กพฐ.เผยโรงเรียน 4,398 แห่ง สมัครใช้หลักสูตรใหม่ปฐมวัย-ประถมต้น  เน้นอ่านออก เขียนได้แบบเข้าใจและคิดเป็น เริ่มใช้เปิดเทอมนี้

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. พร้อมด้วย นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 4/2568 โดยมี ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ประธาน กพฐ.) เป็นประธานการประชุม  ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และร่วมประชุมออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting)

ศ.ดร.บัณฑิต กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้หารือข้อราชการและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานด้านการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) โดยในส่วนของความก้าวหน้าการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2568 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี และหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-ป.3) ซึ่งเปิดโอกาสให้โรงเรียนทั่วประเทศพิจารณาตนเองว่า มีความพร้อม ทั้งในด้านผู้บริหาร ผู้สอน และระบบต่าง ๆ ในโรงเรียน สมัครเข้ามาเพื่อใช้หลักสูตรดังกล่าว พบว่า มีโรงเรียนจากทุกสังกัดได้สมัครเข้ามาถึง 4,398 แห่ง และจะเริ่มใช้ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 นี้ โดยหลักสูตรนี้พัฒนาอยู่บนพื้นฐานที่ต่อยอดมาจากหลักสูตรฐานสมรรถนะ สำหรับชั้นปฐมวัยและชั้นประถมต้น จะเน้นเรื่องการอ่านออกเขียนได้แบบเข้าใจและคิดเป็น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมที่จัดการศึกษาให้นักเรียนตามขั้นตอนแบบตายตัว ใช้ตำราแบบเดิม ๆ เมื่อใช้แบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่นขึ้น ทางโรงเรียนจะสามารถดูเฉพาะหัวข้อ แล้วผู้บริหารกับครูร่วมกันพิจารณาเนื้อหาและวิธีการในการจัดการศึกษาให้นักเรียนในแบบที่เหมาะสมเข้ากับบริบทของโรงเรียนได้ พร้อมกันนี้ สพฐ. โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้เตรียมความพร้อมต่างๆ ที่จะช่วยเหลือโรงเรียน อาทิ มีการตั้งคลินิกวิชาการขึ้นมาเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับทุกโรงเรียน มีการรวบรวมครูและอาจารย์จากโรงเรียนต่างๆ ให้สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ว่าวิธีการจัดการศึกษาแบบใดที่เหมาะสม ทำแล้วประสบผลสำเร็จ เพื่อให้ครูโรงเรียนอื่นๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในโรงเรียนของตนเองได้

“คาดหวังว่าการใช้หลักสูตรใหม่นี้จะเปิดโอกาสให้นักเรียนและครู เกิดสมรรถนะที่จำเป็น มีทักษะความสามารถที่ทันสมัย ทันโลก สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากในตำราเรียนได้มากขึ้น และวิธีการวัดผลก็จะไปเน้นที่ผลสมรรถนะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวนักเรียนเป็นสำคัญ ทั้งในด้านความรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่จำเป็น ซึ่งจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป” ประธาน กพฐ. กล่าว

เปิดเทอมปีนี้มีหนังสือเรียนแน่นอน องค์การค้าฯยืนยันส่งหนังสือถึงโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว “เสมา 1”ห่วงโควิด ไข้หวัดใหญ่ ระบาด ย้ำมาตรการป้องกันเข้มงวด

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568  นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 15/2568 ว่า ที่ประชุมได้รับทราบการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้อบรมสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในระดับเขตพื้นที่ 245 เขตพื้นที่ เสร็จแล้ว จำนวน 342,207 คน  จากกลุ่มเป้าหมาย  445,624 คน ลงทะเบียน 437,585 คน พร้อมทั้งได้คัดเลือกทีมกลุ่ม A และ B  และกำหนดให้ทั้งสองกลุ่ม นำเสนอผลการสร้างและพัฒนาข้อสอบฯ ทีมละ 5 นาที พร้อม Infographic ในวันที่ 6 มิถุนายน ต่อผู้บริหาร สพฐ.ในเวลา 09.00 – 12.00 น. และ เวลา 13.30 – 16.00 น.นำเสนอต่อ รมว.ศึกษาธิการ และประธานคณะทำงานขับเคลื่อนฯ ต่อไป

