อาชีวะย้ำผู้บริหารสถานศึกษายุคใหม่เชื่อมโยงความรู้ คุณธรรม คิดบวก ขับเคลื่อนนโยบายร่วมกัน

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็นประธานปิดการพัฒนาสมรรถนะรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ตามมาตรฐานตำแหน่ง โดยมีนายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการ กอศ. นางธิติมา โรจน์วัชราภิบาล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา นายอัศวิน ข่มอาวุธ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ นางเบญจวรรณ ปกป้อง ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

นายยศพล กล่าวว่า การพัฒนาสมรรถนะรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ตามมาตรฐานตำแหน่ง ในวันนี้เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจ ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 วันของการพัฒนาสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายร่วมกัน ความคิดเชิงบวก และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ที่จะนำไปสู่การพัฒนาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาให้เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง โดยสิ่งสำคัญที่รองผู้อำนวยการได้รับในครั้งนี้ คือ ความรู้ ความเข้าใจ และการประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่อง AI ควบคู่กับการมีคุณธรรมและจริยธรรม ขอฝากแนวคิดการบริหารตน ที่ต้องอาศัยทั้ง IQ ความรู้ EQ จิตใจ AQ การแก้ปัญหา MQ คุณธรรม และ PQ การดูแลสุขภาพ เพื่อเป็นรากฐานใน การบริหารคนและการบริหารงาน ได้อย่างสมดุล

“การพัฒนาฯ ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การพบปะหรือพูดคุย แต่จะเป็นการต่อยอดไปสู่กิจกรรมและการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับสมรรถนะและขับเคลื่อนสถานศึกษาตามนโยบายอาชีวศึกษาอย่างยั่งยืน ฝากถึงรองสถานศึกษาทุกแห่งให้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทและอัตลักษณ์ของแต่ละสถานศึกษา เพื่อให้การพัฒนามีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง” เลขาธิการ กอศ. กล่าว

ทั้งนี้ โครงการพัฒนาสมรรถนะรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ตามมาตรฐานตำแหน่ง มี รอง ผอ.สถานศึกษา เข้าร่วมทั้งสิ้น 968 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 24 กันยายน 2568 ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ กรุงเทพมหานคร โดยมีเนื้อหาการอบรมจากผู้บริหาร สอศ. และ วิทยกรผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น การบริหารงานบุคคลและภาวะผู้นำอาชีวศึกษา การปฏิบัติเพื่อพัฒนาสถานศึกษาและคุณภาพผู้เรียน การบริหารความเสี่ยงและการป้องกันการทุจริตในสถานศึกษา ทักษะการบริหารและปรับตนในศตวรรษที่ 21 เป็นต้น

 

สพฐ.มั่นใจนักเรียน 118 เขตได้ใช้แท็บเล็ต Anywhere Anytime ตามกำหนดเวลา

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ครั้งที่35/2568 ว่า ที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับครูและนักเรียน ในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime)ปี 2568 ของ สพฐ.โดยเน้นการใช้เทคโนโลยี เช่น แท็บเล็ต/โน้ตบุ๊ก ของ 118 เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมั่นใจว่าสามารถดำเนินการได้ตามเวลาที่กำหนด คือภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ โดยนักเรียนและครูจะได้เข้าถึงสื่อและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของนโยบาย Anywhere Anytime ได้อย่างแน่นอน โดยขณะนี้ได้ประกาศผู้ชนะการเสนอราคาแล้ว จํานวน 6 เขต  กำลังพิจารณาผล 12 เขต กำลังประกาศเชิญชวน 40 เขต กำลังประชาพิจารณ์ ร่างขอบเขตงานหรือ TOR 44 เขต กำลังแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทํา ร่าง TOR 12 เขต

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมได้เน้นย้ำ เรื่องการบริหารงบประมาณที่เป็นงบลงทุนให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยภายในปีงบประมาณนี้เนื่องจากตาม ...งบฯกำหนดให้ใช้ได้ไม่เกิน 2 ปีงบประมาณ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า จากการติดตามอย่างเข้มข้นทุกสัปดาห์ ทำให้มีงบที่มีแนวโน้มเสี่ยงจะถูกพับไป มีเพียง 3-4 ล้านบาทเท่านั้น จากเดิมที่เคยสูงถึง400–500 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขน้อยที่สุดตั้งแต่ใช้ ...ฉบับใหม่มา แสดงให้เห็นว่าการกำกับติดตามอย่างใกล้ชิดไปยังโรงเรียนและผู้บริหารได้ผลดีมาก และจะนำไปปฏิบัติในปีงบประมาณต่อๆ ไป

สำหรับเรื่องสุดท้าย คือ การรับมือสถานการณ์อุทกภัยและพายุรากาซาซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้แจ้งเตือนว่าพายุดังกล่าวได้ทวีกำลังแรงและอาจส่งผลกระทบกับครู นักเรียน และโรงเรียนในสังกัด สพฐ. จึงได้กำชับให้ทุกโรงเรียนเตรียมแผนป้องกัน เตรียมพร้อมรองรับการอพยพการดูแลอาคารสถานที่ และป้องกันทรัพย์สินทางราชการ โดยให้ความสำคัญกับการดูแลครูและนักเรียนให้ปลอดภัยสูงสุด หากน้ำท่วมหรือถนนขาดให้ปิดโรงเรียนได้เพื่อความปลอดภัย หลังพายุผ่านก็ให้เร่งฟื้นฟูโดยเร็ว และขอขอบคุณรัฐบาลที่ได้อนุมัติงบกลางช่วยซ่อมแซมโรงเรียนที่เสียหายเพื่อสามารถเปิดเรียนได้ตามปกติต่อไปเลขาธิการกพฐ. กล่าว

