เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2568 นายปรีติ เจริญศิลป์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(สส.) พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.)สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า กมธ.ป.ป.ช.ฯได้เกาะติด และติดตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทุกโครงการขององค์การค้าสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.)สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่ง ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการสำนักงาน สกสค.ได้มีประกาศ องค์การค้าของสกสค.เรื่อง “เผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ 2569” เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2568 รวมทั้งสิ้น 19 รายการ วงเงิน 1,112 ล้านบาท โดยมากกว่า 90% เป็นโครงการจัดจ้างผลิตหนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2569 ของกระทรวงศึกษาธิการ ถึง 1,010 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (บอร์ด สกสค.) ที่มี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ประธานบอร์ด สกสค. ได้อนุมัติกรอบวงเงินไว้
นายปรีติ กล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับว่า โครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนที่องค์การค้าฯ รับผิดชอบดำเนินการมักจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเรื่องคุณภาพของหนังสือแบบเรียน รวมถึงความไม่ชอบมาพากลในขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างมาโดยตลอด โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีการศึกษาที่ผ่านมา มีข้อร้องเรียนมายังหน่วยงานตรวจสอบของรัฐ รวมถึง กมธ.ป.ป.ช.ฯด้วย และจากการติดตามตรวจสอบ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อ รวมถึงเชิญ ผู้แทนองค์การค้าฯ มาสอบถาม หลายกรณีน่าเชื่อว่าไม่ชอบมาพากลตามข้อร้องเรียน ตลอดจนคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า โครงการดังกล่าว มีความไม่โปร่งใส และขัดต่อหลักการกฎหมาย ซึ่งในวันที่ 12 พ.ย.นี้ นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย สส.พรรคเพื่อไทย ประธานคณะ กมธ.ป.ป.ช.ฯ ได้มีหนังสือเชิญ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุม กมธ.ป.ป.ช.ฯเพื่อให้ข้อมูลซึ่งมีวาระเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าฯ รวมอยู่ด้วย และน่าจะเป็นโอกาสดีในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและข้อเสนอต่อโครงการผลิตหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาฯ ที่กำลังเริ่มดำเนินการ และในปีถัดๆไป เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กนักเรียน ที่เป็นอนาคตของชาติ และลดข้อครหาต่อหน่วยงานมากที่สุด ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศ.ดร.นฤมล จะตอบรับคำเชิญของ กมธ.ฯ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย
“กรมบัญชีกลาง เคยให้ข้อมูลกับ กมธ.ป.ป.ช.ฯไว้ว่า ได้วินิจฉัยการกำหนดขอบเขตงาน (ทีโออาร์) เฉพาะปีการศึกษา 2567 และปีการศึกษา 2568 ว่า ขัดต่อมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ 2560)มีลักษณะกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เช่นเดียวกันกับอีกหลายโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับโครงการพิมพ์หนังสือแบบเรียน ก็ถูกวินิจฉัยว่า มีลักษณะกีดกันไม่ให้เอกชนรายใดรายหนึ่งเข้าร่วมการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ซึ่งจากข้อมูลทั้งหมดที่ กมธ.ป.ป.ช.ฯ ได้จาก กรมบัญชีกลาง พบว่า เกือบทั้งหมดของโครงการที่ถูกชี้ว่า ขัดต่อกฎหมายนั้น จะเริ่มต้นด้วยการเปิดประกวดราคาแบบ E-Bidding ตามปกติ แต่ต่อมาก็จะเกิดปัญหาจนเป็นเหตุต้องยกเลิกการประกาศเชิญชวน หรือยกเลิกผลการประกวดราคา จากนั้นเมื่อประกาศเชิญชวนครั้งใหม่ก็จะเปลี่ยนเป็นวิธีการคัดเลือก ที่มีความรัดกุมในแง่การตรวจสอบน้อยกว่า โดยอ้างเรื่องเงื่อนเวลากระชั้นชิด เพราะระเบียบกำหนดว่า ต้องส่งหนังสือแบบเรียนของแต่ละปีการศึกษาต้องถึงมือนักเรียนและสถานศึกษาก่อนวันเปิดภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษานั้นๆ หรือวันที่ 16 พ.ค.ของทุกปี”นายปรีติ กล่าวและว่า อย่างไรก็ดีทาง กรมบัญชีกลาง ก็ทราบดีถึงปัญหาขององค์การค้าฯ ที่ผ่านมาจึงได้มีการเน้นย้ำให้ องค์การค้าฯ หลีกเลี่ยงการใช้วิธีการคัดเลือกในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และให้ใช้การประกวดราคาแบบ E-Bidding ที่มีความโปร่งใสมากกว่า รวมถึงการร่างขอบเขตงาน หรือทีโออาร์ ให้มีความเป็นธรรมด้วย