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมปิดเทอมใหญ่ เด็กไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” ในสัปดาห์ที่ 5 มีเด็กร่วมเล่นเกม จำนวน 3,626 คน โดยนักเรียนที่ตอบถูกทุกข้อจะได้รับการจับฉลาก เพื่อรับรางวัลจาก รมว.ศึกษาธิการ สัปดาห์ละ 5 รางวัล ขณะที่การเพิ่มเติมชุดความรู้สมรรถนะความฉลาดรู้ให้กับ AI ในการเฉลยคำตอบของนักเรียน จากข้อสอบ PISA นั้น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)จะส่งเสริมให้ครูนำชุดพัฒนาความฉลาดรู้ไปใช้ในการฝึก AI ให้เรียนรู้การเขียนคำตอบที่ถูกต้องตามหลักการของการตอบ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์คำตอบของนักเรียน และครูจำเป็นต้องพิจารณาความถูกต้องอีกครั้ง โดยตัวอย่างการขับเคลื่อนในระดับเขตพื้นที่ เช่น สพท.ชัยนาท, สพม.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม, สพม.ราชบุรี มีผลลัพธ์ด้านปริมาณของการขับเคลื่อนการพัฒนาฯ เป็นที่น่าน่าพึงพอใจแล้ว

นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(กคศ.)ได้รายงานผลการประเมิน ว 17 ว่า ขณะนี้ได้ประเมินครบถ้วนทุกรายแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการแจ้งผลไปยังผู้รับการประเมิน ส่วน ว PA มีผู้ขอเสนอประเมินผลงาน 123,858 ราย ผ่านการประเมิน 103,360 ราย คิดเป็นร้อยละ 89  ส่วนเรื่องของหนังสือแบบเรียนสำหรับปีการศึกษา 2568 ได้รับการยืนยันจากองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทงการศึกษา(สคสค.) ว่าได้จัดส่งหนังสือแบบเรียนไปถึงโรงเรียนทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยก่อนเปิดเรียน

“ขณะนี้ใกล้เปิดภาคเรียนและกำลังจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้ฝากข้อห่วงใยการแพร่ระบาดของโควิด 19 และไข้หวัดใหญ่ จึงได้เน้นย้ำและกำชับไปยังโรงเรียน และเขตพื้นที่การศึกษาให้เฝ้าระวัง ย้ำเตือนและปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย และดูแลสุขภาพ นักเรียน รวมถึงครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็น และหมั่นล้างมือเพื่อเป็นการป้องกันด้วย”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

สกศ.วางทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ ปี 68 – 70 เปรียบเป็นเข็มทิศของการศึกษาไทย

รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เห็นชอบทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการสร้างงานวิจัยเพื่อการพัฒนาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในการพัฒนาการศึกษา รวมทั้งค้นหาคำตอบสำหรับการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน ป้องกัน เตรียมความพร้อม และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อนำการศึกษาของประเทศไทยไปสู่เป้าหมายเดียวกัน จึงเปรียบเสมือนเป็นเข็มทิศที่ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางและกรอบแนวทางการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาการศึกษาของชาติต่อไป

จากการศึกษา วิเคราะห์ด้วยกระบวนการมองอนาคต (Foresight) และหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจึงได้กำหนดเป็นทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ จำนวน 8 ประเด็น ซึ่งจะเป็นเฉพาะประเด็นหลัก ส่วนประเด็นโดยละเอียดขึ้นอยู่กับความสนใจในการวิจัย เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและความยืดหยุ่นในการวิจัย และในสภาวการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก โดยทั้ง 8 ประเด็นการวิจัย สามารถจัดกลุ่มเป็น 4 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 การวิจัยเพื่อพัฒนาแนวคิด ระบบ โครงสร้าง และการจัดการศึกษาที่รองรับและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ประกอบด้วย 1) การเรียนรู้ตลอดชีวิต และ 2) การศึกษาเพื่อสังคมสีเขียว

ด้านที่ 2 การวิจัยเพื่อกำหนดระบบการผลิตและพัฒนาทักษะกำลังคน ผู้เรียน และบุคลากรทางการศึกษาที่มุ่งสู่การยกระดับผลิตภาพโดยรวมของประเทศ ประกอบด้วย
1) การพัฒนาทักษะที่จำเป็น และการ Re-skills/Up-skills ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และ
2) ความเป็นพลเมืองและพลโลก

ด้านที่ 3 การวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการการศึกษาที่มุ่งสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาในระดับนานาชาติ ประกอบด้วย 1) การศึกษาที่มีคุณภาพ 2) ความเสมอภาค – ลดความเหลื่อมล้ำ และ 3) ประสิทธิภาพทางการศึกษา

และด้านที่ 4 การวิจัยเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการศึกษา (Ecosystem) ที่สนับสนุนให้เกิดการศึกษาที่มีคุณภาพ ปราศจากความเหลื่อมล้ำ และนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ได้แก่ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา/การเรียนรู้

