“ยศพล” สุดปลื้มพลังซอฟต์พาวเวอร์ผลงานอาชีวะ สะท้อนตัวตนชาวอาชีวะ หวังช่วยขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็นประธานเปิดการประชุมนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมซอฟต์พาวเวอร์อาชีวศึกษา “OVEC Excellence in Creative Research & Soft Power” โดยมีนายภูวดล มิ่งขวัญ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สอศ. กล่าวรายงานการดำเนินงาน นางสาวมนฑิณี ยงวิกุล ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)หรือ CEA พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารสถานศึกษา คณะนักวิจัย และผู้สนใจจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วม ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ

นายยศพล กล่าวว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Creative Skillup by OVEC x CEA” ที่ดำเนินการร่วมกับ CEA ที่เป็นการเปิดโอกาสให้ทีมวิจัยที่ประกอบด้วยครูและนักเรียนอาชีวศึกษาได้พัฒนาผลงานที่เชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ท้องถิ่นและซอฟต์พาวเวอร์ของชุมชน ซึ่งมีผลงานนำเสนอจากทีมนักวิจัย ทั้ง 24 ทีม ที่ได้รับทุนสนับสนุนรวมทั้งสิ้น 24 โครงการ จากทีมที่ครอบคลุม 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มศิลปะและบริการสร้างสรรค์ (5 โครงการ) กลุ่มแฟชั่นและสิ่งทอ (9 โครงการ) กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร (10 โครงการ) ซึ่งนอกจากการนำเสนอผลงานแล้ว ยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมถึงถอดบทเรียนที่สำคัญ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์อาชีวะ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) พร้อมให้การสนับสนุนเวทีที่แสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านซอฟต์พาวเวอร์ของนักเรียน นักศึกษา และครูอาชีวะจากทั่วประเทศ ตามนโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ ของรัฐบาลและการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ สู่การถ่ายทอดผลงานในวันนี้

“ขอฝากทุกท่านนำนวัตกรรมผ่านการเรียนการสอน อย่างเช่น Fix it Center ซึ่งคือซอฟต์พาวเวอร์ของอาชีวะในการสะท้อนบอกความเป็นอาชีวะอาสาที่ให้ความช่วยเหลือต่างๆ แก่ประชาชน อยากให้ทุกท่านช่วยกันสะท้อนมุมมอง และผลักดันนวัตกรรมต่างๆ ให้เป็นที่ยอมรับที่จะนำไปสู่อัตลักษณ์ของสถานศึกษา ชุมชน เพื่อยกระดับความสามารถของประเทศด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมอย่างยั่งยืนต่อไป”นายยศพลกล่าว

 

สกศ. ถอดบทเรียนชายแดนไทย–กัมพูชา ขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาในภาวะฉุกเฉิน

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง ถอดบทเรียนความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา สู่ข้อเสนอนโยบายการศึกษาในภาวะฉุกเฉิน (Education in Emergency) โดยมี นางอำภาพรหมวาทย์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนการศึกษา พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ วิทยากร ผู้บริหาร นักวิชาการ บุคลากรจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ เข้าร่วมประชุม โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ .เมืองนนทบุรี .นนทบุรี โดย

รศ.ดร.ประวิต  กล่าวว่า พื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งครอบคลุม 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ สระแก้ว จันทบุรีและตราด เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่มีความเปราะบางสูงและเผชิญความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปัญหาความมั่นคงชายแดน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการศึกษา โรงเรียนไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้เต็มรูปแบบ ขาดความพร้อมด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก ขณะที่บุคลากรทางการศึกษาก็ได้รับผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจ สกศ. เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าวจึงจัดการประชุมถอดบทเรียน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและถอดบทเรียนสภาพการจัดการศึกษา ปัจจัยความสำเร็จ และประเด็นท้าทายของการจัดการศึกษาในพื้นที่ความไม่สงบชายแดนไทยกัมพูชา เพื่อนำไปสู่การจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายในภาวะฉุกเฉิน (Education in Emergency) ต่อไป

