สพฐ. เล็งเปิด“พิพิธภัณฑ์ สพฐ.”บอกเล่าประวัติศึกษาไทย ผ่านเทคโนโลยีสุดล้ำ พร้อมผนึกกำลังภาคเอกชน สานต่อ CONNEXT ED และเดินหน้าสื่อสารเรียนรู้ “ประวัติศาสตร์-หน้าที่พลเมือง” ผ่านการประชุมใหญ่ 27 พ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.)พร้อมด้วย ดร.พิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการ กพฐ.ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ รองเลขาธิการ กพฐ. และนางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ สพฐ. โดยเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน พร้อมมอบแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพ โดยมีผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า การประชุมวันนี้ได้หารือในประเด็นสำคัญต่างๆ โดยเรื่องแรก สพฐ. มีแนวคิดจัดตั้ง พิพิธภัณฑ์ของ สพฐ. เพื่อรวบรวมเรื่องราวความเป็นมาของ สพฐ. ตั้งแต่ยุคโรงเรียนประชาบาล พัฒนาสู่กรมสามัญศึกษา จนถึงปัจจุบัน โดยมีการแสดงผลงานและความเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาที่ดีขึ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และทิศทางอนาคต รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น จอทัชสกรีน หรือระบบเสมือนจริง เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้พัฒนาการและบทบาทของ สพฐ. อย่างเข้าใจง่ายและทันสมัย นอกจากนี้ ในด้านความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก สพฐ. ร่วมกับภาคเอกชนภายใต้โครงการผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน หรือ CONNEXT ED ซึ่งมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการกว่า 7,000 โรงเรียน และมีบริษัทร่วมกว่า 400 แห่ง มีการใช้เทคโนโลยีระบบ Cloud เข้ามาช่วยเก็บรวบรวมสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว พร้อมนำเสนอเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการให้สาธารณชนรับทราบ ซึ่งเร็วๆ นี้ ตนได้เข้าหารือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ในการขอสนับสนุนเทคโนโลยีที่กระทรวงมีอยู่ เพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษา และจะเพิ่มเติมให้ครอบคลุมจาก 7,000 โรงเรียน ขยายผลสู่โรงเรียนในสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศ 29,005 แห่ง ต่อไป

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง สพฐ. มุ่งพัฒนาให้เข้มข้นและร่วมสมัย ตามที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญและต้องการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง โดยบูรณาการในหลายวิชา สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน พร้อมเชื่อมโยงแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน เช่น พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ มูลนิธิชัยพัฒนา เป็นต้น โดยในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมถ่ายทอดสดผ่าน OBEC Channel เพื่อสื่อสารนโยบายรัฐบาลและแนวปฏิบัติตามหลักสูตร รวมถึงสิ่งที่เรากำลังดำเนินการเพื่อสร้างโอกาสและคุณภาพการศึกษา โดยมี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศธ. ร่วมมอบนโยบายที่จะขับเคลื่อนยกระดับการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

“ผมได้หารือเรื่องการพัฒนาระบบบริหารงานอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) ที่อำนวยความสะดวกให้กับข้าราชการและภาคส่วนอื่น ๆ ตามแนวปฏิบัติของ กพร. ส่วนกลาง ที่ได้กำหนดให้ทุกหน่วยงานใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านที่ 6 ที่พูดถึง E – government การใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารงานให้ตอบโจทย์ อาทิ งานด้านธุรการ การเงิน และสวัสดิการข้าราชการ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเริ่มทำตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและปีนี้ก็จะพัฒนาระบบอื่นเพิ่มเติม และเรื่องสุดท้าย คือนักเรียนทุกคนที่ได้รับทุน ODOS ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาทั้งในและต่างประเทศ โดยปีนี้มีนักเรียน สังกัด สพฐ. ที่มีสิทธิได้รับทุน 3,298 คน ในจำนวนนี้ 59 คนจะไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาการศึกษาไทย ที่จะได้คนเก่งเข้ามาในระบบและพร้อมพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

อดีตปลัด ศธ. “ดร.อรรถพล”ชูธงนำอาชีวศึกษาเกษตรไทยภาคกลางสู่อนาคตใหม่ พาอาชีวะเกษตรไทยเดินหน้าสู่ยุคดิจิทัล ดึงเยาวชน–เติมเทคโนโลยี–สร้างเกษตรยั่งยืน

ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะนายกสภาสถาบัน สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง เปิดเผยถึงแนวนโยบาย “การพัฒนาอาชีวศึกษาเกษตรของไทยสู่อนาคต” ว่า ภาคเกษตรไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญจากภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และแรงงานสูงวัย ซึ่งจำเป็นต้องเร่งปรับระบบอาชีวศึกษาเกษตรให้ก้าวทันโลกยุคใหม่ เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะ เทคโนโลยี และหัวใจสีเขียว และ “อาชีวศึกษาเกษตรคือหัวใจของการสร้างคน สร้างเกษตร และสร้างอนาคต”

ดร.อรรถพล กล่าวว่า วิสัยทัศน์ในการยกระดับระบบอาชีวศึกษาให้ “ทันสมัย มีนวัตกรรม และยั่งยืน” ภายใต้นโยบายสำคัญประกอบด้วย 5 ด้านหลัก ได้แก่  (1) Smart Agriculture & Technology  โดยบูรณาการเทคโนโลยี AI, IoT, Drone และ Big Data เข้าสู่หลักสูตรและการฝึกอบรม (2) Upskilling & Reskilling – พัฒนาทักษะดิจิทัลและทักษะผู้ประกอบการให้แรงงานรุ่นใหม่ (3)  Industry–Academia Collaboration – เสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันอาชีวศึกษาเกษตรกับภาคอุตสาหกรรม  (4)  Startup & Innovation Ecosystem – หนุนสตาร์ทอัพเกษตรเทค (AgriTech) ผ่านโครงการบ่มเพาะและทุนตั้งต้น และ(5)  Sustainability & Circular Agriculture – ส่งเสริมเกษตรสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“ประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากโมเดลความสำเร็จของเนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ซึ่งใช้เทคโนโลยีอย่างจริงจัง ดึงเยาวชนเข้าสู่อาชีพ และสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และชุมชน โดยย้ำว่า “เทคโนโลยีต้องอยู่ในทุกมิติของการเรียนรู้ เกษตรต้องเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ และอาชีวศึกษาคือสะพานเชื่อมระหว่างห้องเรียนกับโลกการทำงานจริง”  เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างแรงงานคุณภาพ สตาร์ทอัพเกษตร และระบบเกษตรกรรมที่มั่นคงและยั่งยืน ดังนั้น การปฏิรูปอาชีวศึกษาเกษตรจึงไม่ใช่แค่การปรับหลักสูตร แต่คือ “การเปลี่ยนอนาคตของภาคเกษตรไทย” ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และเป็นพลังสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ”ดร.อรรถพลกล่าว

 

ดราม่าสนั่น

หยอก หยอก วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ***อ่านหนังสือออก สำคัญ อ่านเหตุการณ์ออก สำคัญกว่า อ่านคนอื่นออก สำคัญยิ่งอ่านตนเองออก สำคัญที่สุด***หลายวันมานี้รู้สึกว่าใน “วังจันทรเกษม”มีเรื่องราวดราม่าแบบจุก ๆ กันหลายเรื่อง *** จะพูดกันตรง ๆ ก็คือ ตอนนี้ มีดราม่าได้ตลอดกับเสมา 1 อาจารย์แหม่ม เสนาบดีแห่งวังจันทรเกษม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์  ที่ว่าแรงหน่อยก็ตอนมีหนังสือด่วนที่สุดของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงานในสังกัดงดจัดกิจกรรมที่มีลักษณะรื่นเริงเป็นเวลา 1 ปี เพื่อแสดงความอาลัย … เอาจริง ๆ นะ อ่านจากในหนังสือที่เผยแพร่ก็เข้าใจได้ถึงเจตนาของคำว่า “งดกิจกรรมที่มีลักษณะรื่นเริง” คงไม่ได้หมายถึงกิจกรรมทั้งหมดของนักเรียน เพราะน่าจะสามารถปรับได้ตามสถานการณ์อย่างที่ทางกระทรวงศึกษาธิการชี้แจง แต่เหตุใดจึงทำให้เกิดความเข้าใจว่างดกิจกรรมที่เตรียมการไว้แล้วทั้งหมด หรืออาจจะเป็นความกังวลขั้นสูงสุดของผู้ปกครองหรือผู้จัดงานก็ได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นการดีที่มีความเข้าใจแบบนี้จนทำให้ต้องมีการทำความเข้าใจกันอย่างเป็นระบบและทำให้เกิดความชัดเจนในแนวปฏิบัติที่เหมาะสม … *** หรือเป็นเหตุผลทางการเมืองที่ตอนนี้ “พรรคกล้าธรรม”กำลังถูกถล่มเพราะหลังจากที่ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ออกจากพรรคพลังประชารัฐมาอยู่กับพรรคกล้าธรรมแบบเต็มตัวเกือบ 1 ปี โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์  เป็นหัวหน้าพรรค ร้อยเอกธรรมนัส เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ นำพรรคกล้าธรรม ขึ้นมาเป็นพรรคยอดนิยมอันดับ 4 ช่วงนี้การเมืองก็เล่นกันแรงอยู่ด้วยสิ.. *** แม้แต่เรื่องแนวคิดจะแต่งตั้งรักษาการผู้อำนวยการองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)โดยมติ บอร์ด สกสค.ให้เพิ่มคุณสมบัติผู้ที่จะมารักษาการ แต่ยังไม่ได้ทำอะไร ก็ยังมีกลุ่มคนมาคัดค้านกันหลายกลุ่ม ไม่รู้มาจากไหนกันบ้าง แต่ที่รู้ ๆ ก็คือเจ้าเก่าสมาคมครูชนบทฯ และมายื่นหนังสือวันก่อนที่พอรู้จัก ก็คือ นายอนันต์ แย้มเกษร ที่ปรึกษาอดีตรักษาการ ผอ.องค์การค้า สกสค.คนก่อน มาแบบนี้ หยอก หยอก งง..ตาแตก? หรือว่าเป็นการเมืองอีก ที่จะหาทางไม่อุ้ม “ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต”เลขาธิการ สกสค.คนปัจจุบัน ที่ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คัดเลือกมาเองกับมือ *** หยอก ก็ได้แต่เดา แต่ถ้าเดาถูกก็ช่วยตบมือให้ด้วย…555 *** ปรับโหมดมาที่ กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)ที่มีอธิบดีหญิงนั่งคุม นามว่า “เกศทิพย์ ศุภวานิช”ที่วันก่อนดันไปย้ายสลับสับเปลี่ยนเพื่อวางคนให้ถูกฝาถูกตัว  เพราะตั้งแต่ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ “คลอด”มาถึงวันนี้ก็็็๋เข้ามาใกล้ถึงขวบปีที่ 3 แล้ว แต่กรอบอัตรากำลังยังไม่สมบูรณ์ แทนที่จะมีกรอบอัตรากำลังเป็นของตัวเอง…ว่ากันว่าการทำงานของอธิบดีหญิงก็ไม่ขี้เหร่ คน สกร.ที่ชื่นชมสไตล์การทำงานก็มีอยู่ไม่น้อย ถือว่า เพอร์เฟค ให้ความสำคัญกับเครือข่าย เนื้องานชนะเลิศ มีนโยบายให้สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดไปทำงานร่วมมือกับเครือข่าย และการออกจากถ้ำที่ไปนั่งทำงานที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ หรือ ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลฯเป็นบางครั้ง ก็เพื่อให้รู้ว่าเป็นสถานที่ของ สกร. ก่อนที่หน่วยงานอื่นจะตะครุบไปซะก่อน …. มีเสียงชื่นชมแล้วแต่ก็มีเสียงสะท้อนถึงการตั้งผู้อาวุโสที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้านจากหลายสาขาเป็นทีมที่ปรึกษาอธิบดี 8 ด้าน รวม 30 คน  งานนี้เรียกเสียงฮือฮา ใช้ผู้อาวุโสเต็มที่ ไม่ปล่อยให้พักว่างกันเลย 555 … แว่วว่า … มีเวลาแค่ปีเดียวจะได้เห็นลุคใหม่ สกร.มั้ยน้อ  *** ตบท้ายด้วยความสงสัยว่า ทำไมหัวหน้าส่วนราชการที่มีอำนาจแต่งตั้งผู้บริหารระดับต้น(ระดับ9) ที่มีตำแหน่งว่างหลายอัตราในขณะนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการสรรหาผู้มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่ง หรือ รอไฟเขียวจากฝ่ายการเมือง…เฮ้อ..***ส่วนตำแหน่งศึกษาธิการภาค น่าจะไม่มีแล้วนะ…จริงเปล่า?***