บอร์ดปฐมวัย ดันวาระแห่งชาติ 3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม รู้ทันภัยเงียบ “งดใช้จอ ก่อน 2 ขวบ” สร้างเด็กคุณภาพในยุคดิจิทัล

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเสวนาวิชาการ เรื่อง รู้ทันภัยวัยเด็ก งดสื่อหน้าจอก่อน 2 ขวบ โดยมี นายธฤติ ประสานสอน รองเลขาธิการสภาการศึกษา และผู้แทนจากหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ดูแลรับผิดชอบเด็กปฐมวัย และพ่อแม่ผู้ปกครอง เข้าร่วมประชุม โรงแรมไมด้า งามวงศ์วาน .นนทบุรี

รศ.ดร.ประวิต กล่าวว่า จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่มเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤตเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันโลกได้เข้าสู่สังคมแห่งเทคโนโลยี ทำให้เด็กยุคใหม่มีโอกาสในการใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเพิ่มมากขึ้น จากการวิจัยของวอลดอฟเชื่อว่าเด็กมีพัฒนาการตามช่วงวัยเป็นขั้นบันได โดยสิ่งกระตุ้นจากพ่อแม่และสภาพแวดล้อมมีผลต่อการตอบสนองของเด็ก รวมถึงการเรียนรู้จากประสบการณ์ผ่านกิจกรรมจะช่วยกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจึงเห็นควรผลักดันมาตรการ “3 ลดมาตรการที่ 4 ลดใช้สื่อหน้าจอในเด็กปฐมวัยอย่างจริงจัง งดใช้ก่อนวัย 2 ขวบ เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ควรประชาสัมพันธ์ให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว ครู/ผู้ดูแลเด็ก และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยได้เห็นประเด็นปัญหานี้ และร่วมกันประชาสัมพันธ์เผยแพร่เป็นมาตรการเร่งด่วนและดำเนินการนำสู่การปฏิบัติ โดยเชื่อมั่นว่าการสร้างพื้นฐานการเรียนรู้ที่ดี จะทำให้เด็กไทยเติบโตเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศในอนาคต

ด้าน .ดร.ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ กล่าวในการ Stand talk เรื่องการลงทุนในเด็กปฐมวัยช่วยสร้างสังคมคุณภาพได้  ว่า การลงทุนในเด็กปฐมวัยถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด จากการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์การศึกษาชี้ชัดว่า ทุก 1 บาทที่ลงทุนไปจะคืนกลับมามากกว่าหลายเท่าในอนาคต กอปรกับไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ สังคมที่มีคุณภาพจึงต้องเริ่มจากการดูแลเด็กเล็กให้สมวัยเพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์ ดังนั้น การงดใช้จอก่อน 2 ขวบถือเป็นก้าวสำคัญที่จะส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และคุณภาพแรงงานในอนาคต

ส่วน .นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ กล่าวเรื่องภัยร้ายจากสื่อหน้าจออันตรายกว่าคิดว่า อนาคตที่ดีของเด็กควรเริ่มตั้งแต่ปฐมวัย โดยเฉพาะพัฒนาการเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี จะเป็นรากฐานของความเจริญก้าวหน้าและความยั่งยืนทางสังคม ผู้เลี้ยงดู คือ ผู้สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ในสมองเด็ก ซึ่งต้องใช้การเลี้ยงดูจากผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคง ดูแลเอาใจใส่ และมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน รวมถึงปัญหาการใช้สื่อหน้าจอกับสมองด้านภาษาและการอ่าน พบว่า เด็กที่ใช้สื่อหน้าจอมากจะมีความสัมพันธ์กับการลดลงของ white matter tracts ในสมองซึ่งสอดคล้องกับการประเมินทางสติปัญญา ตลอดจนปัญหาของเด็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปี ที่ได้รับสื่อมากกว่า 1 อย่างพร้อมกันสัมพันธ์กับปัญหา EF เพิ่มขึ้น และปัญหาสื่อที่กระทบต่อพฤติกรรมทั้งด้านการนอน อารมณ์ ความก้าวร้าวทั้งนี้ หากจะให้ลูกใช้สื่อหน้าจอควรเลือกโปรแกรมที่มีคุณภาพเหมาะสมตามวัย สิ่งสำคัญคือ เน้นส่งเสริมให้เด็กนอนหลับ ออกกำลังกายเล่นตามวัย อ่านหนังสือ และมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเด็กอย่างเพียงพอ

