ดีพร้อม ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย เดินหน้ายกระดับร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย หวังสร้างรายได้ชุมชนสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย เดินหน้า “โครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก” ตามนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” มุ่งหวังยกระดับร้านอาหารท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่น และสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ และการสร้างให้เกิดเครือข่ายเชฟชุมชนที่เข้มแข็ง และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น

นายสุรพล ปลื้มใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งผลักดันยุทธศาสตร์
การพัฒนาเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนฐานของวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ด้วยการประกาศใช้ “ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” เป็นนโยบายระดับชาติ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากทุนวัฒนธรรมไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากล ขับเคลื่อนผ่านกลไก One Family One Soft Power (OFOS) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนในทุกครัวเรือนสามารถใช้ทุนทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วของตนเอง มาสร้างมูลค่า เพิ่มรายได้ และต่อยอดสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ สามารถเชื่อมโยงกับตลาดในประเทศและต่างประเทศได้ หนึ่งในตัวอย่างของการขับเคลื่อนที่เห็นผลชัดเจนคือการส่งเสริม ซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในมิติที่มีศักยภาพสูงสุดของประเทศไทย เป็นจุดแข็งระดับโลก อาหารไทยไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมทั่วโลกในแง่รสชาติ แต่ยังเป็นสื่อกลางสำคัญในการถ่ายทอดวัฒนธรรม เรื่องเล่า วิถีชีวิต ความคิดสร้างสรรค์และอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่ฝังอยู่ในอาหารทุกจานอย่างชัดเจน ดังนั้น กิจกรรมพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นอาหารไทย ในภูมิภาคต่าง ๆ จึงสะท้อนภาพการนำนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ใช้วัฒนธรรมที่เรามีอยู่แล้วในพื้นที่ มาสร้างสรรค์ให้ทันสมัย โดยสร้างพื้นที่ให้เชฟท้องถิ่นและผู้ประกอบการชุมชนได้แสดงศักยภาพ ถ่ายทอดภูมิปัญญา และพัฒนาเมนูพื้นถิ่น ให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้อย่างมั่นคง และกลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

นายสุรพล ปลื้มใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
หรือดีพร้อม (DIPROM) ขานรับนโยบายการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย (Soft Power) โดยร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ดำเนินโครงการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์สาขาอาหาร 2 โครงการ ได้แก่

1. โครงการยกระดับหนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟอาหารไทย เป็นการมุ่งพัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านอาหารไทยแก่ประชาชนที่สนใจให้เป็นแรงงานทักษะสูง โดยมีหลักสูตรที่ทันสมัยและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดในการประกอบอาชีพได้เป็นอย่างดี อาทิ อาหารไทยต้นตำรับเพื่อการประกอบอาชีพ อาหารไทยสร้างสรรค์เพื่อสุขภาพ ขนมหวานไทยประยุกต์ อาหารไทย Street Food พร้อมขายออนไลน์ ฟิวชั่นอาหารไทยกับรสชาติสากล

2. โครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant)” โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพร้านอาหารชุมชน (HiddenGem) จำนวน 100 กลุ่ม บุคลากรได้รับการพัฒนา จำนวน 400 คน ในพื้นที่
4 ภูมิภาค ได้แก่ 1) ภาคเหนือ 2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3) ภาคกลางและภาคตะวันออก และ 4) ภาคใต้ ผ่าน
การเพิ่มทักษะและองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ อาทิ การคำนวณต้นทุน การบริหารจัดการของเสีย เทคนิคการประกอบอาหารและสร้างสรรค์เมนูใหม่เพื่อนักท่องเที่ยว (เมนูอาหารถิ่น Amazing Thai Taste) นอกจากนี้ ยังยกระดับร้านอาหารเชฟชุมชนสู่ร้านอาหารระดับพรีเมียม การเตรียมความพร้อมร้านอาหารซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่สากล การเชื่อมโยงสู่เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางการตลาด โดยเปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่บัดนี้ – วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ผ่าน www.ofos.thacca.go.th และเริ่มอบรมตั้งแต่สิ้นเดือนนี้เป็นต้นไป

