“ผลการจัดลำดับความสามารถทางการแข่งขันของไทยหล่นวูป !!!”อรรถพล”เสนอแนวทางการยกระดับ IMDดึงนักลงทุนด้านการศึกษาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2568 ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการและเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่าสถาบัน IMD ได้ประกาศผลรายงานการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันหรือ World Competitiveness Report ประจำปี 2025 โดยผลการจัดอันดับในภาพรวมพบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ซึ่งอันดับลดลงจากปีที่ผ่านมา5 อันดับ ในขณะที่ผลการจัดอันดับด้านการศึกษา ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 55 ซึ่งอันดับลดลงจากปีที่ผ่านมา 1 อันดับ จากประเทศที่เข้าร่วมการจัดอันดับทั้งสิ้น 69 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้แม้ผลการจัดอันดับด้านการศึกษาของประเทศไทยจะลดลงจากปีที่ผ่านมาแต่ประเทศไทยมีพัฒนาการทางการศึกษาที่น่าสนใจ ดังนี้ 1 แม้ว่าการจัดลำดับของประเทศไทยจะต่ำลง แต่จำนวนประเทศเข้าร่วมจัดลำดับเพิ่มขึ้น ค่าเปอร์เซ็นไทล์เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาได้ดีมากขึ้น โดยในปี 2025 ประเทศไทยอยู่ในเปอร์เซ็นไทร์ที่ 20.6%ซึ่งถือว่าดีกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย(ดูรูปภาพประกอบ)

ดร.อรรถพล กล่าวต่อไปว่า ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่ประเทศกำลังเผชิญโดยการศึกษาถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญและน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยดีขึ้น  เมื่อเปรียบเทียบผลการจัดอันดับด้านการศึกษาของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะพบว่า อันดับที่ 1 ประเทศสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 8 ลดลง 5 อันดับ จากปีที่ผ่านมา อันดับที่ 2 ประเทศมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 44 เท่ากับปีที่ผ่านมา อันดับที่ 3 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 55 ลดลงจากปีที่ผ่านมา 1 อันดับ อันดับที่ 4 ประเทศอินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 62 ลดลงจากปีที่ผ่านมา 5 อันดับ อันดับที่ 5 ประเทศฟิลิปปินส์อยู่ในอันดับที่ 63 เท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มผลการจัดอันดับทางการศึกษาที่ลดลงเกือบทุกประเทศ ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งรัดการพัฒนาการศึกษาเพื่อรักษาตำแหน่งทางการศึกษาของประเทศไทย ให้เป็นหนึ่งในประเทศแนวหน้าทางการศึกษาในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“จากข้อมูลดังกล่าว ผมขอเสนอแนวทางการยกระดับ IMD 2025 ดังนี้ 1) ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาการปรับปรุงข้อมูลทางการศึกษาให้ถูกต้องและทันสมัย ในระบบฐานข้อมูลทางการศึกษาในระดับนานาชาติฐาน ข้อมูลสำคัญที่ IMD ให้เป็นข้อมูลหลักในการจัดอันดับทางการศึกษาประกอบด้วย ฐานข้อมูล UIS ขององค์การยูเนสโก้ และฐานข้อมูล INES ขององค์การ OECD โดยฐานข้อมูล UIS ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการจัดเก็บข้อมูลให้มีความครบถ้วนและทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะทำให้ข้อมูลสถิติทางการศึกษาของประเทศไทยดีขึ้น ขณะที่ฐานข้อมูล INES ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในระหว่างการจัดเก็บข้อมูลเข้าสู่ฐานข้อมูลดังกล่าวอยู่ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ฐานข้อมูลดังกล่าวมีความครบถ้วนทันสมัย 2) ภาคเอกชนยังไม่ยอมรับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยแม้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจะมีความร่วมมือและโครงการพัฒนาการศึกษากับภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก แต่มุมมองของภาคเอกชนที่มีต่อระบบการศึกษาไทยยังไม่ดีขึ้น สะท้อนให้เห็นจากผลการสำรวจความคิดเห็นของภาคเอกชนที่มีต่อระบบการศึกษาไทย ที่ทุกตัวชี้วัดมีค่าคะแนนที่ลดลงในทุกตัวชี้วัดอย่างต่อเนื่องมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี ดังนั้นการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการพัฒนาการศึกษา จึงต้องเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับร่วมให้ความเห็นและร่วมดำเนินการ มาสู่การร่วมกำหนดนโยบายและร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษา 3) ตัวชี้วัดบูรณาการจะเป็นอีกหนึ่งคำตอบของการยกระดับผลการจัดอันดับ IMD ควรผลักดันให้คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้การยกระดับผลการจัดอันดับIMDเป็นตัวชี้วัดบูรณาการของส่วนราชการเพื่อจะทำให้การดำเนินการมีการกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจนและมีการวัดผลความสำเร็จอย่างมีความรับผิดชอบแม้ในหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยจะไม่สามารถทำให้ผลการจัดอันดับด้านการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยสำคัญ แต่เมื่อพิจารณาเจาะลึกในรายละเอียดแต่ละตัวชี้วัดจะพบว่าตัวชี้วัดส่วนใหญ่ที่เป็นตัวชี้วัดสถิติทางการศึกษา(HardDataIndicators) มีแนวโน้มที่ดีขึ้นมีค่าที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกตัวชี้วัดสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีพัฒนา การทางการศึกษาแต่ความเร็วของพัฒนาการดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศไทยมีความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาแซงหน้าประเทศอื่นๆดังนั้นการพัฒนาการศึกษาจะต้องดำเนินการให้มีความเข้มข้นขึ้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จากผลประเมินดังกล่าว ผมอยากฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ได้ถอดบทเรียนการยกระดับ IMD เพราะผลการประเมินเป็นหนึ่งในชี้วัดคุณภาพการศึกษาและศักยภาพของประเทศที่นักลงทุนจะเลือกมาลงทุน ซึ่งจะส่งผลต่อภาพเศรษฐกิจของประเทศต่อไป”อดีตปลัดกระทรวงศึกธิการและเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าว