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนบรรลุตามเป้าหมาย สกศ. จึงได้กำหนดกลไกเพื่อสร้างผลลัพธ์การดำเนินงาน ได้แก่ 1) กลไกการจัดสรรทุนวิจัยเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยประเทศไทยมีหน่วยงานและกลไกที่ให้ทุนในการวิจัยจำนวนมาก แต่ไม่มีกลไกในการบูรณาการและประสานความร่วมมือเพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศและการพัฒนาการศึกษาร่วมกัน ดังนั้น จึงควรมีกลไกประสานให้เกิดเวทีความร่วมมือในการให้ทุนวิจัยทั้ง 8 ประเด็นที่หนุนเสริมกัน 2) พัฒนากลไกบริหารจัดการระดับพื้นที่หรือระดับ Ecosystem ให้มีความเข้มแข็งเพื่อการพัฒนาระบบการวิจัยของประเทศในระยะยาว 3) พัฒนาระบบการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงาน (Co-creation) มากขึ้น และ 4) การประเมินนโยบายจากผลลัพธ์ เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

“ทั้งนี้ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อ การจัดทำทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่มาร่วมกันกำหนดกรอบทิศทางการผลักดันให้ไปสู่จุดหมายเดียวกัน หลังจากนี้จะเป็นการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งหน่วยนโยบาย หน่วยให้ทุน และนักวิจัย เพื่อยกระดับคุณภาพงานวิจัยให้สามารถนำไปใช้ได้จริงในการกำหนดนโยบายและพัฒนาโครงสร้างทางการศึกษาของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการในมิติต่าง ๆ ในอนาคตต่อไป”รศ.ดร.ประวิต กล่าว

ผอ.โรงเรียน สพฐ.แห่สมัคร ผอ.สกร.ระดับอำเภอ เหตุคน สกร.โตไม่ทัน

นายธนากร  ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้  เปิดเผยว่า หลัง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ.2566 กำหนดให้เปลี่ยนสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เป็น กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สกร.ได้ดำเนินการจัดทำโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในแล้วเสร็จไปกว่า 90% แต่ยังมีส่วนที่เป็นปัญหาอยู่ คือ เรื่องการขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ (ผอ.สกร.อำเภอ ) ซึ่งยังว่างอยู่จำนวนกว่า 400 อัตรา จากทั้งหมด 928 อัตรา เนื่องจากคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เห็นว่า สกร.เป็นหน่วยงานราชการใหม่ จึงยังไม่อนุมัติให้เพิ่มอัตราบุคลากร โดยให้บริหารบุคลากรเท่าที่มีให้ครอบคลุม ซึ่งต้องยอมรับว่าการขาดแคลนบุคลากร ส่งผลให้มีปัญหาในการปฏิบัติการตามภารกิจใหม่ค่อนข้างมาก ดังนั้นเร็วๆนี้ สกร.จะวางแนวทางเพื่อเสนอขออนุมัติอัตราบุคลากรเพิ่มเติม เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายธนากร กล่าวต่อไปว่า สำหรับการแก้ปัญหาขาดแคลนผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ นั้น ที่ผ่านมา สกร.แก้ไขปัญหาโดยการ ตั้งครู หรือ บุคลากรในส่วนต่างๆเข้าไปรักษาการปฏิบัติหน้าที่แทน แต่ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนงานตามนโยบายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะรักษาราชการการแทนมีอำนาจไม่เต็มที่ ไม่กล้าตัดสินใจ บางคนไม่กล้าเซ็นชื่อเบิกจ่าย จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณ ดังนั้น เมื่อเร็วๆนี้ สกร.จึงได้มีประกาศรับโอนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ระหว่างส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผู้อำนวยการสถานศึกษา จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สมัครเข้ารับการคัดเลือก จำนวน 126 ราย จากจำนวนเปิดรับ 120 อัตรา ซึ่ง สกร.จะเร่งดำเนินการคัดเลือกและบรรจุแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568

“ก่อนหน้านี้ สกร.เปิดสอบตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา โดยคัดเลือกจากครูและบุคลากรของ สกร.ไปแล้ว 1 รอบ มีผู้สอบผ่านการคัดเลือก จำนวน 103 คน ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ประกอบกับบุคลากรของ สกร.ที่มีคุณสมบัติสมัครเข้าคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษาได้ก็มีไม่เพียงพอ โตไม่ทัน ดังนั้น จึงต้องเปิดรับโอนข้าราชการจากสังกัดอื่น เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2568 ทั้งนี้ สกร.ได้กำหนดคุณสมบัติในการรับโอน ว่าต้องมีประสบการณ์ เป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่มีนักเรียน จำนวนไม่เกิน 200 คน เพื่อไม่ให้กระทบต่อสถานศึกษาต้นสังกัด ซึ่งปรากฎว่ามีผู้สนใจสมัครเข้ารับการคัดเลือกมากกว่าจำนวนรับ ส่วนตำแหน่งว่างที่เหลือ นั้น คาดว่าจะเปิดรับสมัครคัดเลือกอีกครั้งเร็วๆ นี้” นายธนากร กล่าว