สำหรับการดำเนินงานขับเคลื่อนและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อุตสาหกรรมอาหารทั้ง 2 โครงการนี้
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้นำกลไกของซอฟต์พาวเวอร์มาเป็นเครื่องมือในการสร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าที่โดดเด่น แตกต่าง และตอบโจทย์ตลาด ภายใต้นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ผ่านกลยุทธ์ 4 ให้ ได้แก่ 1. ให้ทักษะใหม่ : ผ่านการอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ พัฒนาเป็นอาชีพและต่อยอดสู่ธุรกิจ 2. ให้เครื่องมือทันสมัย : เสริมศักยภาพด้วยเครื่องมือที่จะช่วยในการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าสินค้า 3. ให้โอกาสโตไกล : เข้าถึงตลาด ช่องทางจัดจำหน่าย และการเข้าถึงแหล่งทุน และ 4. ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน

ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ เป็นส่วนของการดำเนินโครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายสำคัญที่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยี ทั้งในด้านการประกอบอาหารไทย และ Fine Dining มีห้องปฏิบัติการครัวมาตรฐาน ที่สามารถรองรับผู้เข้าอบรมและสามารถจัดการอบรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับเชฟชุมชนให้มีความสามารถในการนำเสนออาหารถิ่นในรูปแบบร่วมสมัย โดยดีพร้อมมุ่งหวังให้มีการยกระดับร้านอาหารท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่น และสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ และการสร้างให้เกิดเครือข่ายเชฟชุมชนที่เข้มแข็ง และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น

ด้าน รศ. ดร. อนินท์ มีมนต์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในฐานะ ผู้อำนวยการกิจกรรมพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นอาหารไทยภาคกลางและภาคตะวันออก กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการพัฒนาร้านอาหารเชฟชุมชนอาหารถิ่นไทย (Local Chef Restaurant) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพของร้านอาหารชุมชนและเชฟท้องถิ่น ให้สามารถนำเสนออาหาร ถิ่นไทยอย่างมืออาชีพ ด้วยมาตรฐานการบริการที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดสากล มีเป้าหมายในการยกระดับร้านอาหารชุมชนให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว เกิดการจ้างงาน และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และการปูพื้นฐานให้ชุมชนก้าวสู่การเป็น “1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์” หรือ One Family One Soft Power ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรม ได้แก่ การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเชฟชุมชนจำนวนไม่น้อยกว่า 120 คน จำนวนไม่น้อยกว่า 30 กลุ่ม การพัฒนาเมนูอาหารถิ่นยอดนิยมให้เกิดมูลค่าเพิ่มทั้งด้านรสชาติ รูปลักษณ์ และการสื่อสารเรื่องราว การให้คำปรึกษาเชิงลึกและการเชื่อมโยงมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารแก่ผู้ประกอบการ และคาดหวังว่า ร้อยละ 80 ของผู้เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ทำให้ชุมชนเกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์อาหารของตนเอง เกิดการกระจายรายได้และการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดการเชื่อมโยงร้านอาหารชุมชนกับสื่อออนไลน์ โดยอาศัย Food Blogger และ Influencer ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 80,000 คน เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

โดยพื้นที่เป้าหมายของโครงการ จะครอบคลุมพื้นที่ 22 จังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก
ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว ซึ่งล้วนมีมรดกอาหารท้องถิ่นอันทรงคุณค่าที่พร้อมจะถูกต่อยอดสู่ตลาดสากล

ศธ.ห่วงใยนักเรียนใช้ AI ในทางผิดฝากครู ผู้ปกครอง เพื่อน ช่วยตักเตือน ไม่ควรนำAIทำร้ายและละเมิดสิทธิผู้อื่น

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงข้อห่วงใยของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จากกรณีที่มีนักเรียนชายรายหนึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตัดต่อภาพเพื่อนนักเรียนหญิงในลักษณะอนาจาร และมีการเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ เน้นย้ำสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง เพื่อน ๆ ช่วยกันตักเตือน ทั้งนี้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิและเสรีภาพในสถานศึกษาเป็นอย่างมาก และเน้นย้ำในเรื่องความปลอดภัยทางร่างกายและจิตใจของผู้เรียนมาโดยตลอดตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง สร้างความเสียหายต่อจิตใจของเพื่อนนักเรียนและครอบครัว รวมถึงกระทบต่อบรรยากาศทางการศึกษาในโรงเรียน

