อดีตปลัด ศธ. ชี้ แผน 14 ต้องมี ‘ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติ’ ตั้งแต่ต้นน้า

จากกรณี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ซึ่งถือเป็นช่วงจังหวะสำคัญของประเทศในการกำหนดทิศทางการพัฒนาทุนมนุษย์ในระยะยาว โดยมีการคาดหมายว่าการจัดทำแผนฉบับนี้จะเชื่อมโยงเป้าหมายเศรษฐกิจ โครงสร้างประชากรโลกใหม่ การแข่งขันด้านดิจิทัล และความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ เข้ากับการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของคนไทยในทุกช่วงวัย แผน 14 จึงไม่ได้เป็นเพียงแผนเศรษฐกิจและสังคม แต่เป็นกรอบเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนด “เป้าหมายความสามารถของคนไทยในอนาคต” ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการต้องเข้าไปมีบทบาทโดยตรงในการเข้าไปกำหนดผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ ตั้งแต่ระยะออกแบบแผน ไม่ใช่เฉพาะช่วงนำไปสู่การปฏิบัติ

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568  ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเห็นว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่ระบบการศึกษาต้องยกระดับบทบาทจาก “ผู้รับแผน” ไปสู่ “ผู้ออกแบบเป้าหมายของชาติ” โดยต้องเข้าไปวางกรอบสมรรถนะและผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปกำหนดรายละเอียดเป็นโครงการ งบประมาณ หรือมาตรการต่าง ๆ ในระดับปฏิบัติการ แผน 14 จะต้องไม่ใช่แผนของสภาพัฒน์แต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่คือสนามยุทธศาสตร์ของการศึกษาไทย หากกระทรวงศึกษาธิการไม่เข้าไปกำหนดผลลัพธ์ตั้งแต่ต้นน้ำ เราจะกลายเป็นเพียงหน่วยปฏิบัติการ ไม่ใช่กลไกขับเคลื่อน”ดังนั้น หากเรากำหนด “ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติ” (National Learning Outcomes) ให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นทาง ไม่เพียงช่วยให้แผน 14 มีทิศทางเชิงเป้าหมาย แต่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่กระบวนการเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งให้น้ำหนักสูงต่อฐานข้อมูลเชิงหลักฐานและการเชื่อมโยงระหว่างคุณภาพทุนมนุษย์กับโครงสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจ OECD จะไม่มองแค่การปฏิรูปโครงการ แต่จะดูว่าประเทศมีระบบวางผลลัพธ์เป็นตัวตั้งหรือไม่ การกำหนดผลลัพธ์ระดับชาติคือบทพิสูจน์ว่าประเทศพร้อมขยับสู่มาตรฐาน OECD อย่างแท้จริง”

“ผมขอเสนอว่า เพื่อให้การศึกษาไทยสามารถยืนอยู่ในฐานะ “สถาปนิกทุนมนุษย์ของชาติ” ภายใต้แผน 14 และพร้อมสำหรับการเข้าสู่ OECD ในเชิงโครงสร้าง ต้องมีการเดินหน้าเชิงนโยบายที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้ 1.กำหนดตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติ (National Learning Outcomes) ให้เชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล ต้องประกาศให้ชัดว่าคนไทยในยุคแผน 14 ควรมีสมรรถนะระดับใด และทักษะแบบไหนที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจและสังคมอนาคต โครงสร้างตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติต้องสามารถเทียบได้กับกรอบ Learning Compass ของ OECD เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าทิศทางการพัฒนาการศึกษาของไทยเคลื่อนไปในมาตรฐานเดียวกับประเทศสมาชิก 2.ยกระดับระบบประเมินเพื่อการเรียนรู้ (assessment for learning) เพื่อสร้างฐานข้อมูลคุณภาพเชื่อถือได้ การประเมินผลต้องไม่หยุดอยู่เพียงผลสอบปลายทาง แต่ต้องมีระบบติดตามพัฒนาการเรียนรู้ระหว่างทาง ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่ OECD ใช้ตรวจสอบความพร้อมของประเทศสมาชิกในมิติคุณภาพของระบบ นี่คือหัวใจของการปฏิรูปเชิงระบบ เพราะถ้าไม่มีข้อมูลคุณภาพ การพัฒนาเชิงนโยบายก็จะขาดหลักฐานรองรับ และ 3.ยกระดับบทบาท ศธ. จาก “ผู้รับโจทย์” เป็น “ผู้ออกแบบเป้าหมายทุนมนุษย์ของชาติ” ศธ. ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในชั้นออกแบบผลลัพธ์ ไม่ใช่รอรับตัวชี้วัดที่กำหนดจากภาคเศรษฐกิจหรือแรงงานเท่านั้น เพราะแผน 14 คือกลไก pivot สำคัญที่จะแสดงว่าไทยสามารถจัดวางระบบทุนมนุษย์ได้สอดคล้องกับเกณฑ์ของ OECD และยืนยันทิศทางการเป็น “ประเทศผู้สมัครสมาชิก” ในเชิง readiness ไม่ใช่เชิงประกาศ”ดร.อรรถพล กล่าวและว่า จึงอาจสรุปได้ว่า หากต้องการให้แผน 14 เป็นมากกว่าเอกสารเชิงนโยบาย แกนกลางคือการมี “ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ของชาติ” ที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากลอย่างเป็นระบบ “เมื่อเรากำหนดเป้าหมายผลลัพธ์ก่อน เราจะออกแบบโครงสร้าง แผน และงบประมาณได้ถูกทิศ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเดินสู่การเป็นสมาชิก OECD อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ในเชิงถ้อยแถลง” งานเชิงนโยบายทั้งหมดนี้จึงควรถูกกำหนดไว้ในช่วงต้นของแผน 14 เพื่อเป็นสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่าไทยกำลังยกระดับการศึกษาในระดับที่สอดรับกับมาตรฐานการพัฒนาประเทศชั้นนำของโลก