“สุรศักดิ์​” เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างการรับรู้และกำหนดกรอบทิศทางในการดำเนินการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาฯ​ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

เมื่อวันที่​ 12 พฤษภาคม​ 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างการรับรู้และกำหนดกรอบทิศทางในการดำเนินการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ภายใต้โครงการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดตาม พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 11 – 13 พฤษภาคม 2568​ ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีท ระยอง ซิตี้ เซ็นเตอร์ จังหวัดระยอง​ โดยมี​ นางสาวสลารีวรรณ​ ทัพทวี​ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง​ นายสุเทพ​ แก่งสันเทียะ​ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ​ นางวันเพ็ญ​ บุรีสูงเนิน​ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ​ รักษาการในตำแหน่งศึกษาธิการภาค 8​ ครูและบุคลากรทางการศึกษา​ ร่วมให้การต้อนรับ

นายสุรศักดิ์​ กล่าวว่า​ การประชุมครั้งนี้ เป็นเวทีสำคัญในการสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ในการกำหนดนโยบาย และแผนการดำเนินงานของพื้นที่ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ระหว่างภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการสร้างกลไก การจัดการศึกษาร่วมกัน ระหว่างภาครัฐองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ให้บรรลุเป้าหมาย ตาม พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 การจัดการศึกษาในพื้นที่ นวัตกรรมการศึกษา เป็นรูปแบบหนึ่ง ที่นำมาใช้ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยจัดการศึกษาให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลให้สถานศึกษานำร่อง ที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้ง 1,680 แห่ง มีอิสระในด้านหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การบริหารจัดการสถานศึกษา มีความคล่องตัว สอดคล้องกับสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ อันจะนำไปสู่การยกระดับ การจัดการศึกษาของประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ ของ
การพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพ สามารถเผชิญกับความท้าทาย กับโลกในยุคปัจจุบันและอนาคตได้

“สำหรับ​ พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับเป็นเวลาเจ็ดปี​ ซึ่งเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 และจะถึงกำหนดในปี พ.ศ. 2569 เหลือระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ดังนั้น ผลการดำเนินงาน การขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ทั้ง 20 จังหวัดรวมไปถึงผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นต่อผู้เรียน ครู สถานศึกษา และชุมชน จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการพิจารณา ต่อ/ขยาย อายุของพ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลการดำเนินงาน ขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาของจังหวัดนำร่อง ทั้ง 20 จังหวัด นับว่าเป็นกิจกรรมที่ดีและมีประโยชน์ ที่จะได้นำมาแลกเปลี่ยน​เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งผลการดำเนินงานที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีตลอดจนปัญหา อุปสรรค และวิธีการแก้ไข นอกจากนี้ กิจกรรมลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ของสถานศึกษานำร่อง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลในเชิงประจักษ์ จากสถานที่และวิธีการปฏิบัติจริง จะเป็นประโยชน์และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่จังหวัดของตนเองต่อไป​ ทั้งนี้ขอขอบคุณ คณะผู้จัดงาน หน่วยงานทางการศึกษา ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกัน วางแผนการบริหารจัดการศึกษา ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการ และบริบทของพื้นที่ ภายใต้นโยบาย เรียนดี มีความสุข” รมช.สุรศักดิ์​ กล่าว

ทีมผู้บริหาร สพฐ.ลงพื้นที่เยี่ยมสนามสอบครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ “ธนุ”ย้ำจัดสอบโปร่งใสตรวจสอบได้ คัดครูคุณภาพตอบโจทย์บริบทพื้นที่

วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) มอบหมายให้ผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ สังกัด สพฐ. ประจำปี 2568 ณ สนามสอบทั่วประเทศ เพื่อติดตามการจัดสอบและมาตรการด้านความปลอดภัยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำหรับภาพรวมทั้งประเทศ มีจำนวน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ.สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ที่จัดสอบ รวม 241 แห่ง จำนวนสนามสอบทั่วประเทศ 245 สนาม ดำเนินการจัดสอบแข่งขันฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด โดยกำหนดจัดสอบข้อเขียน ภาค ก ความรอบรู้และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 และสอบสัมภาษณ์ ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 พร้อมกันทั่วประเทศ มีผู้มีสิทธิสอบรวมทั้งสิ้น จำนวน 17,123 คน ในสาขาวิชาเอก 50 กลุ่มวิชา มีตำแหน่งว่าง รวม 2,857 อัตรา และกลุ่มวิชาที่มีผู้มีสิทธิสอบมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สังคมศึกษา 2,619 คน วิทยาศาสตร์ 2,045 คน คอมพิวเตอร์ 1,882 คน พลศึกษา 1,842 คน และปฐมวัย/การศึกษาปฐมวัย/อนุบาลศึกษา 1,637 คน