รองประธาน กมธ.ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฏร กล่าวอีกว่า โครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปี 2569 รวมถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างใดๆทุกโครงการ จึงต้องยึดแนวทางประกวดราคาแบบ E-Bidding ตามข้อแนะนำของ กรมบัญชีกลาง อย่างเคร่งครัด และหากมีการวางแผนที่ดี ก็ไม่ยากที่จะทำโครงการให้เสร็จก่อนเปิดเทอม ส่วนเรื่องทีโออาร์ที่มีปัญหามาตลอด เชื่อว่าหากผู้เกี่ยวข้องยึดประโยชน์ของประเทศชาติ และเด็กนักเรียนทั่วประเทศเป็นสำคัญ ก็เชื่อว่า ทีโออาร์ ที่ออกมาจะมีความชอบธรรม จนไม่เป็นเหตุให้ถูกร้องจนกระบวนการต้องชะงัก เหมือนที่ผ่านมาอีก ส่วนกรณี บอร์ด สกสค.มีมติ ให้เชิญสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมสังเกตการณ์ และตรวจสอบ ทุกขั้นตอนของการจัดพิมพ์แบบเรียน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การดำเนินการทั้งหมดจะเป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใส นั้น ไม่น่าจะได้ประโยชน์เท่าไรนัก และคงไม่พ้นเชิญไปโชว์ตัวถ่ายภาพประชาสัมพันธ์ว่า กราบโกงแล้วเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาทุกปี องค์การค้าฯ ก็เชิญหน่วยงานภายนอก รวมถึงสถาบันการศึกษา มาลงนามบันทึกความเข้าใจ (ทีโออาร์) เพื่อให้เข้ามาร่วมสังเกตการณ์โครงการพิมพ์แบบเรียนทุกขั้นตอน จัดแถลงข่าวใหญ่โต แต่ก็เกิดปัญหาอย่างที่เห็น โดยที่คณะผู้สังเกตการณ์ไม่พบ และในขณะที่ กรมบัญชีกลาง วินิจฉัยชัดเจนว่า ทีโออาร์ของโครงการพิมพ์แบบเรียนปีที่ผ่านๆมา มีเนื้อหาขัดต่อ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ กรณีกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือยังมีกรณีที่องค์การค้าฯ ค้างจ่ายค่าลิขสิทธิ์แบบเรียนให้แก่ สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มาเกือบ 10 ปี จนมีหนี้คงค้างกันมากกว่า 219 ล้านบาท ปรากฏว่า ทั้งฝ่าย สพฐ.ที่เป็นเจ้าหนี้ ไม่คิดจะติดตามทวงถาม ส่วนองค์การค้าฯ ที่เป็นลูกหนี้ก็ไม่ได้แจ้งขอผ่อนผันเป็นกิจลักษณะ คิดกันเองว่า องค์การค้าฯ มีหนี้สะสมอยู่ จึงยังไม่สะดวกชำระหนี้ มองผิวเผินก็อาจเห็นความถ้อยทีถ้อยอาศัยของหน่วยงานในสังกัดเดียวกัน แต่ในฐานะหน่วยงานรัฐ ถือว่า เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้รัฐเสียหายด้วย



เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2568 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ร่วมกับคณะ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมผู้บริหารระดับสูงจาก 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อตรวจราชการและติดตามภารกิจด้านการเกษตร การศึกษา การพัฒนาสังคม และการท่องเที่ยว ณ ลานอเนกประสงค์ (ลานคนเดิน) อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดย กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้ร่วมจัดนิทรรศการ “การส่งเสริมการเรียนรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่การสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน” นำเสนอผลงานเด่นจากพื้นที่จังหวัดนราธิวาส อาทิ สกร.ระดับอำเภอสุไหงโก-ลก นำเสนอการทำขนมไทยโบราณพื้นถิ่น “ปูตูฮาลือบอ”การแปรรูปแป้งสาคูต้น ชนิดผงและชนิดเม็ด ครองแครง ลอดช่องสิงคโปร์ ขนมสาคูเปียกมะพร้าวอ่อน ครองแครงกะทิสด ลอดช่องสิงคโปร์กะทิสดมะพร้าวอ่อน และการสาธิตการทำริบบิ้นถวายความไว้อาลัย สกร.ระดับอำเภอสุไหงปาดี นำเสนอการทำขนมไทยโบราณ “ขนมคนที” หรือที่บางท้องถิ่นเรียกว่า “ขนมตานี” ซึ่งเป็นขนมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีคุณค่าทางภูมิปัญญา และการทำน้ำอัญชันโซดามะนาว และในโอกาสนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้เยี่ยมชมและกล่าวชื่นชมการดำเนินงานของ สกร. ที่สามารถต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นเครื่องมือในการสร้างอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยได้เรียนรู้ตามบริบทของตนเองและพื้นที่อันมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม
อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมโครงการเร่งรัดผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมว ภายใต้โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า” การมอบโฉนดที่ดินและปัจจัยการผลิตให้เกษตรกร รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากในพื้นที่เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้ สนับสนุนอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนให้มีต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง การเรียนรู้จากฐานชีวิตจริงและภูมิปัญญาชุมชน คือแนวทางสำคัญของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ในการขับเคลื่อนการเรียนรู้เพื่อชีวิตที่มั่นคงและยั่งยืนของประชาชนทุกช่วงวัย ดังนั้นการลงพื้นที่ตรวจราชการของรองนายกรัฐมนตรีฯในครั้งนี้ ถือเป็นพลังสำคัญที่สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่หน่วยงานในระดับจังหวัดและภาคีเครือข่าย โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้ พร้อมสานต่อภารกิจ “เสริมงานเดิม สร้างงานใหม่ ให้เท่าทันสังคมโลก”เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกพื้นที่อย่างแท้จริง
“ในการลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาสครั้งนี้ ดิฉันได้พบปะกับทีมงานนิเทศจิตอาสาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต่างเป็นผู้ที่เคยร่วมทำงานกันด้วยมิตรภาพที่อบอุ่นคุ้นเคยและเป็นกันเองมาเป็นเวลานาน มีทีมงานกว่า 50 คน ได้ร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และรับประทานอาหารร่วมกัน สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ดี ความร่วมมือ และความตั้งใจในการขับเคลื่อนงานจิตอาสา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของประชาชนในพื้นที่ให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน”ดร.เกศทิพย์ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราคุยกันตลอดว่า ปัญหาของพี่น้องครูโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นต้องช่วยกันแก้ โดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการครู ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ตนไปที่ไหนก็จะพูดเรื่องนี้เสมอ เพราะการที่เราจะเป็น พ่อคนที่สอง แม่คนที่สอง ของลูกหลานเยาวชน ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของประเทศไทย เราทุกคนคือคนไทย และต้องได้รับการดูแลอย่างดี ถ้าพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติไม่สมบูรณ์ จะให้หล่อหลอมต้นกล้าให้เป็นเยาวชนที่ดี มีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญของประเทศได้อย่างไร การสร้างชาติให้มั่นคงจึงเป็นไปไม่ได้เลย
ขณะที่ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า หลายคนยังเข้าใจผิดว่า เด็กโรงเรียนเอกชนคือเด็กมีฐานะ ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ โรงเรียนเอกชนการกุศลและโรงเรียนศาสนาหลายแห่งมีเด็กยากจนจำนวนมาก จึงควรได้รับสิทธิ์อาหารกลางวันเช่นเดียวกับโรงเรียนของรัฐ เพราะหลักการคือเด็กทุกคนต้องเข้าถึงอาหารกลางวันอย่างเท่าเทียม ซึ่งจากข้อมูลพบว่า เด็กในพื้นที่ชายแดนใต้จำนวนมากไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญต่อพัฒนาการและสติปัญญาของเด็ก ซึ่งกระทรวงจะพิจารณาแนวทางให้เด็กในพื้นที่ได้เข้าถึงโภชนาการครบถ้วน ในส่วนของบ้านพักครู ศ.ดร.นฤมล เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่ออนุมัติหลักการพัฒนาบ้านพักครูทั่วประเทศ โดยจะให้การเคหะแห่งชาติเข้ามาช่วยดำเนินการสร้างและปรับปรุง ซึ่งจังหวัดปัตตานีจะถูกบรรจุเป็นจังหวัดนำร่องเพิ่มเติมหลังจากดำเนินการใน 8 จังหวัดแรกแล้ว นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่องการจัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนในพื้นที่ รวมถึงแนวทางสนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็กให้มีที่พักนอนเพียงพอสำหรับนักเรียน