นอกจากนี้มีการเสวนาวิชาการรู้ทันภัยวัยเด็ก งดสื่อหน้าจอก่อน 2 ขวบโดย นางธิดา พิทักษ์สินสุข นายธาม เชื้อสถาปนศิริ นายสุรเสกข์ยุทธิวัฒน์ นายอนิก พลทัตพชระ และ ภญ.ณัฐกานต์ ประสพสายพรกุลสรุปว่า ช่วงปฐมวัย 0 – 6 ปี เป็นวัยรากฐานของชีวิตมนุษย์ ซึ่งเป็นวัยที่ไวต่อปัจจัยที่มากระทบและเป็นหน้าต่างแห่งโอกาส การเลี้ยงดูมีผลอย่างยิ่งต่อเด็กจอไม่ใช่พี่เลี้ยง แต่เป็นภัยเงียบที่ทำลายพัฒนาการและธรรมชาติของการเรียนรู้ของเด็กเล็ก จึงต้องหันมาสร้างเวลาคุณภาพส่งเสริมพัฒนาการ 4 ด้าน ได้แก่ กิน นอน กอด และเล่น เน้นสร้างโอกาสให้เด็กได้พัฒนา SELF & EF คิดและทำด้วยกัน ตลอดจนเน้นการใช้สื่อเย็น เช่น ของเล่น สนามเด็กเล่น สิ่งพิมพ์ เครื่องกีฬา เป็นต้นและที่ประชุมร่วมสรุปแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการลดการใช้สื่อหน้าจอในเด็กปฐมวัยอย่างจริงจัง : งดใช้ก่อนวัย 2 ขวบ ไปสู่การปฏิบัติจริงโดย นางสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ได้เน้นถึง การแก้ปัญหาการใช้จอเกินวัยในเด็กปฐมวัยต้องการมาตรการที่เข้มข้นและจริงจัง ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูลหรือคำเตือน แต่ต้องเป็นนโยบายที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคม โดยการลดการใช้สื่อหน้าจออย่างจริงจัง งดใช้ก่อนวัย 2 ขวบจะต้องทำให้เป็นบรรทัดฐาน ทั้งนี้การขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบาย ‘3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่มจะช่วยให้มีกรอบปฏิบัติที่ชัดเจนและเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งครอบครัว โรงเรียนหน่วยงานรัฐ และสื่อมวลชนร่วมกัน เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและคุณภาพสำหรับเด็กไทยทุกคน

TRS ทบทวน หรือ เปิดกว้าง?

หยอก หยอก วันที่ 22กันยายน 2568 *** เพราะทุกการยอมรับ ไม่ได้แปลว่า “แพ้” แต่คือการให้โอกาสได้เริ่มใหม่อย่างเข้มแข็ง *** “หยอก หยอกคอลัมน์ที่เอาแต่เรื่องจริงมาหยอก *** เห็น พาดหัวข่าว “นฤมล”สั่งทบทวนพิจารณาย้ายข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านระบบ TRS (Teacher Rotation System) บางคนอาจเข้าใจไปแล้วว่า จะมีการทบทวนกันทั้งระบบหรือเปล่า? เพราะเรื่องนี้ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พรรคภูมิใจไทย ที่ทำไว้ แม้แต่ หยอก หยอก ก็ยัง “เอ๊ะ”กับข่าวนี้เช่นกัน เพราะเคยได้ยินจากปาก “อ.แหม่ม” ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในทำนองว่านโยบายของรัฐมนตรีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับครู บุคลากรทางการศึกษา และเด็กได้ประโยชน์ก็จะสานต่อ … วันนี้เลยยกหูสายตรงคุยกับ ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ได้ความว่า แท้จริงแล้ว คำว่า “ทบทวน” คือ การเปิดกว้าง ทำให้ครูได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะสามารถย้ายไปอยู่ในพื้นที่ใกล้บ้านรอไปก่อน ในกรณีเขตพื้นที่ฯที่ครูต้องการย้ายไปยังไม่ว่าง เนื่องจากระบบ TRS ปัจจุบัน ที่ใช้มาแล้ว 2 รอบ ยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะกรณีขอย้ายกลับภูมิลำเนา เช่น ครูสอนที่จังหวัดทางภาคใต้ แต่ภูมิลำเนาอยู่ที่ศรีสะเกษ เขต 1  ก็ยื่นขอย้ายไปที่ศรีสะเกษ เขต 1 แต่เขตพื้นที่ ศรีสะเกษ เขต 1 ไม่ว่าง ก็เลยไม่ได้ย้าย … อ.แหม่ม จึงให้การบ้าน ก.ค.ศ.มาดำเนินการ เพื่อให้ครูสามารถย้ายไปศรีสะเกษ เขต 2-3 ได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ครูได้อยู่ใกล้บ้าน เป็นต้น … ฟังแล้วก็อย่าเพิ่งตกใจกัน เด้ออ เพราะยังมีอีกหลายเหตุผลที่ ก.ค.ศ.กำลังคิดแก้ปัญหาจากข้อจำกัดอื่นอีก เพื่อให้ครูได้ประโยชน์จากระบบนี้สูงสุด … อ้อ! เกือบลืม แว่วว่าจะทำให้ทันการเปิดระบบขอย้าย รอบ 3 จ้า *** งวดเข้ามาแล้วกับการดำเนินการเช่าซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime)ปี 2568 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)โดยเน้นการใช้เทคโนโลยี เช่น แท็บเล็ต/โน้ตบุ๊ก ของ 118 เขตพื้นที่การศึกษา … มีข่าวจากหลายแหล่งที่ช่วยวิเคราะห์ทั้งข้อดีและข้อเสียของโครงการ จนทำให้ผู้จ้างหรือเขตพื้นที่เกิดความหวั่นไหว ว่า จะไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะเหมือนโดนขู่ตลอดเวลา … เรื่องนี้ หยอก หยอก คิดว่าผู้ที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่จัดซื้อ จัดจ้างเท่านั้น จะรู้ว่าอันไหนมาปกติ หรืออันไหนมาแบบผิดปกติ ไม่มีใครบังคับให้ทำ เพราะสมัยนี้ข้อมูลข่าวสารไปไกล และเร็วมาก ถ้ามีอะไรผิดปกติย่อมมีเหตุ ไม่เหมือนสมัยก่อน ถูกสั่งการจากข้างบนแต่ไม่มีหลักฐาน นักการเมืองลอยตัว ถูกออกจากราชการกันนับร้อย แต่ยุคนี้เห็นบทเรียนมาแล้วก็น่าจะรู้ว่าอันไหนทำได้ อันไหนทำไม่ได้ ถ้าทำแล้วเรามีความผิด ก็อย่าทำ แต่ถ้าทำแล้วไม่ผิดก็ทำไปถ้าเกิดประโยชน์กับเด็กจริง ๆ *** พูดถึง สหกรณ์กลาง สกสค. เป็นโครงการที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) คิดจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การรับโอนหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา จากสถาบันการเงินต่างๆ มาไว้ที่สหกรณ์กลาง สกสค.แห่งเดียว ในวงเงินรายละไม่เกิน 5 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 0 – 4% ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้ครูฯมีภาระดอกเบี้ยที่ต่ำลง  … นี่ก็ใกล้จะสิ้นเดือนกันยายน กำลังจะเข้าเดือนตุลาคมที่บอกว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนเข้าโครงการกันแล้ว แต่เรื่องก็ยังไปไม่ถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้แค่จ่อ ๆ แถมโดนแซะรายวัน สร้างหนี้ใหม่ อุ้มหนี้เน่าบ้าง เกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสียบ้าง แม้แต่ไม่เชื่อว่าจะทำได้จริงก็มี … สุดท้ายงานนี้ก็ได้แต่รอ ครม.นายกฯหนู จะว่ายังไง สหกรณ์กลาง สกสค.จะคลอดได้รึเปล่าน้อ ? *** ขอแสดงความยินดีกับข้าราชการที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน นี้ ขอแสดงความยินดีที่สามารถทำงานรับใช้ชาติเป็นข้าของแผ่นดินได้จนถึงวันเกษียณอายุ อยู่รอดปลอดภัยจนถึงวัย 60 ขวบปี จากนี้ไปขอให้ทุกท่านใช้ชีวิตหลังเกษียณด้วยความสำราญ ตามทางของตนเอง ไม่ต้องเคร่งเครียดกับงาน มีเวลาพักผ่อน ดูแลสุขภาพเต็มที่ … วันที่ 1 ตุลาคม อย่าลืมเผลอแต่งตัวออกจากบ้านมาทำงาน เด้อจ้า …. ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทุกท่าน….สำหรับคนที่ได้รับแต่งตั้งใหม่โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งใหม่รับไม้ต่อจากท่านผู้เกษียณ ก็หวังว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตสมกับที่ว่าได้วางคนถูกฝาถูกตัวแล้ว … ก็อย่าให้มีเรื่องเทา ๆ เข้าหู หยอก หยอก ละกัน …  จุ๊ จุ๊ จิ้งจกทักยังใช้ได้อยู่นะจ๊ะ นะจ๊ะ***

