องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้มีมติประกาศยกย่องและบรรจุรายการของไทย จำนวน 2 รายการ ไว้ในโครงการเฉลิมฉลองวาระสำคัญ (Anniversaries Celebration) ประจำปี ค.ศ. 2026–2027 (พ.ศ. 2569–2570) ในประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 43 ของยูเนสโก เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองซามาร์คานด์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ประกอบด้วย งานฉลองครบ 100 ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวาระครบ 100 ปี พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม และความเสมอภาคทางเพศ ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยยูเนสโก ได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม และเปิดเผยว่า มติดังกล่าวนำความปลื้มปิติของประเทศไทยในเวทีโลก และเป็นการยืนยันถึงพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองพระองค์ ที่ทรงอุทิศพระวิริยะอุตสาหะ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและมนุษยชาติ อันสอดคล้องกับอุดมการณ์ของยูเนสโกในการส่งเสริมการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมศาสตร์เพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ ครอบคลุมด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ เกษตร สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชน อีกทั้งยังพระราชทาน “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักนำทางที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จนทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา”
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญด้านการส่งเสริมการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาสตรี การสนับสนุนการจัดตั้งสถานศึกษา และการอุปถัมภ์กิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมและงานสาธารณกุศลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตราษฎร โดยเฉพาะในยามวิกฤต วาระครบ 100 ปี พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม และความเสมอภาคทางเพศของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จึงเป็นการยกย่องพระปรีชาสามารถและพระวิสัยทัศน์ก้าวไกล ที่วางรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาสตรีไทยและสังคมไทยในหลายมิติ และสอดคล้องต่อการจุดเน้นขององค์การยูเนสโกที่มุ่งเน้นส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศทั่วโลก
การประกาศยกย่องครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการถวายพระเกียรติสูงสุดแด่ทั้งสองพระองค์แต่ยังสะท้อนถึงการยอมรับจากประชาคมโลกต่อพระราชปณิธานที่ทรงมุ่งมั่นสร้างสรรค์การศึกษา ความเสมอภาค และสันติภาพของมนุษยชาติ อันเป็นความภาคภูมิใจของปวงชนชาวไทย และเป็นแรงบันดาลใจให้ชนรุ่นหลังสืบสานพระราชปณิธานเพื่อความผาสุกของโลกสืบไป



เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอีวศึกษา (สอศ.) มีนโยบายส่งเสริมทักษะอาชีพเพื่อทุกคน เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเยาวชน ผู้สูงอายุ พระภิกษุ หรือสามเณร ได้เรียนรู้และฝึกอาชีพในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย ใช้เวลาเรียนสั้นแต่สามารถสร้างอาชีพและรายได้จริง สอดคล้องกับเป้าหมายของในการสร้างโอกาส สร้างอาชีพ พัฒนาทักษะคนไทยให้พึ่งพาตนเองได้ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและชุมชน ซึ่ง สอศ. มุ่งให้สถานศึกษานำองค์ความรู้ด้านอาชีพและอัตลักษณ์ตามบริบทของพื้นที่ มาต่อยอดเป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์สังคม เช่น โครงการตัดเย็บสบง อังสะ เพื่อน้องเณร ของวิทยาลัยสารพัดช่างสุราษฎร์ธานี ที่ออกแบบเพื่อให้พระภิกษุและสามเณรสามารถเย็บจีวรและสบงได้ด้วยตนเอง ซึ่งนอกจากช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของวัดแล้ว ยังเป็นการฝึกเรียนรู้การเย็บจีวรและสบงด้วยตนเอง สร้างทักษะวิชาชีพที่สามารถนำไปต่อยอดได้จริง เกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม
ด้าน นางสาวฉันทนา โพธิครูประเสริฐ ผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า โครงการ “ตัดเย็บสบง อังสะ เพื่อน้องเณร” ภายใต้หลักสูตรระยะสั้น 30 ชั่วโมง สาขาช่างตัดเย็บผ้า เกิดจากความร่วมมือระหว่าง วิทยาลัยสารพัดช่างสุราษฎร์ธานี สำนักสงฆ์นิคามธรรมาวาส และสมัชชาการศึกษาสุราษฎร์ธานี โดยพระครูวินัยธรทวีศักดิ์ สิริปญฺโญ เห็นถึงปัญหาค่าใช้จ่ายในการจัดหาจีวรและสบงที่มีราคาสูง รวมถึงรูปแบบและขนาดไม่พอดีกับพระภิกษุและสามเณร วิทยาลัยฯ จึงร่วมกันออกแบบหลักสูตรที่เน้นการฝึกปฏิบัติจริง ตั้งแต่พื้นฐานการตัดเย็บผ้า การวัดตัว ไปจนถึงขั้นตอนการเย็บเสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้พระภิกษุและสามเณร สามารถนำความรู้ไปใช้ได้ทันที เกิดประโยชน์ทั้งต่อวัดและต่อตนเอง
ทั้งนี้ มีวิทยาลัยสารพัดช่างทั่วประเทศ เปิดสอนหลักสูตรระยะสั้นหลายสาขา อาทิ สาขาช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า ช่างแอร์ ตัดเย็บผ้า อาหารและโภชนาการ ช่างตัดผม และช่างเสริมสวย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เรียนรู้ทักษะอาชีพในเวลาสั้น ๆ แต่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง สำหรับผู้สนใจสามารถสมัครเรียนหลักสูตรระยะสั้นได้ที่ วิทยาลัยสารพัดช่างทั่วประเทศ หรือดูรายชื่อสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ที่ https://www.vec.go.th/th-th/หน่วยงานในสังกัด/สถานศึกษาในสังกัดสอศ/สถานศึกษาอาชีวศึกษารัฐบาล.aspx “เรียนระยะสั้นอาชีวะจบแล้วสามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง”
สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้เชิญหน่วยงานเข้าร่วมสังเกตการณ์ ประกอบด้วย สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ซึ่งทั้ง 3 องค์กรได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยให้คำแนะนำว่าองค์การค้าของ สกสค. ควรทำข้อตกลงคุณธรรมด้วย สำหรับการประชุมปรึกษาหารือในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการจัดจ้างพิมพ์หนังสือเรียนปี 2569 เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ และให้สามารถผลิตหนังสือเรียนได้ทันก่อนเปิดเทอม
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ ทีมโค๊ชและทีมนักเตะโรงเรียนหมอนทองวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)ฉะเชิงเทรา ได้เข้าพบ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ คณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้ร่วมชื่นชมและให้กำลังใจ พร้อมมอบเกียรติบัตรและของที่ระลึกจากรมว.ศึกษาธิการ โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ในนามกระทรวงศึกษาธิการ ต้องขอขอบคุณ อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ ผู้นำทีมหมอนทองวิทยา สร้างประวัติศาสตร์สร้างความสุข สร้างปรากฏการณ์ ให้กับน้อง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเป็นความทุ่มเทของทุกคน พวกเราก็ติดตามข่าวสารกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ยังมีโรงเรียนอีกหลายโรงเรียนที่มีความโดดเด่นทั้งเรื่องกีฬา และดนตรี ซึ่งศธ.จะขยายไปยังโรงเรียนอื่นๆที่มีศักยภาพ ซึ่งทาง สพฐ.มีข้อมูลอยู่ และขอให้ อาจารย์ สกล มาเป็นที่ปรึกษาของเลขาธิการ กพฐ.มาวางแผนดำเนินการว่าจะทำอะไรร่วมกับกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นำทรัพยากรมาทำร่วมกันเพื่อที่จะทำให้เกิดโรงเรียนกีฬาขึ้นให้ได้ โดยให้โรงเรียนหมอนทองเป็นต้นแบบ