โดย นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพป.กาญจนบุรี เขต 1 และ สพม.กาญจนบุรี พบว่าสามารถจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยสนามสอบ สพป.กาญจนบุรี เขต 1 มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 36 คน ใน 5 สาขาวิชาเอก ได้แก่ สาขาวิชาเอกภาษาไทย วิชาเอกภาษาอังกฤษ วิชาเอกสังคมศึกษา วิชาเอกการประถมศึกษา และวิชาเอกปฐมวัย/การศึกษาปฐมวัย ขณะที่ สพม.กาญจนบุรี จัดสอบ ณ โรงเรียนวิสุทธรังษี มีผู้มีสิทธิสอบ 79 คน ใน 8 สาขาวิชาเอก ได้แก่ สาขาวิชาเอกภาษาอังกฤษ วิชาเอกสังคมศึกษา วิชาเอกพลศึกษา วิชาเอกดนตรี/ดนตรีศึกษา วิชาเอกอุตสาหกรรม/อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาเอกคอมพิวเตอร์ วิชาเอกคหกรรม/คหกรรมศาสตร์ และวิชาเอกจิตวิทยาและการแนะแนว/แนะแนว

นายพัฒนะ พัฒนะทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพป.ปทุมธานี เขต 1 และ สพม.สระบุรี โดย สพป.ปทุมธานี เขต 1 มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 44 คน มีตำแหน่งว่าง 8 อัตรา ใน 7 สาขาวิชาเอก ขณะที่ สพม.สระบุรี จัดสอบ ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 29 คน ใน 5 สาขาวิชาเอก ได้แก่ สาขาวิชาเอกคอมพิวเตอร์ สาขาวิชาภาษาไทย สาขาวิชาสังคมศึกษา สาขาบรรณารักษ์ และสาขาการเงิน/การบัญชี


นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบศูนย์การศึกษาพิเศษ (ภาคกลางและตะวันออก) ณ โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 454 คน ใน 37 สาขาวิชาเอก และมีผู้เข้าสอบ รวม 445 คน

นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพม.เชียงราย และ สพป.เชียงราย เขต 1, เขต 3 โดย สพม.เชียงราย จัดสอบ ณ โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ มีผู้สมัครสอบ จำนวน 74 คน มีตำแหน่งว่าง 15 อัตรา ขณะที่ สพป.เชียงราย เขต 1 จัดสอบ ณ โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 144 คน ใน 8 กลุ่มสาขาวิชาเอก จำนวนห้องสอบ 6 ห้อง และสพป.เชียงราย เขต 3 มีผู้เข้าสอบจำนวน 59 คน

นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพม.พังงา ภูเก็ต ระนอง และ สพป.พังงา โดย สพม.พังงา ภูเก็ต ระนอง จัดสอบ ณ โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 14 คน มีตำแหน่งว่าง 5 อัตรา ใน 5 สาขาวิชาเอก ได้แก่ วิชาเอกภาษาไทย สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ขณะที่ สพป.พังงา จัดสอบ ณ โรงเรียนบ้านทุ่งเจดีย์ จังหวัดพังงา มีผู้เข้าสอบจำนวน 20 คน ใน 5 กลุ่มสาขาวิชาเอก ได้แก่ วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคมศึกษา ศิลปศึกษา และปฐมวัยฯ

นายศุภสิน ภูศรีโสม ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สพฐ. ลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพป.ร้อยเอ็ด เขต 1 ซึ่งจัดสอบ ณ โรงเรียนเมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด โดยเปิดสอบจำนวน 9 วิชาเอก มีผู้มีสิทธิสอบ 237 คน และมีผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 224 คน

ทั้งนี้ เลขาธิการ กพฐ. ได้กำชับให้ทุกสนามสอบดำเนินการจัดสอบด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้ ตามนโยบายของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. ที่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้มาโดยตลอด เพื่อให้ได้ครูที่เป็นต้นแบบที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน และได้ครูที่มีคุณภาพตอบโจทย์บริบทของพื้นที่ โดยหลังจากการสอบในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว จะมีการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และรายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้ง ภายในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ต่อไป

สพม.บุรีรัมย์ อบรมขยายผลสมรรถนะการใช้ AIจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ 

