มทร.กรุงเทพ ดึง ”อภิสิทธิ์“ โชว์ภาวะผู้นำ “Power of leadership” สร้างบุคลากรเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)กรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจ คณาจารย์และนักศึกษาระดับปริญญาตรี ของมทร.กรุงเทพได้ร่วมกันจัดโครงการ “Power of Leadership ผู้นำเข้มแข็ง สร้างคน สร้างองค์กร สร้างประเทศ” ซึ่งในงานได้เชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 มาบรรยายในหัวข้อ “Power of leadership” ผู้นำเข้มแข็ง สร้างคน สร้างองค์กร สร้างประเทศ” พร้อมฝึกปฏิบัติในหัวข้อ“ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์: การคิดเชิงออกแบบ(Design Thinking for Leadership)” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดี มทร.กรุงเทพ รศ.ดร.สายชล ชุดเจือจีน ผศ.ชัยศักดิ์ คล้ายแดง รองอธิการบดี มทร.กรุงเทพและผศ.ดร.กิตติพงษ์ โสภณธรรมภาณ คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มทร.กรุงเทพ นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ในด้านการเป็นผู้นำองค์กรและพัฒนาศักยภาพของบุคคล ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

รศ.ดร.พิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำในยุคปัจจุบัน และพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำให้แก่อาจารย์และนักศึกษา โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง การแลกเปลี่ยนมุมมอง และกิจกรรมเชิงปฏิบัติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตการเรียน การสอน และการทำงานในอนาคต ที่สำคัญโครงการนี้มุ่งหวังให้อาจารย์เป็นผู้นำทางวิชาการและจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้ ส่วนตัวนักศึกษาเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สามารถขับเคลื่อนชุมชน องค์กร และประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างมีคุณธรรม มีจริยธรรม และมีจิตสาธารณะ เป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมที่ดีอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างผู้นำที่มีคุณภาพ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรและประเทศชาติไปสู่ความยั่งยืนต่อไป

สส.พรรคประชาชนอภิปรายเดือดแฉองค์การค้าสกสค.เป็นนายหน้าค้ากำไรทำให้รัฐสูญเสียงบฯกว่าพันล้านบาท-กีดกันคู่แข่งรายใหม่ จี้ “เพิ่มพูน”ฟัน

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. เวลา 11.10 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ ซึ่งมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วันที่ 3 โดย นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายประเด็นงบประมาณจัดซื้อหนังสือเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)กระทรวงศึกษาธิการ โดยตั้งหัวข้อว่า “งบปลวก กินหนังสือ” ทั้งนี้ นายธีรัจชัย กล่าวว่า การศึกษาถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงให้ความสำคัญอุดหนุนงบประมาณอย่างมากเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษา และอีกด้านหนึ่งที่รัฐให้ความสำคัญมากก็คือหนังสือเรียน ซึ่งแต่ละปีมีการตั้งงบประมาณซื้อหนังสือให้โรงเรียนในสังกัดปีละ 9,000 ล้านบาท หากนับเฉพาะโรงเรียนในสังกัด สพฐ.พบว่างบประมาณสำหรับการซื้อหนังสือมีจำนวนปีละกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2569 ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 5,057 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหนังสือเรียนจากสำนักพิมพ์เอกชน 3,000 ล้านบาท และหนังสือเรียนฉบับกระทรวงศึกษาธิการ 2,000 ล้านบาท โดยการพิมพ์หนังสือสังกัดสพฐ. มีส่วนต่างค่าจ้างพิมพ์กับหนังสือที่ขาย โดยองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(องค์การของสกสค.)จะมีส่วนต่างจากการพิมพ์ 1,000 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งเงินในจำนวนนี้คุ้มหรือไม่ ซึ่งก็หมายความว่าองค์การค้าฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท จากส่วนเกินในการขายหนังสือ แต่ถ้ามองในแง่งบประมาณของรัฐ คือรัฐจะต้องจ่ายเงินค่าหนังสือเรียนจากภาษีของประชาชนแพงขึ้น 1,000 ล้านบาท แล้วท่านประธานมีข้อสงสัยหรือไม่ว่าหนังสือแพง มันแพงได้อย่างไร ส่วนเกินจากการขายหนังสือ 1,000 ล้านบาท มีปัญหาอะไรบ้าง และเป็นงบประมาณปลวกกินหนังสือได้อย่างไร