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในเรื่องการศึกษาเป็นสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการผลักดันไปสู่ผู้เรียนอย่างเท่าเทียม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีในวงการศึกษาบ้านเรา แต่ต้องใช้ในทางที่ถูกที่ควร ใช้อย่างสร้างสรรค์ ใช้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้ดีขึ้น แต่หากไม่มีการป้องกันที่ดีจนนำ AI มาใช้อย่างไม่ถูกต้องเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ควรตักเตือนให้เกิดความตระหนักถึงภัยทางไซเบอร์ที่จะตามมา จึงขอให้สถานศึกษา ครู และผู้ปกครองช่วยกันสร้างการรับรู้ให้กับนักเรียนเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม พร้อมเน้นย้ำความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่ควรนำ AI หรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทางที่ผิด ละเมิดสิทธิผู้อื่น นอกจากเป็นเรื่องผิดศีลธรรมยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของตัวเยาวชนผู้กระทำเองด้วย

“กระทรวงศึกษาธิการจะเร่งผลักดันและส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรับผิดชอบในสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยเน้นย้ำบทบาทของครูในการเป็นที่ปรึกษา และผู้ปกครองในการปลูกฝังค่านิยมที่เหมาะสมให้แก่บุตรหลาน ท้ายที่สุดนี้ ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันดูแลเยาวชนที่เป็นผู้เรียนของเรา สร้างสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่ปลอดภัยและเคารพในสิทธิของผู้อื่นอย่างแท้จริง”โฆษก ศธ. กล่าว

สพฐ.วิเคราะห์ภารกิจถ่ายโอนด้านการศึกษาให้ อปท.เตรียมความพร้อมรับแผนกระจายอำนาจฉบับใหม่


เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิเคราะห์ภารกิจถ่ายโอนด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับคณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วย นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ ประธานคณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนด้านการศึกษาฯ นายนรินธรณ์ เซ่งล้ำ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เข้าร่วม ณ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพมหานคร


นายพัฒนะ กล่าวว่า การถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาเป็นกลไกสำคัญที่สนับสนุนการกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งจะช่วยให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมรองรับ (ร่าง) แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ ที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้นี้

“การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับ (ร่าง) แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ (ฉบับที่ 3) ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการเสนอเพื่อให้มีผลบังคับใช้ โดยใช้รูปแบบเวทีเสวนา เปิดพื้นที่ให้ผู้แทนจากหลากหลายภาคส่วนได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เสนอแนะ และสะท้อนความคิดเห็นอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ การประชุมยังมุ่งเน้นการทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดการศึกษา พร้อมจัดทำกรอบระยะเวลา (Timeline) สำหรับการปรับปรุงกฎกระทรวงฯ และประกาศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน”รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ศธ. “ตีปี๊บ”จัดค่ายเยาวชนศึกษาอาเซียน “ชู”AIเทคโนโลยีดิจิทัลแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2568 พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ในฐานะวาระการดำรงตำแหน่งประธานด้านการศึกษาของอาเซียน ระหว่างปี2567-2568 เปิดเผยว่า ในวันที่ 17-20 มิถุนายน 2568 นี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรม“ค่ายเยาวชนอาเซียน ประจำปี 2568” หรือ AYC2025 ภายใต้หัวข้อ “AI แฮกกาธอนเพื่อความยั่งยืนสีเขียว ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี โดยเล็งเห็นถึงบทบาทสำคัญของเยาวชนในฐานะพลังขับเคลื่อนที่สามารถส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศผ่านการศึกษา วัฒนธรรม และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งมี ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย เยาวชนจำนวน 4 คน และครู 1 คน จากประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ (ยกเว้นเมียนมาร์ ได้แจ้งสละสิทธิ์) สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ในฐานะประเทศ ผู้สังเกตการณ์ รวมถึงประเทศคู่เจรจา ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น รวม 13 ประเทศ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวม 86  คน ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ มุ่งเน้นการบูรณาการองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ การบรรยายให้ความรู้ การฝึกปฏิบัติผ่านกิจกรรมแฮกกาธอน การแข่งขันการพัฒนา AI และหุ่นยนต์ ด้วยเครื่องมือซีราคอร์ (CiRA Core) การศึกษาดูงาน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันสุดท้าย จะมีการจัดการแข่งขันนำเสนอผลงาน AI เพื่อความยั่งยืนสีเขียว

ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า สืบเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนปี 2024  ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ในที่ประชุมได้มีการคุยกันว่าการขับเคลื่อนต้องมีหลายมิติ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาเยาวชนในอาเซียนด้วย และเข้ากับเทรนค์ของการประชุม คือ การใช้ AIและเทคโนโลยีในการจัดการศึกษา จึงได้มีการวางแผนในการจัดค่ายเยาวชนอาเซียนในกลุ่มประเทศอาเซียน +3 (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะเน้นเรื่องความเป็นอาเซียน ให้มีความร่วมมือร่วมใจทางการศึกษาและวัฒนธรรรมของเด็กและเยาวชน  และเรื่องของการใช้ AI ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการอยู่แล้ว โดยจะต้องดูว่าจะใช้AIทำอะไรได้บ้าง ซึ่งเท่าที่คุยกันจะใช้ AIในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.)เป็นผู้คัดเลือกนักเรียนไทยเพื่อเป็นตัวแทนเยาวชนในการเข้าร่วมค่ายเยาวชนครั้งนี้

“สำหรับกิจกรรมในค่ายจะมีทั้งการบรรยาย การลงมือปฏิบัติ และการศึกษาดูงานตามแหล่งวัฒนธรรมและแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ โดยการจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนครั้งนี้ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เราได้ให้โอกาสเด็กไทยในการทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี ไปรับเพื่อนจากต่างประเทศต่าง ๆ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยผมได้ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เตรียมเด็กนักเรียนจาก 13 โรงเรียน ให้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีไปคอยให้การต้อนรับไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กและเยาวชนที่มาเข้าค่าย เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ร่วมกันทั้งการใช้เทคโนโลยีร่วมกัน เรียนรู้เรื่องของวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน รวมถึงได้สานสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนกันด้วย ตอบโจทย์ “เรียนดี มีความสุข””รองปลัด ศธ.กล่าว

ด้าน ดร.กฤษฏ์ชัย สมสมาน ผู้อำนวยการศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ (SEAMEO STEM-ED)กล่าวว่า การจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนอาเซียนครั้งนี้ เด็กจะได้รับการฝึกอบรมการใช้AIที่ถูกต้อง ซึ่งวันนี้เราได้นำหุ่นยนต์มาให้เด็กได้ฝึกการบังคับหุ่นยนต์ด้วยAI ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้การทำงานของ AI ให้รู้จักการเทรนเพื่อให้หุ่นยนต์แยกขยะ เด็ก ๆ แต่ละประเทศจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้ฝึกในเรื่องการสื่อสาร และแชร์ความคิดต่างๆร่วมกัน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกามาช่วยเทรน และให้โจทย์ในการแก้ปัญหา ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีการแข่งขันในเรื่องการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยการใช้AI ทั้งนี้เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและภูมิภาคอย่างยั่งยืนในระยะยาวด้วย

สพม.บุรีรัมย์ ลงพื้นที่นิเทศเปิดเทอม “สหวิทยาเขตกระสัง” พร้อมขับเคลื่อนหลักสูตรท้องถิ่น-เสริมคุณภาพโรงเรียน Eco-School


เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายสำราญ อยู่นาน รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)บุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายไพบูลย์ มั่นยืน ประธานสหวิทยาเขตกระสัง นางสาวปราณีต ชึรัมย์ และนางสาวรพีพรรณ สาลีรัมย์ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ ร่วมลงพื้นที่นิเทศ ติดตามการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 โรงเรียนในสังกัดสหวิทยาเขตกระสัง ได้แก่ โรงเรียนสูงเนินพิทยาคม โรงเรียนพลับพลาชัยพิทยาคม และโรงเรียนห้วยราชพิทยาคม

นายสำราญ กล่าวว่า การนิเทศครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายและวิสัยทัศน์ของ สพม.บุรีรัมย์ “พื้นที่คุณภาพ สิ่งแวดล้อมดี สร้างคนดี มีความสุข” โดยมุ่งเน้นการติดตามความพร้อมในการขับเคลื่อนหลักสูตรสถานศึกษา และการพัฒนาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น พร้อมทั้งส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Buriram Open Class 2025 ที่เน้นการศึกษาชั้นเรียน (Lesson Study) นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ตามแนวทาง To be Number One และการพัฒนาโรงเรียนให้เป็น Eco-School ซึ่งโรงเรียนได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และมีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนภาคเรียนนี้อย่างเต็มศักยภาพ

“เสมา 2” ย้ำรอง ผอ.สพท.ช่วย​คุมเข้มป้องกันบุคลากรและนักเรียนจากยาเสพติด-บุหรี่ไฟฟ้า​