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568  ที่ โรงแรมเทพนคร จังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการขยายผลการพัฒนาสมรรถนะการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนการสอน สำหรับโรงเรียนในโครงการ “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ จังหวัดบุรีรัมย์”  โดย นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เป็นประธานในพิธีเปิดผ่านระบบออนไลน์ สิบตำรวจตรี นปดล นพเคราะห์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการอบรมว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา พัฒนาโรงเรียนคุณภาพเป็นต้นแบบในแต่ละอำเภอ และส่งเสริมการเรียนการสอนที่เชื่อมโยงกับชุมชนและเทคโนโลยีดิจิทัล

ผอ.สพม.บุรีรัมย์ กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการศึกษาของจังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างเป็นรูปธรรม สู่การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง โดยการอบรมมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ พัฒนาทักษะทางดิจิทัลของบุคลากรในโรงเรียนต้นแบบ และ  ส่งเสริมให้โรงเรียนสามารถเป็นต้นแบบการใช้ AI ในการจัดการเรียนการสอน และขยายผลให้แก่โรงเรียนอื่นในพื้นที่ โดย ผู้เข้าร่วมการอบรมประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อำนวยการ ครูผู้รับผิดชอบโครงการ ครูด้าน ICT และครูที่มีทักษะพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต รวมทั้งคณะทำงาน รวมทั้งสิ้น 230 คน

 

 

“รอง ธีร์”ย้ำ สพฐ.ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษา

เมื่อวันที่  9 พฤษภาคม 2568 นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ให้ความสำคัญกับระบบการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนอย่างมากทั้งในและนอกสถานศึกษา โดยมีการเน้นย้ำถึงเรื่องการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนไปยังเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษามาโดยตลอด และเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าที่ร้อยตรี ธนุวงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ได้มอบหมายให้ตนให้สัมภาษณ์ในรายการคุยกับตัวจริงทางช่อง NBT CONNEXT เพื่อร่วมพูดคุยในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาและการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนในสถานศึกษา

รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า ตนได้เน้นย้ำถึงสาระสำคัญหลายประการ เช่น การเสริมสร้างความปลอดภัยให้แก่นักเรียนทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา การรับมือกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน ซึ่งยังคงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องการการแก้ไขอย่างจริงจังรวมถึงปัญหาท้องในวัยเรียน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยของอาคารเรียนและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ รวมทั้งกล่าวถึงแนวนโยบายหลักของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างรอบด้าน ทั้งนี้สามารถติดตามรับชมรายการคุยกับตัวจริงได้ในวันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม2568 เวลา 17.00 . ทางช่อง NBT CONNEXT

มรภ.ธนบุรี ร่วมมือ พว.ประกวดนวัตกรรมครู ผ่าน GPAS 5 Steps ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงยกระดับคุณภาพการศึกษาของชาติ

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ หอประชุมเจ้าพระยาพลเทพ (เฉลิม โกมารกุล ณ นคร) อาคาร 7 ชั้น 14-15 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ได้มีการประกาศผลรางวัลโครงการประกวดแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อรองรับการประกันคุณภาพภายนอกของสถานศึกษา ซึ่งเป็นความร่วมมือของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ร่วมกับ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) โดย ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา ของคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า โครงการจัดประกวดแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ครั้งนี้ ต้องการให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของครูเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพื่อสร้างคุณภาพการศึกษาด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เป็นต้นแบบในการสร้างนวัตกรรมครูในระดับชาติ โดยการประกวดครั้งนี้มีครูส่งผลงานเข้าประกวดถึง 700 กว่าคน

“เนื่องจากขณะนี้คุณภาพการศึกษาที่ตกต่ำลง เราไม่สามารถโทษครู โทษผู้ปกครอง หรือ โทษนักเรียนได้ เพราะเป็นวัฒนธรรมที่สอนแบบ Passive Learning มา ขณะที่ผู้ปกครองเองก็ไม่ทราบว่าความรู้กับเนื้อหาแตกต่างกันอย่างไร จึงปล่อยให้เด็กฟัง อ่าน ท่อง และ สอบ แล้วก็ลืม ซึ่งถ้าปล่อยไปอย่างนี้คุณภาพการศึกษาก็จะตกต่ำไปเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงมีความคิดว่าถึงเวลาที่ต้องแก้ปัญหานี้โดยใช้มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นแกนในการเริ่มผลักดันในระดับมหาวิทยาลัย ให้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปทั้งประเทศ” ดร.ศักดิ์สินกล่าวและว่า การจัดประกวดครั้งนี้เป็นการเปิดเกมในการกระตุ้นครู GPAS 5 Steps ที่นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งครูก็จะได้รับคำแนะนำกลับไปปรับปรุงในจุดที่ยังเป็นจุดอ่อน ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเห็นผลอย่างชัดเจนแน่นอน