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ภายในงานมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านการตั้งประเด็นคำถามที่หลากหลายเพื่อรวบรวมความคิดเห็นและประสบการณ์จากผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งคาดว่าจะได้รับข้อมูลและข้อเสนอแนะที่สำคัญในหลายด้าน เช่น การฉายภาพสถานการณ์จริงจากพื้นที่ ซึ่งที่ประชุมเปิดประเด็นด้วยการบอกเล่าบรรยากาศในวันแรกของสถานการณ์ความไม่สงบและกรณีศึกษาการตัดสินใจเร่งด่วนของผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ด่านหน้า ตลอดจนความท้าทายเร่งด่วนในการประสานงานเพื่ออพยพประชาชน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนและครูทั้งสะท้อนผ่านมุมมองของผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาและผู้ปฏิบัติงานปกครอง โดยที่ประชุมร่วมกันชี้ให้เห็นถึงสภาพปัญหาร่วมกันที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนในพื้นที่ชายแดน ในภาพรวมของแต่ละจังหวัด และปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงที่สุดสำหรับเด็กและคุณครู

นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์บทเรียนและปัจจัยความสำเร็จ ซึ่งที่ประชุมร่วมกันหารือถึงแนวทางการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ประสบความสำเร็จด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การจัดการศึกษายังคงดำเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤต และจุดอ่อนหรือประเด็นท้าทายเชิงโครงสร้างที่วิกฤตเผยให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดจากนักวิชาการตลอดจนบทเรียนเกี่ยวกับการดูแลขวัญและกำลังใจและการสื่อสารไปยังโรงเรียน ผู้ปกครอง และครูในภาวะฉุกเฉินรศ.ดร.ประวิต กล่าวและว่า การเสนอนโยบายเร่งด่วนและนโยบายระยะยาวที่จะช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ การจัดระบบโครงสร้างทางการศึกษาให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่อาจก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉิน รวมถึงการพัฒนาหลักสูตร ครู และเทคโนโลยีให้พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ตลอดจนปรับกฎหมาย ข้อปฏิบัติ และการใช้ทรัพยากรให้ยืดหยุ่นเหมาะสมต่อสถานการณ์ ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือควรพัฒนาแนวทางการบูรณาการระหว่างหน่วยงานระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่น เพื่อให้การช่วยเหลือไปถึงโรงเรียนได้อย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ

สกศ. คาดหวังว่าการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบสภาพการจัดการศึกษา พร้อมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดย สกศ. นำข้อมูลที่ได้จากการประชุมไปประกอบการจัดทำข้อเสนอนโยบายการศึกษาในภาวะฉุกเฉิน โดยมุ่งให้ได้แนวทางที่ครบถ้วน สอดคล้องกับความเป็นจริง และตอบโจทย์ผู้เรียนและสังคมในอนาคต ทั้งยังเป็นการสร้างความพร้อมเชิงระบบ เพิ่มศักยภาพในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที และเสริมความมั่นคง ยืดหยุ่น และยั่งยืนให้แก่ระบบการศึกษาไทยในระยะยาว

 

สพฐ.ย้ำเขตพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วม พร้อมกำชับดูแลโรงเรียนพื้นที่ชายแดนไทย-เขมร ให้นักเรียนเข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ครั้งที่ 33/2568 โดยเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมี นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 และผ่านระบบ Zoom meeting

โดยวันนี้ในที่ประชุมได้หารือหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น สถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงเรียนในสังกัด สพฐ. โดยได้เน้นย้ำผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ให้ช่วยกันดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งสำรวจอาคารสถานที่ภายในโรงเรียน และอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อทำการปรับปรุงซ่อมแซมต่อไป ส่วนโรงเรียนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ ให้ทำการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายสิ่งของที่อาจเสียหายขึ้นที่สูง ดูแลอุปกรณ์-ระบบไฟฟ้าภายในโรงเรียน รวมถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ พร้อมประสานกับหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)จังหวัด หรือฝ่ายปกครองในพื้นที่ และติดตามประกาศของทางกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากเกิดเหตุจำเป็น เช่น ถนนขาด น้ำท่วม โรงเรียนได้รับความเสียหาย ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ ผู้บริหารโรงเรียนสามารถสั่งปิดโรงเรียนได้ทันที โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนและครูเป็นสำคัญ

สำหรับสถานการณ์โรงเรียนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ตามที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงห่วงใยราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ดังกล่าว และได้พระราชทานความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเด็กๆ นักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ใกล้พื้นที่ชายแดน  ทาง สพฐ. ได้กำชับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในการติดตามดูแลการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน ให้นักเรียนเข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานให้พระองค์ทรงทราบอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ นับเป็นขวัญและกำลังใจแก่ราษฎรและผู้ปฏิบัติงานทุกคนอย่างหาที่สุดมิได้