นายอรรถกร กล่าวว่า ตนในฐานะ ส.ส.ฉะเชิงเทรา ขอขอบคุณน้อง ๆ และผู้บริหารโรงเรียนหมอนทองวิทยาที่นำความสุขมาให้คนไทย และสร้างความภาคภูมิใจให้คนบางน้ำเปรี้ยว สิ่งหนึ่งที่ตนตั้งใจจะทำมาตั้งแต่ก่อนนัดชิง คืออยากมอบของขวัญที่ไม่ใช่สิ่งของที่ใช้แล้วหมดไป แต่เป็นสิ่งที่น้อง ๆ จะเก็บไว้ระลึกได้ตลอดไป ว่าครั้งหนึ่งพวกคุณคือฮีโร่ของคนฉะเชิงเทราและประเทศไทย จากนี้จะได้ทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการพัฒนากีฬาในระดับเยาวชน ผมขอขอบคุณทีมหมอนทองวิทยาจากใจ และขอให้น้อง ๆ ทุกคนประสบความสำเร็จและมีความสุขมาก ๆ
นอกจากนี้ ศ.ดร.นฤมล ก็ได้เปิดโอกาสให้โรงเรียนหมอนทองวิทยาขอสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับทีมนักเตะ ซึ่งทางโรงเรียนหมอนทองวิทยาได้ขอความอนุเคราะห์จาก ศธ.10 ข้อ ดังนี้ 1.ซ่อมปรับปรุงอาคารที่ถูกไฟไหม้ ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์พร้อมอุปกรณ์ครบชุด 2.เพิ่มขนาดหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน จำนวน 1 ชุด 3.ปรับปรุงระบบไฟฟ้าภายในอาคารเรียน จำนวน 3 อาคาร 4.ซ่อมปรับปรุงห้องสุขานักเรียน จำนวน 28 ห้อง 5.สร้างลานอเนกประสงค์พื้นคอนกรีตพร้อมหลังคาโดม จำนวน 1 หลัง 6.ห้องออกกำลังกาย จำนวน 1 ห้อง 7.สร้างสนามแบดมินตัน จำนวน 2 สนาม 8.สร้างสนามหญ้าเทียม ฟุตบอล 7 คน พร้อมหลังคาโดม จำนวน 1 สนาม และปรับปรุงสนามฟุตบอล จำนวน 1 สนาม 9.สร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามคลอง 18 เชื่อมถนนหมอนทอง1 กับถนนหมอนทอง 3 และ10.ถนนคอนกรีต กว้าง 4.00 เมตร ยาว 800 เมตร ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้ ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไปดำเนินการ ในปีงบประมาณ 2569 นี้

“ศธ.ให้ความสำคัญกับการศึกษาพิเศษอย่างต่อเนื่อง โดยวานนี้ได้เดินทางไปที่จังหวัดตรัง และได้รับฟังข้อเสนอแนะจากคนในพื้นที่ โดยนโยบายของ รองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ต้องการให้ ศธ. ให้ความสำคัญในการดูแลน้อง ๆ เด็กพิการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการส่งเสริมศักยภาพของเด็กพิเศษให้สามารถมีอาชีพ มีรายได้ และได้รับการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เช่น กีฬา โดยรองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า มีความยินดีที่จะสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ และอาจารย์ ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือในทุกด้านอย่างเต็มที่เช่นกัน หากมีข้อเสนอแนะแนวทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ยินดีรับมาปฏิบัติเพื่อช่วยกันส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการให้รุดหน้ามากขึ้น“ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ ยังได้มอบหมายให้ นายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมกันผลักดันเรื่องการเรียนร่วมระหว่างเด็กปกติกับเด็กพิการ โดยให้คัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมในการเปิดห้องเรียนร่วมระหว่างเด็กปกติและเด็กพิการ เพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านการศึกษาให้แก่เด็กพิการ และสร้างความคุ้นเคยในการอยู่ร่วมกันระหว่างเด็กนักเรียนทุกคน รวมทั้งให้ขับเคลื่อนการบูรณาการความร่วมมือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กระทรวง พม.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการสนับสนุนและช่วยเหลือด้านงบประมาณกองทุน ทรัพยากร สื่อการเรียนการสอน และบุคลากร เพื่อส่งเสริมให้การจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการ มีความครอบคลุมและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทุกพื้นที่