เมื่อวันที่​ 9​ มิถุนายน​ 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การยกระดับคุณภาพผู้บริหารการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและวิชาชีพ” ประจำปี 2568​ ณ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จังหวัดปทุมธานี​ โดยมี​ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ร่วมประชุม

นายสุรศักดิ์​ กล่าวว่า​ จากการกล่าวรายงานของนายกสมาคมรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(ประเทศไทย)นับได้ว่าการประชุมสัมมนานี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการส่งเสริมสนับสนุนบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารการศึกษา และยกระดับคุณภาพการศึกษา สามารถที่จะนำไปใช้ในการยกระดับคุณภาพ การบริหารจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและวิชาชีพ รวมถึงการบริหารงาน​ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งสมาคมรองผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ประเทศไทย) เป็นองค์กรวิชาชีพ ผู้บริหารการศึกษา ที่ทำหน้าที่ในการประสาน ส่งเสริมและสนับสนุน การยกระดับคุณภาพการศึกษา ที่มีความมุ่งมั่นและผลักดัน การสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการบริหารจัดการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนทุกช่วงวัย ได้รับการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งในด้านโอกาส ความเท่าเทียม ความเสมอภาค คุณภาพและสมรรถนะที่สำคัญจำเป็น โดยเน้นให้ผู้เรียน “เรียนดี มีความสุข” ภายใต้หลักการ “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน”

“บุคลากรที่มีความสำคัญ ในการขับเคลื่อนจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพนั้นคือ รองผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่รวมพลังการขับเคลื่อน ทั้งระดับผู้บริหารหน่วยงาน ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาทุกระดับ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และจุดเน้น ของกระทรวงศึกษาธิการ​ ​ผมหวังว่า ความรู้ ประสบการณ์ จากการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ จะเพิ่มพูนองค์ความรู้ในการบริหารการศึกษา และส่งเสริมสมรรถนะในการบริหารจัดการยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนได้นำข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งทางด้านวิชาการ ด้านวิชาชีพไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด สามารถนำไปพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศตามตัวชี้วัดการปฏิบัติงานของผู้บริหารการศึกษาต่อไป​“รมช.ศึกษาธิการกล่าวและว่า ขอฝากรองผอ.สพท. และผู้บริหารระดับสูงทุกท่านช่วยกันดูแลในเรื่องของยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา​ โดยร่วมกันทำให้สถานศึกษาเป็นสถานที่ปลอดยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้า ขอให้ทุกท่านช่วยกันสอดส่องดูแลอย่าให้บุคลากรทางการศึกษาหรือลูกๆนักเรียนของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาดด้วย

ผู้ปกครอง-นักเรียน บุก”ศธ”ไม่เอาหลักสูตรใหม่-ไม่เอาแท็บเล็ต-ขาดวิชาคุณธรรม-จริยธรรม-ไร้เวทีฟังความเห็น-อบรมครู

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2568 เมื่อเวลา 09.30 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ปกครองและนักเรียน ได้ เดินทางยื่นหนังสือถึงว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) “ขอคัดค้านการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2568”นำโดย นายธนกฤต ศรีบุญเอียด ประธานกรรมการเครือข่ายตาสรรค์ สำนักความปลอดภัยและร้องทุกข์เพื่อการสอบสวน โดยมีตัวแทนจากสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)รับเรื่อง โดยนายธนกฤต กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง นักเรียน และครูถึงการปรับหลักสูตรใหม่ เนื่องจากการปรับหลักสูตรใหม่นั้นยังขาดเรื่องวิชาคุณธรรมและจริยธรรม อยากให้มีการคงหลักสูตร 8 กลุ่มสาระวิชาการเรียนรู้เอาไว้ แต่ถ้าต้องการปรับเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ก็ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ จะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากครู นักเรียน และผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และภาคธุรกิจหลากหลายสายอาชีพอย่างทั่วถึง ใช้เวทีทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ เวิร์กช็อป และฟังเสียงจากโรงเรียนทุกประเภทด้วย