ศาลอาญาฯชี้ช่องให้”โรงพิมพ์รุ่งศิลป์”แก้ไขคำฟ้ององค์การค้าสกสค.ให้ชัดเจน ขณะที่องค์การค้าฯต้องตอบให้ได้ว่าเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐประเภทไหน-ขีดเส้น30วัน นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 22 กรกฎาคม

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ศาลอาญาฯได้พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อท 104/2568 ซึ่งบริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายภกร รงค์นพรัตน์ รองผู้อำนวยการองค์การค้า ของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าสกสค.) เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน คดีนี้เป็นกรณีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำการโดยทุจริตในการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติผู้ยื่นข้อเสนอประกวดราคาจัดจ้างผลิตกล่องบรรจุแบบเรียน 3 รายการ ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567

ทั้งนี้ ศาลอาญาฯได้ตรวจคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์ รวมถึงรายงานเจ้าพนักงานคดีในชั้นตรวจฟ้องฉบับลงวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ศาลฯเห็นว่าเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนในการตรวจฟ้อง จึงให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องโดยบรรยายให้ชัดเจนภายใน 15 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.ให้โจทก์ตรวจสอบว่าจำเลยทั้ง 4 เป็นเจ้าพนักงานหรือไม่ หากเป็น ให้ระบุตามกฎหมายใด พร้อมแนบเอกสารประกอบ 2.ให้แนบข้อบังคับ สกสค. พ.ศ. 2562 ข้อ 6 (14) เป็นเอกสารท้ายฟ้อง หรือนำส่งต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณา เนื่องจากโจทก์บรรยายฟ้องว่า องค์การค้าของ สกสค. เป็นส่วนงานใน สกสค. ตามข้อบังคับดังกล่าว และ 3.ให้บรรยายพฤติการณ์แห่งการกระทำหรือมูลเหตุจูงใจของจำเลยทั้ง 4 ว่า มีเจตนากระทำการตามฟ้องเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หรือมีเจตนาทุจริตอย่างไร พร้อมให้โจทก์ชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนและเพียงพอต่อการพิจารณา