สพฐ.จับมือการเคหะฯ ซ่อม-สร้างบ้านพักครู ยกระดับคุณภาพชีวิตครูทั่วประเทศ นำร่อง 8 แห่ง

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU  “บูรณาการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย” 4 กระทรวง และ 3 สมาคม ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยมี  นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายองอาจ วงษ์ประยูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายพิเชฐร์ วันทอง นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดย การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อบูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัยทั่วไทย ในด้านคุณภาพชีวิต ด้านคนเปราะบาง ด้านการศึกษา และด้านอาชีพ เพื่อร่วมสร้างรายได้ภายในครอบครัว ลดรายจ่าย เป็นแนวทางการยกระดับคุณภาพชีวิตจากจุดเล็กที่สุดของสังคม นั่นคือ “ครอบครัว” ด้วยการ Restart ประชาชน

จากนั้น ได้มีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ “โครงการสวัสดิการที่พักสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดย นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ. และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) โดย นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามเจตนารมณ์ของรองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้ครูมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและปลอดภัย เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ โดยปัจจุบัน สพฐ. มีบ้านพักครูอยู่ในความดูแลกว่า 41,000 หลัง พบว่ามีสภาพทรุดโทรมกว่า 14,900 หลัง และในจำนวนนี้กว่า 13,000 หลัง ยังมีครูอาศัยอยู่จริง จึงกำหนดให้เป็นเฟสแรกในการเร่งปรับปรุงภายในปีนี้ และจะบรรจุในแผนพัฒนาเพื่อปรับปรุงให้ครบ 40,000 หลัง ภายในปีงบประมาณ 2570

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ก่อนการลงนาม สพฐ. ได้ทำการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นไว้แล้วว่าพื้นที่ใดเป็นพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือกระทรวงศึกษาธิการจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบในหลักการ จากนั้นการเคหะแห่งชาติจะดำเนินการจัดหาแหล่งเงินทุน และพัฒนาในแต่ละเฟส ทั้งการปรับปรุง ซ่อมแซม หรือสร้างใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เมื่อได้พื้นที่เป้าหมายครบแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการเตรียมงบประมาณผูกพันระยะยาวในการชำระคืนให้กับการเคหะฯ ถือว่าขณะนี้โครงการเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้