“ศ.ดร.นฤมล”เปิดงานระลึกถึง“ทวี บุณยเกตุ”ผู้ก่อตั้งคุรุสภารากฐานทางความคิดอันนำสู่”วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง”

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศึกษาธิการ) เป็นประธานเปิดงานวัน “ทวี บุณยเกตุ ประจำปี 2568 เนื่องในโอกาสที่ท่านทวี บุณยเกตุ ถึงแก่อนิจกรรมครบ 54 ปี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เพื่อตระหนักถึงความสำคัญของท่านทวี บุณยเกตุ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 และเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนที่ 12 รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 จัดขึ้นโดยความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางศึกษา(สกสค.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และมูลนิธิทวี บุณยเกตุ โดยมี ดร.สุชาติ กลัดสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา พร้อมด้วย ดร.จักพรรดิ วะทา ประธานมูลนิธิทวี บุญยเกตุ คณะกรรมการมูลนิธิทวี บุณยเกตุ ผู้บริหารและพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ทายาทของท่านทวี บุณยเกตุ และแขกผู้มีเกียรติร่วมงาน ณ หอประชุมคุรุสภา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ

ศ.ดร.นฤมล  กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดงานว่า “ท่านทวี บุณยเกตุ เป็นนักการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ และมีวิสัยทัศน์ทางการศึกษาที่กว้างไกล มีรากฐานทางความคิดอันนำไปสู่การยอมรับในที่สุดว่า “วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง” ทัดเทียมกับวิชาชีพชั้นสูงอื่น ๆ รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งคุรุสภา ตามพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้สานต่อปณิธานของท่านทวี บุณยเกตุ เพื่อพัฒนาครูให้มีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพสมกับเป็นวิชาชีพชั้นสูงครูเป็นปัจจัยสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต่อการพัฒนาการศึกษาของชาติ การให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ จะส่งผลถึงการทำหน้าที่จัดการเรียนการสอน หรือการทำงานต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อจะพัฒนา ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความฉลาดรู้ ฉลาดคิดและฉลาดทำ นำมาสู่การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ดร.สุชาติ  กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และมูลนิธิทวี บุณยเกตุ ได้ร่วมกันจัดงานวัน “ทวี บุณยเกตุ” ผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดี และแสดงความกตัญญูกตเวทิตา ในการยกย่องผู้มีคุณูปการต่อประเทศชาติ ให้เป็นตัวอย่างแก่เด็กและเยาวชนรุ่นหลังสืบไป ซึ่งการจัดงานในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและระลึกถึงคุณงามความดี แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่าน ทวี บุณยเกตุ เพื่อสร้างความตระหนักในการส่งเสริมวิชาชีพครู และยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลในวงการศึกษาที่สร้างคุณูปการต่อวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาของชาติ รวมถึงแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อผู้วางรากฐานวิชาชีพครู

สำหรับกิจกรรมในงานวันนี้ มีพิธีสักการะพิธีบวงสรวงสักการะ องค์พระพฤหัสบดี พิธีพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) สักการะรูปปั้นนายทวี บุณยเกตุ และพิธีสงฆ์ การรับมอบเงินสมทบทุนจากผู้มีจิตศรัทธาต่อมูลนิธิฯ และกิจกรรมเสวนาวิชาการเชิงคุณภาพ เรื่อง มอง “ทวี บุณยเกตุ” ในมิติผลงานจากการวิจัย โดย รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ที่ปรึกษามูลนิธิทวี บุณยเกตุ ณ ห้องประชุมศาลาชื่น มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และผ่านช่องทางออนไลน์ รับชมถ่ายทอดสดทาง ผ่าน YouTube Channel สกสค.และคุรุสภา และทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ สกสค.และคุรุสภา ทั้งนี้ ในแต่ละปีมูลนิธิทวี บุณยเกตุ ได้ให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนที่ยากจน เรียนดี และมีความประพฤติดีในระดับมัธยมศึกษาสายสามัญและสายอาชีพ จึงขอเชิญผู้ที่มีความประสงค์ร่วมสมทบทุนมูลนิธิฯ ได้ที่บัญชีออมทรัพย์ชื่อบัญชี มูลนิธิทวี บุณยเกตุ ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 059-020-1506

สพฐ. ลงพื้นที่กระบี่ ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและขับเคลื่อนนโยบายสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ พร้อมย้ำอยากเห็นโรงเรียนแห่งความสุขของครูและนักเรียน

วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พร้อมด้วย นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. และคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ เพื่อตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและติดตามการดำเนินงานด้านการจัดการศึกษาในพื้นที่ รวมทั้งตรวจเยี่ยมการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2568 ณ โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดกระบี่ แห่งที่ 2 และโรงเรียนชุมชนบ้านเขากลม อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ โดย ดร.พิเชฐ กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังการดำเนินงานของสถานศึกษาในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการบริหารจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมคุณภาพผู้เรียน การดูแลสวัสดิการครู ตลอดจนการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของ สพฐ. โดยเฉพาะการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตามแนวทาง “School as Learning Community : SLC” ที่มุ่งเน้นให้โรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกันของครู นักเรียน และชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะตามศักยภาพ

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า การศึกษาคือรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ ซึ่งการลงพื้นที่ของ สพฐ. ในแต่ละครั้ง ไม่เพียงเพื่อเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการรับฟังเสียงจากผู้บริหาร ครู และนักเรียนในพื้นที่จริง เพื่อให้การกำหนดนโยบายและการสนับสนุนจากส่วนกลางสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง เราต้องการเห็นโรงเรียนทุกแห่งเป็นพื้นที่แห่งความสุขของการเรียนรู้ ทั้งสำหรับครูและนักเรียน

ทั้งนี้ เลขาธิการ กพฐ.ได้พบปะพูดคุยกับผู้บริหาร ครู และนักเรียน พร้อมให้กำลังใจในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเน้นย้ำให้สถานศึกษายึดหลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child-Centered) ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียนในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้รับฟังรายงานผลการดำเนินงานด้านการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ และตรวจเยี่ยมบ้านพักครู รวมถึงสวัสดิภาพของครู เพื่อรับทราบสภาพความเป็นอยู่และความต้องการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรทางการศึกษา

สกสค.ยืนยันคัดเลือก ผอ.สกสค.จังหวัดโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เพื่อประโยชน์ของวงการศึกษาไทย

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อสรรหาและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 17 – 29 ตุลาคม 2568 นั้น หลังจากปิดรับสมัคร ปรากฎว่า มีผู้ให้ความสนใจสมัครเข้ารับการสรรหาทั้งสิ้น 381 ราย นับเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของบุคลากรในระบบการศึกษาและผู้มีประสบการณ์ด้านบริหารต่อบทบาทของ สกสค. ในการดูแลคุณภาพชีวิตและสวัสดิการของครู

เลขาธิการ สกสค. กล่าวต่อไปว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ คณะอนุกรรมการบริหารทรัพยากรบุคคล (อกบ.) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานการศึกษาระดับประเทศและผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการบริหารงานบุคคล ได้แก่  เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นายชัยศักดิ์ อ่อนประดิษฐ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานบุคคล และนายวัชรินทร์ จำปี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค. จังหวัดฯ โดยมี ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. เป็นประธาน  จะดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครอย่างละเอียด ก่อนประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาประวัติการทำงาน อายุราชการ ประวัติทางวินัย พฤติกรรมทางจริยธรรม ผลงานที่ผ่านมา รวมถึงแนวคิดและวิสัยทัศน์ในการพัฒนางานและยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงาน สกสค. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร

“ทุกขั้นตอนจะดำเนินการอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้ได้บุคคลที่เหมาะสม มีคุณธรรม ความสามารถ และความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อครูไทย พร้อมระบุว่าการคัดเลือกครั้งนี้ไม่เพียงเป็นกระบวนการสรรหาผู้บริหาร แต่คือการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศว่า สกสค. มุ่งมั่นยกระดับการดูแลสวัสดิการครูในทุกมิติด้วยความรับผิดชอบและมาตรฐานสูงสุด ตามนโยบาย “ลดภาระ ดูแลครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความสุข” ทั้งนี้เมื่อดำเนินการตามกระบวนการครบถ้วนแล้ว จะประกาศวันสัมภาษณ์และผลการสรรหาในลำดับถัดไป เพื่อให้ทุกขั้นตอนสะท้อนความโปร่งใสและความพร้อมก้าวสู่ยุคการบริหารงาน สกสค. ที่ทันสมัย ตอบโจทย์ครู และยืนหยัดเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของวงการศึกษาไทยต่อไป”เลขาธิการ สกสค.กล่าว

ศธ.ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 68 ณ วัดแก้วโกรวาราม พระอารามหลวง จ.กระบี่

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นำไปถวายพระภิกษุสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส (พักอยู่กับที่ในฤดูฝนตลอดเวลาสามเดือน) ณ วัดแก้วโกรวาราม พระอารามหลวง ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ โดย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับมอบหมายจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีฯ ฝ่ายฆราวาส และเจ้าคุณพระวชิระปัญญา เจ้าอาวาสวัดแก้วโกรวาราม พระอารามหลวง รองเจ้าคณะอำเภอเมืองกระบี่ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

โอกาสนี้ ปลัด.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ นายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ นายสุธี พงษ์เพียรชอบ ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ (ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการ รมช.ศึกษาธิการ) ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ดร.วีระ แข็งกสิการ – ดร.สุรศักดิ์ อินศรีไกร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) นางภัทริยาวรรณ พันธ์ุน้อย รองเลขาธิการ กพฐ. นายสุภชัย จันปุ่ม รองเลขาธิการ สกศ. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.) ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงคณะผู้บริหาร ข้าราชการ บุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และปวารณาถวายจตุปัจจัย เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งในพิธีฯ ได้งดการแสดงทุกชนิด เพื่อถวายความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ในการนี้ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และคณะผู้บริหารระดับสูง ได้มอบทุนการศึกษาแก่โรงเรียนในจังหวัดกระบี่ จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดแก้วโกรวาราม พระอารามหลวง โรงเรียนเทศบาล 2 (คลองจิหลาด) โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล และโรงเรียนอิศรานุสรณ์ สถานศึกษาละ 10,000 บาท รวม 40,000 บาท พร้อมกันนี้ ยังมีผู้มีจิตศรัทธาร่วมถวายจตุปัจจัยเพื่อบูรณะและบำรุงพระอาราม รวมยอดเงินทำบุญกฐินพระราชทานประจำปี 2568 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,079,843.29 บาท (สองล้านเจ็ดหมื่นเก้าพันแปดร้อยสี่สิบสามบาทยี่สิบเก้าสตางค์)

 

“เกศทิพย์”ชื่นชม “ห้องสมุดชาวตลาด”ตลาดสดมหาราช เมืองกระบี่ แหล่งเรียนรู้เคลื่อนที่ที่เข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า 

ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครประจำ “ห้องสมุดเคลื่อนที่สำหรับชาวตลาด” ณ ตลาดสดมหาราช ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ว่า ห้องสมุดเคลื่อนที่สำหรับชาวตลาดแห่งนี้ เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2560 ตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างสะดวกในชีวิตประจำวัน โดยความร่วมมือของหลายภาคส่วน โดยมี นายบุญธรรม ศรีเผด็จ สมาชิกสภาเทศบาลเมืองกระบี่ เป็นผู้ประสานงานขอใช้พื้นที่ตลาดสดมหาราชจัดมุมห้องสมุดสำหรับชาวตลาด พร้อมจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง กรมส่งเสริมการเรียนรู้ เทศบาลเมืองกระบี่ และศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองกระบี่ เพื่อร่วมกันดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน การเรียนรู้ และหมุนเวียนหนังสือตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบัน ห้องสมุดเคลื่อนที่สำหรับชาวตลาดแห่งนี้ได้รับความร่วมมือจากเทศบาลเมืองกระบี่ ผู้นำชุมชน และศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับตำบลทั้ง 10 ตำบล ร่วมกันจัดกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการยืม–อ่านหนังสือ การเรียนรู้ทักษะชีวิต และกิจกรรมพัฒนาอาชีพสะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์ของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ที่มุ่ง สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้สำหรับประชาชนทุกช่วงวัย”อธิบดี สกร.กล่าว