นายธนกฤต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ควรมีการวิเคราะห์ผลกระทบ โดย สพฐ.จะต้องมีการศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละข้อจะส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรต่อคุณภาพผู้เรียน และความพร้อมของครูจะต้องมีการอบรมครูทุกสังกัดก่อน ตรงนี้เราพร้อมหรือยัง รวมถึงโครงสร้างงบประมาณของรัฐ ขณะเดียวกันจะต้องมีการนำร่องก่อนใช้จริงทั่วประเทศ ควรทดลองใช้หลักสูตรใหม่ในบางพื้นที่ก่อน เพื่อวัดผล ปรับปรุง และวิเคราะห์ความพร้อมก่อนประกาศใช้ในวงกว้าง ทั้งนี้จะต้องอิงข้อมูลการวิจัยและมาตรฐานสากลหลักสูตรควรอ้างอิงแนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ The Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ยูเนสโก และประเทศที่มีระบบการศึกษาดี เช่น ประเทศฟินแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และที่สำคัญต้องเตรียมระบบสนับสนุนก่อนประกาศใช้ ซึ่งครูต้องได้รับการอบรมล่วงหน้าด้วย

“โดยหลักการการจะเปลี่ยนแปลงหลักสูตร จะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมพิจารณาหลักสูตร ไม่ใช่ปล่อยให้ข้าราชการบางส่วน และนักวิชาการไม่กี่คนทำ จะต้องมีประชาชนอย่างน้อย 50% ร่วมพิจารณาทำหลักสูตร ที่สำคัญต้องเปิดให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพเข้ามาร่วมแสดงความเห็น เพื่อร่วมวางอนาคตของประเทศ  และในการปรับปรุงหลักสูตรต้องมีการทำทุก 10  ปี โดยต้องมีการประเมินและปรับปรุง ที่สำคัญคือต้องมีประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความเห็นจากทั้งนักเรียน ผู้ปกครองและประชาชนหลากหลายอาชีพ  ต้องมีการอบรมครู ต้องมีการนำร่อง แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการดำเนินการเลย และจากที่ครูซึ่งเข้ามาร่วมร้องเรียนบอกว่า หลักสูตรใหม่ขาดเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ก็อยากให้นำเรื่องนี้กลับมา”นายธนกฤต กล่าวและว่า ส่วนเรื่องแท็บเล็ต ได้มีการยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) แล้ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า จะดำเนินการแบบเช่าซื้อ ดังนั้นก็อยากให้ช่วยกันตรวจสอบการดำเนินการด้วย เพราะเป็นเงินของแผ่นดิน

ด้าน นางสุรีย์ เนตระนะ ผู้ปกครอง นักเรียน วัดสังเวช กทม. กล่าวว่า อยากให้ใช้หลักสูตรเก่าต่อไป  อยากให้ลูกเรียนกับครู เพราะทุกวันนี้เวลาอยู่บ้านลูกก็ติดมือถือมากอยู่แล้ว ถ้าไปโรงเรียนก็จะให้ใช้แท็บเล็ต ซึ่งครูอาจจะไม่ได้เฝ้าดูเด็กตลอดเวลา เด็กก็จะกดไปอย่างอื่นได้ กลัวว่าจะควบคุมไม่ได้ อยู่บ้านก็คุมยากอยู่แล้ว เชื่อว่า หลักสูตรเก่าน่าจะดูแลเด็ก ๆได้ดีกว่า และ ครูจะได้ใกล้ชิดเด็กมากกว่าด้วย เด็กบางคนอยู่ ม.2 แล้วยังอ่านหนังสือไม่ได้เลย ทีนี้ยิ่งแท็บเล็ตมายิ่งไปกันใหญ่หรือ ถ้าถามว่าเรากลัวไปก่อนรึเปล่า มันก็ต้องกลัว เพราะพอเราเปิดกว้างเด็กก็ยิ่งไปกันใหญ่ กลัวว่าจะเด็กติดโซเชียลมากขึ้นไปอีก

โปรดเกล้าฯ”ธนู”นั่ง เลขาธิการ ก.ค.ศ.”ปรีดี”รองปลัดศธ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ได้มีประกาศสำนักงานนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายธนู ขวัญเดช พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)
2. นายปรีดี ภูสีน้ำ พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ผู้สนองพระบรมราชโองการ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ศธ.ขอแปรญัตติ3โครงการตกหล่น ไม่ขอเพิ่มงบฯ-เดินหน้าประกาศเช่าซื้อแท็บเล็ต-โน๊ตบุ๊ค พร้อมปรับปรุงจัดพิมพ์หนังสือองค์การค้าฯรูปแบบใหม่