สำหรับการลงนามนี้ สพฐ. ร่วมมือกับ กคช. เพื่อจัดที่พักอาศัยคุณภาพให้แก่ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และข้าราชการพลเรือน โดยเฉพาะผู้บรรจุใหม่ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ และกลุ่มที่ไม่มีสิทธิรับค่าเช่าบ้าน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิต ผ่านการปรับปรุงอาคารเดิมหรือสร้างใหม่ โดยดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่โรงเรียนที่รวม หรือเลิกสถานศึกษา สังกัด สพฐ. ที่ผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดร่วมกันระหว่าง สพฐ. และ กคช. หรือคัดเลือกพื้นที่อื่นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นเหมาะสม โดยมีพื้นที่โรงเรียนที่รวม เลิกสถานศึกษานำร่อง ที่มีความพร้อมสูงและมีความจำเป็นเร่งด่วน จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ของโรงเรียนหนองหล่มวิทยาคาร จังหวัดเชียงใหม่, โรงเรียนบ้านเมืองพรึก จังหวัดอุดรธานี, โรงเรียนวัดท่าวังหิน จังหวัดอุบลราชธานี, โรงเรียนบ้านคลองห้วยทราย จังหวัดกำแพงเพชร, โรงเรียนบ้านตางาม จังหวัดตราด, โรงเรียนบ้านแจงงาม จังหวัดกาญจนบุรี, อาคาร สปอ. จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ คลังดอนเมือง สพฐ. จังหวัดปทุมธานี โดยบันทึกความร่วมมือนี้ จะมีระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันลงนามเป็นต้นไป

สพฐ.พร้อมอบรมก่อนแต่งตั้ง ผอ.- รอง ผอ.รร.กว่า 1,600 คน พร้อมชวนติดตามสาระดีๆ “คลินิก สพฐ.” ซีซัน 2 ทางช่องทางออนไลน์

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มอบหมายให้ นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการ กพฐ. เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 40/2568 โดยมี นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ รองเลขาธิการ กพฐ. และนางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ สพฐ. ร่วมประชุม ซึ่งการประชุมมีการเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน พร้อมมอบแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพ  ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting ในการนี้ ผู้บริหารระดับสูง ผู้อำนวยการสำนัก และบุคลากรของ สพฐ. ได้ร่วมน้อมถวายความอาลัย แด่องค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ โดยพร้อมเพรียงกัน

นายพิเชฐร์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้เน้นย้ำการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา เพื่อให้ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งฯ มีความพร้อมทั้งในด้านอุดมการณ์ วิสัยทัศน์ บุคลิกภาพ และความเป็นผู้นำสำหรับตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา โดยมีผู้เข้าร่วมการพัฒนา ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 399 คน รองผู้อำนวยการสถานศึกษา 1,289 คน รวมทั้งสิ้น 1,688 คน โดยระยะที่ 1 จะดำเนินการในรูปแบบ Online ผ่านระบบ Learning OBEC และรูปแบบ On-site ณ โรงแรมอิงธารรีสอร์ท จ.นครนายก ระหว่างวันที่ 10 – 12 พฤศจิกายน 2568 ส่วนระยะที่ 2 จะมีการฝึกประสบการณ์จริงในสถานศึกษาต้นแบบ (Best Practice) ระหว่างวันที่ 17 – 28 พ.ย. 2568 และระยะที่ 3 จะมีการนำเสนอผลการพัฒนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Cluster Networking PLC) ระหว่างวันที่ 29 – 30 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นการพัฒนาตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารสูงสุดอันจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในทุกมิติ

รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ สพฐ. ยังเดินหน้ารายการ “คลินิก สพฐ.” Season 2 เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยเหลือโรงเรียนในด้านการบริหารจัดการการเรียนการสอน และการพัฒนาครู รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่าง สพฐ. เขตพื้นที่ฯ โรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ตรงกับความต้องการของผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน และ สร้างกลไกการแก้ไขปัญหาการบริหารและการจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยมีเนื้อหารายการ ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 สพฐ. พบเพื่อนครู (ผู้บริหารระดับสูงมอบนโยบาย) ช่วงที่ 2 เรื่องเล่าชาว สพฐ. (ผู้รับผิดชอบโครงการของแต่ละสำนัก) ช่วงที่ 3 สพฐ. เติมความรู้ สู่ห้องเรียน (หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ สู่ห้องเรียน) ช่วงที่ 4 เช็กสุขภาพการเงินกับ กบข. (จัดโดย กบข. ให้ความรู้เกี่ยวกับการเงิน) และช่วงที่ 5 สพฐ. คลายทุกข์ เพิ่มสุข (โดยการรับฟังข้อคิดเห็นและตอบข้อซักถามทุกคำถาม) มีกำหนดออกอากาศทุกวันพุธสุดท้ายของเดือน เดือนละ 1 ครั้ง เวลา 15.00 – 16.30 น. เริ่มออกอากาศวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ผ่านช่องทาง YouTube “OBEC Channel” และเพจ Facebook “คลินิก สพฐ.” สามารถรับชมได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