“อ.แหม่ม”ฝากทบทวนเกณฑ์ทุน ODOS ไม่ควรตีกรอบความยากจน ติดตามให้นักเรียนทุนกลับมาทำงานในประเทศ ไม่ให้สมองไหล

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมชี้แจงสถานศึกษารับสมัครนักเรียนและนักศึกษา เข้าร่วมโครงการทุน ODOS ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 2  (รุ่นที่ 2) ว่า โครงการดังกล่าวถือว่าเป็นโครงการที่ดีที่สร้างโอกาสความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับเด็ก  แต่อยากฝากถึงการดำเนินโครงการทุน ODOS ในอนาคต อยากให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การให้ทุนที่ไม่ควรไปขีดเส้นความยากจนในรูปแบบเดียวกันทั้งประเทศ เพราะนักเรียนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครแม้ครอบครัวมีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจน แต่เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายแล้วถือว่ามีค่าครองชีพที่สูงกว่าจังหวัดอื่น ซึ่งถือว่ากลุ่มคนเหล่านี้ก็คือคนจนในเมืองเช่นเดียวกัน ดังนั้นตนจึงอยากให้คำนึงถึงจุดนี้ เพื่อให้นักเรียนในเมืองได้เข้าถึงโอกาสการได้ทุนอย่างเท่าเทียบเช่นเดียวกัน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่อยากฝาก คือ กลุ่มสาขาที่คัดเลือกผู้เรียนไม่อยากให้จำกัดแค่กลุ่มวิชาสะเต็มศึกษาเพียงอย่างเดียว โดยอยากให้กระจายครอบคลุมไปยังกลุ่มทักษะด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ทักษะกีฬา ทักษะด้านจิตวิทยาทางสังคม เป็นต้น เพราะทักษะด้านอื่นๆ ก็จำเป็นต่อการพัฒนาอนาคตประเทศเช่นเดียวกัน แม้กลุ่มวิชาสะเต็มศึกษาจะเป็นตัวหลักในการพัฒนาประเทศก็ตาม รวมถึงอยากให้มีระบบติดตามผู้เรียนจบโครงการด้วยว่า ผู้ที่จบการศึกษาไปแล้วได้ไปทำงานกลับมาใช้ทุนที่ไหน และมีรายได้ มีอาชีพใดรองรับหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาสมัยตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือแม้กระทั่งรมช.แรงงาน มีโอกาสเดินทางไปดูงานต่างประเทศ และได้พบกับนักเรียนทุน ODOS เหล่านี้ก็ทำให้ทราบว่า นักเรียนทุนหลายคนเลือกที่จะอยู่ต่อในต่างประเทศสมัครทำงานเป็นลูกจ้างกับสถานทูตไทย ซึ่งเราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะนำนักเรียนทุนที่มีความรู้ความสามารถเหล่านี้กลับมาทำงานต่อที่ประเทศไทยได้ ดังนั้นขอฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูงานที่จะรองรับและสอดคล้องกับสาขาวิชาที่เด็กไปเรียนด้วย  เพื่อเป็นการพัฒนาประเทศไทยไปด้วย

“สำหรับโครงการทุน ODOS รุ่นที่ 2 มีผู้สมัครจำนวน 1,200 คน ได้ทุนเรียนต่อต่างประเทศ จำนวน 100 คน ส่วนที่เหลือเป็นทุนศึกษาต่อในประเทศ ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องทักษะภาษาอังกฤษของเด็กไทยที่จะไปเรียนต่อนั้น ดิฉันได้รับรายงานว่า มีการอบรมทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ไม่ต่ำกว่า 5.5 คะแนนจากคะแนนเต็ม 9 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นการทดสอบภาษาที่เข้มข้น เพื่อปูพื้นฐานให้เด็กก่อนไปสนามจริงในต่างแดน” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด่วน! คุรุสภาชวนศึกษากฏหมายมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย 2568

ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ตามที่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรื่องข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. 2568 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งการจัดทำข้อบังคับคุรุสภาฉบับนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูในระดับปฐมวัย มีสมรรถนะทางวิชาชีพที่ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลงของการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน โดยกำหนดให้ครูปฐมวัยต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง และมีมาตรฐาน 3 ด้าน คือ 1.มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ2.มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ 3.มาตรฐานการปฏิบัติตน

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวอีกว่า ในส่วนแรกด้านมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ กำหนดให้ครูปฐมวัยต้องมีความรอบรู้และเข้าใจ ธรรมชาติการเรียนรู้ของสมองเด็ก การเจริญเติบโต พัฒนาการด้านตัวตนและแบบองค์รวมตามช่วงวัย มีความรู้ด้านศาสตร์การสอน พัฒนาหลักสูตรสอดคล้องกับบริบทของครอบครัว ชุมชน และสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีการประเมินเพื่อวางแผน ส่งเสริม พัฒนาการและการเรียนรู้ มีการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม สร้างความสัมพันธ์ของระบบนิเวศรอบตัวที่เกี่ยวข้อง ทั้งครอบครัว โรงเรียน หน่วยงานสาธารณสุข ชุมชน สื่อ เทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม และกฎหมาย รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ปกครองและชุมชนในการพัฒนาเด็กปฐมวัย และจะต้องผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด ได้แก่ การฝึกประสบการณ์วิชาชีพระหว่างเรียน และการปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวต่อไปว่า สำหรับมาตรฐานการปฏิบัติงานนั้นกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยต้องปฏิบัติหน้าที่ครู จัดประสบการณ์การเรียนรู้ และมีความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน ประกอบด้วย การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องด้านความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย มีจิตวิญญาณและคุณลักษณะที่ดีของความเป็นครูปฐมวัย สร้างสัมพันธภาพที่ดี ปฏิบัติต่อเด็กปฐมวัยอย่างให้เกียรติ ใช้ความรู้ในการวางแผน พัฒนาและประเมินอย่างเหมาะสม ออกแบบ วางแผนอย่างสร้างสรรค์ บูรณาการที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย จัดสื่อ สภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคม ทั้งในและนอกห้องเรียนที่เหมาะสม รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการแก้ปัญหาด้านพัฒนาการโดยใช้วิธีการสื่อสารเชิงบวกอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ส่วนสุดท้ายคือมาตรฐานการปฏิบัติตนที่ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยจะต้องมีมาตรฐานการปฏิบัติตนตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวเพิ่มเติมว่า กฎหมายฉบับนี้ได้รับการผลักดันจากคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพให้มีผลใช้บังคับ ซึ่งได้มีการกำหนดบทเฉพาะกาลที่สำคัญ เช่น ข้อบังคับนี้จะไม่กระทบสิทธิและหน้าที่ของผู้ได้รับและผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูที่ใช้มาตรฐานวิชาชีพตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาหรือเทียบเท่าที่คุรุสภารับรองตามมาตรฐานวิชาชีพ ตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพฯ สามารถใช้คุณวุฒิดังกล่าวในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ตามที่กำหนดในข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ฯ นอกจากนี้ให้สถาบันที่ยังปรับปรุงหลักสูตรไม่แล้วเสร็จตามข้อบังคับนี้ยังคงใช้หลักสูตรตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพลางก่อน แต่ต้องไม่เกิน 3 ปี หลังจากวันที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ(ภายในวันที่ 21 ส.ค. 2571) เป็นต้น สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาจึงขอเชิญชวนสถาบันการศึกษา ครูและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมาศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ของกฎหมายฉบับนี้ และเพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาที่ผลิตครูสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง หากมีข้อสงสัยสามารถขอคำแนะนำได้ที่สำนักมาตรฐานวิชาชีพ กลุ่มมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ โทร.0-2280 -0048 เพื่อร่วมกันพัฒนาให้ครูปฐมวัยมีมาตรฐานที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของสังคมต่อไป

“OECD”เสนอรายงานวิจัย “ทักษะ”โลกแห่งการเปลี่ยนแปลง “ศ.ดร.นฤมล”ยอมรับเป็นชุดทักษะที่จะต้องปรับเปลี่ยนคนไทยตั้งแต่ระดับประถม มัธยม อาชีวศึกษา จนถึงวัยทำงาน

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ที่ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพมหานคร  ศ.ดร.นฤมล ภิณโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเปิดตัวรายงาน Developing Skills Strategy in Thailand โดยมี นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวรายงาน ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ตัวแทนกระทรวงต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ หอการค้าอังกฤษ เยอรมัน-ไทย ไอร์แลนด์ และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมงาน

ศ.ดร. นฤมล กล่าวตอนหนึ่งว่า โลกปัจจุบันกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในทุกสาขา ขณะที่โครงสร้างประชากรสูงวัยและผลกระทบจากโควิด-19 สร้างแรงกดดันต่อระบบการจ้างงานและการพัฒนาอย่างยั่งยืน รัฐบาลไทยโดยกระทรวงศึกษาธิการ จึงมุ่งยกระดับทักษะทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560–2579 เน้นการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ทักษะดิจิทัล ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเชิงซับซ้อน และการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างพลเมืองที่พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 4 ว่าด้วยการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ และเป้าหมายที่ 8 ว่าด้วยงาน  ที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจขับเคลื่อน โมเดลเศรษฐกิจ BCG – Bio, Circular, Green Economy เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม รองรับ BCG Economy โดยเฉพาะทักษะด้าน เกษตรสมัยใหม่ อุตสาหกรรมสีเขียว พลังงานสะอาด และบริการสร้างสรรค์ที่ใช้ความรู้และนวัตกรรม