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวอีกว่า ถ้าเราทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นผลสำเร็จโดยเริ่มจากสถาบันผลิตครู ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการศึกษา ถ้าครูเปลี่ยนตัวเองครูก่อนเด็กจะพัฒนาได้ง่ายมาก ก็ต้องถือว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นหัวใจ สำคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าทำได้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เด็กไทยจะได้ประโยชน์ ถ้าเด็กไทยได้ประโยชน์ นั่นคือการยกระดับสังคมไทยอย่างแท้จริง เพราะถ้าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีฐานความรู้ รัฐบาลจะปฏิรูป จะยกระดับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ก็สามารถทำได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากถ้ารัฐบาลเห็นความสำคัญ และถ้ารัฐบาลทำจริงจัง เด็ก 10 ล้านคน และ พ่อแม่อีก 20 ล้านคนจะสามารถยกขึ้นมาได้แน่นอน โดยทั้งหมดนี้เชื่อว่าใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีน่าจะพัฒนาได้ถึง 60%

ด้าน ผศ.ดร.วาสนา สังข์พุ่ม คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กล่าวว่า ในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรีมีการขับเคลื่อนและประชาสัมพันธ์ไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฎทั้ง 38 แห่ง ให้ร่วมกันขับเคลื่อนพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาและโรงเรียนไปพร้อม ๆ กัน เพราะกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ที่เป็นกระบวนการที่ช่วยขับเคลื่อนและส่งเสริมการพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นสถาบันผลิตและพัฒนาครูเรามีโรงเรียนเครือข่ายทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดสมุทรปราการก็มีการขับเคลื่อนครูในเรื่องของการเขียนแผนการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการจัดกระบวนการเรียนการสอนผ่าน GPAS 5 Steps ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือ จากครูผู้สอนลงสู่นักเรียนในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมในโรงเรียนภายใต้บริบทที่เหมาะสม เห็นได้จากผลงานของครูที่ส่งเข้าประกวดในรอบนี้มีคุณประโยชน์อย่างมากเพราะเป็นผลงานเชิงประจักษ์ที่นำไปสู่โรงเรียนและตัวผู้เรียนอย่างแท้จริง

สภาการศึกษา เปิด “สภาวะการศึกษาไทยไตรมาสที่ 2 ปี 68”แนวโน้มการศึกษายุค Digital เพื่ออนาคต

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดการประชุมสัมมนาเพื่อเผยแพร่รายงานสภาวะการศึกษาไทย ไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี ดร.ปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.ทินสิริ ศิริโพธิ์ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหาร อาจารย์ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ร่วมประชุม ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพมหานคร

รศ.ดร.ประวิต กล่าวเปิดงานและนำเสนอรายงานสภาวะการศึกษาไทยฯ ว่า การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนอย่างสม่ำเสมอ โดยไตรมาสที่ 2 พ.ศ. 2568 มีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่

ประเด็นที่ 1 เหลียวมองการศึกษาและแนวโน้มที่เกิดขึ้น (Education at A Glance and Trends) พบว่า การเชื่อมโยงของเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลให้มีแนวโน้มที่น่าสนใจ คือ 1) 7 ประเด็นคานงัดพลิกโฉมการศึกษาที่ผู้กำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญในช่วงปี ค.ศ. 2025 – 2027 ได้แก่ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การส่งเสริมการศึกษาระดับปฐมวัยและประถมศึกษา การวางแผนทางการศึกษาที่รองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การสร้างธรรมภิบาลในระบบการศึกษา การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษา เส้นทางการศึกษา ปัญหาการขาดแคลนครูและการดึงดูดคนเก่งมาเป็นครู 2) การศึกษา 2040: เป้าหมายใหม่ในโลกดิจิทัล (Education 2040: Teaching Compass) ประกอบด้วย การออกแบบหลักสูตรใหม่ที่ตอบโจทย์อนาคต ปรับเปลี่ยนการสอน การประเมินผลต้องเป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ครูและระบบต้องพร้อม 3) แนวโน้มชี้ทางการศึกษา (Trends Shaping Education) OECD ได้วิเคราะห์แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น 48 แนวโน้ม แบ่งเป็นด้านความขัดแย้งและความร่วมมือในโลก ด้านการทำงานและความก้าวหน้า ด้านเสียงสะท้อนและเรื่องราว ด้านร่างกายและความคิด