“เกศทิพย์” เร่งสื่อสารสร้างความชัดเจนเรื่องแนวปฏิบัติในการแสดงความอาลัย

วันที่ 27 ตุลาคม 2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)เปิดเผยว่า ตามที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติแสดงความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นั้น ภายหลังการประชุม ในส่วนของ สกร.ตนได้จัดประชุมออนไลน์กับผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้อำนวยการกอง กลุ่ม และศูนย์ส่วนกลาง เพื่อชี้แจงแนวทางปฏิบัติให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน โดยได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ซักถามข้อสงสัย และได้ตอบข้อซักถามอย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกจังหวัดนำแนวทางไปสื่อสารต่อในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ทั้งนี้ อธิบดีได้มอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดทั่วประเทศทำหน้าที่เป็น “ตัวแทนสื่อสารของกรม” ในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อการปฏิบัติให้เข้าถึงประชาชนอย่างครบถ้วนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจตนารมณ์ของหนังสือสั่งการของกระทรวงศึกษาธิการ

อธิบดี สกร. กล่าวย้ำว่า กิจกรรมหรืองานที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของผู้เรียน เช่น กิจกรรมทางการศึกษา กีฬา ศิลปะ หรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอื่น ๆ สามารถจัดได้ตามปกติ เช่นเดียวกับงานประเพณีของทุกศาสนาสามารถดำเนินการได้ ส่วนงานที่เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาและมีการจัดงานเลี้ยง ให้พิจารณาปรับรูปแบบให้เหมาะสมแก่สถานการณ์ และคำนึงถึงการสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญ

“ขอบคุณทุกพื้นที่ที่ร่วมขับเคลื่อนภารกิจซึ่งสะท้อนอุดมการณ์ของ สกร. ในการเป็น “องค์กรแห่งการเรียนรู้ของประชาชน” ที่ใช้การเรียนรู้เป็นพลังเชื่อมโยงหัวใจของคนไทยเข้าด้วยกัน ผ่านการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ทั้งนี้ แนวทางดำเนินงานของหน่วยงาน สกร. ทั่วประเทศประกอบด้วย 1) เผยแพร่พระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่า  2) ประดับพระฉายาลักษณ์และเปิดให้ลงนามไว้อาลัย  3) จัดนิทรรศการและกิจกรรมเทิดพระเกียรติ และนิทรรศการและกิจกรรม “สอนทำริบบิ้นแสดงความอาลัย” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ  และ 4) โครงการ “สกร. รักษ์น้ำ สืบสานปณิธานแม่ของแผ่นดิน” เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริและสร้างจิตสำนึกดูแลธรรมชาติ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์”ดร.เกศทิพย์กล่าวและว่า สกร.จะดำเนินงานทุกขั้นตอนด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ รวมทั้งจะเป็นตัวแทนสื่อสารแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ทุกพื้นที่ร่วมกันถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระพันปีหลวงด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด

สอศ.จัดสอบคัดเลือก ผอ.-รอง ผอ.สถานศึกษา ยืนยันโปร่งใส ตรวจสอบได้ ย้ำอีกครั้งไม่มีวิ่งเต้น  

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) พร้อมด้วยนายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการ กอศ. นายสง่า แต่เชื้อสาย รองเลขาธิการ กอศ. และ นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการ กอศ. ตรวจเยี่ยมสนามสอบการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ณ อาคารศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จังหวัดปทุมธานี