นอกจากนี้ ศาลฯยังเห็นควรมีหนังสือถึงองค์การค้าของ สกสค. เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงและส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน ในหลายประเด็น อาทิ สถานะองค์การค้าของ สกสค.ว่าเป็นหน่วยงานรัฐหรือไม่ ประเภทใด อยู่ในสังกัด หรือกำกับดูแลของหน่วยงานใด มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ สกสค.อย่างไร และจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือประกาศใด, และจำเลยทั้ง 4 เกี่ยวข้องกับการประกวดราคาจ้างผลิตกล่องฯ ทั้ง 2 ครั้งตามฟ้องหรือไม่, หลักเกณฑ์การพิจารณาเงื่อนไขคุณสมบัติผู้ยื่นข้อเสนอการประกวดราคาจ้างผลิตกล่องฯ รวมถึงที่มาและเหตุผลในการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเป็นอย่างไร เป็นเงื่อนไขที่มีการกำหนดขึ้นอยู่ก่อนแล้วที่จะมีข้อพิพาทกับโจทก์หรือไม่อย่างไร ตลอดจนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ศาลได้เลื่อนไปนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น.

“สุรศักดิ์”เข้า ศธ.ลาข้าราชการ ฝาก รมต.ใหม่โครงการไหนดีอยากให้สานต่อ

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เดินทางเข้ามาเพื่อกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงศึกษาธิการ และเซ็นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการมามอบดอกไม้และพวงมาลัย เพื่อเป็นการอำลาเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ นายสุรศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ ว่า วันนี้รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยได้ทำตามมติของกรรมการบริหารพรรคโดยการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลและลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีทุกตำแหน่ง รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทย เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่เสียงข้างน้อย คือ ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ฝ่ายบริหาร แต่ก็ยังต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เกรงว่าอาจจะไม่ได้รับการสานต่อเมื่อต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีใหม่ นั้น โดยส่วนตัวตนเชื่อว่าผู้บริหารที่จะเข้ามาบริหารใหม่ ถ้านโยบายที่ทำไว้เกิดประโยชน์ ก็ต้องสานต่อ หรือ ถ้าบางเรื่องยังมีปัญหาก็ต้องแก้ไข เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา เชื่อว่าทุกคนที่จะเข้ามาล้วนแต่มีความสามารถและตั้งใจที่จะทำงานให้ประเทศชาติและกระทรวงศึกษาธิการ

“ที่ผ่านมาพลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ และ ผม พยามยามผลักดันเรื่องโครงการเรียนดี มีความสุข ลดภาระครู ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง มาโดยตลอด ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการยกเลิกครูเวร การขยายโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนขยายโอกาส การคืนภารโรง การใช้ระบบย้ายครู TRS  การยกเว้นหรือเพิ่มทางเลือกการแต่งชุดลูกเสือ การทำสุขาดีมีความสุข หรือแม้แต่นโยบายเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา Anywhere Anytime ที่จะเป็นการลดภาระนักเรียนและเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งผมเชื่อว่าผู้บริหารใหม่ที่จะเข้ามาก็จะผลักดันต่อไปให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น”นายสุรศักดิ์กล่าว

มทร.ธัญบุรี คว้า 12 รางวัลเวทีนวัตกรรมระดับนานาชาติ เซี่ยงไฮ้ 2025

เมื่อวันที่ 18 ,b56okpo 2568 รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) เปิดเผยว่า ตามที่มทร.ธัญบุรี ได้ส่งงานวิจัยและนวัตกรรม เข้าร่วมเวทีระดับนานาชาติ “The 8th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo 2025” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11–13 มิถุนายน 2568 ณ Shanghai World Expo Exhibition & Convention Center นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ปรากฎว่า สามารถคว้ารางวัลจากเวทีระดับนานาชาติ ครั้งนี้ถึง 12 รางวัล ซึ่งผลสำเร็จในครั้งนี้เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการพัฒนางานวิจัยที่ไม่เพียงตอบโจทย์ชุมชนในประเทศ แต่ยังสามารถขยายผลสู่ระดับสากล ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ โดยมีการบูรณาการองค์ความรู้ที่หลากหลาย ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คหกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และการแพทย์บูรณาการ ตลอดจนความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อการพัฒนานวัตกรรมที่ใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม

สำหรับผลงานที่ได้รับรางวัล ประกอบด้วยเหรียญทอง (Gold Medal) จำนวน 6 รางวัล รางวัลพิเศษ Special Award 4 รางวัล และรางวัล NRCT Honorable Mention Award อีก 2 รางวัล ประกอบด้วย (1) ผลงาน PolyCat: A Reusable Catalyst for Upgradings Bio-Oil ได้รับรางวัล Gold Medal และNRCT Special Award โดยนายณัฐวุฒิ รอดทุกข์ น.ส.เนตรนภา กำลังมาก รศ.ดร.ปรียาภรณ์ ไชยสัตย์ และรศ.ดร.อมร ไชยสัตย์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2) ผลงาน AntibacDotFilm: Polyvinyl alcohol film mixed sugar derived-carbon dots for food packaging with antibacterial activity ได้รับรางวัล Gold Medal และNRCT Special Award โดยน.ส.พัชรพร ขาวเผือก และรศ.ดร.กนกอร เวชกรณ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (3) ผลงาน Eco-friendly textile inovations employ natural dyes derived from Dry Areca nut (Areca catechu) ได้รับรางวัล Gold Medal และNRCT Honorable Mention Award โดยนายภวัณพัสตร์ แก่นแก้ว และผศ.ดร.ศุภนิชา ศรีวรเดชไพศาล คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์

(4) ผลงาน Advanced electrochemical innovation combined with a nanobubble system for seafood transportation business ได้รับรางวัล Gold Medal และ NRCT Special Award โดยนายวัชรพงษ์ นารีจันทร์ น.ส.นวลลออ ยามาโอะ และรศ.ดร.ฉัตรชัย พลเชี่ยว คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย รศ.ดร.สรพงษ์ ภวสุปรีย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และบริษัท วอเทอร์ป๊อก จำกัด (5) ผลงาน Innovative triple-action anti-aging facial scrub, mask and serum incorperating Golden flower extract beads prepared by synergistics Niosomes and Fluid-Bed coating technology ได้รับรางวัล Gold Medal และ NRCT Special Award โดย รศ.ดร.กรวินวิชญ์ บุญพิสุทธินันท์ คณะการแพทย์บูรณาการ ร่วมกับบริษัท ริชโกลด์บิวตี้แอนด์เฮลท์ จำกัด (6) ผลงาน Fluid- Bed drying of Chlorophyll petlets: An anti-oxidant with superior stability and controlled release ได้รับรางวัล Gold Medal และ NRCT Honorable Mention Award โดย รศ.ดร.กรวินวิชญ์ บุญพิสุทธินันท์ คณะการแพทย์บูรณาการ ร่วมกับ บริษัท ริชโกลด์บิวตี้แอนด์เฮลท์ จำกัด

ทั้งนี้ รางวัลพิเศษ NRCT Special Award และ NRCT Honorable Mention Award ที่นักวิจัยจาก มทร.ธัญบุรี ได้รับในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ NRCT Special Award Competition ซึ่งจัดโดย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อเชิดชูเกียรตินักวิจัยไทยที่สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับนานาชาติ โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานมอบรางวัลให้กับคณะนักประดิษฐ์ไทยได้รับการยอมรับจากเวทีเซี่ยงไฮ้ พร้อมกล่าวชื่นชมถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยในการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ

มทร.ธัญบุรี ยังคงเดินหน้าส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพ ต่อยอดจากห้องปฏิบัติการสู่ชุมชน อุตสาหกรรม และเวทีโลก โดยเปิดกว้างให้นักศึกษา คณาจารย์ และพันธมิตรทุกภาคส่วน เข้ามาร่วมขับเคลื่อนการวิจัยเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวด้านนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยได้ที่เว็บไซต์ https://www.rmutt.ac.th และเพจ https://www.facebook.com/rmutt.official  บน Facebook.

สพม.บุรีรัมย์ – กสทช. ขับเคลื่อนเยาวชนสู่สังคมดิจิทัล จัดอบรมหลักสูตร “เด็กยุคดิจิทัลเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี” เสริมทักษะดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์

เมื่อวันที่ 18-19 และ วันที่ 25-26 มิถุนายน 2568 ณ หอประชุมโรงเรียนเหลืองพนาพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)บุรีรัมย์  ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัดโครงการ “พัฒนาทักษะสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสู่สังคมดิจิทัล” ภายใต้ภารกิจบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม กลุ่ม 3 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง) โดย สิบตำรวจตรี ดร.นปดล นพเคราะห์ ผอ.สพม.บุรีรัมย์ เป็นประธานเปิดโครงการ และนางรังสิยา ศรีจันทา ผู้อำนวยการโรงเรียนเหลืองพนาพิทยาคม กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์ และกรรมการสถานศึกษา ร่วมในพิธี

สำหรับวัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ คือการพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่จำเป็นในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเหมาะสม ปลอดภัย และสร้างสรรค์ ภายใต้บริบทของการเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยออกแบบหลักสูตรเฉพาะชื่อว่า “เด็กยุคดิจิทัลเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี” เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กสทช. สะท้อนถึงความตั้งใจในการยกระดับศักยภาพเยาวชนไทยให้สามารถอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างมีคุณภาพ แบ่งการจัดอบรมออกเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นที่ 1: วันที่ 18-19 มิถุนายน 2568 สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 100 คน และ รุ่นที่ 2: วันที่ 25-26 มิถุนายน 2568 สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 100 คน โดยกิจกรรมตลอดการอบรมจะเน้นการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ การทดลองใช้เทคโนโลยีจริง การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล รวมถึงความปลอดภัยในการใช้โซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ต
การอบรมครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการปูพื้นฐานสู่การเป็น “พลเมืองดิจิทัล” อย่างแท้จริง ให้เยาวชนไทยสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อเรียนรู้ พัฒนา และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยตนเอง

ผอ.ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขต11 ออกมารักษาสิทธิผู้สมัครสอบครูคนพิการต้องได้รับความเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ดร.รังสิสวุฒิ สุวรรณ์โรจน ผู้อำนวยการ(เชี่ยวชาญ) ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 11 จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ตนได้ทำหนังสือ ขออุทธรณ์ร้องทุกข์การสอบบรรจุครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ปี พ.ศ.2568 ต่อ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)โดยยื่นหนังสือผ่านสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เพื่อขอให้ทบทวนการประเมินให้คะแนน ภาค ค ของคณะกรรมการประเมินที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) ซึ่งใช้เกณฑ์ ว2/2567 ตามหนังสือคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่ 0206.6/148 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2568

ดร.รังสิสวุฒิ กล่าวต่อไปว่า สืบเนื่องจาก ขณะนี้มีผู้สมัครสอบฯหลายรายได้ร้องขอความเป็นธรรมในการให้คะแนนภาค ค ของคณะกรรมการประเมินฯ นายณัฐศวิชญ์ สุวรรณ์โรจน์ บุตรชายของตนซึ่งเป็นผู้พิการทางการได้ยิน ก็ได้สมัครสอบในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่ง นายณัฐศวิชญ์ ได้ทำบันทึกคะแนนภาค ค ว่า เขาเป็นพนักงานราชการในศูนย์การศึกษาพิเศษ เขต 11 ระยะเวลาการทำงาน 7 ปี 6 เดือน 10 วัน แต่ได้คะแนนประเมินภาค ค ซึ่งเป็นคะแนนวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ เพียง 24 คะแนน เท่านั้น ซึ่งดูตามหลักเกณฑ์แล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะคะแนนวิทยาศาสตร์ มีองค์ประกอบการประเมินที่ชัดเจน เช่น ประวัติและผลงานซึ่งได้รับการรับรองจากผู้อำนวยการสถานศึกษา คะแนนรวม 50 คะแนน แยกเป็น 1) ระยะเวลาหรือจำนวนปีที่ปฏิบัติหน้าที่สอนในสถานศึกษา 1.1) ระยะเวลาตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป 20 คะแนน 1.2) ระยะเวลาตั้งแต่ 1-15 ปี ปีละคะแนน เป็นต้น ซึ่งนายณัฐศวิชญ์ รวมคะแนนแล้วหายเป็น 10 คะแนน เมื่อประกาศผล  ของทุกๆคนใด้เห็นสิ่งผิดปกติ  จึงให้กลุ่มบุคคลศูนย์ฯรวบรวมข้อมูล  ปรากฏว่ามี 1 คน ทั้ง ๆ ที่ทำงานใด้ไม่กี่ปีและสอบข้ามภาคใด้คะแนนสูงมาก 48 คะแนน ขณะที่ ลูกชายตนใด้คะแนน เพียง 24คะแนน ซึ่งตนก็ได้ทักท้วงไปยังผู้เกี่ยวข้อง สศศ.ให้คณะกรรมการยืนยันคะแนน และคณะกรรมการได้ยืนยันคะแนนเดิม ตนจึงได้ทำหนังสือขออุทธรณ์ร้องทุกข์ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม คะแนน ภาค ก และภาค ข ตนไม่ได้ติดใจ แต่ภาค ค อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย คะแนนส่วนนี้ไม่ปกติ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งครูสอนคนพิการต้องรักษาสิทธิของตัวเอง เพราะเขาทุ่มเทสอนและอยู่กับเด็กที่มีความจำเป็นพิเศษมาหลายปี บางคนสอนและอยู่กับเด็กเหล่านี้มาเป็น 10 ๆ ปี ก็ยังสอบไม่ได้ เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประเมินคะแนนภาค ค ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือกลุ่มภาคกลาง ที่คะแนนโดดสูงกันมาก ถ้าเราไม่ออกมาพูดพวกนี้ก็จะย่ามใจจะเกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ

มทร.กรุงเทพ พร้อมปล่อยของ โชว์นวัตกรรมสิ่งทอและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในงาน“มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 14”

คณะอุตสาหกรรมสิ่งทอ มทร.กรุงเทพ เตรียมอวดศักยภาพด้านนวัตกรรมสิ่งทอและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่สากล ในงาน“มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 14” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 47 พรรษา

รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า  เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานแถลงข่าว “มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 14” และโครงการประกวด The 6th Next Big Silk Designer Contest 2025 ณ ห้อง Gallery 5 หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม โดย มีนายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ดร.สุมาลี อุทัยเฉลิม ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมส่งเสริมผ้าไหมและวัฒนธรรมไทย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรมประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หน่วยงานรัฐ เอกชน โดยในส่วนของ มทร.กรุงเทพ มี อาจารย์ศิริอร วณิชโชตยานนท์ คณบดีคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอ พร้อมด้วยคณาจารย์สาขาวิชาออกแบบสิ่งทอและแฟชั่น มทร.กรุงเทพ ได้เข้าร่วมการแถลงข่าว

อาจารย์ศิริอร วณิชโชตยานนท์ คณบดีคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอ มทร.กรุงเทพ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เน้นย้ำว่า รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม มีนโยบายขับเคลื่อน Soft Power อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยสู่ระดับนานาชาติ เพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีอาชีพ รายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ และกระทรวงวัฒนธรรมเล็งเห็นความสำคัญของการเชิญชวนชาวต่างชาติมาทำความรู้จักกับผ้าไหมไทย สนับสนุนผ้าไหมไทยให้เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ จึงร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ จัด “มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 14” และโครงการประกวด The 6th Next Big Silk Designer Contest 2025 เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 47 พรรษา รวมถึงเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาไทย คณะออกแบบแฟชั่นสิ่งทอจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้ออกแบบและตัดเย็บชุดผ้าไหมให้กับทูตานุทูต และนางแบบนายแบบกิตติมศักดิ์ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านแฟชั่นในระดับนานาชาติ ด้วย

คณบดีคณะอุตสาหกรรม มทร.กรุงเทพ กล่าวว่า ในวันแถลงข่าวดังกล่าว คณะอุตสาหกรรมสิ่งทอ มทร.กรุงเทพ ได้รับเกียรติให้ถ่ายภาพร่วมกับกงสุลกิตติมศักดิ์แห่งราชอาณาจักรเลโซโท ด้วย  เนื่องจากในปีนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำหรับดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าไหม เพื่อส่งเสริมศักยภาพด้านนวัตกรรมสิ่งทอและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่สากล ผ่านการออกแบบร่วมสมัยและการวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมผ้าไหมไทยในระดับนานาชาติ ทั้งนี้ งานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 14  จะมีพิธีเปิดงานในวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ณ หอประชุมกองทัพเรือ