นายธีรัจชัย กล่าวต่อไปว่า ที่จริงแล้วต้นทุนที่ให้องค์การค้าฯ เป็นตัวกลางการบริหารจัดการจัดทำหนังสือ ที่มีส่วนเกินปีละ 1,000 ล้านบาท มาจากการขายหนังสือราคาปก แต่รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย เหลือ 247 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่าองค์การค้าฯ เป็นนายหน้าค้ากำไร ไม่ได้ขายหรือส่งหนังสือเอง เพราะให้ตัวแทนจำหน่าย 12 ราย ขายหนังสือแทน และยังทำส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายสูงถึง 18-30 เปอร์เซ็นต์ของราคาปก หรือราคายอดขายอยู่ที่ปีละ 360-600 ล้านบาท  ตนจึงขอถามเหตุผลความจำเป็นที่ต้องตั้งส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายสูงขนาดนี้ องค์การค้าของสกสค.ทำเพื่ออะไร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นประธานบอร์ดสกสค.ปล่อยให้ทำไปเพื่ออะไร ถ้าเปลี่ยนให้สพฐ.หรือสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จ้างพิมพ์เองแล้วให้ตัวแทนจำหน่ายขายแทนก็ได้ ไม่ต้องเสียค่าบริหารแบบที่องค์การค้าฯทำอยู่ ไม่ดีกว่าหรือ

นอกจากนี้ นายธีรัจชัย ยังกล่าวอีกว่า อยากถามว่าการประกวดราคาจัดพิมพ์หนังสือเรียนมีปลวกกินได้อย่างไร องค์การค้าฯ มีการกำหนดทีโออาร์ กีดกันไม่ให้คู่แข่งรายใหม่เข้าแข่งขันกับเจ้าประจำ ที่ได้งานมานานหลาย 10 ปี ผ่านการฮั้วราคาล็อกสเปค ให้เจ้าเดิมเป็นเสือนอนกินมาตลอด คนที่ต้องแบกรับคือรัฐบาล ซึ่งเป็นงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ซื้อหนังสือเรียนแพงกว่าที่ควรจะเป็น และไม่มีคุณภาพ ซึ่งท่านรัฐมนตรีก็รู้ดี และเรื่องการควบคุมคุณภาพปกหนังสือ ซึ่งองค์การค้าฯ แยกพิมพ์ระหว่างตัวหนังสือกับปกหนังสือ ซึ่งทำให้เกิดปัญหากับโรงพิมพ์ กรณีหากส่งไม่ครบ จะถูกนำไปอ้างเรื่องส่งหนังสือทัน ไม่ครบตามสัญญา เรื่องนี้โรงพิมพ์คู่พิพาทก็เคยส่งจดหมายร้องเรียนไปยัง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่จนถึงวันนี้ ก็ไม่มีการจัดการใดๆ โรงพิมพ์เหล่านี้ที่ยังคงรับงานเหมือนเดิม จึงขอถามว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอยู่เฉยได้อย่างไร ถ้าท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองและจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

”รัฐอาจประหยัดงบประมาณได้ 1,000 ล้านบาท ถ้ารัฐจ้างพิมพ์และส่งเอง ไม่ผ่านตัวกลาง ประกวดราคาจริงไม่ล็อกทีโออาร์ ผู้ชนะได้เสนอราคาสูงสุดและราคาถูกลง 15 เปอร์เซ็นต์ จากราคากลาง ประหยัดได้ 150 ล้านบาท กำหนดราคากลางลดลงตามราคากระดาษที่ลดลง ประหยัดได้ 150 ล้านบาท ไม่เสียค่าโง่ปก ปีละ 40 ล้านบาท เปลี่ยนจากตัวแทนจำหน่าย เป็นจ้างพิมพ์หนังสือให้โรงเรียนเอง ประหยัดได้ 360-600 ล้านบาท ถ้าทำอย่างนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้องค์การค้าของสกสค.จัดการจ้างพิมพ์หนังสือ รัฐประหยัดเงินได้ 1,000 ล้านบาท ผมขอให้กรรมาธิการวิสามัญเสนอตัดงบตรงนี้ และขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปจัดการทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส อย่าให้ต้องอภิปรายอีกในสภาแห่งนี้”นายธีรัจชัย กล่าวทิ้งท้าย

สกร. จับมือ กรมราชทัณฑ์ เปิดโอกาสผู้ต้องขังนำผลลัพธ์การเรียนรู้มาสะสมใน Credit Bank  

นายธนากร  ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้  กล่าวว่า การส่งเสริมการเรียนรู้ ในมิติใหม่ต้องเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา อยู่ที่ไหนก็เรียนได้  Anywhere Anytime  ตามนโยบาย ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ได้พัฒนาแนวทางและวิธีการจัดการเรียนรู้ ให้มีความยืดหยุ่น ใช้เวลาเรียนลดลง สอดคล้องกับบริบทการจัดการศึกษาในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงผู้ต้องขังในเรือนจำ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายผู้ต้องขังในเรือนจำได้รับวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้น โดยเมื่อเร็วๆนี้ สกร.ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำและพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือก เพื่อการเทียบโอนเข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 พร้อมทั้งได้กำหนดแนวทางการเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาต่อเนื่องหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้ต้องขังในเรือนจำ และ ประชุมชี้แจงแนวทางการเทียบโอนหลักสูตรการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังกับรายวิชาของกรมส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาของเรือนจำ/ทัณฑสถาน และสถานศึกษาในสังกัด สกร.ได้มีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการเทียบโอนหลักสูตรและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนกลุ่มเป้าหมาย

“ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ กับ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ได้มีบันทึกความร่วมมือในการจัดการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ที่อยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ตามคำสั่งศาล ที่ด้อยหรือพลาดโอกาสการศึกษา เพื่อให้สามารถกลับตนเป็นพลเมืองที่ดีไปใช้ชีวิตอย่างสุจริตชนในสังคมหลังจากพ้นโทษและไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำอีก โดยจัดให้มีการเทียบโอนทักษะชีวิต ประสบการณ์ หรือ สิ่งที่ผู้ต้องขังได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการพฤตินิสัยในด้านต่างๆ เป็นรายวิชาตามหลักสูตรของ สกร. รวมทั้งกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว สามารถนำผลการเรียน หรือ ผลลัพธ์การเรียนรู้ มาสะสมในธนาคารหน่วยกิต หรือ Credit Bank เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และการประกอบอาชีพในอนาคตต่อไปได้ ” อธิบดี สกร.กล่าว

นายธนากร กล่าวด้วยว่า ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ที่ผ่านมา มีกลุ่มเป้าหมายผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศให้ความสนใจเรียนรู้ผ่านกระบวนการพฤตินิสัยในด้านต่างๆ เป็นรายวิชาตามหลักสูตรของ สกร. จำนวนทั้งสิ้น 27,027 คน จำแนกเป็นระดับประถมศึกษา 9,895 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 9,520 คน และ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 7,612 คน และเมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่า มีผู้ต้องขังภาคเหนือ ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 2,050 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1,679 คน และ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1,276 คน ผู้ต้องขังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 1,996 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2,600 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1,761 คน ผู้ต้องขังภาคกลาง ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 1,822 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2,111 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 21,85 คน ผู้ต้องขังภาคใต้ ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 2,612 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1,969 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1,378 คน ผู้ต้องขังภาคตะวันออก ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 1,415 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1,161 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1,012 คน.

 

 

 

 

 

สพฐ.ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เด็กพิเศษต้องได้รับการดูแล ต้องได้รับสิทธิ สวัสดิการ เข้าถึงการศึกษาทุกคน

วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏบนสื่อออนไลน์ กรณีคุณตาพาหลานที่เป็นเด็กพิเศษไปซื้อชุดนักเรียน และได้รับความช่วยเหลือจากทางร้านให้การสนับสนุนชุดนักเรียน นั้น ตามเจตนารมณ์ของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยและเน้นย้ำให้เด็กทุกคนเข้าถึงสวัสดิการด้านการศึกษา โดยเฉพาะเด็กพิการหรือมีภาวะบกพร่อง ต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือเป็นพิเศษตามสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง

สำหรับกรณีดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบหมายสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) ซึ่งกำกับดูแลศูนย์การศึกษาพิเศษทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เด็กนักเรียนรายดังกล่าว เป็นเด็ก LD (บกพร่องทางการเรียนรู้) และเป็นนักเรียนในโครงการการศึกษาพิเศษเรียนรวม ประเภท ความพิการทางสติปัญญา ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) แห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งได้มีการประสานการทำงานร่วมกับศูนย์การศึกษาพิเศษนครสวรรค์ ในเรื่องแผน IEP เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณเป็นประจำทุกปี รวมถึงศูนย์การศึกษาพิเศษนครสวรรค์ยังได้สนับสนุนสื่อ สิ่งอำนวยความสะดวก และการคัดกรองร่วมกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ เมื่อสอบถามกับทางผู้ปกครองซึ่งเป็นคุณตาของเด็ก พบว่ายังไม่ได้ลงทะเบียนขอรับบัตรประจำตัวคนพิการให้กับเด็ก จึงได้แนะนำและประสานกับทางศูนย์บริการคนพิการจังหวัด และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ในการพาเด็กไปขอออกบัตรประจำตัวคนพิการ เพื่อให้เด็กได้รับสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการเข้าถึงบริการด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล ด้านอาชีพ เบี้ยคนพิการ และอุปกรณ์จำเป็นสำหรับคนพิการต่างๆ เป็นต้น

