วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี และประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม CONNEXT ED EDUCATION FORUM 2025 ภายใต้แนวคิด “Thailand’s Education Future : อนาคตการศึกษาไทย อนาคตประเทศไทย” ผนึกกำลัง 3 ภาคส่วน มุ่งขับเคลื่อนการศึกษาไทยที่ยั่งยืนผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลักยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย และส่งเสริมให้เด็กไทยเติบโตเป็น “เด็กดี มีความสามารถ” โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แก่ นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการ กพฐ. และผู้อำนวยการสำนักของ สพฐ. ร่วมด้วย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี พร้อมคณะที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน เข้าร่วมกว่า 500 คน ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
พลเอก ดาว์พงษ์ กล่าวว่า โครงการคอนเน็กซ์อีดีเป็นความร่วมมือที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับพระบรมราโชบายด้านการศึกษาที่มุ่งพัฒนาคนไทยให้มีทัศนคติที่ถูกต้อง มีพื้นฐานชีวิตเข้มแข็ง มีอาชีพสุจริต และเป็นพลเมืองดีมีวินัย โดยโครงการดำเนินงานตาม 5 ยุทธศาสตร์เพื่อเสริมทักษะคิดวิเคราะห์แก่เด็กไทย และเน้นบทบาทสำคัญของผู้อำนวยการโรงเรียนในการดูแลครู นักเรียน และชุมชน อีกทั้งได้เน้นย้ำภัยคุกคามที่โรงเรียนเผชิญ ทั้งด้านกายภาพ จิตใจ เทคโนโลยี สังคม วัฒนธรรม รวมถึงปัจจัยด้านนโยบายที่ขาดความต่อเนื่อง พร้อมให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ร่วมกันสร้างคน ซึ่งต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่น โดยตลอด 9 ปีที่ผ่านมา โครงการเห็นพัฒนาการและความสำเร็จต่อเนื่อง ยืนยันว่าคอนเน็กซ์อีดีเดินมาถูกทางและจะยังสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อการศึกษาไทย
ทางด้าน ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศธ. กล่าวว่า ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของโครงการต่าง ๆ ในวันนี้ มาจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ศธ. ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน และคำแนะนำจากท่านองคมนตรีที่ถูกนำไปสู่การปฏิบัติ เน้นการยกระดับการเรียนการสอนประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องต่อระบอบประชาธิปไตยไทย พร้อมย้ำจุดยืนให้กระทรวงศึกษาธิการเป็น “พื้นที่ปลอดการเมือง” และร่วมกับคอนเน็กซ์อีดีในการผนึกความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อร่วมกำหนดนโยบายการศึกษาที่ตอบโจทย์ประเทศในระยะยาว
“ทั้งนี้ ยังมีความท้าทายด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งที่ได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ จึงอยู่ระหว่างวางกลไกใหม่ ปรับระบบงบประมาณและแนวทางบริหารจัดการที่คำนึงถึงบริบทชุมชน รวมถึงความร่วมมือไทย–จีนด้านการแลกเปลี่ยนครู การยกระดับการศึกษาพิเศษ การแก้ปัญหาบ้านพักครูทรุดโทรมกว่า 13,000 ยูนิต และการทำงานร่วมคอนเน็กซ์อีดีในการพัฒนาระบบ SMS ขยายผลสู่โรงเรียนสังกัด สพฐ. และอบรมบุคลากรฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน” รมว.ศธ. กล่าว
ขณะที่ นายศุภชัย เจียรวนนท์ กล่าวว่า การศึกษาคือรากฐานการพัฒนาประเทศและช่วยเสริมศักยภาพเยาวชนให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านเทคโนโลยี AI เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งต้องอาศัยการปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง โดยย้ำว่าความสำเร็จของคอนเน็กซ์อีดีมาจากความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และบุคลากรทางการศึกษา ในการขับเคลื่อน 5 ยุทธศาสตร์ ทั้งด้านความโปร่งใส กลไกตลาด การพัฒนาผู้นำและครู การเรียนรู้ที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่ยั่งยืนและเตรียมเยาวชนไทยสำหรับอนาคต
ทั้งนี้ ความร่วมมือจากทั้ง 3 ภาคส่วน ที่ได้ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาไทยผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่
- Standard & Transparency: การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาที่ได้มาตรฐานอย่างโปร่งใสสู่สาธารณะ
- Market Mechanism: กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม
- High Quality Principals & Teachers: การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน
- Child Centric & Curriculum: เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ
- Digital & AI Infrastructure: การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ของสถานศึกษา
แนวทางยุทธศาสตร์ 5 หลักนี้ ได้นำมาประยุกต์ใช้ในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี จนเกิดผลเป็นรูปธรรมและกลายเป็นโรงเรียนต้นแบบคอนเน็กซ์อีดี ประจำปี 2568 จำนวน 35 โรงเรียนทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ภายในงาน CONNEXT ED EDUCATION FORUM 2025 ยังมีกิจกรรมน่าสนใจ อาทิ การเสวนาแบ่งปันต้นแบบความสำเร็จโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี ด้วย 5 ยุทธศาสตร์มูลนิธิฯ โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี, การบรรยายพิเศษ “พลเมืองดิจิทัลและทักษะแห่งอนาคตเพื่อเด็กไทย” โดย ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ จากสถาบัน Slingshot Group, การเวิร์กช็อประดมความคิด พลิกโฉมโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี เตรียมเด็กไทยให้มีทักษะแห่งอนาคต : Empowering CONNEXT ED Schools for the Future World โดย Slingshot Group ร่วมกับคณะทำงานภาครัฐร่วมเอกชน, หน่วยงานการศึกษาที่เกี่ยวข้อง, โรงเรียนต้นแบบ และ School Partner เพื่อหาแนวทางการพัฒนาและยกระดับคุณภาพโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีและเด็กไทย รวมถึงนิทรรศการความร่วมมือทางการศึกษา “ความสำเร็จวันนี้ อนาคตของพวกเรา” : The Key of Success, The Future We Learn และบูธผลงานตัวอย่างความสำเร็จของโรงเรียนและความภาคภูมิใจในการสนับสนุนขององค์กรเอกชนเครือข่ายพันธมิตร 61 องค์กร เป็นต้น








เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2569 โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ–เอกชน เข้าร่วม เพื่อกำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “เรียนดี มีคุณธรรม”ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ โดย ศ.ดร.นฤมล ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2569 ซึ่งจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 10 มกราคม 2569 กระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานร่วมกับหลายหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน เพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ สนุกสนาน และเสริมคุณธรรมให้กับเยาวชนไทย ภายใต้แนวคิด “เรียนดี มีคุณธรรม” โดยปีนี้ได้เตรียมจัดนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณด้านการศึกษา รวมถึงพระราชกรณียกิจในการเสด็จพระราชดำเนินยังพื้นที่ห่างไกลเพื่อดูแลเด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึง

โดย ศ.ดร.นฤมล ได้นำเสนอนโยบายและทิศทางการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย พร้อมเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย–จีน และความสำคัญของการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ภาษาจีนให้ทันสมัยและตอบโจทย์อนาคต โดยเฉพาะการผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาที่มีทักษะภาษาจีนรองรับตลาดแรงงานยุคใหม่ พร้อมเสนอให้ฝ่ายจีนสนับสนุนทุนการศึกษาแก่ครูไทยเพื่อไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน ตลอดจนส่งผู้เชี่ยวชาญมาฝึกอบรมให้แก่ครูไทยเพื่อยกระดับทักษะการสอนภาษาจีนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยยังขอรับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในห้องเรียนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ รวมถึงการร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มการสอนภาษาจีน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่าย หลากหลาย และทันสมัยยิ่งขึ้น ขณะที่ฝ่ายจีนได้เสนอแนวทางขยายความร่วมมือ เช่น การยกระดับหลักสูตรภาษาจีนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในระดับอาชีวศึกษา การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ ระบบการสอบ HSK การแลกเปลี่ยนครูและผู้เชี่ยวชาญชาวจีน รวมถึงการร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แบบครบวงจรสำหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย
นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะภาษาจีนเพื่อตอบโจทย์การจ้างงานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีนักลงทุนชาวจีนจำนวนมาก พร้อมเสนอให้เพิ่มครูอาสาสมัครจีนในศูนย์การเรียนรู้ทั่วประเทศเพื่อเสริมศักยภาพแรงงานไทย ขณะเดียวกัน ไทยยังขอรับการสนับสนุนการจัดตั้ง “ห้องเรียนขงจื่อ” เพิ่มเติม รวมถึงส่งเสริมรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ 3+1 ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และทักษะภาษาดิจิทัล (AI) โดยการหารือครั้งนี้สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมของไทยและจีนในการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาให้ก้าวหน้าและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้คุณภาพสูงให้คนไทยทุกช่วงวัย และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุมระดับโลกว่าด้วยการสอบวัดระดับภาษาจีน HSK Global Conference 2025 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมขึ้นกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Bridging Global Education Through Chinese Language Proficiency” (สะพานเชื่อมโลกการศึกษาด้วยความสามารถด้านภาษาจีน) เพื่อผลักดันคุณภาพการศึกษาภาษาจีนในประเทศไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานนานาชาติ และสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพของกำลังแรงงานไทยในอนาคต
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวบนเวทีว่า การประชุม HSK Global Conference ถือเป็นเวทีสำคัญระดับนานาชาติที่รวบรวมผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลกด้านการสอนภาษาจีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาหลักสูตรที่มีคุณภาพ โดยประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ภาษาจีนในฐานะภาษาที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นทักษะที่ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของเยาวชนไทยในเวทีโลก ความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างไทยและจีนเป็นเสาหลักสำคัญต่อการพัฒนาทักษะด้านภาษาและความเข้าใจวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ยาวนานระหว่างสองประเทศ โดยปีนี้ยังถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ซึ่งยิ่งตอกย้ำความร่วมมือทางการศึกษาที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาจีนในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาหลักสูตร การฝึกอบรมครู การแลกเปลี่ยนนักเรียน และการขยายศูนย์สอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) ในประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยมีศูนย์สอบ HSK ครอบคลุมทุกจังหวัดกว่า 185 แห่ง ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการสอบมาตรฐานสากลได้สะดวก ลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง และเพิ่มโอกาสด้านการศึกษาต่อและการจ้างงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาษาจีนโดยตรง”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า การเรียนภาษาจีนไม่ใช่เพียงการเสริมทักษะภาษา แต่เป็นการสร้าง “สะพานแห่งมิตรภาพ” ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยสู่มาตรฐานแรงงานระดับนานาชาติ การนำมาตรฐาน HSK มาใช้เป็นกรอบในการพัฒนาหลักสูตรและการประเมินผล จะช่วยเตรียมเยาวชนไทยให้มีความพร้อมทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และทักษะการทำงานในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนและหน่วยงานด้านการศึกษาในจีนที่ดำเนินความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะ Chinese Test International (CTI) และ Center for Language Education and Cooperation (CLEC) ที่ร่วมสนับสนุนการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่ากระทรวงศึกษาธิการไทยจะเดินหน้าพัฒนาคุณภาพครู ผู้เรียน และระบบประเมินผลภาษาจีนให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในอนาคต ประเทศไทยมุ่งมั่นพัฒนาเยาวชนให้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตของประเทศ การเสริมทักษะภาษาจีนเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เด็กไทยก้าวทันโลก และสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานนานาชาติได้อย่างมั่นใจ และขอให้การประชุม HSK Global Conference ประสบความสำเร็จอย่างสูง และความหวังว่า ความร่วมมือทางการศึกษา และวัฒนธรรมระหว่างไทย–จีนจะยังคงเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป


