน และหน่วยงานในกำกับจะไปทำความเข้าใจกับผู้บริหารตามลำดับชั้นต่อไป ส่วนกิจกรรมอื่นที่มีลักษณะรื่นเริง นอกเหนือจากหลักสูตรการเรียนการสอน นั้น ขอความร่วมมือให้งดหรือปรับรูปแบบการดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์

วันที่ 26 ตุลาคม 2568 นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปี พ.ศ.2568 โดยมี นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ รองเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. พร้อมทั้งคณะผู้บริหาร ข้าราชการและบุคลากรของ สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญ และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามที่ขอพระราชทานเพื่อน้อมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดวิเวกวายุพัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยมียอดกฐินเพื่อถวายพระภิกษุ สามเณร และถวายจตุปัจจัยบำรุงพระอาราม รวมถึงมอบทุนการศึกษาให้แก่โรงเรียน เพื่อนำไปพัฒนาโรงเรียนและเพิ่มคุณภาพการศึกษา รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 4,271,162.14 บาท
เมื่อวันที่
ดร
“