“การได้ร่วมมือกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ภายใต้กรอบการดำเนินงาน Country Programme ระยะที่ 2 ในโครงการ Developing Skills Strategy in Thailand จะช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ทักษะและสมรรถนะของกำลังคนในปัจจุบันและอนาคต พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย และสนับสนุนการออกแบบมาตรการตอบสนองความต้องการแรงงานทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ” รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า  การพัฒนาระบบทักษะของประเทศต้องผนึกกำลังทุกภาคส่วน เพื่อสร้างฐานรากเศรษฐกิจ BCG ซึ่งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นวาระสำคัญระดับโลกและเป็นหนึ่งในเป้าหมาย SDGs จึงเน้นการบูรณาการความร่วมมืออย่างจริงจังทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้การพัฒนาระบบทักษะของประเทศมีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อพลวัตทางเศรษฐกิจได้อย่างทันท่วงที การสัมมนาครั้งนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อค้นพบและข้อเสนอเชิงนโยบายจาก OECD และสร้างระบบทักษะที่เข้มแข็ง เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจฐานความรู้ สนับสนุนการเติบโตของ BCG Economy และสร้างอนาคตที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้ประเทศไทย ขอบคุณองค์การ OECD และทุกหน่วยงานที่ร่วมแรงร่วมใจขับเคลื่อนโครงการครั้งนี้

ศ.ดร.นฤมล กล่าวด้วยว่า ส่วนที่ทาง OECD ได้ให้ความสนใจคะแนนการประเมินนักเรียนนานาชาติ หรือ  PISA ของเด็กไทยอยู่ในระดับต่ำ เรื่องนี้ก็คงไม่ใช่แค่ในส่วนของอาชีวะ แต่รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ที่กำกับดูแลการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้วย เพราะคะแนนมาจากหลายองค์ประกอบ อีกอย่างในส่วนของอาชีวะมีเด็กเข้าสอบ แค่ 2,000 กว่าคน คะแนนส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ที่นักเรียน สพฐ. ซึ่งก็ได้มอบนโยบายให้กับว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. คนปัจจุบัน และ ดร.พิเชฐ โพธิภักดี เลขาธิการ กพฐ. คนใหม่ ว่า รัฐบาล และ กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่ง OECD ก็เน้นเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เราก็ต้องเข้ามาดูว่า ที่ผ่านมาเด็กตกที่ทักษะไหน เราจะปรับปรุงอย่างไร เพื่อทำให้คะแนนสูงขึ้น  อย่างไรก็ตาม ว่าที่ร้อยตรี ธนุ ได้ให้ความมั่นใจว่าคะแนน PISA ปีนี้สูงขึ้นแน่นอน

นายยศพล กล่าวว่า รัฐบาลไทย โดยสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ดําเนินโครงการ Country Programme Phase II ร่วมกับองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ภายหลังการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 ณ สํานักงานใหญ่ OECD กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ภายใต้แผนการดําเนินงานของ OECD ได้พัฒนาข้อเสนอโครงการ Developing Skills Strategy in Thailand ซึ่งอยู่ในกรอบความร่วมมือด้านการสร้างสังคมที่ครอบคลุมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะด้านการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้ให้การรับรองโครงการดังกล่าว พร้อมกับมีหน่วยงานร่วมเป็นเจ้าภาพ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

เลขาธิการ กอศ.  กล่าวว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ต่อสาธารณชนเกี่ยวกับการเสริมสร้างระบบทักษะแห่งประเทศไทย นำเสนอการประเมินจุดแข็งและความท้าทายของระบบทักษะ พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศ และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์การระหว่างประเทศ ตลอดจนกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายสู่การปฏิบัติจริง นับเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาทักษะแห่งชาติ ยกระดับสมรรถนะของกำลังคนไทยให้พร้อมรับมือความท้าทายในอนาคต และมีส่วนร่วมต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศและภูมิภาคต่อไป

Mr.Andrew Bell รองหัวหน้าศูนย์ด้านทักษะ OECD กล่าวถึงเหตุผลที่ OECD ให้ความสนใจเข้ามาทำการวิจัยเรื่องนี้ในประเทศไทย ว่า เพราะทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะนักเรียนในห้องเรียน แต่เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับบุคคลทั่วไปด้วย โดยเฉพาะในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทักษะเหล่านี้จะมีความสำคัญทั้งส่วนบุคคลและเศรษฐกิจของประเทศด้วย จึงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ OECD เลือกที่จะศึกษาเรื่องนี้ในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

สพฐ.เร่งติดตามให้เขตพื้นที่118 เขตเช่าซื้ออุปกรณ์ให้ทันเวลา การันตีความเสี่ยง

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ได้รับมอบหมายจากว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ให้แถลงผลการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ครั้งที่ 34 / 2568 ว่า ที่ประชุมได้มีการติดตามความคืบหน้าการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนสําหรับครูและนักเรียน ภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 118 เขต ทุกสัปดาห์ โดยวันนี้มีการประกาศผู้ชนะการเสนอราคาแล้ว 1 เขตพื้นที่ คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)เพชรบูรณ์ เขต 3 กำลังพิจารณา 2 เขต ได้แก่ สพป.นครสวรรค์ เขต 2 และ สพป.ศรีสะเกษ เขต 1อยู่ระหว่างประกาศเชิญชวน 11 เขต กำลังประชาพิจารณ์ ร่างของเขตงาน( TOR) 28 เขต และ กำลังแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทําร่าง TOR จํานวน 76 เขต โดยวันนี้ สพฐ.ได้จัดให้มีการประชุมชี้แจงเร่งรัดดำเนินการ เพื่อให้กระบวนการจัดหาอุปกรณ์เป็นไปตามวัตถุประสงค์และทันในปีงบประมาณ 2568 นี้