ประเด็นที่ 2 การเสริมพลังทางการศึกษาด้วยกลไกระดับสากล เมื่อเปรียบเทียบภาพรวม (Overall Benchmarking) ใน 5 มิติ คือ มิติที่ 1 คุณภาพการศึกษา: ผลการทดสอบ PISA มิติที่ 2 การเข้าถึงการศึกษา: อัตราการเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษา มิติที่ 3 ความเท่าเทียมทางการศึกษา: ปีการศึกษาที่คาดหวัง มิติที่ 4 ประสิทธิภาพการศึกษา: สัดส่วนของผลการทดสอบ PISA กับงบประมาณด้านการศึกษา และมิติที่ 5 การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง: สัดส่วนของประชากรอายุ 25-34ปี ที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยใช้ข้อมูลจาก OECD, IMD, HDI และ UNDP สิ่งที่ต้องปรับปรุงเร่งด่วนคือ ประสิทธิภาพการศึกษา คุณภาพการศึกษา และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบรายประเด็น (Issues Benchmarking) คือ AI for Education, Literacy, Gifted & Talent, Education Expenditure และ Well being พบว่า ไทยมีจุดแข็งด้านทัศนคติต่อโลกาภิวัฒน์และการปรับตัวต่อความท้าทาย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะสัญญาณอินเตอร์เน็ต แต่ยังมีข้อจำกัดอุปกรณ์ดิจิทัล อัตราการรู้หนังสือ การดึงดูด พัฒนาและรักษาบุคคลที่มีศักยภาพสูง ทั้งนี้จำเป็นต้องทบทวนการลงทุนทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพตอบโจทย์บริบทการเปลี่ยนแปลง

ประเด็นที่ 3 การเสริมพลังทางการศึกษาด้วยกลไกระดับสากล (Education Engagement) ผ่านการประเมินผลระบบการศึกษาตามมาตรฐานสากล การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล และการมีส่วนร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางการศึกษาในระดับสากล ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD และ WERA พร้อมเตรียมเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมวิชาการและนำเสนอผลงานวิจัยระดับนานาชาติ ครั้งที่ 12 ปี พ.ศ. 2570 เพื่อทำให้ไทยเป็นที่รู้จัก รวมถึงได้เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีจากประเทศอื่น ๆ

ประเด็นที่ 4 ภาพนโยบายทางการศึกษา (Education Policy Outlook) ต้องเริ่มจากการมีนโยบายที่ดี การออกแบบนโยบายทางการศึกษาในยุคดิจิทัลต้องใช้รูปแบบ Strategic Foresight คาดการณ์อนาคตเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ โดยการศึกษาต้องคำนึงถึง Resilience และ Well being เป็นอันดับแรก ทั้งนี้จำเป็นต้อง 1) วิเคราะห์หา Trends shaping Thailand Education ปัจจัยที่ส่งผลต่อการศึกษาไทยทั้งในระดับพื้นที่ ระดับชาติ และระดับนานาชาติในทุกมิติ 2) วิเคราะห์ผล Thailand Monitoring & Evaluation Education Analysis เพื่อหาสภาวการณ์ปัจจุบัน และถอดบทเรียนการปฏิรูปการศึกษาในอดีตที่ผ่านมา 3) กำหนด Thailand Education 2040 เป้าหมายระยะยาวที่สอดคล้องกับกรอบทิศทางการศึกษาระดับนานาชาติ และ 4) กำหนด Strategic Foresight ประเมินความเสี่ยงในอนาคต เพื่อทำให้นโยบายทางการศึกษามีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อทุกการเปลี่ยนแปลง

ด้าน ดร.ปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บรรยายพิเศษ “Learning in the Digital World” โดยกล่าวถึง การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัล ผ่านนโยบายสำคัญ คือ การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ การสร้างความมั่นคงและปลอดภัย และ Human Capital ที่จะเป็นรากฐานอนาคต มีทักษะความรู้ด้านดิจิทัล และเพิ่มกำลังคนดิจิทัลในสาขาขาดแคลน และร่วมเสวนา “นโยบายการศึกษาสำหรับการเรียนรู้ในยุค Digital” โดย สกศ. เน้นถึงการมองอนาคต (Foresight) เป็นแนวทางจัดทำข้อเสนอกรอบทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 ครอบคลุม 4 ด้านหลักและ 8 ประเด็นสำคัญ (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.onec.go.th/th.php/book/BookView/2127 ) ตลอดจนสภาวะการศึกษาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย การขับเคลื่อน พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ สมัชชาการศึกษาจังหวัด การศึกษาเท่าเทียม การประเมินผลสัมฤทธิ์ พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 และประเมินการบังคับใช้กฎหมายการจัดการศึกษา เพื่อให้มีข้อมูลที่ต่อเนื่องและทันสมัย อันจะนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาการศึกษาที่สอดคล้องรองรับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน พร้อมทั้ง ยกระดับสมรรถนะทางการศึกษาของประเทศ และเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาการศึกษาให้มีความยั่งยืนในอนาคต