นายยศพล กล่าวว่า การสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาในครั้งนี้ สอศ.ประกาศรับสมัครจำนวน 75 อัตรา ประกอบด้วย ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา 8 อัตรา และตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา 67 อัตรา ในวันนี้ผู้สมัครเข้ารับการสอบตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ทั้งสิ้น 333 คน จากจำนวนผู้สมัครทั้งหมด 335 คน คิดเป็นร้อยละ 99.40 ในขณะที่ผู้เข้ารับการสอบตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 55 คน จากจำนวนผู้สมัครทั้งหมด 58 คน คิดเป็นร้อยละ 94.83 โดยจากการตรวจเยี่ยมในวันนี้ ไม่พบความผิดปกติ สามารถดำเนินการสอบได้อย่างเรียบร้อย รวมทั้งขอให้กำลังใจผู้สมัครสอบทุกท่านที่เข้าสู่กระบวนการในวันนี้ และขอยืนยันว่าการสอบครั้งนี้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส มีระบบการตรวจสอบที่มั่นคงปลอดภัย โดยมีสถาบันที่มีชื่อเสียงเข้ามาดำเนินการ ขอให้ผู้สมัครทุกท่านมั่นใจและอย่าเชื่อข่าวลือเรื่องการวิ่งเต้น เพราะ สอศ. ต้องการคัดสรรผู้นำที่มีความรู้ความสามารถและมีคุณภาพอย่างแท้จริง เพื่อมาพัฒนาการศึกษาอาชีวะของประเทศต่อไป ขอขอบคุณผู้สมัครทุกท่านที่เข้าสู่กระบวนการคัดเลือกในครั้งนี้

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า การคัดเลือกผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ดำเนินการคัดเลือก แบ่งเป็น 3 ภาค ดังนี้ ภาค ก ความรู้และความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ ดำเนินการด้วยวิธีการสอบข้อเขียนแบบปรนัย ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ ดำเนินการด้วยวิธีการประเมิน ตามตัวชี้วัด องค์ประกอบ และคะแนนการประเมินที่กำหนด แบ่งเป็น ประวัติ ประสบการณ์ และผลงานที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน และภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง ดำเนินการด้วยวิธีการสัมภาษณ์ และการประเมิน ตามตัวชี้วัด องค์ประกอบ โดยแบ่งเป็นวิสัยทัศน์และแนวทางการบริหารงาน ตามมาตรฐานตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ที่ ก.ค.ศ. กำหนด และการสัมภาษณ์ สำหรับเกณฑ์การตัดสินผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก ต้องได้คะแนน ภาค ก ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 จึงจะมีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค ต่อไป

ทั้งนี้ สอศ.จะประกาศผลการสอบภาค ก ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 โดยกำหนดให้มีการประเมิน ภาค ข ในระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2568 สำหรับการประเมินภาค ค จะประกาศกำหนดการให้ทราบอีกครั้งในลำดับถัดไป และจะประกาศผลการคัดเลือกฯ ภายในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และเว็บไซต์กลุ่มงานจัดการงานบุคคล 2 สำนักอำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา https://ipa.vec.go.th/

 

“อ.แหม่ม”ประชุมผู้บริหาร ศธ.ทำความเข้าใจให้ตรงกันจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ศ.ดรฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ให้สัมภาษณ์กรณีมีข้อท้วงติงเกี่ยวกับหนังสือด่วนที่สุดของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงานในสังกัดงดจัดกิจกรรมที่มีลักษณะรื่นเริงเป็นเวลา 1 ปี เพื่อแสดงความอาลัย นั้น ตนได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจในแนวทางปฎิบัติต่างๆ ในห้วงเวลาแห่งการไว้อาลัย โดยที่ประชุมมีข้อสรุปร่วมกันว่า การจัดกิจกรรมตามหลักสูตร หรือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาการของเด็ก หรือ กิจกรรมเสริมหลักสูตรซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ไม่มีการสั่งห้ามหรือให้งด รวมถึงกิจกรรมประเพณีวัฒนธรรมของชนชาติใด ศาสนาใด ก็สามารถดำเนินการได้ตามปกติเช่นกัน โดยผู้บริหารระดับสูงของแต่ละหน่วยงาน และหน่วยงานในกำกับจะไปทำความเข้าใจกับผู้บริหารตามลำดับชั้นต่อไป ส่วนกิจกรรมอื่นที่มีลักษณะรื่นเริง นอกเหนือจากหลักสูตรการเรียนการสอน นั้น ขอความร่วมมือให้งดหรือปรับรูปแบบการดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์

“จากการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของแต่ละองค์กรแล้ว มีความเข้าใจตรงกันชัดเจนแล้ว และจะมีรายละเอียดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนของแต่ละองค์กรซึ่งอาจจะมีรายละเอียดปลักย่อยต่างกันออกมาต่อไป  ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการน้อมรับทุกความเป็นห่วงของทุกภาคส่วน ซึ่งก็ตรงกันกับที่กระทรวงเป็นห่วงและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้  และยืนยันว่า เรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กไม่ได้อยู่ในเจตนาของกระทรวงศึกษาธิการเลยที่จะให้งด ขอให้ทุกท่านคลายความกังวลและขอขอบคุณในความเป็นห่วงต่อพัฒนาการของเด็ก ขอให้มั่นใจว่าผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการจะได้ไปสื่อสารกับผู้บริหารในลำดับถัดไปทั้งเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาให้เข้าใจตรงกันได้อย่างแน่นอน”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ด้าน ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงประเด็นระยะเวลาทุกเรื่องการไว้ทุกข์ 1 ปี ว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้หน่วยงานราชการไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งสถานศึกษาเป็นหน่วยงานราชการจึงยึดตามมติ ครม. คือ 1 ปี ส่วนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ สถานศึกษาสามารถไปปรับรูปแบบให้เหมาะสมสอดคล้องได้

 

“นฤมล” แจงชัด คำสั่งงดกิจกรรมรื่นเริง ไม่กระทบกีฬาสี – กิจกรรมเสริมหลักสูตร ย้ำ ศธ.ไม่ปิดกั้นกิจกรรมของนักเรียน

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงกรณีที่มีการเผยแพร่หนังสือด่วนที่สุดของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงานในสังกัดงดจัดกิจกรรมที่มีลักษณะรื่นเริงเป็นเวลา 1 ปี เพื่อแสดงความอาลัยว่า กิจกรรมที่ขอความร่วมมือให้งดจัด คือ งานสังสรรค์ที่ไม่เป็นทางการ และงานบันเทิงที่มีความครื้นเครง เช่น งานสังสรรค์ศิษย์เก่า หรืองานแสดงความยินดีรับ-ส่ง ส่วนกิจกรรมการเรียนการสอน หรือกิจกรรมเสริมในหลักสูตรของนักเรียน สามารถดำเนินการได้ตามปกติ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ส่วนที่ผู้ปกครองบางส่วนอาจจะกังวลว่าหนังสือดังกล่าวอาจกระทบต่อกิจกรรมของนักเรียน เช่น กีฬาสี หรือกิจกรรมสร้างสรรค์อื่น ๆ ภายในโรงเรียน ขอยืนยันให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า กระทรวง ศึกษาธิการไม่ได้มีสั่งห้ามหรือปิดกั้นการจัดกิจกรรมของเด็กนักเรียนแต่อย่างใด รวมถึงประเพณีการแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคีก็ยังสามารถจัดได้ เพราะถือเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรของผู้เรียน และถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ด้วย

“อาจารย์ได้กำชับปลัดกระทรวงศึกษาธิการแล้วว่า ให้แจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและผู้บริหารสถานศึกษาทั่วประเทศ ถึงความหมายและขอบเขตของการจัดกิจกรรมดังกล่าวให้ชัดเจน และให้ถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน พร้อมขอให้ผู้บริหารโรงเรียนสื่อสารกับครู นักเรียน และผู้ปกครองอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน“ศ.ดร.นฤมลกล่าว

สพฐ. ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2568

วันที่ 26 ตุลาคม 2568 นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปี พ.ศ.2568 โดยมี นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ รองเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. พร้อมทั้งคณะผู้บริหาร ข้าราชการและบุคลากรของ สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญ และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามที่ขอพระราชทานเพื่อน้อมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดวิเวกวายุพัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยมียอดกฐินเพื่อถวายพระภิกษุ สามเณร และถวายจตุปัจจัยบำรุงพระอาราม รวมถึงมอบทุนการศึกษาให้แก่โรงเรียน เพื่อนำไปพัฒนาโรงเรียนและเพิ่มคุณภาพการศึกษา รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 4,271,162.14 บาท

ทั้งนี้ การทอดกฐินเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชน ได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน เพื่อเป็นการอุปถัมภ์พระสงฆ์ที่จำพรรษากาลครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพระวินัย และเป็นทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม โดยเป็นการรวมพลังแห่งความสามัคคี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ในการสร้างบุญกุศล สร้างความสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งเป็นการจรรโลงและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้มั่นคงดำรงอยู่เจริญวัฒนาสถาพรสืบไป

“ดร.เกศทิพย์”ร่วมสัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้อุบลราชธานี ครั้งที่ 14 พร้อมย้ำ “เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกคนเข้าถึงได้”