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ(พิเศษ)เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่ผ่านมา งบประมาณที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ได้รับการจัดสรรจำนวน สามแสนห้าหมื่นบาทเศษ(355,108.4775)ต้องมีการนำไปเสนอถึงสาเหตุความจำเป็น ซึ่ง ศธ.คงไม่ทำคำขอแปรญัตติเพิ่ม แต่จะขอแค่โครงการที่ตกหล่นตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่ออกมาหลังคำของบประมาณเข้าเล่มไปแล้ว ซึ่งงบฯดังกล่าว ศธ.จะต้องของบประมาณมาขับเคลื่อนต่อไป เช่น เงินอุดหนุนรายบุคคลในส่วนของเงินสมทบเป็นเงินเดือนครู ของ สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)  เงินอุดหนุน เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้สอนในศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา)และ แผนส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม”ซึ่งจะต้องมีงบประมาณมาดำเนินการเพื่อพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ ต่อไป

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ ทุกเวลา Anywhere Anytime”ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ตอนนี้อยู่ในช่วงการเชิญชวนบริษัทเข้ามาจัดซื้อจัดจ้าง โดยวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์(e-bidding)ซึ่งจะมีการเสนอประกวดราคาประมาณต้นเดือนกรกฎาคมนี้  ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวเราจะต้องได้ของที่มีคุณภาพสูง เพราะเด็กจะต้องใช้ถึง 5 ปี ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนการจัดพิมพ์หนังสือเรียนองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)นั้นคงต้องปรับรูปแบบใหม่ ซึ่งประเด็นที่สมาชิกสภาผู้ราษฎรอภิปรายก็มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าเรื่องที่มีปัญหามากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์หนังสือ ดังนั้นเราก็ต้องมาปรับรูปแบบบริหารจัดการใหม่ ให้ถูกต้อง โปร่งใส

อดีตข้าราชการครู สุดทน ลุกขึ้นสะท้อนต้นตอปัญหาการศึกษาไทย

นายสานิตย์ พลศรี นายกสมาคมครูชนบทจังหวัดชัยภูมิ  ฐานะอดีตข้าราชการครู จังหวัดชัยภูมิ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กล่าวถึง ปัญหาคุณภาพด้านการศึกษาประเทศไทยตกต่ำมาโดยตลอด ว่า เกิดจากสาเหตุคือความจริงที่ทุกคนไม่ยอมรับ ผมขอพูดในฐานะอดีตข้าราชการผู้ใหญ่ในกระทรวงและเครดิตแก่อดีตข้าราชการผู้ใหญ่ ชัยภูมิ

1) คนเป็นรัฐมนตรีไม่มีความรู้เรื่องการศึกษา

2) ผู้บริหารการศึกษา นักวิชาการไม่มีอิสระในการทำงาน

3) ไม่ยึดรัฐธรรมนูญ ไม่ยึดพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ไม่ยึดแผนปฏิรูปประเทศและไม่ยึดแผนการศึกษาชาติ

4) ไม่ยึดหลักสูตรอิงมาตรฐานในศตวรรษที่ 21 พุทธศักราช 2551และฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560

5) ไม่เคยมีการประเมินหลักสูตร ไม่เคยทำการวิจัยหลักสูตรการศึกษา จะรู้ได้อย่างไรว่าหลักสูตรมีปัญหาตรงไหนหรือมีปัญหาที่ผู้ใช้ในการจัดการเรียนการสอนยังไม่ดีพอ

6) ทำการศึกษาเป็นเรื่องธุรกิจการศึกษา(ตามที่นักการเมืองอภิปรายในสภาเมื่อวันอภิปรายการจัดสรรงบประมาณของประเทศ)

7) สวนกระแสโลก สวนกระแสประเทศที่พัฒนาแล้วและสวนกระแสทางสังคมโลกในการใช้สื่อการศึกษา

8) กรรมการในบอร์ด กพฐ.หรือ กอศไม่มีความรู้เรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐาน และอาชีวศึกษา เพราะกรรมการ ส่วนใหญ่มาจากการอุดมศึกษา มาจากเอกชน หรืออดีตเจ้านาย จึงไม่มีความรู้เรื่องการศึกษาดีพอ จะเห็นได้จากการจัดการศึกษาในระดับการอุดมศึกษาก็ยังใช้วิธีการในการสอนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังสอนแบบPassive learning เหมือนเดิม แต่กระทรวงศึกษาธิการกลับยึดตามกรรมการ กพฐ กอศ แล้วมันจะได้อะไร