จากนั้น ร.อ.ธรรมนัส และ ศ.ดร.นฤมล พร้อมด้วยคณะ เดินทางต่อไปยังหอประชุมใหญ่คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการด้านการศึกษา และกิจกรรม Fix it Center ของสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอกะพ้อ อำเภอปานาเระ ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพอำเภอยะรัง อำเภอมายอ และอำเภอแม่ลาน สาขาวิทยาลัยอาชีวศึกษาปัตตานี
ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกำกับ เพื่อมารับฟังปัญหาการทำงานในพื้นที่ด้วยตนเอง เพราะผู้ปฏิบัติย่อมรู้ถึงการทำงานในบริบทของตนเองเป็นอย่างดี และให้ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการได้มารับฟังปัญหา พร้อมทั้งให้เกิดการแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และทรัพยากรการศึกษาของแต่ละหน่วยงานในพื้นที่ เมื่อนั้นก็จะเกิดการสนับสนุนช่วยเหลือการทำงานการศึกษาของพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
“กิจกรรมหลัก ๆ ในการลงพื้นที่วันนี้ก็เพื่อมามอบทุนให้กับน้อง ๆ นักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเข้าใจดีกับการจัดการศึกษาแบบพหุวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะของครู ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้บริหารในเขตพื้นที่การศึกษา ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มอัตรากำลังครูวิชาเอกให้ครบในทุกโรงเรียน เรื่องของวิทยฐานะ ซึ่งได้เพิ่มช่องทางการขอวิทยฐานะใน 3 ทางเลือก คือ 1.งานวิจัย 2.นวัตกรรมเชิงประจักษ์ ที่สามารถใช้งานได้จริงในสถานศึกษา ก่อเกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอน เช่น แอปพลิเคชันของโรงเรียนการศึกษาพิเศษ และ 3.รางวัลระดับชาติ ซึ่งต้องได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.ค.ศ.” ศ.ดร.นฤมล กล่าว
นอกจากนี้ ศ.ดร.นฤมล ยังได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู โดยกระทรวงศึกษาธิการขับเคลื่อนการจัดตั้งสหกรณ์กลางเพื่อรวมหนี้ครูอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ที่จะทำให้ครูได้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ทั้งนี้ยังหวังให้เกิดแรงกระเพื่อมของสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศ ที่จะลดดอกเบี้ยเพื่อรักษาสมาชิกของแต่ละแห่งไว้ด้วย และท้ายสุด เรื่องของระบบย้ายครู (TRS) ถือว่าระบบเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการย้าย คือมีความโปร่งใส ไม่มีการแทรกแซง แต่เมื่อเราใช้ระบบแล้วพบข้อติดขัด ก็จำเป็นจะต้องปรับปรุงให้สามารถใช้งานและก่อเกิดประโยชน์ต่อครูทุกคนมากยิ่งขึ้น
จากนั้น ศ.ดร.นฤมล ได้เยี่ยมชมกิจกรรมและนิทรรศการ ผลงาน นักเรียน ได้แก่ ทักษะอาชีพผลิตผ้าคลุมผม ผ้าลีลาลาย โรงเรียนบ้านโคกสุมุ สพป.นราธิวาส เขต 1, ทักษะอาชีพการสานเสื่อกระจูด โรงเรียนบ้านโคกพะยอม, โครงการทักษะอาชีพ กลุ่มสาระการงานอาชีพ การจัดการธุรกิจการอาหาร (Food business management : FBM) และการจัดการธุรกิจการเกษตร (Agribusiness management: AM) โรงเรียนนราธิวาส, นวัตกรรมหลักสูตรที่เป็นอัตลักษณ์ของโรงเรียนและตอบสนองความต้องการของบริบทพื้นที่ โรงเรียนดารุสสาลาม ตลอดจนศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน Fix it Center งานโครงการพิเศษและบริการชุมชน วิทยาลัยเทคนิคบางนรา
เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า พิพิธภัณฑ์ศาลาไหมไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 เพื่อเทิดพระเกียรติและสืบสานพระราชปณิธาน เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา พระบรมราชินีนาถ ที่นี่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูอาชีพทอผ้าไหม พร้อมรวบรวมผลงานหัตถศิลป์ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นรากฐานแห่งพระเมตตา สู่แหล่งเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ นอกจากเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตแล้ว ยังเป็น “ห้องเรียนจริง” สำหรับนักเรียนอาชีวศึกษาในหลายสาขา ทั้งด้านแฟชั่น การตลาด การผลิต และนวัตกรรมสิ่งทอ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ไหมไทยร่วมสมัยที่พร้อมก้าวสู่ตลาดโลก ซึ่ง สอศ.ต้องการให้ศาลาไหมไทยเป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นศูนย์สร้างผู้ประกอบการหัตถศิลป์ยุคใหม่ ที่คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ทั้งคุณค่าทางศิลปะและแนวคิดทางธุรกิจในเวลาเดียวกัน จากภูมิปัญญาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ วันนี้ ไหมไทย ไม่ได้เป็นเพียงผ้าทอพื้นบ้านอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอัตลักษณ์ไทยที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง อาชีวศึกษามีบทบาทสำคัญในการ “ต่อยอดศิลปาชีพ” สู่ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยบ่มเพาะผู้เรียนให้เป็นทั้ง ช่างฝีมือและผู้ประกอบการ ที่สามารถเชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับความต้องการของตลาดโลก
“ใต้ร่มพระบารมี” พระองค์ทรงสอนให้เรารู้จักคุณค่าของงานหัตถศิลป์ และเห็นว่าศิลปาชีพคือหัวใจของการพัฒนาชีวิตคนไทย อาชีวศึกษาจะน้อมนำแนวพระราชดำริของพระองค์ มาสานต่อเป็นพลังแห่งการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างคนดีให้ประเทศต่อไป พิพิธภัณฑ์ศาลาไหมไทย เปิดห้องจัดแสดงใหม่เพื่อเผยแพร่เรื่องราวและคุณค่าของผ้าไหมมัดหมี่และผ้าไทย “สืบสานหัตถศิลป์ ใต้ร่มพระบารมี” ได้แก่ ห้องบรมกษัตริยาราชภูษิตราพระพันวษาราชนิยม จัดแสดงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้านการอนุรักษ์ศิลปาชีพ พร้อม “ชุดไทยพระราชนิยม” ทั้ง 8 แบบ และ “เสื้อพระราชทาน” สำหรับบุรุษ ผลิตจากผ้าไหมมัดหมี่ชาวอำเภอชนบท ไฮไลต์: กำแพงผ้าไหมมัดหมี่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมผ้าไหมลายโบราณและลายอนุรักษ์กว่าร้อยผืน ฝีมือช่างท้องถิ่น, ห้องราชพัตราภรณ์ชลบทนิกรบวรหัตถศิลป์ แสดงชุดผ้าไหมที่ได้แรงบันดาลใจจากฉลองพระองค์ของพระราชวงศ์ไทย ถ่ายทอดกระบวนการผลิตผ้าไหมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ, ห้องสมณภูษาพุทธศาสนาโลกนาถ นำเสนอผ้าในพระพุทธศาสนา ทั้งในพิธีกรรม พุทธศิลป์ และหัตถศิลป์ มีพื้นที่สำหรับนั่งสมาธิและฟังเสียงคำสอนของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโม, ห้องโถงประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่นและเมืองชนบท หรือ “โฮงมั่งมูลมรดกเมืองชลบทวิบูลย์”นายยศพล กล่าวและว่า ทั้งนี้มีการจัดแสดงผ้าไหมมัดหมี่จำลองการแต่งกายบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์พร้อมสื่อจำลองเหตุการณ์กำเนิดเมืองขอนแก่นและเรื่องราวเมื่อกว่า ๑๒๐ ปีก่อน “น้อมรำลึก – สืบสาน – ต่อยอด” จึงขอเชิญทุกท่านเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ศาลาไหมไทย อาคารเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา มหาราชินี ณ วิทยาลัยการอาชีพขอนแก่น อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่นแหล่งเรียนรู้และสืบสานพระราชดำริด้านผ้าไหมมัดหมี่ เพื่อร่วม “น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ”และ “สืบสาน รักษา ต่อยอด” งานในพระราชดำริขององค์ พระมารดาแห่งไหมไทย
อนึ่ง “ศาลาไหมไทย…ร่มพระบารมี พระมารดาแห่งไหมไทย”อาชีวะน้อมนำพระราชดำริ สืบสานหัตถศิลป์ ณ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น — ดินแดนที่อบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งผ้าไหมมัดหมี่อันวิจิตรงดงาม ยังคงเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญที่สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงได้รับการถวายพระสมัญญาอันสูงสุดว่า “พระมารดาแห่งไหมไทย”สถานที่อันเปี่ยมคุณค่านี้คือ “พิพิธภัณฑ์ศาลาไหมไทย อาคารเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา มหาราชินี”ตั้งอยู่ภายใน วิทยาลัยการอาชีพขอนแก่น สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่หลอมรวม “พระราชปณิธาน” เข้ากับ “การเรียนอาชีพ” ได้อย่างงดงาม
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) ให้การต้อนรับ นายวิเชียร เนียมน้อม ผู้แทนผู้รับใบอนุญาตและผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ พร้อมคณะ เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลง (MOU) ด้านการจัดการศึกษานอกระบบและการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ซึ่งความร่วมมือนี้มุ่งเน้นการพัฒนา “แผนการเรียนรู้ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย” เพื่อเสริมสร้างทักษะอาชีพและสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนให้พร้อมต่อการประกอบอาชีพในอนาคต โดยเน้นแนวคิด “เรียนรู้จริง–ทำงานจริง–มีรายได้จริง”โดย อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้กล่าวชื่นชมความตั้งใจของ CP All ที่มุ่งสร้างโอกาสทางการศึกษาซึ่งนำไปใช้ได้จริง โดยเปรียบความร่วมมือนี้เสมือน “สูตรอาหารแห่งการเรียนรู้” ที่ผสมผสานรูปแบบการจัดการเรียนรู้ของ สกร. อย่างลงตัว ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน 2. เนื้อหาการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน 3. สมรรถนะสำคัญที่นำไปสู่การมีอาชีพอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้กล่าวขอบคุณและเสนอแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษานอกระบบ พ.ศ. 2551 ให้สอดคล้องกับ หลักสูตรส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2567 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยกระดับคุณภาพผู้เรียนในทุกมิติ
สำหรับปีการศึกษา 2569 กรมส่งเสริมการเรียนรู้และวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ เตรียมขยายผลความร่วมมือ โดยเพิ่มพื้นที่การดำเนินงานและจำนวนโควตาผู้เรียน รวมถึงจัดสรรผู้เรียนให้สอดคล้องกับแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้โครงการนี้เป็น “ต้นแบบแห่งการสร้างคนคุณภาพ” ที่ตอบโจทย์ทั้งภาคการศึกษาและภาคธุรกิจอย่างแท้จริง กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมสานต่อความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาสายอาชีพแนวใหม่ ผ่านหลักสูตร “ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่” ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาเรียนรู้ควบคู่ไปกับการมีรายได้ระหว่างเรียน มุ่งสร้างบุคลากรคุณภาพที่พร้อมทำงานจริงและเติบโตอย่างมั่นคงในอาชีพ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจ เพราะพวกเราทุกคนได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ” หรือที่เรารู้จักกันดีว่าโครงการ ODOS ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งสร้าง “เด็กช้างเผือก” ของประเทศไทย เด็กที่มีศักยภาพสูงจากทั่วทุกภูมิภาค ที่จะเติบโตขึ้นเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาชาติในอนาคต พวกเราทุกคนคือ “เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง” ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า เพราะการพัฒนาประเทศในยุคปัจจุบันไม่อาจพึ่งพาทรัพยากรหรือแรงงานเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัย “ทุนมนุษย์” ที่มีคุณภาพสูง เป็นคนรุ่นใหม่ พวกเราคือกำลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่เศรษฐกิจฐานความรู้และนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืน โครงการ ODOS จึงไม่เพียงสร้างนักเรียนทุน แต่กำลังสร้าง “ผู้นำแห่งอนาคต” อาจารย์เชื่อมั่นว่า “เด็กช้างเผือก” ทุกคนจะสามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง นำพาความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และพลังบวก มาช่วยกันพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวข้ามข้อจำกัดทุกมิติและก้าวสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