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรายงาน เรื่องการดำเนินโครงการอัจฉริยะเกษตรประณีตในโรงเรียน (Science Technology Innovation (STI): Smart Intensive Farming) ที่เพิ่มศักยภาพของโรงเรียน โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ร่วมกับกระบวนการทางเกษตรกรรมเข้าด้วยกัน โดยประสานความร่วมมือกับมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย และได้รับทุนพัฒนาโครงการอัจฉริยะเกษตรประณีต ปีการศึกษา 2569 จํานวน 50 โรงเรียน โรงเรียนละ 1 แสนบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5 ล้านบาท ล่าสุดได้ดำเนินการไปแล้วจํานวน 6 รุ่น รวมทั้งสิ้น 346 โรงเรียน แบ่งเป็น โรงเรียนสังกัด สพป. จํานวน 237 แห่ง และสังกัด สพม. จํานวน 109 แห่ง โดยโรงเรียนจัดการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติมหรือในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ส่งเสริมให้นักเรียน สามารถสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อภาคการเกษตร และนำผลผลิตที่ได้มาเพิ่มมูลค่า และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น สลัดผัก เบเกอรี่ กาแฟ จําหน่ายผ่านตลาดในชุมชน ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับนักเรียนและชุมชน เป็นต้น

ของขวัญครบรอบ22ปี สกสค.เร่งผลักดันโมเดลสหกรณ์กลางสกสค.”ศ.ดร.นฤมล”การันตีดอกเบี้ยต่ำ สกัดครูสร้างหนี้เพิ่ม

เมื่อวันที่ 9 กันยายน ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ) เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ครบรอบ 22 ปี ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนายพีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ผู้บริหาร ศธ. ครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า  ได้หารือร่วมกับเลขาธิการ สกสค. ถึงแนวทางการยกระดับคุณภาพชีวิตครูทั่วประเทศ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งปัจจุบันมีหนี้รวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู รัฐบาลจึงเตรียมเดินหน้า “โมเดลสหกรณ์กลาง สกสค.” เพื่อรวมหนี้ครูจากสหกรณ์ต่าง ๆ มาอยู่ภายใต้ระบบเดียว การันตีอัตราดอกเบี้ยต่ำ พร้อมกำหนดเงื่อนไขว่าครูจะต้องไม่ก่อหนี้ใหม่จากสถาบันการเงินเพิ่มเติม โดยขณะนี้โมเดลสหกรณ์กลาง สกสค. อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการและจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาโดยเร็ว ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนครูทั้งประเทศ ส่วนสวัสดิการด้านอื่น ๆ สกสค.กำลังดำเนินการดูแลทั้งครูที่ปฏิบัติหน้าที่และครูเกษียณอายุราชการอย่างเต็มที่อยู่แล้ว

“อ.แหม่ม”ฉุน มอบนิติกร สพฐ.ตรวจสอบข้อกฎหมายกรณี “สานิต-สมคิด”ร้องทุกข์กล่าวโทษ เข้าข่ายนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ได้มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. พร้อมด้วย ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมกมารการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา ว่าเอื้อต่อการเช่าซื้อสื่อดิจิทัล ที่ สน.ดุสิต เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา โดย ดร.วิษณุ ในฐานะผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.ในขณะนั้น กล่าวว่า การปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาเป็นไปตามบทบาทอำนาจหน้าที่ ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2542 มาตรา 27 ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) “มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ โดยให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่ทำสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ” ดังนั้น เมื่อ กพฐ. มีมติในที่ประชุมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ให้ สพฐ. โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา มีหน้าที่ออกแบบหลักสูตรฉบับใหม่ขึ้นมา ใน 2 ช่วงชั้น คือ ระดับปฐมวัย อายุ 3-6 ปี และระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-.3) เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามช่วงวัยและมีสมรรถนะที่จำเป็นต่อสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของโลก จึงเห็นควรให้มีการคิดหลักสูตรที่อิงจากหลักสูตรฐานสมรรถนะแล้วให้ประกาศใช้กับกลุ่มโรงเรียนที่มีความพร้อมและสมัครใจ และในการพัฒนาหลักสูตรนั้น ได้ผ่านคณะทำงานหลายชุดตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ว่าจะเป็นคณะอนุกรรมการยกระดับคุณภาพการศึกษา คณะอนุกรรมการของ กพฐ. รวมถึงคณะทำงานของ สพฐ. เองที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการขับเคลื่อนหลักสูตรดังกล่าว