“การดูแลช่วยเหลือเด็กทุกคนให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา เป็นสิ่งที่ รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด พร้อมทั้งกำชับเน้นย้ำการกำกับ ติดตาม หน่วยงานในสังกัดทุกหน่วยให้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนการศึกษาให้ครบถ้วน ถูกต้อง รวดเร็ว รวมถึงการผ่อนปรนเรื่องเครื่องแต่งกายนักเรียนตามความเหมาะสมเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ หากพบเด็กและเยาวชนที่ประสบความเดือดร้อน ต้องประสานให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว เพื่อบรรเทาทุกข์ให้กับเด็กและผู้ปกครอง อย่างเช่นกรณีดังกล่าว ถึงแม้เด็กไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. แต่ด้วยสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีพันธกิจในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนพิการหรือบกพร่องทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนสังกัดใดก็ตาม จึงได้เร่งดำเนินการประสานในส่วนที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อให้เด็กได้รับสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือจากรัฐ ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 หรือตามที่กฎหมายอื่นกำหนด เพื่อช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ ให้พวกเขามีขีดความสามารถที่พร้อมปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ตามแนวทาง ‘จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน’ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้นักเรียนทุกคน ‘เรียนดี มีความสุข’ ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการต่อไป” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

เก็บข่าวมาเล่า”วังจันทร์เกษม”ฟีเวอร์

หยอก หยอก วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 *** อุปสรรคขวากหนามในชีวิตจริงย่อมมีหนทางเอาชนะ มีเพียงสิ่งที่อยู่ในจินตนาการเท่านั้นที่ไม่อาจเอาชนะได้ *** หยอก หยอก วันนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่อง “หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ที่คนเขียนมีหลักการ เข้าใจการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือเปล่า ? ไม่รู้ …หยอก ก็ไม่ใช่นักวิชาการ แต่อยู่ในแวดวงการศึกษา สัมผัสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเกิน 20 คน … ตอนนี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการว่า ใครมาก็จ้องแต่จะมาปรับหลักสูตร … ปรับจนเนื้อหาสาระสำคัญ ของการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เป็นแก่นแท้ของคนไทย หายไป … ก็ไม่รู้ว่า มีอะไรในก่อไผ่ .. ล่าสุด คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือที่เรียกกันว่า “บอร์ด กพฐ.” ได้ประกาศทดลองหลักสูตรการศึกษาใหม่ ให้ใช้นำร่องในระดับปฐมวัย – ประถมศึกษาตอนต้น ในปีการศึกษา 2568 แล้วจะขยายครอบคลุมมัธยมศึกษาตอนต้น ปีการศึกษา 2569 … โดยหลักสูตรใหม่นี้ จะดึง “AI – ดิจิทัล” มาเสริมทัพ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้เด็กและเยาวชนมีสมรรถนะทัดเทียมนานาชาติ เป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งบอร์ด กพฐ.มีข้อสรุปร่วมกันว่า ให้มีการพัฒนาหลักสูตรใหม่ ใช้ชื่อว่า “หลักสูตรพัฒนาสมรรถนะตามช่วงวัย” เป็นการพัฒนาต่อยอดจาก (ร่าง) กรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเดิม ซึ่งเป็นกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่ได้ยกร่างไว้ แต่ถูกสังคมโต้แย้ง เลยระงับประกาศใช้ไปก่อน แต่ครั้งนี้ กพฐ.ได้มอบหมายคณะทำงาน สพฐ. ให้นำร่างกรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเดิมดังกล่าวมาพัฒนาต่อยอดและให้นำสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI )มาใช้ในการพัฒนาเครื่องมือ เพื่อช่วยให้ครูสามารถจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ได้..ว่างั้น *** มีคำถามกันมาเยอะมากว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) บรรลุตัวชี้วัดและบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้หรือยัง ซึ่งก็ควรต้องตอบคำถามตรงนี้ให้ได้ก่อน นะจ๊ะ… อย่างไรก็ตาม หยอก หยอก ยังแว่วมาว่า มีคนไปร้องหลายศาลแล้ว .. ทั้ง ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุด สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน รวมถึง ป.ป.ช.ได้รับเรื่องไว้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว… เอ้า…ก็รอหนังสือส่งมาให้ไปชี้แจงเลยจร้า…ว่าแต่ใครหนอ ?….เป็นคนเขียนหลักสูตร … อย่าบอกนะว่า 1 ในนั้น คือ กรรมการ กพฐ.ที่ของบฯ สพฐ.โฆษณาเพจตัวเอง..อุ๊บ ! *** ปรับโหมดอารมณ์มาที่เรื่องของความก้าวหน้าชีวิตราชการ ซึ่งเป็นธรรมดาของข้าราชการที่ต้องแสวงหาความก้าวหน้าของตัวเอง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร … นับเวลาอีกเพียง 4 เดือนนิด ๆ ผู้บริหารระดับสูงก็จะเกษียณอายุราชการ ปีนี้มีหลายคนซะด้วย และตำแหน่งสำคัญที่ต้องจับตามีอยู่ 5 ตำแหน่ง โดยเฉพาะ สพฐ. ที่เรียกว่าเกษียณเกือบยกทีม ตั้งแต่ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. นายพัฒนะ พัฒนะทวีดล และ นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. ส่วนอีก 2 ตำแหน่ง คือ นายปรีดี ภูสีน้ำ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  และนายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ซึ่งทั้ง 5 ตำแหน่งนี้ โดยเฉพาะตำแหน่งซี 11 ที่จะมานั่งเก้าอี้ เลขาธิการ กพฐ.แทนที่ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา นั้น ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองซะก่อน  หยอก หยอก วิเคราะห์เล่น ๆ ว่า จะมีแข่งกันแบบสูสี 2 คน ระหว่าง  ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กับ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา *** ถ้าการเมืองเคาะให้ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ มานั่ง เลขาธิการ กพฐ.แรงกระเพื่อมกับตำแหน่งอื่นก็จะไม่เยอะ จะมีม้ามืดระดับ 10 จากอาชีวะไปนั่งเป็นเลขาสภาการศึกษาแทน ส่วน รองเลขาธิการ กพฐ.ที่จะมานั่งแทน  พัฒนะ พัฒนะทวีดล และ ธีร์ ภวังคนันท์ กพฐ. ถ้าว่ากันตามระบบก็ต้องเป็น ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ซึ่งเป็นลูกหม้อ และ เต็ง 1 ลูกรักตอนนี้ ก็น่าจะเป็น เสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. ที่ครั้งที่แล้วถูกกันไม่ให้สมัครเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ส่วนตำแหน่งอธิบดี สกร. ที่จะมาแทน  ธนากร ดอนเหนือ ตัวเต็งออร่ามาแรง  มี 2 คน คนหนึ่ง คือ  ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ที่ครั้งหนึ่งเคยนั่งเป็นเลขาธิการ กศน.  และอีกคน คือ  เอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดี สกร. ที่กำลังทำแต้มมาแรงเช่นกัน ทั้ง 2 คนนี้ต่างก็เป็นลูกหม้อ สกร. สำหรับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะมาแทน ปรีดี ภูสีน้ำ ก็มีเยอะทั้งมาจากศึกษาธิการภาคและผู้ตรวจราชการฯหรืออาจจะข้ามห้วยมาก็ได้ … รอบนี้น่าจะกระเพื่อมเยอะแน่นอน … รอลุ้น ๆ อย่าเพิ่งเชื่อ หยอก เด้อ เพราะคนตัดสินใจแต่งตั้งชื่อ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ 5555 ***

ศธ.ยืนยันครู-นักเรียนได้ใช้แท็บเล็ต-โน๊ตบุ๊กปีนี้แน่นอน

เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568 พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยว่า ในการจัดทำคำของบประมาณประจำปี 2568  ซึ่ง ศธ.มีเป้าหมายเพื่อปฏิวัติการศึกษา เพื่อให้การศึกษาไทยปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการบริหารการศึกษามากขึ้น  ซึ่งทั้งหมดนี้ตอบโจทย์นโบาย เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime โดยเฉพาะเรื่องหลักสูตร ที่จะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ในเรื่องการจัดทำแพลตฟอร์ม เนื้อหาวิชาต่างๆ รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ให้กับนักเรียนด้วย โดย ศธ.ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ทุกที่ทุกเวลา จำนวน 7,000 กว่าล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรเพียง 3,000 กว่าล้านบาท ถูกตัดงบออกไปกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่ง ศธ.จะต้องทำคำขอแปรญัตติเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนต่อไป

ด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ยอมรับว่าตอนนี้มีการเบิกจ่ายล่าช้าสำหรับงบประมาณปี 2568  จึงถูกตัดงบฯไปได้มาเพียงครึ่งปี อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต้องให้ทันปีนี้แน่นอน เพราะได้ขึ้นประชาวิจารณ์ 3 รอบแล้ว และก็ไม่ได้มีเนื้อหาสาระสำคัญอะไรที่จะต้องปรับแก้ ซึ่งคาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้จะมีการประกาศเชิญชวนบริษัทฯเข้ามาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง

“ผมเข้าใจว่าหลายฝ่ายมีความห่วงใยเรื่องความโปร่งใส ในการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งในส่วนของศธ. เองพยายามดำเนินการให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้มากที่สุด ซึ่งโครงการ anywhere anytime จะเป็นการเช่าซื้ออุปกรณ์ให้กับนักเรียนและครูกว่า 600,000 เครื่อง ซึ่งเรามีงบฯเช่าอุปกรณ์ตอนนี้กว่า 1,000 ล้านบาท เป็นการเช่าซื้อครึ่งปี โรงเรียนที่มีสิทธิ์รับอุปกรณ์ในรอบแรก จะเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในโรงเรียนคุณภาพและโรงเรียนขยายโอกาส โดยขณะนี้ผมได้ให้ทำใบสอบถามไปที่โรงเรียนว่าโรงเรียนไหนมีความพร้อมที่สามารถบริหารจัดการได้  และโรงเรียนที่อาจจะยังไม่มีความพร้อมเรื่องการบริหารจัดการ ซึ่งโรงเรียนคุณภาพ มีทั้งโรงเรียนที่มีความพร้อม และโรงเรียนที่ยังไม่มีความพร้อม ที่กระจายอยู่ทุกอำเภอทั่วประเทศ ถ้าโรงเรียนไหนเขามีอุปกรณ์พร้อมหมดแล้วก็ไม่ต้องรับ จะได้ให้โรงเรียนที่ไม่มีความพร้อม โดยการเช่าอุปกรณ์ครั้งนี้ผู้ปกครองไม่ต้องรับภาระเมื่อเครื่องเกิดความเสียหาย เพราะในเงื่อนไขคู่สัญญาก็จะมีบริการหลังการขาย ”นายสิริพงศ์ กล่าวและว่า สำหรับอุปกรณ์จะมีทั้งแท็บเล็ตและโน๊ตบุ๊ก แล้วแต่ว่าผู้เข้ายื่นประกวดราคาจะยื่นเสนอ ทั้งนี้ก็ต้องดูคุณสมบัติ ใครยื่นข้อเสนอได้ดีกว่า สเปคจะต้องคุณภาพสูงไม่ใช่ใช้ได้ 4-5 ปีแล้วเจ๊ง

“เสมา1”มีข้อสั่งการให้ทุกโรงเรียนจัดทำแผน/มาตรการป้องกัน วาตภัย อุทกภัย รวมถึงปัญหายาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา พร้อมสั่งติดตามเด็กหลุดนอกระบบการศึกษาเข้ามาแล้วอย่าให้หลุดออกไปอีก

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 17/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ ผ่านระบบ Zoom meeting ว่า ในการประชุมวันนี้ ตนได้ฝากให้ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานร่วมกัน กำกับดูแล และช่วยเหลือ เยียวยากรณีนักเรียนทำร้ายกันจนเสียชีวิตอย่างใกล้ชิด รวมถึงปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.)ดำเนินการจัดทำข้อมูลงบประมาณ อาหารเสริมนมโรงเรียน อาหารกลางวัน รวมทั้งรวบรวมปัญหา อุปสรรค และสาเหตุความล่าช้า เพื่อเป็นข้อมูลนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณา

 รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำนักงานสภาการศึกษา(สกศ.)ได้รายงานเกี่ยวกับ Education Benchmarking การเปรียบเทียบการศึกษาไทยในระดับสากลที่เน้นเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึงมากกว่าการจัดอันดับ (Ranking) เน้นการพัฒนาในเชิงคุณภาพ ปริมาณ และเน้นการวิเคราะห์จุดอ่อน และจุดแข็งมากกว่าการพัฒนาอันดับ  โดยได้มีการเปรียบเทียบ 5 มิติ ดังนี้  1 คุณภาพผู้เรียน (Quality)    ใช้ผลการทดสอบ PISA วิชาคณิตศาสตร์เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: OECD)  2 การเข้าถึงระบบการศึกษา (Access)    ใช้อัตราการเข้าเรียนสุทธิระดับมัธยมศึกษาเป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD) 3 ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity)    ใช้ปีการศึกษาที่คาดหวังเป็นตัวชี้วัด  4 ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา (Efficiency)    ใช้ตัวชี้วัด สัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา  (%GDP) ต่อคะแนนเฉลี่ยการทดสอบ PISA เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD และ OECD คำนวณโดย สกศ.) และ 5 การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง (Relevancy)    ใช้สัดส่วนของประชากร อายุ 25 -34 ปีที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD) โดยเปรียบเทียบภาพรวมของการศึกษาไทยในระดับโลก ระดับเอเชีย (ไทยใกล้เคียงกับสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และระดับอาเซียน (ไทย ใกล้เคียงกับ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สำหรับลำดับรองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่า การศึกษาไทยมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะเทียบเคียงกับระดับนานาชาติได้ ดังนั้นจึงขอให้พวกเราช่วยระดมสมอง เพื่อบริหารจัดการและพัฒนาในแต่ละด้าน ให้เท่าเทียมกับนานาประเทศ รวมถึงมอบหมาย สกศ. เปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ย้อนหลัง 5 – 10 ปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา เพื่อวัดระดับที่ไทยสามารถพัฒนาขึ้นมาได้