โดย นายยศพล กล่าวว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบชีวิตความเป็นอยู่และบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหาย โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีความห่วงใย มอบหมาย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ และมอบหมายต่อให้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัด Fix it – อาชีวะจิตอาสา เข้าช่วยเหลือประชาชนในเบื้องต้น และซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งที่ผ่านมา สอศ. ได้ให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวในสถานศึกษา จัดครัวอาชีวะบริการอาหาร น้ำดื่ม และซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดย สอศ. บูรณาการการดำเนินงานระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ และสถานศึกษาในพื้นใกล้เคียง ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน
เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า วันนี้ สอศ. ได้ดำเนินกิจกรรม Fix it – อาชีวะจิตอาสา เรียบร้อยแล้ว พร้อมส่งมอบบ้านเรือนที่ซ่อมแซมแล้ว 24 หลัง พร้อมมอบถุงยังชีพ 570 ชุด ที่เป็นเครื่องอุปโภค บริโภค และอาหารกล่องพร้อมเครื่องดื่ม 500 ชุด ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดครู นักเรียน นักศึกษาอาชีวะให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกลการเกษตร และยานพาหนะ มอบพันธ์ุไม้-สอนตอนกิ่ง และฝึกอาชีพระยะสั้นให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากเหล่ากาชาดศรีสะเกษ และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดศรีสะเกษ ดำเนินการนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินภัยอื่นๆ เป็นค่าวัสดุซ่อมแซมที่อยู่อาศัยประจำในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาทั้งในและนอกพื้นที่
นายยศพล กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจกรรม Fix it – อาชีวะจิตอาสา ในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ มุ่งสร้างความมั่นคงในชีวิต และอาชีพของประชาชน Fix it – อาชีวะจิตอาสา คือ Soft Power อาชีวะ ที่แสดงพลังของน้องๆ นักเรียนอาชีวะ พร้อมเสียสละ นำความรู้และทักษะช่วยเหลือสังคม และมั่นใจได้ว่าฝีมือนักเรียน นักศึกษา ได้มาตรฐานวิชาชีพทางด้านช่าง มีคุณภาพ 100 % และเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของ สอศ. ที่มุ่งสร้างสังคมแห่งการให้ ที่ไม่เพียงสร้างช่างฝีมือ แต่ยังสร้างพลังอาชีวะจิตอาสาเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
เลขาธิการกพฐ.กล่าวต่อไปว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ จากการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ร่วมกับคณะ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเยี่ยมชมสภาพจริงในพื้นที่ และรับทราบข้อมูลปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโอกาสและคุณภาพการศึกษาซึ่งเป็นเรื่องที่ได้เรียนรู้สิ่งดี ๆ หลายอย่างกลับมาว่าเราควรปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาคารบ้านพักครู การสะท้อนปัญหาขาดแคลนครูและบุคลากรทางการศึกษา อาคารสำนักงาน ซึ่งการสะท้อนปัญหาเหล่านี้ สพฐ.จะนำมาพิจารณาเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามนโยบาย รองนายกฯและรมว.ศึกษาธิการ ต่อไป ส่วนการจัดทำคำของบประมาณปี 2570 สพฐ.ได้เชิญสำนักงบประมาณมาหารือ เพื่อวิเคราะห์การจัดทำงบประมาณว่าเรื่องไหนควรลด และเรื่องไหนควรเพิ่ม เพราะเราให้ความสำคัญกับนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยจะดำเนินการให้เรียบร้อยภายในเร็ว ๆ นี้ ตามนโยบายของรัฐบาล