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า โรงเรียนหลายแห่งไม่ขอรับอุปกรณ์การเรียนการสอนของโครงการนี้ ขณะเดียวกันคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างในหลายเขตพื้นที่ได้ทยอยถอนตัว เพราะรู้สึกไม่มั่นใจใน TOR เนื่องจากสเปคบางส่วนถูกกำหนดจากส่วนกลาง จึงกังวลว่าจะเกิดปัญหาเหมือน กรณีการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อปรับปรุงสนามกีฬาฟุตซอล นั้น รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า งบฯ Anywhere Anytime เป็นงบฯที่อยู่ใน พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 มีตัวเลขชัดเจน แต่งบฯ ฟุตซอล เป็นงบแปรญัตติของ ส.ส. ไม่ได้มีการกำหนดราคากลาง แต่ละเขตพื้นที่จะไปกำหนดราคากันเอง ถ้าสังเกตจะเห็นว่า โรงเรียนไหน หรือเขตพื้นที่ไหนใช้ราคากลางของกระทรวงพาณิชย์ หรือพาณิชย์จังหวัด เขตนั้นโรงเรียนนั้นจะไม่มีความผิด แต่ถ้าโรงเรียนไหนเขตไหนกำหนดราคากลางเองโดยที่ราคาไม่เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงพาณิชย์หรือพาณิชย์จังหวัดแต่ละจังหวัด โรงเรียนเหล่านั้นจะถูกตั้งกรรมการสอบ ปปช.เข้าไปดำเนินการ เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจว่า ถึงแม้จะเป็นงบฯเดียวกัน แต่วิธีการไม่เหมือนกัน ก็มีความผิดแตกต่างกัน แต่ในส่วนของงบฯเช่าอุปกรณ์ในโครงการ Anywhere Anytime เป็นงบฯที่ขอชัดเจน เป็นกรณีปกติ และได้แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่ดำเนินการเช่าตาม TOR ของแต่ละเขตพื้นที่ พร้อมกำหนดราคาของตัวเอง และไม่กำหนดว่าต้องซื้อจากบริษัทไหน เปิดให้เขตกำหนดTOR และหาผู้ที่รับจ้างในแต่ละจังหวัด แต่ละเขตพื้นที่เอง ไม่มีการล็อกสเปก เพียงแต่ สพฐ.มีราคากลางเป็นตัวอย่างให้ แต่ไม่ใช่ให้ทุกโรงเรียนหรือเขตไปเช่าตามสเปคจากส่วนกลาง เพราะเราเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเร็วเพราะฉะนั้นที่เรากำหนดไปอาจจะเป็นสเปคของปีที่แล้ว แต่การจัดซื้อเป็นของปีนี้ จึงเปิดให้โรงเรียนและเขตพื้นที่ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างเอง

“ขอฝากความห่วงใยไปถึงสำนักงานเขตพื้นที่ โรงเรียน และผู้ปกครอง ว่า งบประมาณนี้เป็นงบประมาณที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ต้องกังวลใด ๆ ทั้งสิ้นขอให้ดำเนินการด้วยกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่ถูกต้องตามระเบียบ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นห่วง คือ เกรงว่า เขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 118 เขตจะดำเนินการไม่ทัน เวลาที่กำหนด แล้วจะทำให้งบประมาณตกไป ซึ่งสพฐ.ก็พยายามประชุมชี้แจงเร่งรัดดำเนินการ”นายพัฒนะกล่าวและว่า ส่วนการจัดหาอุปกรณ์สำหรับระดับชั้นม.ต้น นั้น จากที่ สพฐ.ได้ตั้งงบประมาณไปสำนักงบประมาณยังไม่ได้ขยายให้มาถึง ม.ต้น ตามที่สพฐ.เสนอ ยังคงให้จัดหาอุปกรณ์สำหรับนักเรียน ม. 4 ถึง ม. 6 เท่าเดิม
รองเลขาธิการกพฐ.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ ประกาศ แนวทางการนำผลการประเมินตามกรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เป็นสากล (Common European Framework of Reference for Languages : CEFR) เป็นกรอบความคิดหลักในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของประเทศไทย ไปใช้ในสถานศึกษา ให้ครอบคลุมทั้งในการออกแบบหลักสูตร การพัฒนาการเรียนการสอน การทดสอบ การวัดผล การพัฒนาครู รวมถึงการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ ดังนี้ สถานศึกษาที่ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 สถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สถานศึกษาที่ใช้หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ชั้น ป.1-3) พ.ศ. 2568และ โรงเรียนหรือสถานศึกษาที่ใช้ระบบธนาคารหน่วยกิต

“อ.แหม่ม” ขึ้นเวทีสัมมนา “พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ” เดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.ให้คลอดทันสมัยนี้ ไม่อยากให้เอาการศึกษาไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง  

เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดและบรรยายพิเศษ เรื่อง “ทิศทาง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. … และการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาแห่งชาติสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษา” จัดโดยสมาคมผู้ปริหารการศึกษาขั้นพื้นฐาน (แห่งประเทศไทย) โดยมีผู้อํานวยการ และรองผู้อํานวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เข้าร่วม  ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลพยายามจะผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เข้าสู่สภาฯ เพื่อจะได้ปรับปรุงให้ทันต่อเหตุการณ์ เนื่องจากมีหลายจุดใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับปัจจุบันยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาภาคการศึกษาของไทย และไม่เอื้อต่อการลดความเหลื่อมล้ำของการศึกษาได้ เราจึงอยากจะให้ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับที่เรากำลังผลักดันเข้าสู่สภาฯ สามารถปิดช่องว่างเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่ที่ผ่านมาเมื่อจะนำเข้าสภาฯ ก็จะเกิดการยุบสภาทุกรอบ ซึ่งก็หวังว่าครั้งนี้จะไม่เป็นเช่นนั้น

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้ ร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับของกระทรวงศึกษาธิการ อยู่ระหว่างฟังความเห็นจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งอาจารย์ก็ได้ประสานไปยังปลัดกระทรวงการคลังแล้ว ทางปลัดกระทรวงการคลังก็รับที่จะเร่งให้กรมบัญชีกลางให้ความเห็นมายังกระทรวงศึกษาธิการ  จากนั้นเราจะทำหนังสือเสนอคณะรัฐมนตรี และส่งเข้าบรรจุวาระการพิจารณาของสภาฯ  ซึ่งร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ จะมีทั้งหมด 7 ร่าง โดยหนึ่งในนั้นเป็นร่างของกระทรวงศึกษาธิการ  ส่วนอีก 6 ร่างจะเป็นของพรรคการเมืองและกลุ่มต่าง ๆ ที่เสนอมา ซึ่งก็ต้องพิจารณาว่าจะใช้ร่างไหนเป็นหลัก แต่เราก็หวังว่าจะผลักดันให้ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เข้าสู่สภาฯได้ในรัฐบาลนี้ ส่วนประเด็นที่มีการเสนอให้ยุบศึกษาธิการภาค นั้น ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา

ศ.ดร.นฤมล กล่าวด้วยว่า ส่วนการพิจารณา พ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่เกี่ยวกับองค์กรวิชาชีพครูนั้น เท่าที่ทราบที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบในหลักการ ตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 16/2560 เรื่อง การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงร่างพ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 7/2558เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค. ลงวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2558 และคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 17/2560 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่7/2558 วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2560 พ.ศ. …ซึ่งประเด็นหลัก  ที่ทางผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เสนอเข้าไป คือ พยายามจะให้มีส่วนของผู้ที่มีส่วนได้เสียเข้าไปอยู่ในองค์ประกอบมากกว่าที่เป็นอยู่ใน คำสั่ง คสช. เช่น  มีตัวแทนจากครู ตัวแทนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าไปกำหนดทิศทางการบริหารจัดการบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น

“อย่างไรก็ตามอาจารย์พูดกับผู้บริหาร และข้าราชการประจำเสมอว่า ภาคการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ถ้าจะมาทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ต้องทำงานร่วมกันกับข้าราชการประจำ และข้าราชการประจำก็ต้องยืนหยัดบนหลักการว่า จะทำงานเพื่อภาคการศึกษาอย่างแท้จริง อาจารย์ไม่อยากให้เอาการศึกษาไปใช้เป็นเครื่องมือที่จะทำเป้าหมายทางการเมือง เช่นเดียวกับพรรคกล้าธรรม(กธ.)ที่เราเข้ามาดูแลกระทรวงศึกษา เราก็จะไม่ใช้การศึกษาเพื่อเป้าหมายทางการเมือง แต่เรามาเพื่อที่จะทำให้ภาคการศึกษาดีขึ้นจริง ๆ อาจารย์ก็หวังว่า พวกเราก็จะยึดหลักการเดียวกัน”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

 

 

 

 

 

 

สกสค.สมุทรสงคราม เปิดมุมมองใหม่ ช่วยครูสร้างรายได้เสริมผ่านคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2568 นายปัญญา บูรณะนันทสิริ ศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสงคราม รักษาการแทน ผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่า ชมรมจับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน สกสค.จังหวัดสมุทรสงคราม จัดกิจกรรมฝึกอบรมพัฒนาทักษะครูในการใช้การตลาดออนไลน์และการสร้างคอนเทนต์อย่างสร้างสรรค์ มุ่งเน้นการสร้างช่องทางรายได้เสริมที่เหมาะสมกับบทบาทครูและไม่กระทบต่อภาระงานหลัก โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่มาต่อยอดในโลกออนไลน์ ซึ่งครูไม่เพียงแค่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังสามารถใช้ทักษะและประสบการณ์ที่มีอยู่สร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสใหม่ๆ ได้ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ครูมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน

นายปัญญา กล่าวต่อไปว่า การอบรมครอบคลุมเทคนิคการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ การใช้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ และกลยุทธ์การสื่อสารที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือและความผูกพันกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นทักษะที่ครูสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในการสอนและการสร้างรายได้เสริมโดยเชิญ คุณสุวภัทร น้อยเฉลิม Influencer และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ มาให้ความรู้เรื่อง แรงบันดาลใจสร้างรายได้เสริมออนไลน์ช่องทางหลัก Content Creator, Product Creator, Content Marketing สำหรับครู,Content Planning, เทคนิคง่าย ๆ สร้างคอนเทนต์ด้วยปลายนิ้ว รวมถึงการทดลองทำคลิป/โพสต์สั้น และการใช้เครื่องมือ Canva, TikTok, Facebook โดยมีคุณครูและบุคลากรทางการศึกษาจากทุกสังกัดในจังหวัดสมุทรสงครามเข้าร่วมการฝึกอบรมจำนวน 80 คน