9) การจัดสรรงบประมาณในการซื้อหนังสือแบบเรียน รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการไม่เคยทำการสำรวจว่าเพียงพอหรือไม่ จัดสรรงบประมาณก็ไม่เพียงพอ จึงขัดต่อการศึกษาของรัฐคือเรียนฟรี 15 ปี หากมีการฟ้องร้องในเรื่องนี้คนที่ได้รับผลกระทบคือผู้บริหารโรงเรียน

10) ระบบราชการและกระทรวงศึกษาธิการยังให้ความสำคัญต่องานวิชาการด้านการศึกษาน้อยมาก แต่กลับให้ความสำคัญการบริหารงานบุคคลมากกว่างานวิชาการ จึงทำให้เกิดการวิ่งเต้นในการแสวงหาตำแหน่งมากว่า แม้แต่การสรรหาผอ.เขตพื้นที่การศึกษาในปี 2565 ยังลดหลักเกณฑ์ของคะแนน ภาค ก.(ภาคความรู้ลงจากร้อยละ 60 ลงมาเป็นร้อยละ 50) กลับไปเพิ่มคะแนนในภาค ข.และภาค ค. เช่นเดียวกับการสรรหา ผอ อาชีวศึกษา จึงทำให้ผู้ที่ได้คะแนนในภาค ข. ภาค คือสูงได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง แบบไม่มีความโปร่งใสเพราะประกาศผลสอบถึง 2 ครั้ง ของการคัดเลือก ผอ เขต โดยอ้างว่าประมวลผลคะแนนผิด โยนความผิดให้มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งรับผิดไป คนที่สอบได้คะแนนภาคความรู้เกินร้อยละ 70-80 กลับไม่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเพราะไม่มีเส้นสายหรือโง่แต่สอบเก่ง เช่นเดียวกับการสอบ ผอ อาชีวศึกษา

11) กระทรวงศึกษาธิการใช้หลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งประธานอ.ก.ค.ศ..เขตพื้นที่การศึกษาที่ใช้ตำแหน่งวิทยฐานะเชี่ยวชาญเป็นประธานอ.ก.ค.ศ.(กระทรวงศึกษาคงคิดและเข้าใจว่าคนมีตำแหน่งเชี่ยวชาญทุกคนเป็นคนดีมีความรู้ มีความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โกง ไม่กิน เป็นอย่างนั้นไป)

12) รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณเพื่อเช่าซื้อสื่อดิจิตอล(แท็บเล็ต โน้ทบุ๊คและไอแพด)จำนวน 2,900 ล้านบาทเศษ โดยไม่คำนึงถึงปัญหาในการใช้ลื่อดิจิตอล ไม่สนใจกระแสโลก ในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นในประเทศอเมริกา ประเทศในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย ได้ออกกฎหมายคุ้มครองห้ามเด็กนักเรียนใช้สื่อดิจิตอลในโรงเรียนเพราะจะทำให้รบกวนสมาธิในการเรียน ทำให้เด็กนักเรียนสมาธิสั้น ติดเกมส์ ติดสื่อลามก มีความเสี่ยงและอันตรายยิ่งกว่ายาเสพติดด้วยซ้ำไป และในประเทศแถบเอเชียก็เช่นเดียวกัน แม้แต่ประเทศจีนยังจัดหลักสูตรให้ครูได้ทำการศึกษาเพื่อให้ครูสามารถนำไปใช้สอนAIหรือปัญญาประดิษฐ์ได้

เพราะไม่ต้องการให้เด็กนักเรียนตกเป็นทาสสื่อคอมพิวเตอร์ ประเทศไทยจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนเพราะสังคมก้มหน้าจะระบาดไปทั่วหัวระแหง ด้วยสาเหตุนี้นี่เองที่ทำให้การศึกษาของประเทศไทยตกไปอยู่ลำดับที่ 107 ของโลกตามข้อมูลขององค์กรการศึกษาโลกได้ทำการสำรวจและได้ประกาศอย่างเป็นทางการ เราจึงรู้ว่าการศึกษาไทยแพ้แม้กระทั่งประเทศลาว เราชนะเพียงประเทศเมียนมาและประเทศกัมพูชาเท่านั้น

นี่คือความล้มเหลวของการจัดการศึกษาที่ตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อ สาเหตุเกิดจากสิ่งเหล่านี้ นี่เอง

เครดิต สานิตย์ พลศรี : ชัยภูมิ

(ในสายตาของผู้เขียนที่เป็นอดีตข้าราชการครู จังหวัดชัยภูมิ สังกัด สพฐ.)