ขณะที่ นายพัฒนะ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็น ที่ผู้ร้องทุกข์ บอกว่าหลักสูตรนี้กำลังไปเอื้อให้เกิดการเช่าใช้แท็บเล็ต ขอชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะในหลักสูตรฉบับใหม่ที่เราประกาศใช้ ครูสามารถเลือกใช้สื่อจากทุกแหล่งเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ มีการสอนเรื่องทักษะเทคโนโลยี แต่ส่วนใหญ่เน้นอ่าน เขียน คิด คำนวณ ครูจะมีหน้าที่หยิบสื่อต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายมาก ดังนั้นไม่ได้เป็นการเอื้อหรือตอบสนองการเช่าใช้สื่อดิจิทัลแต่อย่างใด เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่แล้ว และในหลักสูตรใหม่นี้ เป้าหมายคือนักเรียนระดับปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น ขณะที่โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime เป้าหมายคือระดับมัธยมศึกษา ถือว่าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายโดยสิ้นเชิง แต่เป้าหมายเราอยากให้เด็กมีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ดังนั้นการปรับปรุงหลักสูตรดังกล่าวย่อมเป็นไปตามบทบาทหน้าที่ โดยคำนึงถึงผู้เรียนและคุณภาพการศึกษาเป็นหลัก ไม่มีสิ่งใดที่กระทำการโดยมิชอบหรือทำผิดเกินบทบาทหน้าที่แต่อย่างใดทั้งสิ้น

รองเลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่ผู้ร้องทุกข์ได้กล่าวหาว่าการใช้หลักสูตรใหม่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อนักเรียนถึง 13 ล้านคนนั้น  ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า สพฐ. มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 ขวบ จนถึง 18 ปี เพียง 6.3 ล้านคน และโครงการเช่าอุปกรณ์เพื่อการเรียนการสอนปีนี้ ครอบคลุมนักเรียนชั้น ม.ปลาย (ม.4-6) ประมาณ 6 แสนคนเท่านั้น ข้อมูลที่กล่าวหานั้นจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยงบประมาณที่ใช้ดำเนินการมาจาก พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 และจัดสรรไปยัง 118 เขตพื้นที่ ผ่านระบบ e-bidding โดยไม่ได้กำหนดบริษัทใดเป็นพิเศษ ทางเขตพื้นที่มีอำนาจคัดเลือกผู้รับจ้างเอง เพื่อจัดหาอุปกรณ์ เช่น โน้ตบุ๊ก โครมบุ๊ก หรือแท็บเล็ต ให้กับนักเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับนักเรียนจำนวนมากโดยเฉพาะในต่างจังหวัดหรือครอบครัวยากจน ที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสให้เด็กเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อเรียนในห้องเรียนและค้นคว้าที่บ้าน ภายใต้แนวคิด “Anywhere Anytime” เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ใคร ซึ่งทาง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็มีความห่วงใยและยืนยันเดินหน้าโครงการเพื่อประโยชน์ของชาติ พร้อมมอบหมายให้ สพฐ. โดยสำนักนิติการ ตรวจสอบข้อกฎหมาย กรณีมีการร้องทุกข์กล่าวโทษดังกล่าว ว่าเข้าข่ายแจ้งความเท็จ หมิ่นประมาท หรือนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

“ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ได้กำชับในที่ประชุมผู้บริหารวันนี้ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 118 เขต ที่ร่วมโครงการดังกล่าว ให้ดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนด้วยความโปร่งใส สุจริต ตรวจสอบได้ โดยมอบหมายสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน (สทร.) ที่รับผิดชอบดูแลส่วนนี้ กำกับดูแลให้เขตพื้นที่ทั้ง 118 เขตดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอีก 30 เขตที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ว่ามีปัญหาหรือข้อขัดข้องประการใด เราจะได้ลงไปช่วยเหลือเพื่อดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันที่ 30 กันยายนนี้” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว

มทร.ธัญบุรี จับมือพันธมิตรตั้ง “AI Center for SME” ปักหมุดศูนย์กลางนวัตกรรม หนุนผู้ประกอบการไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย (The Federation of Thai SME Association) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ จัดตั้งศูนย์ปัญญาประดิษฐ์สำหรับเอสเอ็มอี (AI Center for SME) อย่างเป็นทางการ เพื่อผลักดันการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและสากล ณ ห้องเมธาวี ชั้น 5 อาคารวิทยบริการ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มทร.ธัญบุรี

รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า ความร่วมมือนี้สะท้อนพันธกิจอีกบทบาทหนึ่งในการเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนและประเทศชาติ โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือในการยกระดับ SME โดยศูนย์ฯดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยได้เรียนรู้และทำงานร่วมกับภาคธุรกิจจริง อันจะนำไปสู่การสร้างกำลังคนคุณภาพสูงที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่

ด้าน ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า AI Center for SME เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้าน AI และเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงกับ SME เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สร้างรายได้เพิ่มให้กับ SME ด้วย แพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับบริบทของ SME นั้น ๆ เนื่องจาก SME คือฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ถ้า SME ของประเทศไทย เข้มแข็งจะส่งผลโดยตรงให้ประเทศไทยสามารถสร้างนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม และแข่งขันกับตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

ขณะที่ ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) กล่าวถึงแนวทางดำเนินงานว่า ศูนย์ฯ จะมุ่งเน้นการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในสาขาหลักที่ SME ไทยมีศักยภาพสูง เช่น การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming), การผลิตอัจฉริยะ (Smart Manufacturing), การค้าปลีกดิจิทัล และการบริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมพัฒนาโมเดลต้นแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในธุรกิจ ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปิดศูนย์ แต่คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย

ส่วน ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เน้นย้ำว่า ความร่วมมือนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของ SME ไทยในเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ซึ่งจะเป็นเหมือนคลินิกธุรกิจสำหรับ SME ที่ต้องการใช้ AI เพื่อปรับตัวและเติบโต ลดต้นทุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก
การจัดตั้ง AI Center for SME นี้ เป็นความร่วมมือกันหลายภาคส่วน ทั้งภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และเครือข่าย SME ในการสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยศูนย์ฯ จะเริ่มเดินหน้ากิจกรรมและโครงการนำร่องตั้งแต่ปลายปีนี้ เพื่อปูทางไปสู่การเป็น ศูนย์กลางความร่วมมือด้าน AI สำหรับ SME แห่งแรกของประเทศ.

สกร.จัดงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ”ปี 68 ชูแนวคิด “การส่งเสริมการรู้หนังสือในยุคดิจิทัล – Promoting Literacy in the Digital Era”

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568  ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน“วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่บุคลากรของกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) และได้เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้  โดยมี นางริกะ โยโรสุ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา สำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ   คณะผู้บริหารระดับสูง และบุคลากร สังกัด สกร. เข้าร่วม ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

ดร.สุเทพ กล่าวว่า ด้วยองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้กำหนดให้วันที่ 8 กันยายนของทุกปี เป็น “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” เพื่อย้ำเตือนประชาคมโลกถึงความสำคัญของการรู้หนังสือในฐานะที่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นรากฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาที่ยั่งยืน และสันติภาพในสังคมสำหรับปี 2568 นี้ “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การส่งเสริมการรู้หนังสือในยุคดิจิทัล – Promoting Literacy in the Digital Era”  ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของโลกสู่ยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อวิถีการเรียนรู้ การทำงาน และการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วโลก แม้เทคโนโลยีจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการเข้าถึงความรู้ แต่ก็ยังมีความท้าทายในการลดช่องว่างและการกีดกันซ้ำซ้อน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชายขอบและผู้ที่ยังขาดทักษะการรู้หนังสือขั้นพื้นฐาน ในบริบทของโลกยุคใหม่ การรู้หนังสือไม่ได้หมายถึงเพียงการอ่านออกเขียนได้ ในความหมายแบบดั้งเดิมเท่านั้น หากแต่รวมถึงความสามารถในการเข้าถึง เข้าใจ และใช้ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะผ่านสื่อดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ จึงกล่าวได้ว่า “การรู้หนังสือในยุคดิจิทัล” คือทักษะจำเป็นของพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังและทั่วถึง

กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความท้าทายดังกล่าว จึงได้กำหนดนโยบายและมาตรการที่มุ่งส่งเสริมการรู้หนังสือในทุกมิติ โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้การยกระดับทักษะของครูและผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และเข้าถึงผู้เรียนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม โดย กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้ดำเนินกิจกรรม“วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2510 โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพ ฯ ผู้บริหารและบุคลากรในสังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ทั่วประเทศ ตลอดจนภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ได้ผนึกกำลังกันในการส่งเสริมการรู้หนังสือของประชาชน และในโอกาสนี้จึงอยากขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันผนึกพลังเพื่อให้การรู้หนังสือในยุคดิจิทัล เป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชนไทยทุกคนต่อไป

นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้  กล่าวว่า วันที่ 8 กันยายนของทุกปี เป็นวันสำคัญ ที่ ยูเนสโก ได้กำหนดให้เป็น “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาโลก ว่าด้วย “การขจัดการไม่รู้หนังสือ” ณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อปี 2508 และได้ประกาศเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเป็นครั้งแรก ในปี 2509 เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการรู้หนังสือและความท้าทายจากปัญหาการไม่รู้หนังสือที่ส่งผลต่อการพัฒนาสังคม

ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกยูเนสโก ได้เข้าร่วมการเฉลิมฉลองตั้งแต่ปี 2510 โดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น และได้สืบสานการจัดกิจกรรมมาโดยต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และสำหรับในปี 2568 กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมส่งเสริมการเรียนรู้  ได้กำหนดจัดงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้แนวคิด “การส่งเสริมการรู้หนังสือในยุคดิจิทัล– Promoting Literacy in the Digital Era”เพื่อสะท้อนความสำคัญของการปรับตัวด้านการเรียนรู้ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล

กิจกรรมงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2568 ประกอบด้วยการมอบประกาศ เกียรติคุณให้แก่หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการความร่วมมือระหว่างสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ และกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ประจำปี 2568 จำนวน 6 รางวัล การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่บุคลากรของ สกร.ที่ได้รับคัดเลือก จำนวน 62 รางวัล พร้อมการจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ โดยผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ มีคณะผู้แทนจากสำนักงานยูเนสโกส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ภาคีเครือข่ายด้านการศึกษา คณะผู้บริหารและบุคลากร กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดจนผู้เข้ารับรางวัลประกาศเกียรติคุณ ประจำปี 2568 รวมทั้งสิ้นกว่า 400 คน.

 

”อ.แหม่ม”ฝาก นศ.อาชีวะทุนไทย-จีน นำความรู้ประสบการณ์นำกลับมาต่อยอดพัฒนาชาติ

วันที่ 8 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาทุนสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกล่าวให้โอวาทแก่นักศึกษาที่ได้รับทุน โดยมีนายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) Ms. Xu Lan อุปทูตที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษา สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย, ผู้บริหารจาก Nanjing Vocational College of Information Technology, และ Liuzhou Polytechnic University ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษา ครูอาจารย์ และนักเรียน นักศึกษา เข้าร่วม ณ โรงแรมปริ๊น พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ

ศ.ดร.นฤมล ได้กล่าวแสดงความยินดีกับนักศึกษาไทยที่ได้รับทุนศึกษาต่อในประเทศจีนทั้ง 165 คน และมีคณะครูอาชีวะอีก 25 คน ร่วมเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือด้านการศึกษาและอาชีวะระหว่างไทยกับจีน พร้อมกล่าวว่า โอกาสที่ได้รับครั้งนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและไม่ใช่ทุกคนจะได้มา ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกเพราะมีศักยภาพและความพร้อม จึงอยากให้ใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ความสัมพันธ์ไทย–จีน แม้จะมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการครบ 50 ปีในปีนี้ แต่ในมิติของประชาชนและวัฒนธรรม ความผูกพันมีมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี หลายครอบครัวชาวไทยมีเชื้อสายจีน และยังคงสืบทอดภาษาและประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน แสดงถึงสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ ซึ่งจีนในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงโรงงานของโลก แต่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก ดังนั้น นักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาจะได้มีโอกาสเห็นความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด และควรใช้โอกาสนี้เรียนรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาการ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ และการวิจัยพัฒนา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรมและยกระดับอุตสาหกรรมไทย

“นักศึกษาทุกคนคือเมล็ดพันธุ์สำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยในอนาคต จึงอยากให้ตั้งเป้าหมายใหญ่ ฝันให้ไกล และใช้โอกาสนี้เป็นแรงบันดาลใจเพื่อนำมาสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับสังคมไทย โครงการนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ไทยได้บุคลากรที่มีศักยภาพ ขณะที่จีนก็ได้ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน และเมื่อทุกคนกลับมา เราจะเห็นการพัฒนาประเทศไทยด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับประสบการณ์ตรงจากประเทศที่เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของโลก”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

นายยศพล กล่าวว่า โครงการปฐมนิเทศนักศึกษาทุนสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมให้ครูนักเรียนและนักศึกษา ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อและฝึกประสบการณ์วิชาชีพในประเทศจีน โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทักษะวิชาการ ทักษะวิชาชีพ ทักษะชีวิต รวมถึงทักษะภาษาจีน ความเข้าใจด้านวัฒนธรรม กฎระเบียบ และมารยาททางสังคม เพื่อให้นักศึกษาสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตในต่างแดนได้อย่างมั่นใจ โดยมีเข้าร่วมโครงการรวม จำนวน 165 คน เป็นนักเรียน นักศึกษา จำนวน 141 คน และครู จำนวน 24 คน ที่รับทุนการศึกษาและฝึกประสบการณ์วิชาชีพจากสถาบันการศึกษาของจีน ในหลักสูตรระยะสั้น ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ และ หลักสูตรทวิวุฒิไทย-จีน ดังนี้ Liuzhou Polytechnic University จำนวน 54 คนNanjing Vocational College of Information Technology จำนวน 20 คนChangzhou College of Inform ation Technology จำนวน 69 คน Chongqing Vocational Institute of Engineering จำนวน 22 คน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า สอศ.ได้ความดำเนินความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการทวิวุฒิ 210 สาขา ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทย–จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และพัฒนานักศึกษาอาชีวะให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับกลับมาพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

พว.ปลื้ม GPAS 5 Steps เปลี่ยนครูรุ่นเก่าเป็นครูรุ่นใหม่ นักเรียนได้รับการพัฒนาสร้างนวัตกรรมด้วยตัวเอง

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 บาทหลวง ผศ.ดร.อภิสิทธิ์ กฤษเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนดรุณาราชบุรี พร้อมคณะผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง โรงเรียนดรุณาราชบุรี จัดพิธีเพื่อขอบคุณ ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)ที่มอบเงินสนับสนุนจำนวน 154,400 บาท พร้อมมอบเสื้อเชิดชูเกียรติให้นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลักสูตรการเรียนวิทย์-คณิต ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จำนวน 4 คน ที่ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในโครงการ 2025 KidWind Challenge in Asia ณ ประเทศไต้หวัน ในวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2568นี้ ซึ่งเหล่านี้ประสบความสำเร็จได้ เพราะ พว.นำคณะวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ตามแนวทางการจัดเรียนการสอนในโรงเรียนมาตรฐานสากล ให้ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ มีสถาบันราชภัฏ ประเทศจีน ไต้หวัน และโรงเรียนต่าง ๆ เข้ามาดูงาน

บาทหลวง ผศ.ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตลอดระยะ 3 ปี ที่ผ่านมาโรงเรียนดรุณาราชบุรี ได้อบรมครูในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps โดยได้รับการสนับสนุนจาก พว.ที่ส่งวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเข้ามาอบรม จนทำให้โรงเรียนปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอนทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักเรียนได้เรียนผ่านการปฏิบัติ (Learning by Doing)ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ นักเรียนสามารถคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้ และมีความสุขกับการเรียนผ่านทางการเรียนการสอนแบบ Project-Based Learning / Phenomenon Based Learning(PBL)และ Problem- Based Learning เป็นต้น นอกจากนี้โรงเรียนยังได้รับนักเรียนแผนการเรียน วิทย์-คณิต ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อพัฒนานักเรียนให้เป็นนวัตกรที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน โดยจุดเด่นของหลักสูตรเน้นการศึกษาพื้นฐานความรู้เชิงรุกทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยการบูรณาการวิชาตามรูปแบบฐานสมรรถนะควบคู่กับการทำโครงงานนวัตกรรม และกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่หลากหลายและเหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านAI ให้นักเรียนได้ค้นพบแนวทางที่ตนเองถนัดและสนใจ จะได้นำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดศึกษาต่อในคณะหรือสาขาที่ตนเองมุ่งหวัง โดยโรงเรียนมีเงื่อนไขว่า นักเรียนที่จะจบ ม. 6ได้ จะต้องทำโปรเจค เพื่อให้รู้ว่ากระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนทั้งหมดได้ตกตะกอนมาเป็นนวัตกรรมสามารถสร้างผลผลิตออกมาได้และมีความหลากหลาย ไม่เฉพาะทางด้านวิชาการเท่านั้น แต่สามารถแตกออกไปทางด้านการเกษตร เศรษฐศาสตร์ ด้านกายภาพ สุขภาพ จิตวิทยา เป็นต้น