 “ผมขอให้แต่ละหน่วย โดยเฉพาะสถานศึกษา ดำเนินการจัดทำแผน/มาตรการป้องกันภัยธรรมชาติ อาทิ วาตภัย อุทกภัย เนื่องจากอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเสียหายจากฝนตกหนัก และพายุฤดูร้อนเพิ่มขึ้น รวมทั้งจัดทำมาตรการป้องกันปัญหายาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งไม่สามารถดำเนินการคนเดียวได้ จึงควรมีเครือข่าย การทำงาน เช่น ฝ่ายปกครอง และ เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่  และ นโยบายของนายกรัฐมนตรี เรื่อง Thailand Zero Dropout ซึ่งนอกจากติดตามเด็กที่หลุดจากการศึกษาแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยในส่วนของ ศธ. ได้เน้นย้ำมิติของการ ป้องกัน แก้ไข ส่งต่อ ติดตามดูแล ซึ่งเมื่อกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ต้องทำให้มั่นใจว่าเด็กจะไม่หลุดจากระบบการศึกษาอีก”พลตำรวจเอกเพิ่มพูนกล่าว

บุรีรัมย์นำร่อง”กระโดดเชือกเพื่อสุขภาพ” เสริมสร้างสุขภาวะเยาวชน


เมื่อวันนี้ 24 พฤษภาคม 2568 ณ หอประชุมพุทธรักษา โรงเรียนนองกี่พิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ร่วมกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม “กระโดดเชือกเพื่อสุขภาพ” ครั้งแรกในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางกายและจิตใจแก่เยาวชน โดยมี ดร.ธัญนันท์ แก้วเกิด รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สพฐ. เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้มีคุณครูและนักเรียนกว่า 200 คน จาก 30 โรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนคุณภาพ ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเข้าร่วม โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

คุณภาวินี ไชยสิทธิ์ ผู้แทนจากไทยเบฟฯ กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่ไทยเบฟดำเนินการใน 6 มิติ ได้แก่ สาธารณสุข การศึกษา กีฬา ศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชน และความยั่งยืน โดยหวังว่าจะสามารถขยายผลกิจกรรมไปยังโรงเรียนในภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งไทยเบฟดูแลอยู่กว่า 300 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งการกระโดดเชือกนอกจากจะเป็นกีฬาที่สนุกสนานและเข้าถึงง่ายแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้เด็ก ๆ ใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ ฝึกฝนวินัย พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม และหากมีศักยภาพโดดเด่นสามารถพัฒนาไปสู่การแข่งขันในระดับประเทศและนานาชาติได้อีกด้วย

ด้าน ดร.ธัญนันท์  กล่าวว่า นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการมุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียน เพราะร่างกายที่แข็งแรงคือพื้นฐานของการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมเชิญชวนให้นำความรู้และประสบการณ์ในวันนี้ไปเผยแพร่ต่อในโรงเรียน เพื่อจุดประกายให้เพื่อน ๆ และน้อง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น โดยกิจกรรม “กระโดดเชือกเพื่อสุขภาพ” ณ โรงเรียนนองกี่พิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ ถือเป็นการริเริ่มที่สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพเด็กและเยาวชนผ่านกีฬา โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และตั้งเป้าขยายผลสู่โรงเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศในอนาคต เพื่อสร้างเยาวชนไทยให้แข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

“ธนุ”กำชับทุกพื้นที่ป้องกัน-พร้อมรับมือโควิดระบาดในโรงเรียน

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) มีความห่วงใยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ที่อาจจะเข้ามาแพร่ระบาดในสถานศึกษาในช่วงนี้ได้ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและเฝ้าระวังความปลอดภัยของนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาอย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงปัจจุบัน พบมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สะสมรวม 341,221 คน เสียชีวิตรวม 34 คน ซึ่งถึงแม้ กรมควบคุมโรค ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวอยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้ และโรคติดเชื้อโควิด-19 ขณะนี้ถือเป็นโรคประจำถิ่นที่สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปีและมีแนวโน้มพบมากขึ้นในช่วงฤดูฝน แต่ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และสถานศึกษาในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศก็ต้องตระหนัก เฝ้าระวัง ป้องกันให้นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาของเราปลอดภัยที่สุด

“ผมขอเน้นย้ำและกำชับไปยัง สพท.และสถานศึกษาในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด ทั้งการบริหารจัดการภายในห้องเรียน ภายในโรงเรียน และบริเวณโดยรอบโรงเรียน มีการเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุและแนวทางการเรียนการสอนกรณีที่มีนักเรียนและครูติดโรคโควิด-19 มีการซักซ้อมวิธีการต่างๆ รวมถึงทำความเข้าใจและสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของชุมชนอย่างเข้มแข็ง หากมีความเสี่ยงหรือความไม่ปลอดภัยใดๆ เกิดขึ้น การสื่อสารเพื่อแจ้งเหตุ และการประสานกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ แม้จะพบการติดเชื้อในโรงเรียน ในภาพรวมของโรงเรียนไม่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนทั้งหมด แต่ขอให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนเผชิญเหตุอย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยเป้าหมายสำคัญ คือ นักเรียน ได้รับการเรียนรู้อย่างเต็มที่ที่โรงเรียน ส่วนเด็กที่ป่วยสามารถจัดการเรียนการสอนในรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 สพฐ.ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศธ 04001/ว3497 เรื่อง กำชับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) แจ้งไปยัง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต โดยได้มีหนังสือเน้นย้ำแนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 แจ้ง สถานศึกษาในสังกัดดำเนินการ ดังนี้ 1.ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เรื่อง การป้องกันการแพร่ระบาดให้แก่นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง รวมถึงผู้มาติดต่อราชการในสถานศึกษา 2.เชิญชวนทุกคนที่เข้ามาในสถานศึกษาสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮล์ 3. หมั่นดูแลรักษาความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์ที่นักเรียนใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ 4..หากมีอาการคล้ายเป็นหวัดให้สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หรือ ตรวจพบโควิด-19 ให้รีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา ลดความเสี่ยงและอาการรุนแรง 5. ดำเนินการตามคู่มือ “การเฝ้าระวังติดตาม และแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COMD -19) ในสถานศึกษา” 6.ในกรณีสถานศึกษาที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระดับรุนแรง ให้พิจารณาปิดเรียนและจัดการเรียนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น Online, On – Hand, On – Air หรือ On – Demand และ 7.ติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19)ผ่านช่องทางระบบ Digital Disease Surveillance (DDS) และสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

สพม.บุรีรัมย์ บรรจุครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ 16 อัตรา 12 วิชาเอก


เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ห้องประชุมไชยมงคล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ นายสำราญ อยู่นาน รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ปฐมนิเทศและให้โอวาท ข้อคิดในการทำงานกับครูบรรจุใหม่ ที่มารายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้งในตำแหน่งข้าราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ ประจำปี 2568 จำนวน 16 อัตรา ใน 12 สาขาวิชาเอก ซึ่งมีผู้มารายงานตัวครบทุกอัตรา
นายสำราญ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับครูผู้ช่วยที่ผ่านการคัดเลือก พร้อมแนะนำข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียน บุคลากรกลุ่มบริหารงานบุคคล สหวิทยาเขตในสังกัด สพม.บุรีรัมย์ และเน้นย้ำถึงการแต่งกายให้ถูกระเบียบ เหมาะสมกับความเป็นครู ความตรงต่อเวลา การมีวินัย คุณธรรม และการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพครู รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาอย่างเข้มในตำแหน่งครูผู้ช่วยต่อไป
ทั้งนี้ นายวรรณะ เจือจันทร์พิพัฒน์ เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตชำนาญการพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมรับฟังการชี้แจง นางระพีพรรณ มะลิพันธ์ ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล และคณะ ได้ชี้แจงวิธีการเขียนบันทึกประวัติในแบบ ก.ค.ศ. 16 รวมถึงการส่งตัวไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่ได้รับการแต่งตั้งในวันเดียวกัน
สาขาวิชาเอกและโรงเรียนที่ได้รับการบรรจุ มีดังนี้ วิชาเอกคณิตศาสตร์ 1 อัตรา โรงเรียนพนมรุ้ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ วิชาเอกเกษตรกรรม 3 อัตรา โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร อำเภอบ้านกรวดโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยพิทยาคม อำเภอหนองกี่ โรงเรียนร่มเกล้า บุรีรัมย์ อำเภอโนนดินแดง วิชาเอกสังคมศึกษา 2 อัตรา: โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อำเภอประโคนชัย โรงเรียนเมืองแกพิทยาคม อำเภอสตึก วิชาเอกพลศึกษา 1 อัตรา โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร อำเภอบ้านกรวด วิชาเอกชีววิทยา 1 อัตรา โรงเรียนลำดวนพิทยาคม อำเภอกระสัง วิชาเอกนาฎศิลป์ 1 อัตรา โรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยพิทยาคม อำเภอหนองกี่ วิชาเอกอุตสาหกรรมศิลป์ 2 อัตรา โรงเรียนเมืองแกพิทยาคม อำเภอสตึก โรงเรียนสะแกพิทยาคม อำเภอสตึก วิชาเอกศิลปศึกษา 1 อัตรา โรงเรียนลำปลายมาศ อำเภอลำปลายมาศ วิชาเอกภาษาไทย 1 อัตรา โรงเรียนกระสังพิทยาคม อำเภอกระสัง วิชาเอกจิตวิทยาและการแนะแนว 1 อัตรา โรงเรียนหนองหงส์พิทยาคม อำเภอหนองหงส์ วิชาเอกฟิสิกส์ 1 อัตรา โรงเรียนร่วมจิตต์วิทยา อำเภอละหานทราย วิชาเอกเคมี 1 อัตรา โรงเรียนพิมพ์รัฐประชาสรรค์ อำเภอนางรอง