“อาจารย์ ได้ฝากข้อคิดให้นักเรียนว่าการเข้าเรียนระดับปริญญาตรีในสถาบันที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศมีการแข่งขันสูงมากกว่าระดับปริญาโท ปริญญาเอก มีใบสมัครเข้ามาเรียนกันทั่วโลก ดังนั้นจึงขอให้ทุกคนมีความตั้งใจ มุ่งมั่นหาความรู้เพื่ออนาคต เพราะก.พ.ต้องการให้นักเรียนได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ ซึ่งอาจารย์ก็ได้ขอให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.)สพฐ.และสอศ.ช่วยสนับสนุนเพิ่มงบประมาณเพื่อให้นักเรียนได้เตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยเหล่านี้ให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องของภาษาที่จะต้องติ๋วแบบเข้มข้น ซึ่ง กสศ.สพฐ.และสอศ.ก็พร้อมที่จะสนับสนุนในทุกรูปแบบ”ศ.ดร.นฤมล กล่าว
ดร.ไกรยส เจริญรุจิทรัพย์ ผู้จัดการกองทุน กสศ.กล่าวว่า เป้าหมายของการปฐมนิเทศออนไลน์สำหรับผู้ได้รับทุนในโครงการ ODOS รุ่นที่ 3 ครั้งนี้มุ่งให้โอกาสแก่เยาวชนที่ มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี มีศักยภาพ แต่ขาดแคลนโอกาสให้ได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่ประเทศต้องการ เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ได้รับทุน ทั้งด้านวิชาการ ภาษาอังกฤษ ทักษะชีวิต และสภาพจิตใจ เพื่อให้สามารถศึกษาต่อได้อย่างเต็มศักยภาพและต่อเนื่องจนถึงระดับอุดมศึกษาหรือสาขาที่เป็นเป้าหมายของประเทศ ตลอดจนการสร้าง “เส้นทางการเรียนรู้แบบไร้รอยต่อ” จากระดับมัธยม/อาชีวะไปสู่ระดับอุดมศึกษา หรือไปสู่สาขาที่เป็นอนาคตของประเทศ และที่สำคัญยังส่งเสริมให้ผู้ได้รับทุนมีบทบาทสำคัญ ในการเป็นกำลังคนคุณภาพสำหรับประเทศในอนาคต เพื่อลดช่องว่างทางโอกาส และขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปยังห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงเปิด “ห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ เฉลิมพระเกียรติ ๗๐ พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”
จากนั้น ทอดพระเนตรวีดิทัศน์รายงานการดำเนินงาน “ห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ เฉลิมพระเกียรติ ๗๐ พรรษา” ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้าย “ห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ เฉลิมพระเกียรติ ๗๐ พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” แล้วทรงพระดำเนินเข้าภายในอาคารห้องสมุด ทอดพระเนตรกิจกรรมและนิทรรศการต่าง ๆ ดังนี้

ห้องราชพัตราภรณ์ชลบทนิกรบวรหัตถศิลป์ จัดแสดงชุดผ้าไหมมัดหมี่ที่ได้แรงบันดาลใจจากฉลองพระองค์ของพระราชวงศ์ไทย แสดงกระบวนการผลิตผ้าไหมตั้งแต่ต้นจนเป็นผ้าไทยงดงาม

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พร้อมด้วย นายวิทวัต ปัญจมะวัติ และนายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ประกอบพิธีถวายอาลัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ณ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
โดย นายยศพล กล่าวว่า สอศ. จัดพิธีถวายอาลัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรเข้าร่วม พร้อมน้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัยและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างแห่งความเสียสละ ความเมตตา และความเพียรอันยิ่งใหญ่ ทรงอุทิศพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย
เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ สถานศึกษาในสังกัด สอศ.ทั่วประเทศได้จัดกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศล อาทิ การจัดพิธีถวายความอาลัยในสถานศึกษา การสอนทำริบบิ้นโบว์ แจกประชาชน การออกหน่วยบริการตัดผมฟรี การเปิดพิพิธภัณฑ์ศาลาไหมไทย “พระมารดาไหมไทย” เป็นแหล่งเรียนรู้และสืบสานงานในพระราชดำริด้านผ้าไหมมัดหมี่ รวมถึงกิจกรรมอาชีวะอาสาที่ช่วยเหลือประชาชน ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ เครื่องมือเกษตร และจัดการสอนอาชีพระยะสั้น เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคม และแสดงความจงรักภักดี ความกตัญญู น้อมนำพระมหากรุณาธิคุณด้วยการทำความดีเพื่อส่วนรวม และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้