ดร.พิเชฐ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สพฐ.ยังได้หารือถึงการปรับหลักเกณฑ์การย้ายผู้บริหารสถานศึกษาและหลักเกณฑ์การสอบบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ(ว.16) ที่เป็นอัตราจ้างในโรงเรียนเกิน 3 ปีแต่ปรากฏว่าคนมีความรู้ ทักษะ ประสบการณ์สอบไม่ผ่าน ซึ่งเป็นประเด็นที่เราจะต้องมาดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร รวมถึงขบวนการคัดเลือกเนื่องจาก สพฐ.ได้รับเสียงสะท้อนว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีข้อจำกัดหลายประเด็น จึงได้ตั้งคณะทำงานไปยกร่างปรับหลักเกณฑ์จากร่างเดิมและจะส่งให้ผู้เกี่ยวข้องประชาพิจารณ์ว่าจะต้องปรับแก้เกณฑ์ตรงจุดไหนบ้าง เพื่อให้ได้หลักเกณฑ์ที่สมบูรณ์ก่อนเสนอให้ ก.ค.ศ.พิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พูดถึงความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก สพฐ. ร่วมกับภาคเอกชนภายใต้โครงการผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน หรือ CONNEXT ED ซึ่งมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการกว่า 7,000 โรงเรียน และมีบริษัทร่วมกว่า 400 แห่ง มีการใช้เทคโนโลยีระบบ Cloud เข้ามาช่วยเก็บรวบรวมสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว พร้อมนำเสนอเรื่องราวดีๆ โดยในวันที่ 19 พ.ย.นี้ สพฐ.จะจัดงาน CONNEXT ED EUCATION FORUM 2025 Thailand’s Education Future อนาคตการศึกษาไทย อนาคตประเทศไทย ณ ห้องประชุมแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 3 อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค (ฝั่ง West) โดยในงานจะมีการจัดกิจกรรม บูธนิทรรศการจากองค์กรภาคเอกชนและโรงเรียน พิธีมอบเกียรติบัตร “โรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีที่มีผลสัมฤทธิ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง” เวทีเสวนา แบ่งปันต้นแบบความสำเร็จโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี ด้วย 5 ยุทธศาสตร์มูลนิธิ และบรรยายพิเศษ “พลเมืองดิจิทัลและทักษะแห่งอนาคตเพื่อเด็กไทย
“กรณีโรงเรียนหมอนทองวิทยา จ.ฉะเชิงเทรา ได้สร้างปรากฎการณ์วงการฟุตบอลเยาวชนให้เป็นกระแสฟีเวอร์ของฟุตบอลนักเรียนจนประชาชนทั่วประเทศต่างชื่นชมนั้น สพฐ.ต้องขอชื่นชมผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงโค้ช ที่ได้มีจิตอาสาพัฒนานักเรียนจนเป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้สอดคล้องกับนโยบาย สพฐ.ที่ได้ทำตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ไม่ว่าจะห้องเรียนกีฬา ดนตรี ซึ่งเป็นโครงการที่เน้นพัฒนาศักยภาพนักเรียนด้านกีฬาควบคู่กับการเรียนวิชาการ มีหลายโรงเรียนโดดเด่น ซึ่งร้อยเอกธรรมนัส และ ศ.ดร.นฤมล ต้องการให้ทำเรื่องนี้ให้ครอบคลุมทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งสพฐ.ก็จะรับมาดำเนินการให้งบฯสนับสนุน เพื่อส่งเสริมให้เด็กไปทิศทางที่เขาชอบ มองเห็นอนาคตตัวเอง นอกจากนี้เราจะสนับสนุนให้มีการแข่งขันระดับพื้นที่ ระดับจังหวัด และในระดับสพฐ.ต่อไป เพราะเรามี สพฐ.เกมส์อยู่แล้ว”เลขาธิการกพฐ.กล่าวทิ้งท้าย
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ลงพื้นที่จังหวัดตรัง เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบาย “เรียนดี มีคุณธรรม” ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษจังหวัดตรัง โรงเรียนบ้านควนสวรรค์ และโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ตรัง โดย ดร.พิเชฐ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการติดตามผลการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ครู และบุคลากร ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนให้ผู้เรียนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมและตรงตามศักยภาพ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)พร้อมเดินหน้านโยบายสำคัญ ได้แก่ การลดภาระและเพิ่มสวัสดิการครู การส่งเสริมการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม รวมถึงการปรับหลักสูตรให้ทันสมัยตอบโจทย์โลกยุคใหม่
ทั้งนี้ในช่วงเช้า เลขาธิการ กพฐ. ยังได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนลำภูราเรืองวิทย์ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ซึ่งมีนักเรียนรวม 379 คน พร้อมรับฟังปัญหา อุปสรรค และสำรวจพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นบ้านพักครูในอนาคต