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ลานกิจกรรมห้างสรรพสินค้าสุนีย์ทาวเวอร์ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้อุบลราชธานี ครั้งที่ 14” ภายใต้แนวคิด “UBON Book Fair & Book of Paradise – สุดขอบฟ้าแห่งโลกจินตนาการซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน2568 โดยมี ร้อยตรีสรมงคล มงคละสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีกล่าวต้อนรับ และมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานศึกษาและประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

ดร.เกศทิพย์ กล่าวถึงความสำคัญของการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตว่า งานนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ สกร. ที่ทดแทน กศน. เดิม ได้ดีที่สุด ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ .. 2566 เพราะเป็นงานที่เติมเต็มการเรียนรู้ครบวงจร ตั้งแต่การอ่าน การวางแผน และการสร้างอนาคตสำหรับทุกช่วงวัย พร้อมสะท้อนถึงความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายทุกหน่วยงานในจังหวัดอุบลราชธานี และสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด ที่สามารถร่วมมือกันจัดงานได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมถือเป็นต้นแบบให้กับ สกร. ทั่วประเทศ ได้ต่อยอดต่อไป ทั้งนี้ขอเชิญชวนพี่น้องชาวอุบลราชธานีมาร่วมงานสัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้อุบลราชธานี ครั้งที่ 14 เพื่อแสวงหาความรู้ ความบันเทิง และเลือกซื้อหนังสือดี เนื่องจากการอ่านเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ที่ยั่งยืนเมื่อใดก็ตามที่เราอ่านรอบหนึ่ง รอบสอง รอบสาม ความรู้จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อย และความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นนั้น จะกลายเป็นนิสัยของการเรียนรู้ ซึ่งทำให้เราสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยการเติมเต็มความรู้และนำไปใช้จริง ซึ่งภายในงานมีนิทรรศการและกิจกรรมมากมาย อาทินิทรรศการสกร. Learn to Earn” ที่เชื่อมโยงการอ่านเข้ากับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพและทักษะชีวิต การออกร้านจำหน่ายหนังสือจากสำนักพิมพ์ชั้นนำทั่วประเทศ เวทีเสวนาเรียนรู้สู่อาชีพการแสดงของเยาวชน และกิจกรรมเสริมปัญญา ตลอดจนการพบปะนักเขียน นักพูดและเวทีสร้างแรงบันดาลใจ

กิจกรรมเหล่านี้ออกแบบตามนโยบายของ .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “Flexible Education” ให้สอดคล้องกับแนวคิดของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ที่มุ่งเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกคนเข้าถึงได้เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดอุบลราชธานีให้ก้าวสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City)” อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ งานยังใช้รูปแบบ “ABC Model” : A = Art (ศิลปะ) B = Book (หนังสือ) C = Culture (วัฒนธรรม) เพื่อหลอมรวมศิลปะ วัฒนธรรม และความรู้ เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย สนุกสนาน และเปิดโลกทัศน์ให้ผู้ร่วมงานทุกช่วงวัยดร.เกศทิพย์กล่าวและว่า ขอขอบคุณ คุณสุนีย์ ตริยางกูรศรี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทในเครือก้าวหน้าไก่สด จำกัด เจ้าของสถานที่ที่มอบสถานที่และประสบการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อทำให้งานนี้เป็นมากกว่าแค่โลกแห่งจินตนาการ แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจจากครอบครัวที่เป็นต้นแบบด้วย

ภายหลังพิธีเปิด ดร.เกศทิพย์ พร้อมคณะ ได้เดินเยี่ยมชมบูธจำหน่ายหนังสือและนิทรรศการของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ รวมถึงให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และเครือข่ายผู้จัดงาน พร้อมมอบเกียรติบัตรให้กับศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอในจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีผลงานโดดเด่นในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ภายในงาน

ข้าราชการและบุคลากร สังกัด ศธ. ไว้ทุก 1 ปี หน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัด งดกิจกรรมรื่นเริง 1 ปี พร้อมเผยแพร่พระราชกรณียกิจพระพันปีหลวงบนเว็บไซต์หน่วยงาน ส่วนสถานศึกษาจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติ

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีหนังสือบันทึกข้อความ ไปยังหน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานในกำกับ กำหนดให้ข้าราชการ บุคลากรทางการศึกษา และพนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติเพื่อถวายความอาลัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง