“CONNEXT ED” ชู 5 ยุทธศาสตร์หลัก เสริมทักษะคิดวิเคราะห์ สานอนาคตเด็กไทยสู่การพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน “ศ.ดร.นฤมล”เผยเป็นพื้นที่ปลอดการเมือง

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี และประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม CONNEXT ED EDUCATION FORUM 2025 ภายใต้แนวคิด “Thailand’s Education Future : อนาคตการศึกษาไทย อนาคตประเทศไทย” ผนึกกำลัง 3 ภาคส่วน มุ่งขับเคลื่อนการศึกษาไทยที่ยั่งยืนผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลักยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย และส่งเสริมให้เด็กไทยเติบโตเป็น “เด็กดี มีความสามารถ” โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แก่ นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. และผู้อำนวยการสำนักของ สพฐ. ร่วมด้วย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี พร้อมคณะที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน เข้าร่วมกว่า 500 คน ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

พลเอก ดาว์พงษ์ กล่าวว่า โครงการคอนเน็กซ์อีดีเป็นความร่วมมือที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับพระบรมราโชบายด้านการศึกษาที่มุ่งพัฒนาคนไทยให้มีทัศนคติที่ถูกต้อง มีพื้นฐานชีวิตเข้มแข็ง มีอาชีพสุจริต และเป็นพลเมืองดีมีวินัย โดยโครงการดำเนินงานตาม 5 ยุทธศาสตร์เพื่อเสริมทักษะคิดวิเคราะห์แก่เด็กไทย และเน้นบทบาทสำคัญของผู้อำนวยการโรงเรียนในการดูแลครู นักเรียน และชุมชน อีกทั้งได้เน้นย้ำภัยคุกคามที่โรงเรียนเผชิญ ทั้งด้านกายภาพ จิตใจ เทคโนโลยี สังคม วัฒนธรรม รวมถึงปัจจัยด้านนโยบายที่ขาดความต่อเนื่อง พร้อมให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ร่วมกันสร้างคน ซึ่งต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่น โดยตลอด 9 ปีที่ผ่านมา โครงการเห็นพัฒนาการและความสำเร็จต่อเนื่อง ยืนยันว่าคอนเน็กซ์อีดีเดินมาถูกทางและจะยังสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อการศึกษาไทย

ทางด้าน ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศธ. กล่าวว่า ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของโครงการต่าง ๆ ในวันนี้ มาจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ศธ. ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน และคำแนะนำจากท่านองคมนตรีที่ถูกนำไปสู่การปฏิบัติ เน้นการยกระดับการเรียนการสอนประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องต่อระบอบประชาธิปไตยไทย พร้อมย้ำจุดยืนให้กระทรวงศึกษาธิการเป็น “พื้นที่ปลอดการเมือง” และร่วมกับคอนเน็กซ์อีดีในการผนึกความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อร่วมกำหนดนโยบายการศึกษาที่ตอบโจทย์ประเทศในระยะยาว

“ทั้งนี้ ยังมีความท้าทายด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งที่ได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ จึงอยู่ระหว่างวางกลไกใหม่ ปรับระบบงบประมาณและแนวทางบริหารจัดการที่คำนึงถึงบริบทชุมชน รวมถึงความร่วมมือไทย–จีนด้านการแลกเปลี่ยนครู การยกระดับการศึกษาพิเศษ การแก้ปัญหาบ้านพักครูทรุดโทรมกว่า 13,000 ยูนิต และการทำงานร่วมคอนเน็กซ์อีดีในการพัฒนาระบบ SMS ขยายผลสู่โรงเรียนสังกัด สพฐ. และอบรมบุคลากรฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน” รมว.ศธ. กล่าว

ขณะที่ นายศุภชัย เจียรวนนท์ กล่าวว่า การศึกษาคือรากฐานการพัฒนาประเทศและช่วยเสริมศักยภาพเยาวชนให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านเทคโนโลยี AI เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งต้องอาศัยการปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง โดยย้ำว่าความสำเร็จของคอนเน็กซ์อีดีมาจากความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และบุคลากรทางการศึกษา ในการขับเคลื่อน 5 ยุทธศาสตร์ ทั้งด้านความโปร่งใส กลไกตลาด การพัฒนาผู้นำและครู การเรียนรู้ที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่ยั่งยืนและเตรียมเยาวชนไทยสำหรับอนาคต

ทั้งนี้ ความร่วมมือจากทั้ง 3 ภาคส่วน ที่ได้ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาไทยผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่

  1. Standard & Transparency: การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาที่ได้มาตรฐานอย่างโปร่งใสสู่สาธารณะ
  2. Market Mechanism: กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม
  3. High Quality Principals & Teachers: การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน
  4. Child Centric & Curriculum: เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ
  5. Digital & AI Infrastructure: การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ของสถานศึกษา

แนวทางยุทธศาสตร์ 5 หลักนี้ ได้นำมาประยุกต์ใช้ในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี จนเกิดผลเป็นรูปธรรมและกลายเป็นโรงเรียนต้นแบบคอนเน็กซ์อีดี ประจำปี 2568 จำนวน 35 โรงเรียนทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ภายในงาน CONNEXT ED EDUCATION FORUM 2025 ยังมีกิจกรรมน่าสนใจ อาทิ การเสวนาแบ่งปันต้นแบบความสำเร็จโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี ด้วย 5 ยุทธศาสตร์มูลนิธิฯ โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี, การบรรยายพิเศษ “พลเมืองดิจิทัลและทักษะแห่งอนาคตเพื่อเด็กไทย” โดย ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ จากสถาบัน Slingshot Group, การเวิร์กช็อประดมความคิด พลิกโฉมโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี เตรียมเด็กไทยให้มีทักษะแห่งอนาคต : Empowering CONNEXT ED Schools for the Future World โดย Slingshot Group ร่วมกับคณะทำงานภาครัฐร่วมเอกชน, หน่วยงานการศึกษาที่เกี่ยวข้อง, โรงเรียนต้นแบบ และ School Partner เพื่อหาแนวทางการพัฒนาและยกระดับคุณภาพโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีและเด็กไทย รวมถึงนิทรรศการความร่วมมือทางการศึกษา “ความสำเร็จวันนี้ อนาคตของพวกเรา” : The Key of Success, The Future We Learn และบูธผลงานตัวอย่างความสำเร็จของโรงเรียนและความภาคภูมิใจในการสนับสนุนขององค์กรเอกชนเครือข่ายพันธมิตร 61 องค์กร เป็นต้น

มองต่างมุม ประกาศ เลื่อนวันสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ ผอ.สกสค.จังหวัด / กทม. ใครคือผู้มีอำนาจตัวจริง  มึน! เครือข่ายครูฯโต้ ข้าราชการตัวดีทำระบบเสียหาย

หลังจากมีการเสนอข่าวประกาศ เรื่อง เลื่อนวันเข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงแนวคิดวิสัยทัศน์ ต่อคณะกรรมการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง ของ คณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ที่ลงนามโดย นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. ประธานคณะกรรมการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 พ.ย.68 นั้น วันนี้ ( 19 พ.ย.68) ได้มีความเคลื่อนไหวจากองค์กรหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า “ เครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษา” ออกมา ชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรครู  ว่า

เครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษา “ชี้” เมื่อความจริงถูกปิดบังตัวการที่แท้จริงไม่ใช่นักการเมือง แต่คือระบบราชการที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างชำนาญ

กระแสข่าวล่าสุดที่สะเทือนวงการศึกษาเกี่ยวกับผู้มีอำนาจใน สกสค. ถูกกล่าวหาว่าเรียกรับผลประโยชน์จากการซื้อขายตำแหน่ง ผอสกสค.จังหวัด จนต้องออกมา “โยนบาป” ให้นักการเมืองว่าเป็นผู้แทรกแซงการสรรหา

แต่ภาพที่ปรากฏจากข้อเท็จจริง สะท้อนตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง  เพราะในความเป็นจริง ผู้ที่ครอบงำระบบ ไม่ใช่นักการเมือง  แต่คือ กลุ่มข้าราชการ ผู้มีอำนาจในระบบ ที่อาศัย  1.ระเบียบ   2.ข้อบังคับ   3.อำนาจเสนอ อำนาจแต่งตั้ง   4.อำนาจกลั่นกรองข้อมูล มาบิดเบือนผลประโยชน์ของระบบเพื่อสนองกลุ่มตัวเองมานาน

  1. นักการเมืองกลายเป็น “แพะรับบาป” ที่ดีเกินไป ทุกครั้งที่เกิดเรื่องทุจริตในหน่วยงาน เรามักเห็นบทเดิม ๆ ว่า “มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง” เป็นการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง แต่ในหลายกรณี นักการเมือง ไม่ได้เข้าถึงรายละเอียดภายในระบบราชการได้เลย หากไม่มี “เจ้าของระบบจริง” เป็นผู้จัดฉาก เปิดช่อง และอำนวยความสะดวกให้

ปรากฏการณ์นี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ ระบบราชการเป็นผู้ถือข้อมูล  เป็นผู้กำหนดกระบวนการ เป็นผู้คุมระเบียบ เป็นผู้จัดการสรรหา เป็นผู้ดึงด้ายเบื้องหลัง  ตำแหน่ง ผอ.สกสค.จังหวัด แต่ละแห่ง มีผลประโยชน์อยู่ในมือมากมาย ทั้งงบประมาณ โครงการจัดซื้อ และสายงานครู สวัสดิการ จึงเป็นตำแหน่งที่ “กลุ่มผลประโยชน์ในหน่วยงาน” ต้องการควบคุมเอง

  1. ปัญหาเกิดจาก “ระเบียบ ระบบราชการ” ไม่ใช่ “ตำแหน่งทางการเมือง” ประเด็นสำคัญคือ ผู้มีอำนาจภายในระบบราชการสามารถ

2.1 ใช้คำว่า “ระเบียบ”

2.2ใช้คำว่า “ขั้นตอนสรรหา”

2.3 อ้าง “คุณสมบัติ”

2.4 อ้างว่า “เพื่อความเหมาะสม”

เพื่อเลือกคนของตนเองและกันคนอื่นออกไปอย่างแนบเนียน เมื่อมีเสียงร้องคัดค้าน ก็จะรีบ

1.เลื่อนการสัมภาษณ์

2.ออกข่าวโยนให้การเมือง

3.ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าต้นตอคือฝ่ายนักการเมือง

นี่เป็นรูปแบบเดิมที่เห็นมานานในทุกหน่วยงานของรัฐ

  1. การซื้อขายตำแหน่ง เป็นวัฒนธรรมมืดของ “ระบบ” ไม่ใช่ของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง การซื้อขายตำแหน่งไม่ได้เกิดเพราะ รัฐบาลชุดไหน รัฐมนตรีคนไหน  หรือพรรคไหน  แต่เกิดจาก ข้าราชการในระบบที่รู้ช่องทางและถืออำนาจในการสรรหา จึงใช้โอกาสนั้นแสวงหาผลประโยชน์ โดยอาศัยชื่อ “นักการเมือง” เป็นฉากบังหน้า เป็นเรื่องที่สังคมเข้าใจผิดมานานว่า นักการเมืองคือผู้ร้าย แต่ความจริงคือ ระบบราชการต่างหากที่เป็นผู้จับดาบ นักการเมืองเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาตามบทที่เขียนไว้ล่วงหน้า
  2. เหตุผลที่การเมือง “ตามไม่ทัน” ระบบราชการ เพราะระบบราชการมี

4.1 ความต่อเนื่อง

4.2 ความแนบแน่น

4.3 ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกลุ่มอำนาจ

4.4 ความชำนาญในกฎหมาย–ระเบียบ

4.5 ความสามารถในการใช้ข้อบังคับเพื่อประโยชน์ตัวเอง

ดังนั้นทุกครั้งที่มีการสรรหาตำแหน่งใหญ่ หากไม่มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง ตำแหน่งนั้นมักตกอยู่ในมือของ กลุ่มผู้มีอิทธิพลภายในหน่วยงานเอง มิใช่ของนักการเมือง หรือของสังคมส่วนรวมอย่างที่ควรเป็น

  1. เลื่อนการสัมภาษณ์โดยไม่มีกำหนด เป็นสัญญาณว่าเรื่องใหญ่จริง จากข่าวที่ท่านส่งมา การที่ สกสค. ต้องเลื่อนวันสัมภาษณ์–แสดงวิสัยทัศน์ออกไป “โดยไม่มีกำหนด”ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่สะท้อนว่า

1.มีข้อร้องเรียนที่มีน้ำหนักจริง

2.การตรวจสอบกำลังสั่นคลอนระบบ

3.กลไกภายในหน่วยงานเริ่มตั้งรับ

4.กระบวนการอาจมีปัญหาเรื่องความโปร่งใส

นี่คือ “การหยุดระบบที่กำลังจะเดินหน้าไปในทิศทางผิด” ปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง ไม่ได้เกิดจากนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียวแต่เป็นผลิตภัณฑ์การใช้อำนาจของระบบราชการที่ฝังรากลึก

 

ขณะเดียวกันได้มีแถลงการณ์ ที่อ้างว่า จากผู้สมัครผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัด แชร์ในกลุ่มผู้สมัคร ฯ ว่า

“ ขอคัดค้านการแทรกแซงทางการเมือง และเรียกร้องความเป็นธรรมต่อกระบวนการสรรหา จากผู้สมัครผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัด

การเลื่อนกำหนดสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์เพื่อสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งประกาศเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด  ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ ในเชิงเทคนิค  แต่เป็น “สัญญาณอันตราย” ต่อหลักคุณธรรมของ สกสค. และความเชื่อมั่นของครูทั้งประเทศ แม้ประกาศทางการจะระบุว่า การเลื่อนเกิดจากการอุทธรณ์คุณสมบัติ ผู้สมัครจำนวนหลายราย แต่สังคมรับรู้โดยทั่วกันว่า  สาเหตุแท้จริงมาจากแรงกดดันทางการเมือง ที่ต้องการผลักดัน “คนของตัวเอง” ให้ครอบครองตำแหน่งผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัด/กทม. ทั้ง 77 จังหวัด

และกระแสข่าวยังยืนยันว่า คณะกรรมการสรรหาทั้ง 4 ชุด  1. ประเมินประวัติผลงาน  2. ประเมินวิสัยทัศน์  3. สัมภาษณ์ 4. รวมคะแนน กำลังถูกกดดันจนถึงขั้น พิจารณาลาออกยกชุด เพราะไม่ต้องการเป็นส่วนร่วมในกระบวนการที่ขาดความโปร่งใส และไม่สอดคล้องกับระบบคุณธรรมที่หน่วยงานควรยึดถือ

ยิ่งไปกว่านั้น การมีอดีตผู้บริหารและผู้มีอำนาจบางกลุ่ม “คอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง” ได้สร้างภาวะกดดันต่อองค์กรจนคณะกรรมการสรรหาต้องแสดง อารยะขัดขืน โดยการเลื่อนการสรรหาออกไปอย่างไม่มีกำหนด นี่ไม่ใช่เพียงความล่าช้า แต่คือความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของครูทั้งประเทศ ต่อภาพลักษณ์ขององค์กร และต่อหลักการที่เราทุกคนพยายามรักษา ระบบคุณธรรม + ความเป็นกลาง + ความยุติธรรม

ข้อเรียกร้องจากผู้สมัคร ผอ.สกสค.จังหวัด  ในฐานะ “ผู้สมัครที่เข้าสู่กระบวนการด้วยความสุจริตใจ” ขอแสดงจุดยืนอย่างหนักแน่น  ดังนี้

  1. ขอให้ยุติการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองในทุกรูปแบบ สกสค.เป็นองค์กรที่ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของครูทั่วประเทศ ไม่ใช่พื้นที่ต่อรองของกลุ่มผู้มีอำนาจ
  2. ขอให้เคารพกระบวนการสรรหาตามระบบคุณธรรม (Merit System) ระบบคุณธรรมคือ รากฐานของความเป็นธรรม  ไม่ใช่สิ่งที่ถูกทำลายเพียงเพราะผลประโยชน์ของใครบางคน
  1. ขอให้ดำเนินการต่อผู้ที่ใช้อำนาจนอกระบบในการชี้นำหรือสั่งการเบื้องหลัง เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานใหม่ว่า สกสค.ต้องยืนบนความถูกต้องไม่ใช่บนความกลัวหรือแรงกดดัน
  2. ขอให้คืนความเป็นธรรมแก่ผู้สมัครทุกคน พวกเราลงแรง เตรียมตัว และเข้าสู่กระบวนการด้วยความเคารพกติกา

เรามีสิทธิ์ที่จะได้รับ “ความเป็นธรรมและเกียรติ” เช่นเดียวกันทุกคน

สกสค.ต้องไม่เป็นสนามทดลองอำนาจของใคร  เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงทำให้ผู้สมัครเสียหาย  แต่ทำให้องค์กรเสียศรัทธา ทำให้ครูทั่วประเทศตั้งคำถาม และทำให้สังคมเห็นถึงความพยายามจะบิดเบือนกลไกที่ควรบริสุทธิ์ที่สุด ในฐานะผู้สมัครตำแหน่ง ผอ.สกสค.จังหวัด ขอยืนยันว่าเราจะไม่เงียบ และจะไม่ยอมให้ความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นโดยไม่มีเสียงทักท้วง เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องทำงานเพื่อ “ครูทั้งประเทศ” ไม่ใช่ทำงานเพื่อพวกพ้องของใคร

เราขอให้ สกสค.กลับมายืนอยู่บนรากฐานที่ถูกต้อง จงทำเพื่อความยุติธรรม ทำเพื่อความโปร่งใส และทำเพื่อศักดิ์ศรีขององค์กรที่ควรเป็นที่พึ่งของครู

ขอให้กระบวนการสรรหากลับสู่ “ระบบคุณธรรม” โดยเร็วที่สุด เพื่อรักษาความเชื่อมั่นและอนาคตของ สกสค.ในสายตาสังคม

ผู้สมัคร  ผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค.จังหวัด

 

 

ด่วน! สกสค.เลื่อนสรรหา ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม.ไม่มีกำหนด อารยะขัดขืน ”หัวชนฝา”ไม่ทำตามใบสั่งการเมือง

เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สำนักงานสกสค.)ได้ประกาศเลื่อนวันเข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงแนวคิดวิสัยทัศน์ ต่อคณะกรรมการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัด/กรุงเทพมหานคร จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ออกไปก่อนแบบไม่มีกำหนดเวลา ลงนามโดย ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ รองเลขาธิการสำนักงาน สกสค.ในฐานะประธานกรรมการสรรหาฯ

โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัด/กรุงเทพมหานคร มีการอุทธรณ์ขอให้ทบทวนเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัครเข้ารับการสรรหาบุคคลตามประกาศรายชื่อผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการสรรหาฯ ซึ่งมีจำนวนหลายรายชื่อที่ต้องพิจารณาให้ความเป็นธรรม ซึ่งมีผลกระทบต่อกระบวนการสรรหาตามห้วงเวลาที่กำหนด จึงขอเลื่อนกำหนดวัน เวลาและสถานที่ในการสัมภาษณ์และแสดงแนวคิดวิสัยทัศน์ออกไปก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุการเลื่อนการสรรหาผอ.สำนักงานสกสค.จังหวัด /กรุงเทพมหานคร ครั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะสาเหตุที่ สกสค.ได้บอกมาเบื้องต้น แต่เหตุผลหลักเพราะการเมืองต้องการคนของตัวเองเข้ามาเป็น ผอ.สกสค.จังหวัด/กทม.ทั้ง 77 จังหวัด คณะกรรมการสรรหาฯที่มี ดร.ดิสกุล เป็นประธาน โดยมีคณะกรรมการทั้งหมด 4 ชุด คือ 1.คณะกรรมการประเมินประวัติผลงาน 2.คณะกรรมการประเมินวิสัยทัศน์ 3.คณะกรรมการสัมภาษณ์และ 4.คณะกรรมการรวมคะแนน ซึ่งมีกระแสข่าวว่ากรรมการทั้ง 4 ชุดจะลาออกทั้งหมดไม่ขอทำให้ เพราะเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่มีความเป็นธรรม ประกอบกับ มีอดีตผู้บริหารและผู้บริหารระดับสูงคอยสั่งการอยู่ ซึ่งทำให้สกสค.มีความกดดันเป็นอย่างมาก  จนตัดสินใจแสดงท่าทีอารยะขัดขืนด้วยการประกาศเลื่อนการสรรหาออกไปอย่างไม่มีกำหนด

สพฐ. หารือ กระทรวงท่องเที่ยวฯ และ กรมพลศึกษา กำหนดแนวทางขับเคลื่อน “กีฬา สพฐ. เกมส์” ปี 2568–2569 ด้วย “หมอนทองโมเดล”

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมประชุมหารือร่วมกับ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการ กพฐ. และนายมงคล วิมลรัตน์ อธิบดีกรมพลศึกษา ณ กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อกำหนดทิศทางและวางแผนการจัดการแข่งขัน กีฬา สพฐ. เกมส์ ปี 2568–2569 พร้อมนำเสนอการประยุกต์ใช้ “หมอนทองโมเดล” เป็นแนวทางในการยกระดับการพัฒนากีฬาในสถานศึกษา

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานด้านการพัฒนาเยาวชน เพื่อสร้างระบบการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งด้านการบริหารจัดการ การคัดเลือกนักกีฬา การพัฒนาศักยภาพครูผู้ฝึกสอน รวมถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมกีฬาและการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของประเทศ “หมอนทองโมเดล” จะถูกนำมาใช้เป็นกรอบแนวคิดสำคัญ เน้นการสร้างโครงสร้างการพัฒนาแบบครบวงจร ตั้งแต่ระดับโรงเรียน ชุมชน อำเภอ จังหวัด จนถึงระดับประเทศ มุ่งให้เยาวชนมีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพ เสริมสร้างทักษะการเป็นผู้นำ ความมีวินัย ความสามัคคี และสุขภาวะที่ดี ผ่านกิจกรรมกีฬาอย่างเป็นระบบ

นางภัทริยาวรรณ กล่าวว่า สพฐ.ให้ความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อให้การแข่งขันกีฬา สพฐ. เกมส์ เป็นเวทีระดับประเทศที่สามารถค้นหาและต่อยอดนักกีฬาดาวรุ่งสู่เวทีอาชีพและนานาชาติ ขณะเดียวกันยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของไทย การประชุมครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนากีฬาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างเยาวชนคุณภาพและยกระดับมาตรฐานการแข่งขันกีฬาของไทยให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน

อุทาหรณ์สอนคนคิดทำผิด

หยอก หยอก วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 *** เก็บความลึกลับไว้ จะสร้างความน่าเกรงขามได้เอง ความผิดพลาดให้อภัยได้ แต่การทรยศอย่าให้อภัย***ช่วงนี้มีความรู้สึกว่าบรรยากาศกระทรวงศึกษาธิการ อึมครึม อึมครึม มีข่าวเชิงลบเสียส่วนใหญ่(ถ้าดูจากภายนอก ไม่ใช่สื่อประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการ)หรือว่าถึงเวลาแล้วที่คนส่วนใหญ่รู้สึกอึดอัดแล้วต้องปล่อยของออกมาแล้ว…หยอก หยอก ก็เช่นกัน *** ถามว่าการศึกษาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีเรื่องอะไรที่ทำด้วยความยินดีโดยธรรมชาติ เพื่อความก้าวหน้าของการศึกษาไทยอย่างจริงใจ ไม่ใช่ปั้นแต่งสร้างกระแส เพื่อให้เป็นผลงานข้าราชการการเมือง …ถ้าตอบว่าไม่มีเลยก็คงไม่ใช่ แต่จะให้พูดถึง … ยังนึกไม่ค่อยออก *** ถ้าจะให้เล่าเรื่องราวในอดีตที่ร้ายแรงที่สุดเรื่องหนึ่ง ก็คงไม่พ้นเรื่องการพิจารณาโทษทางวินัยข้าราชการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ตามคำสั่งของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ที่ชี้มูลความผิดกรณีทุจริตในการจัดซื้อครุภัณฑ์ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 : ไทยเข้มแข็ง หรือ SP2 ของ สอศ. ประจำปีงบประมาณ 2553 ซึ่ง สอศ.มีมติให้ปลดออกจากราชการและถูกดำเนินการคดีอาญากว่า 190 คน คนเป็นข้าราชการทำตามคำสั่ง..นาย..สุดท้ายรางวัลชีวิตทั้งครอบครัวคือ..ให้ออกจากราชการและยังเจอคดีทางอาญา…อนิจจา *** ผ่านมากว่า 10 ปี ที่ข้าราชการหลายคนไม่ยอมพ่ายแพ้คำพิพากษานั้น ได้ลุกขึ้นต่อสู้กับระบบ(ถ้าจะบอกว่าอย่างโดดเดี่ยวก็คงไม่ผิด) โดยยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการก่อนมีความเห็นขึ้นฟ้องศาลอาญา และความเป็นธรรมก็ยังคงมีอยู่ เมื่ออัยการได้มีความเห็นไปยัง ป.ป.ช.ว่าเอกสาร ป.ป.ช.ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้ จึงได้ขอเอกสารเพิ่มทั้งหมด 13 ข้อและขอให้สอบสวนร่วมกันใหม่…แต่งานนี้พีคตรงที่ ป.ป.ช.ขอเอกสารเพิ่มจาก สอศ.แต่ได้คำตอบจาก สอศ.ว่า ไม่ปรากฏเอกสารจากการปฏิบัติงานของกรรมการฯ แต่ สอศ.กลับไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่าเอกสารหายถึง 2 ครั้ง อ้าว…แบบนี้ใครผิดล่ะ? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ เลขาธิการอาชีวศึกษาคนปัจจุบันนะ เพราะท่านเพิ่งมา เขาทำลายเอกสารกันมาหลายปีแล้ว..ตั้งแต่สมัยน้ำท่วมอยุธยา…555 ถ้าจะขุดขึ้นมาผู้ใหญ่คงโดนกันอีกหลายคน..ปล่อยให้หน่วยงานตรวจสอบเขาทำหน้าที่ดีกว่า เพราะทราบว่า…จะมีการเช็คบิลกรรมการ ป.ป.ช.อีกหลายคน…ว่าแต่จะสาวถึงผู้สั่งการตัวจริงรึเปล่า หรือว่าเจอะแต่แพะ ร้องแบ๊ะ ๆ ไปอย่างงี้ *** ในส่วนงานพัฒนารายได้และสิทธิประโยชน์ ของสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ(สลช.)ที่มีหน้าที่และรับผิดชอบในการจัดการทรัพย์สิน การจัดหาผลประโยชน์จากที่ดินและสินทรัพย์ ตลอดจนการวางแผนการพัฒนา…หยอก หยอก อยากถาม วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ว่า ปัญหาเรื่องทรัพย์สินทั้งหลายของ สลช.ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดินหลายพันแปลง ที่อยู่ตามค่ายลูกเสือต่าง ๆ หรือเรื่องการทำสัญญากับองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(องค์การค้าของสกสค.)ในการทำเครื่องหมาย ทำตราสัญลักษณ์ลูกเสือ ที่มีเงื่อนงำตอบคำถามไม่ได้ตอนนี้เคลียร์กันไปถึงไหนแล้วจบหรือยัง…ก็แค่สงสัย…*** ช่วงนี้การเมืองเดือด…นโยบายพัฒนางานด้านศึกษา ของ “ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ผู้กุมบังเหียนกระทรวงศึกษาธิการ ที่ให้ไว้กับผู้บริหาร ศธ. คือ ลดภาระงานของครู เพิ่มสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษา เรื่องวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย และหน้าที่ความเป็นพลเมือง และ เรื่องของการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ และเรื่องของการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะ ลดภาระงานของครู เพิ่มสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกรัฐบาลเข้ามาแล้วประเด็นแรกที่พูดถึง คือการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู โดยรัฐบาลชุดนี้ มีแนวคิดจะตั้ง สหกรณ์กลาง สกสค. ไม่รู้ว่ามีแนวโน้มจะกินแห้วหรือเปล่า เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นับเวลาจากนี้อีก 2 เดือนกว่า ๆ ก็จะยุบสภา เผลอ ๆ ยุบก่อนไปไม่ถึงดวงดาว…ประกอบกับช่วงนี้ “ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต” เลขาธิการ สกสค.ถูกขุดคุ้ยประวัติการทำงานในอดีตด้วยสิ…หยอก หยอก ก็ขอแต่ให้กำลังใจนะท่าน…เสมา 1 ***เรื่องการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในสถานศึกษา ล่าสุด ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการ ก.ค.ศ. ฝากบอกว่า ที่ประชุม ก.ค.ศ.ที่มี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ได้อนุมัติแล้ว 2,300 ตำแหน่ง ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.)พิจารณา … ก็ต้องบอกยินดีกับสถานศึกษาหลาย ๆ แห่ง ที่จะได้มีบุคลากรมาทำงานธุรการ และครูก็จะได้ทุ่มเทให้กับการสอนเต็มที่ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกันอีกแล้ว*** ก่อนจบ ขอ ชื่นชม ดร. พิสิษฐ์ ศุภวัฒน์ธนบดี ผอ.โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ที่ทุ่มเทเวลาให้กับเด็ก ๆ ลูก ๆ นักเรียนเต็มที่ สนับสนุนเด็กทุกด้านทั้งดนตรี กีฬา วิชาการ ครบสูตร … ง่าย ๆ ทุกวันนี้ใครอยากพบ ผอ.ถ้ากลางวันไม่อยู่เพราะติดภารกิจประชุมก็ให้ไปตอนหลังเลิกเรียน รับรองน้อยครั้งที่จะไม่เจอ เพราะทั่นจะอยู่ดูเด็ก ๆ ทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนตลอด เรียกว่า นักเรียนไม่กลับ ผอ.ก็จะอยู่เป็นเพื่อน … พ่อๆ แม่ ๆ สบายใจได้ *** มีอีกเรื่องจะว่าไม่ใหญ่ก็คงไม่ได้ เดี๋ยวนี้ มิจจี้เล่นแรง แอบอ้างโรงเรียนไปสั่งซื้อข้าวสารทีนึงเป็นร้อยกระสอบ ว่าจะเอาไปจัดกิจกรรมในโรงเรียน ด้วยวงเงินไม่ต่ำกว่าแสน … แต่พอดีร้านค้าเค้ารู้ทัน ขอข้อมูลเชิงลึกของโรงเรียน พร้อมบอกไปว่า หลานเป็นผอ.โรงเรียนนี้ มิจจี้ก็เลยอึกอัก หัวเราะกลบเกลื่อนวางโทรศัพท์หนีเลย 555 *** ตบท้ายด้วย คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงศึกษาธิการ ที่มี อาจารย์แหม่ม เป็นประธาน มีมติไล่ออกผู้ตรวจราชการ ศธ.รายหนึ่ง ทำให้ขณะนี้มีตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ศธ.ว่าง 5 ตำแหน่ง…เอ้า..ใครมีคุณสมบัติก็รอลุ้น..นะจ๊ะ นะจ๊ะ *** วันนี้ พอแค่ดีก่อนนะ…บาย***

“อาจารย์แหม่ม”นั่งหัวโต๊ะเตรียมจัดวันเด็กแห่งชาติ ปี 69 ภายใต้แนวคิด “เรียนดี มีคุณธรรม” จัดกิจกรรมโชว์ศักยภาพเด็กเต็มที่ พร้อมจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระพันปีหลวง

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2569  โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ–เอกชน เข้าร่วม เพื่อกำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “เรียนดี มีคุณธรรม”ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ โดย ศ.ดร.นฤมล ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2569 ซึ่งจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 10 มกราคม 2569 กระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานร่วมกับหลายหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน เพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ สนุกสนาน และเสริมคุณธรรมให้กับเยาวชนไทย ภายใต้แนวคิด “เรียนดี มีคุณธรรม” โดยปีนี้ได้เตรียมจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณด้านการศึกษา รวมถึงพระราชกรณียกิจในการเสด็จพระราชดำเนินยังพื้นที่ห่างไกลเพื่อดูแลเด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึง
การจัดงานปีนี้แบ่งออกเป็น 4 โซนสำคัญ ได้แก่
•Light of Wisdom (แสงแห่งปัญญา)
•Creative Earth Lab (ห้องทดลองโลกสร้างสรรค์)
•Sufficiency for Happiness (พอเพียงสร้างสุข)
•Water Wonder Zone (โซนมหัศจรรย์แห่งสายน้ำ)
ภายในงานจะมีทั้งนิทรรศการ การเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ การแข่งขันทักษะ กิจกรรมแสดงความสามารถของเด็กและเยาวชน รวมถึงการมอบรางวัลและเกียรติบัตรแก่เด็กที่มีผลงานโดดเด่น อาทิ งานเขียน งานวาดภาพ และผลงานนวัตกรรมต่าง ๆ โดยงานปีนี้ได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกิจกรรมจากหลายหน่วยงานที่เข้าร่วมอย่างคับคั่ง จุดมุ่งหมายเพื่อเปิดพื้นที่ให้เด็กไทยได้โชว์ศักยภาพ

ศธ.เดินหน้าขับเคลื่อนการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ชาติไทย ออกประกาศแนวปฏิบัติบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาและการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง  

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ชาติไทย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมถึงหน้าที่พลเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เดินหน้าขับเคลื่อนฯ ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาและการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
.
1) เน้นย้ำการบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาในวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองตามหลักสูตรแกนกลางฯ ตั้งแต่ระดับชั้น ป.1 – ม.6
2) ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ทั้งด้านหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการเรียนรู้ การเลือกใช้สื่อและแหล่งการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
3) จัดการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ในยุคปัจจุบัน เน้นบูรณาการสาระการเรียนรู้ร่วมกัน ใช้ข่าวสารและสถานการณ์ร่วมสมัยเป็นฐานการเรียนรู้ เปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ และส่งเสริมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
4) เลือกใช้สื่อที่หลากหลายและตอบสนองรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่าง ทั้งสื่อแบบดิจิทัล และสื่อพื้นบ้าน เช่น นิทาน ภาพถ่ายท้องถิ่น เพื่อเชื่อมโยงกับบริบทของผู้เรียน เช่น ใช้คลิปสารคดีสั้นหรือใช้แผนที่ท้องถิ่น ประกอบการเรียนประวัติศาสตร์
5) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ควรเน้นการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและไม่จำกัดเฉพาะการวัดผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ เช่น ประเมินจากการอภิปราย การเขียนสะท้อนความคิด แฟ้มสะสมผลงาน โครงงาน ชิ้นงาน เป็นต้น

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตามประกาศฉบับนี้ ครูจะมีแนวปฏิบัติในการจัดการเรียนการสอน การวัดประเมินผล ที่ยืดหยุ่น คล่องตัวมากขึ้น ส่วนนักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างหลากหลายรูปแบบ และได้รับการวัดและประเมินผลที่มีความสอดคล้องกับความถนัดและความสนใจอย่างหลากหลาย ขณะที่โรงเรียนจะมีแนวปฏิบัติในการส่งเสริมสนับสนุนให้ครูจัดการเรียนรู้ โดยมีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนและให้การสนับสนุนเชิงนโยบายของโรงเรียน ซึ่งจะมีการประชุมใหญ่ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อสื่อสารนโยบายแก่คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศต่อไป

“ศ.ดร.นฤมล”หารือ CLEC จีน กระชับความร่วมมือด้านภาษาจีน–อาชีวศึกษา ดันทุนครูไทย เพิ่มห้องเรียนขงจื่อ พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล

เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ)พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และนางสาวจิตรลดา จันทร์แหยม ผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ เข้าพบหารือกับ Mr. Yu Yunfeng ผู้อำนวยการศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ (Center for Language Education and Cooperation: CLEC) ณ กรุงปักกิ่ง ระหว่างการประชุมภาษาจีนโลก ประจำปี 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน

โดย ศ.ดร.นฤมล ได้นำเสนอนโยบายและทิศทางการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย พร้อมเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย–จีน และความสำคัญของการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ภาษาจีนให้ทันสมัยและตอบโจทย์อนาคต โดยเฉพาะการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาที่มีทักษะภาษาจีนรองรับตลาดแรงงานยุคใหม่ พร้อมเสนอให้ฝ่ายจีนสนับสนุนทุนการศึกษาแก่ครูไทยเพื่อไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน ตลอดจนส่งผู้เชี่ยวชาญมาฝึกอบรมให้แก่ครูไทยเพื่อยกระดับทักษะการสอนภาษาจีนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยยังขอรับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในห้องเรียนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ รวมถึงการร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มการสอนภาษาจีน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่าย หลากหลาย และทันสมัยยิ่งขึ้น ขณะที่ฝ่ายจีนได้เสนอแนวทางขยายความร่วมมือ เช่น การยกระดับหลักสูตรภาษาจีนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในระดับอาชีวศึกษา การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ ระบบการสอบ HSK การแลกเปลี่ยนครูและผู้เชี่ยวชาญชาวจีน รวมถึงการร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แบบครบวงจรสำหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย

นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะภาษาจีนเพื่อตอบโจทย์การจ้างงานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีนักลงทุนชาวจีนจำนวนมาก พร้อมเสนอให้เพิ่มครูอาสาสมัครจีนในศูนย์การเรียนรู้ทั่วประเทศเพื่อเสริมศักยภาพแรงงานไทย ขณะเดียวกัน ไทยยังขอรับการสนับสนุนการจัดตั้ง “ห้องเรียนขงจื่อ” เพิ่มเติม รวมถึงส่งเสริมรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ 3+1 ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และทักษะภาษาดิจิทัล (AI) โดยการหารือครั้งนี้สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมของไทยและจีนในการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาให้ก้าวหน้าและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้คุณภาพสูงให้คนไทยทุกช่วงวัย และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง

“อาจารย์แหม่ม”ร่วมประชุมระดับโลกว่าด้วยการสอบวัดระดับภาษาจีน HSK Global Conference  มั่นใจมิตรภาพไทย-จีน แน่นแฟ้นยั่งยืน

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุมระดับโลกว่าด้วยการสอบวัดระดับภาษาจีน HSK Global Conference 2025 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมขึ้นกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Bridging Global Education Through Chinese Language Proficiency” (สะพานเชื่อมโลกการศึกษาด้วยความสามารถด้านภาษาจีน) เพื่อผลักดันคุณภาพการศึกษาภาษาจีนในประเทศไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานนานาชาติ และสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพของกำลังแรงงานไทยในอนาคต

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวบนเวทีว่า การประชุม HSK Global Conference ถือเป็นเวทีสำคัญระดับนานาชาติที่รวบรวมผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลกด้านการสอนภาษาจีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาหลักสูตรที่มีคุณภาพ โดยประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ภาษาจีนในฐานะภาษาที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของเยาวชนไทยในเวทีโลก  ความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างไทยและจีนเป็นเสาหลักสำคัญต่อการพัฒนาทักษะด้านภาษาและความเข้าใจวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ยาวนานระหว่างสองประเทศ โดยปีนี้ยังถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ซึ่งยิ่งตอกย้ำความร่วมมือทางการศึกษาที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาจีนในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาหลักสูตร การฝึกอบรมครู การแลกเปลี่ยนนักเรียน และการขยายศูนย์สอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) ในประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยมีศูนย์สอบ HSK ครอบคลุมทุกจังหวัดกว่า 185 แห่ง ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการสอบมาตรฐานสากลได้สะดวก ลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง และเพิ่มโอกาสด้านการศึกษาต่อและการจ้างงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาษาจีนโดยตรง”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า การเรียนภาษาจีนไม่ใช่เพียงการเสริมทักษะภาษา แต่เป็นการสร้าง “สะพานแห่งมิตรภาพ” ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยสู่มาตรฐานแรงงานระดับนานาชาติ การนำมาตรฐาน HSK มาใช้เป็นกรอบในการพัฒนาหลักสูตรและการประเมินผล จะช่วยเตรียมเยาวชนไทยให้มีความพร้อมทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และทักษะการทำงานในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนและหน่วยงานด้านการศึกษาในจีนที่ดำเนินความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะ Chinese Test International (CTI) และ Center for Language Education and Cooperation (CLEC) ที่ร่วมสนับสนุนการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่ากระทรวงศึกษาธิการไทยจะเดินหน้าพัฒนาคุณภาพครู ผู้เรียน และระบบประเมินผลภาษาจีนให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในอนาคต ประเทศไทยมุ่งมั่นพัฒนาเยาวชนให้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตของประเทศ การเสริมทักษะภาษาจีนเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เด็กไทยก้าวทันโลก และสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานนานาชาติได้อย่างมั่นใจ  และขอให้การประชุม HSK Global Conference ประสบความสำเร็จอย่างสูง และความหวังว่า ความร่วมมือทางการศึกษา และวัฒนธรรมระหว่างไทย–จีนจะยังคงเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

ยูเนสโกถวายพระเกียรติสูงสุดประกาศยกย่อง รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้มีมติประกาศยกย่องและบรรจุรายการของไทย จำนวน 2 รายการ ไว้ในโครงการเฉลิมฉลองวาระสำคัญ (Anniversaries Celebration) ประจำปี ค.ศ. 2026–2027 (พ.ศ. 2569–2570) ในประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 43 ของยูเนสโก เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองซามาร์คานด์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน ประกอบด้วย งานฉลองครบ 100 ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวาระครบ 100 ปี พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม และความเสมอภาคทางเพศ ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
​​
ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยยูเนสโก ได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม และเปิดเผยว่า มติดังกล่าวนำความปลื้มปิติของประเทศไทยในเวทีโลก และเป็นการยืนยันถึงพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองพระองค์ ที่ทรงอุทิศพระวิริยะอุตสาหะ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและมนุษยชาติ อันสอดคล้องกับอุดมการณ์ของยูเนสโกในการส่งเสริมการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมศาสตร์เพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ ครอบคลุมด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ เกษตร สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชน อีกทั้งยังพระราชทาน “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักนำทางที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จนทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา”

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญด้านการส่งเสริมการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาสตรี การสนับสนุนการจัดตั้งสถานศึกษา และการอุปถัมภ์กิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมและงานสาธารณกุศลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตราษฎร โดยเฉพาะในยามวิกฤต วาระครบ 100 ปี พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม และความเสมอภาคทางเพศของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จึงเป็นการยกย่องพระปรีชาสามารถและพระวิสัยทัศน์ก้าวไกล ที่วางรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาสตรีไทยและสังคมไทยในหลายมิติ และสอดคล้องต่อการจุดเน้นขององค์การยูเนสโกที่มุ่งเน้นส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศทั่วโลก

​​การประกาศยกย่องครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการถวายพระเกียรติสูงสุดแด่ทั้งสองพระองค์แต่ยังสะท้อนถึงการยอมรับจากประชาคมโลกต่อพระราชปณิธานที่ทรงมุ่งมั่นสร้างสรรค์การศึกษา ความเสมอภาค และสันติภาพของมนุษยชาติ อันเป็นความภาคภูมิใจของปวงชนชาวไทย และเป็นแรงบันดาลใจให้ชนรุ่นหลังสืบสานพระราชปณิธานเพื่อความผาสุกของโลกสืบไป