ในโอกาสนี้ อธิบดี สกร.ได้ร่วมทำริบบิ้นโบว์ถวายอาลัย พร้อมพูดคุยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งจัดโดยศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองกระบี่ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง บรรยากาศเป็นไปด้วยความสงบและเปี่ยมด้วยความจงรักภักดี ด้วย

 

ก.ค.ศ.ไฟเขียวแก้เกณฑ์ฯประเมินวิทยฐานะ เปิดทางใช้ผลงานนวัตกรรมเชิงประจักษ์แทนงานวิจัย พร้อม เห็นชอบแนวทางพัฒนาระบบย้ายครู TRS เน้นยืดหยุ่นและเพิ่มโอกาส

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 9/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ โดย ศ.ดร.นฤมล เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมฯ ได้อนุมัติให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยกำหนดคำนิยามและลักษณะของการนำเสนอผลงานนวัตกรรมเชิงประจักษ์ให้มีความชัดเจน เพิ่มความหลากหลายให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในการเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อขอมีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งคุณครูสามารถเลือกได้ว่าจะส่งเป็นรายงานการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเชิงประจักษ์ หรือรายงานการวิจัย ซึ่งการทำรายงานในส่วนนี้ก็เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้มีทักษะ การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การสร้างหรือพัฒนานวัตกรรม และวิจัย เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะในวิทยฐานะเชี่ยวชาญหรือเชี่ยวชาญพิเศษ ที่ต้องแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาการด้วย

“เราได้รับฟังเสียงของครูว่า การเสนอผลงานวิจัยเป็นภาระหนัก ในขณะที่ครูมีผลงานดี ๆ จากการปฏิบัติหน้าที่จริงมากมาย หลักเกณฑ์ฯ ที่แก้ไขนี้ จะช่วยให้ครูสามารถนำผลงานเชิงประจักษ์มาเสนอได้ ซึ่งจะสะท้อนความเป็นจริงของการทำงาน และที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. พิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของการนำผลงานเชิงประจักษ์ในรูปแบบรางวัลมาเสนอ ก.ค.ศ. พิจารณาอีกครั้งด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายและครอบคลุมที่สุด” ศ.ดร.นฤมล กล่าว และว่า นอกจากนี้ การประเมินผลงานทางวิชาการ สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญและวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ผ่านระบบ DPA ยังกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการประเมินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้คณะกรรมการได้มีการแลกเปลี่ยนดุลยพินิจในการพิจารณาผลการประเมินและข้อสังเกตของผลงานทางวิชาการร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีความเหมาะสมและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่เปิดเผยชื่อและตัวตนของคณะกรรมการประเมินและให้การดำเนินการประชุมอยู่ในชั้นความลับทุกขั้นตอน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการพัฒนาระบบย้ายครู TRS ระยะที่ 3 ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครู โดยเน้นความ “ยืดหยุ่น” ในการดำเนินการให้มากขึ้น อย่างเช่น ขยายพื้นที่ในการเลือกยื่นคำร้องให้ครูสามารถเลือกสถานศึกษาใดก็ได้ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอื่นในจังหวัดเดียวกัน ส่วนตำแหน่งว่างที่ใช้รับย้าย เดิมกำหนดให้ระบุได้เพียง 1 วิชาเอก ต่อ 1 อัตราว่าง ก็ปรับเป็น สามารถระบุกลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก ได้สูงสุด 3 วิชาเอก ต่อ 1 อัตราว่าง เพื่อความยืดหยุ่นในการพิจารณาย้าย เป็นต้น ทั้งนี้ การใช้ระบบดิจิทัลจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดทำเอกสารคำร้องของครู จากเดิมครั้งละ 200 – 300 บาท เมื่อมีคำร้องขอย้ายเฉลี่ยปีละประมาณ 70,000 คำร้อง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 14 – 21 ล้านบาทต่อปี สอดคล้องกับนโยบายลดภาระงานและไม่ให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ใด ๆ จากครู ทั้งนี้ การดำเนินการยังคงยึดหลักธรรมาภิบาล หลักคุณธรรม จริยธรรม ความเสมอภาค และประโยชน์ของทางราชการ