เป็นเรื่องแล้ว

หยอก หยอก วันที่ 14 มิถุนายน 2568 *** จงสวยงามเสมอ และเป็นตัวคุณ ในแบบที่คุณเป็น *** ในสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน นโยบายด้านการศึกษาจะไปในทิศทางไหน จะเดินหน้าต่อ หรือพอแค่นี้ ก็ยังไม่มีใครรู้ …แต่ที่ต้องไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตอนนี้บางสำนักในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) จะมีข่าวอย่างต่อเนื่อง อย่างสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(สศศ.)ก็มีเรื่องการสอบครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ 400 กว่าอัตรา แต่มาโป๊ะแตกที่กลุ่มภาคกลางที่มีคนร้องเรื่องคะแนนวิทยาศาสตร์คนทำงาน 3-4 ปี ได้คะแนนเกือบเต็ม คนทำงานเป็น10 ปีได้คะแนนน้อยกว่า และยังแว่วมาว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มภาคกลางเท่านั้น ภาคอื่น ๆ ก็มีพรายกระซิบเข้าหูมาเหมือนกัน ใครกล้าร้องก็งัดหลักฐานมาจร้า….หยอกจะช่วยอีกแรง *** มีอีกเรื่องที่มีพรายกระซิบมาเหมือนกัน ว่า การย้ายผู้อำนวยการสถานศึกษาครั้งก่อนก็มีความไม่ชอบมาพากล แล้วก็ถูกร้องด้วยเด้อ..เรื่องนี้เคลียร์กันไปแล้วหรือยัง?.ไปสืบกันเองนะ..หยอก หยอก ก็แค่คนบอกทาง *** ไหน ๆ ก็พูดถึงการบริหารงานของสำนักนี้แล้วก็ให้สงสัยเรื่องการย้ายฟ้าผ่า …ทำไม ? ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถึงออกอาการลมออกหู สั่งเด้ง นัยนา ตันเจริญ ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พ้นเก้าอี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนแต่งตั้งเองกับมือ ดึงมาจากเขตพื้นที่การศึกษา ให้มานั่งบริหารงานการศึกษาพิเศษ .. ถ้าไม่ทำอะไรผิด มาบริหารงานได้ไม่ถึง 3 เดือน จะถูกย้ายรึ *** หยอก หยอก คิดว่า น่าจะมีหลายเหตุ  และก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องของการจัดสื่อการศึกษาคนพิการของกลุ่มสื่อคนพิการ ด้วยรึเปล่า *** มีใครจำได้มั้ยว่า คอลัมน์ หยอก หยอก เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เคยชี้เป้าให้ สพฐ.ตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณทั้งหนังสือเรียนรวม และคู่มือรายการสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา(คูปองการศึกษา)จำนวน 300 กว่าล้านบาทให้กับศูนย์การศึกษาพิเศษทั่วประเทศ 77 แห่ง ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรงบประมาณทางการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ.2545…แต่ที่เลขาธิการ กพฐ. ควันออกหู  น่าจะเป็นประเด็นที่ผู้มีอำนาจตัวจริงไม่ได้เซ็นอนุมัติ แต่เงินได้ถูกโอนไปที่ศูนย์การศึกษาพิเศษตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2568 แล้วรึไม่ … ฮะฮ่า… เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนชงให้ผู้บริหารที่รับผิดชอบ สศศ.เซ็นตัดหน้า เลขาฯ … ใครผิด ใครถูก หยอก ไม่รู้ ไม่รู้ และที่แน่ ๆ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ ภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. อดีต ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มาดูแลแทนแล้วเด้อ … เอ้า..ก็ว่ากันไป ไม่มีคำบรรยาย ไปสืบกันเอาเอง..นะจ๊ะ นะจ๊ะ *** หลายคนอาจจะสงกะสัย ทำไม ช่วงหลังมานี้ หยอก หยอก ถึงมาพูดเรื่องการบริหารงานของ สพฐ. ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยแตะ … ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่มีหลายเหตุการณ์ หลายเรื่องราว ที่ยังคาใจ ไม่ว่าจะเป็นการสอบ ผอ.และ รอง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา การโยกย้าย ผอ.เขตพื้นที่ฯ การย้าย ผอ.โรงเรียน การย้าย ผอ.สำนักต่าง ๆ ที่ช่างอึมครึมซะเหลือเกิน … ไก่ตัวผู้ตีไม่สู้ไก่ตัวเมีย … ไก่ตัวเมียก็ไม่ใช่ว่าจะเก่ง แต่มีของ…ก็เข้าใจคนทำงานนะ มันลำบากใจ องค์กรยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งมีปัญหา แต่ละมื่อ แต่ละเดย์ ร้อยแปดพันเรื่อง ทำให้อดไม่ได้ที่หยอกกันซะหน่อย  เพราะทุกวันนี้กลับกลายเป็นว่า “มือใครยาว สาวได้สาวเอา”  แว่วว่า บางคนวิ่งอยากเป็น ผอ.โรงเรียนขนาดใหญ่ จ่ายกัน 7 หลัก …  จะขึ้นระดับบริหารแต่ละตำแหน่งก็มีค่าทั้งนั้น แล้วอย่างนี้ คนเก่ง มีความรู้ ความสามารถ จะไปต่อไหวมั้ย … วังวนนี้เมื่อไหร่จะหมดไปซักที เงินเด็กทั้งนั้น ….เอวัง