ศ.ดร.นฤมล กล่าวอีกว่า ส่วนการเพิ่มสัดส่วนกรรมการประเมินวิทยฐานะที่เป็นข้าราชการครู ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการประเมินตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา (ว12/2564) รวม 486 คน โดยเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรืออดีตผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการที่มีประสบการณ์ตรงทั้งนี้ เพื่อให้การประเมินวิทยฐานะมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับบริบทการจัดการศึกษาและการบริหารการศึกษาของแต่ละส่วนราชการ  สำหรับการประเมินผ่านระบบดิจิทัล (DPA) ส่วนราชการต่าง ๆ ได้เสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิรวม 6,251 คน ขณะนี้มีผู้กรอกข้อมูลและมีคุณสมบัติครบถ้วนแล้ว 1,180 คน แบ่งเป็น สพป. 587 คน สพม. 484 คน สอศ. 79 คน สกร. 17 คน และ สป.ศธ. 13 คน ซึ่ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวิทยฐานะฯ ได้เห็นชอบบัญชีรายชื่อดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม มติของ ก.ค.ศ. ในครั้งนี้ได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกระทรวงศึกษาธิการในการดูแลข้าราชการครูอย่างเป็นรูปธรรม เน้นการลดภาระงานที่ไม่จำเป็น เพิ่มโอกาสในการเติบโตทางวิชาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตของครู เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศต่อไป

 

สพฐ.-กคช.สำรวจพื้นที่โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏฯ ประเดิมปรับปรุง-เปลี่ยนโฉมอาคารเรียนเก่าเป็นที่พักสวัสดิการครู

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พร้อมด้วย นายมงคล จันทษี รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และคณะ ลงพื้นที่สำรวจอาคารเรียนโรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมปรับปรุงพื้นที่ให้กลายเป็นบ้านพักครู โดยมี ผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้บริหาร คณะครู และบุคลากรทางการศึกษาให้การต้อนรับ นายพิเชฐ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการภายใต้การกำกับดูแลของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ครูและอาจารย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนอย่างเต็มศักยภาพ จึงได้ริเริ่มโครงการจัดสวัสดิการที่พักสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)และการเคหะแห่งชาติ (กคช.)ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญ คือ ให้ กคช. ดำเนินการปรับปรุงอาคารเรียนเก่าที่ไม่ได้ใช้งานให้เป็นที่พักอาศัยที่เหมาะสม สวยงาม และปลอดภัย ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมถึงการดูแล ซ่อมแซม และปรับปรุงบ้านพักครูที่มีอยู่เดิมให้มีสภาพดียิ่งขึ้น

“สำหรับการลงพื้นที่ในวันนี้ โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริยารามมีอาคารเรียนที่ไม่ได้ใช้งาน เนื่องจากจำนวนนักเรียนลดลง รวมทั้งหมด 32 ห้องเรียน ซึ่งได้หารือกับท่านรองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เห็นว่าสามารถปรับห้องเรียนหนึ่งห้องให้เป็นสองห้องพัก พร้อมห้องน้ำในตัว เพื่อรองรับครูและบุคลากรของโรงเรียน รวมถึงครูในสังกัด สพฐ. ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างเพียงพอ” เลขาธิการ กพฐ. กล่าวและว่า นอกจากนี้ สพฐ. จะเร่งดำเนินการปรับปรุง ซ่อมแซม และพัฒนาพื้นที่โรงเรียนที่มีการรวม หรือเลิกสถานศึกษาที่มีความพร้อมสูงและมีความจำเป็นเร่งด่วน นำร่อง จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนหนองหล่มวิทยาคาร จังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนบ้านเมืองพรึก จังหวัดอุดรธานี โรงเรียนวัดท่าวังหิน จังหวัดอุบลราชธานี โรงเรียนบ้านคลองห้วยทราย จังหวัดกำแพงเพชร โรงเรียนบ้านตางาม จังหวัดตราด โรงเรียนบ้านแจงงาม จังหวัดกาญจนบุรี อาคารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และคลังดอนเมือง สพฐ. จังหวัดปทุมธานี ให้เป็นไปตามกรอบความร่วมมือใน MOU ต่อไป