ด่วน! ‘ธนุ’ สั่งเด้ง ผอ.สศศ.นั่งสำนักอำนวยการ สพฐ.

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568  ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงนามในคำสั่ง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ 1478 / 2568 เรื่อง ย้ายข้าราชการ  โดยเป็นการย้ายสลับระหว่างผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาพิเศษ กับ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ สพฐ. ดังนี้

“ต้นกล้ารัฐสภา” จุดประกายประชาธิปไตยในใจเยาวชน โรงเรียนสตึก จังหวัดบุรีรัมย์


เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดกิจกรรม “ต้นกล้ารัฐสภา Parliament in School” ณ โรงเรียนสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระบวนการนิติบัญญัติแก่เด็กและเยาวชน ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยมีกิจกรรมจำลองบทบาทสมมติการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในหัวข้อ “การตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา” เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรม

กิจกรรมในครั้งนี้มีนักเรียนเข้าร่วมรวมทั้งสิ้น 286 คน ประกอบด้วยตัวแทนนักเรียนจาก 7 โรงเรียนในสหวิทยาเขตสตึก โรงเรียนละ 5 คน และนักเรียนจากโรงเรียนสตึกอีก 251 คน โดยได้รับเกียรติจาก นายธัชเวชช์ ศานติบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตึก กล่าวต้อนรับคณะดำเนินงาน พร้อมฟังคำชี้แจงวัตถุประสงค์กิจกรรมจาก นางสาวมันทนา ศรีเพ็ญประภา ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานเผยแพร่ประชาธิปไตยและกิจกรรมสภาผู้แทนราษฎร

กิจกรรมประกอบด้วยการละลายพฤติกรรมผ่าน “เกมประชาธิปไตย” กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ กิจกรรมระดมสมอง “รู้จักรัฐสภาไทย” และการเสวนาภายใต้เวที “Let’s Talk” ซึ่งเยาวชนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดบุรีรัมย์ ได้แก่  นายสนอง เทพอักษรณรงค์ (เขต 1)  นายรังสิกร ทิมาตฤกะ (เขต 4)  นายศักดิ์ ชารัมย์ (เขต 6) โดยทั้งสามท่านร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และตอบข้อสงสัยของเยาวชนอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ โครงการต้นกล้ารัฐสภา มีทั้งรูปแบบ รัฐสภาในโรงเรียน และ โรงเรียนในรัฐสภา ซึ่งเปิดโอกาสให้โรงเรียนจากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมตามช่วงเวลาที่กำหนด พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊กเพจ “ต้นกล้ารัฐสภา” เพื่อขยายโอกาสการเรียนรู้สู่ครอบครัว โรงเรียน และสังคมโดยรวม
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดกิจกรรม “ต้นกล้ารัฐสภา” ณ โรงเรียนสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ จุดประกายความเข้าใจประชาธิปไตยในเยาวชน ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม พร้อมเปิดเวทีพูดคุยกับ ส.ส.บุรีรัมย์ มุ่งสร้างรากฐานวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่มั่นคง