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวว่า กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เป็นโครงการวิจัยขั้นสูง ซึ่งพว.จะผลักดันการจัดการศึกษาของไทยให้สู่มาตรฐานโลกให้ได้ กระบวนการที่เรานำมาใช้คือ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ซึ่ง Active Learning คือการเรียนด้วยการปฏิบัติ แต่จะปฏิบัติอย่างไร GPAS 5 Steps จะเป็นตัวขยายการเรียนรู้ออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเขียนไว้เลยว่าหลักสูตรมาตรฐานสากลต้องใช้ GPAS 5 Steps มาเป็นตัวขับเคลื่อนแต่ไม่มีใครรู้ เพราะยังไม่รู้ว่า Active Learning คืออะไร ปรัชญาของ Active Learning GPAS 5 Steps คือ เด็กทุกคนต้องได้รับการพัฒนา ต้องเข้าถึงนวัตกรรม ทำอย่างไรจะให้เด็กทุกคนได้รับการพัฒนา แม้ว่าเด็กแต่ละคนจะมีความฉลาดแตกต่างกันแต่ GPAS 5 Steps จะเป็นกระบวนการ เป็นหัวใจของการเรียนรู้ของมนุษย์ เมื่อนำเข้าไปในกลุ่มสาระการเรียนรู้ของนักเรียนหรือนำไปใช้ในการเรียนรู้อาชีพต่างๆ หรือ แม้กระทั่งการสอบ O-NET PISA ก็ต้องใช้ GPAS 5 Steps เป็นตัวขับเคลื่อน แต่เรายังไม่รู้จักใช้ ดังนั้นตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา การสอบ O-NET และ PISA คะแนนของเด็กจึงตกต่ำมาโดยตลอด เพราะเด็กจะจำแต่เนื้อหาไปสอบ แต่ยังไม่ได้เรียนรู้กระบวนการคิดวิเคราะห์ นี่คือจุดบอดของประเทศไทย ความสำเร็จของโรงเรียนดรุณาราชบุรีในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสของ พว.ที่จะเข้าไปอบรมให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ให้เข้าใจถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของประเทศที่เน้นการเรียนแบบท่องจำ เพราะ Active Learning GPAS 5 Steps เป็นเกลียวเชื่อมความรู้คู่คุณธรรม หลอมความคิดคนมาเชื่อมโยงกับคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมก่อนที่จะนำไปสู่การปฎิบัติอย่างมีแบบแผนที่ดี ซึ่งโรงเรียนดรุณาราชบุรีจะเป็นตัวอย่างให้ทุกโรงเรียนเกิดการตื่นตัว

ด้านนางปาลิกา ศรีสารากร ตัวแทนครูโรงเรียนดรุณาราชบุรี กล่าวว่า ขอบคุณ GPAS 5 Steps ที่เปลี่ยนครูจากครูรุ่นเก่ามาเป็นครูรุ่นใหม่ ทำให้เปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ช่วยเหลือมีความเข้าใจผู้เรียนมากขึ้น จุดมุ่งหมายของครูไม่ใช่ความสำเร็จอย่างเดียว แต่ครูและนักเรียนได้พัฒนาไปด้วยกัน นักเรียนนั่งอยู่ในห้องไม่ทราบว่าเขาคิดอย่างไร แต่เมื่อมีการปฏิบัติเข้ามาทำให้เราทราบความคิดของนักเรียนผ่านกระบวนการปฏิบัติ สามารถสื่อสารออกมาได้ ทำให้เราสามารถพัฒนานักเรียนได้ถูกทาง ขอบคุณ พว.ที่ให้แนวคิดของการศึกษาแนวใหม่ที่จะทำให้เราสามารถก้าวไปอย่างมั่นใจ เราสามารถนำความรู้ที่อยู่ในกรอบหรืออยู่นอกกรอบมาวิเคราะห์กับผู้เรียนให้เหมาะสม มาเชื่อมโยงกับคุณธรรมจริยธรรม และที่สำคัญนักเรียนไม่ประสบแต่ความสำเร็จอย่างเดียว แต่สามารถถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชนสู่ชาติบ้านเมืองและสู่โลกใบนี้

“พิเชฐ”ชื่นชม “รร.ดรุณาราชบุรี”ต้นแบบจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning GPAS 5 Steps “ทึ่ง” นวัตกรรมนักเรียนสุดว้าว เล็งเห็นก้าวต่อไป สพฐ.เน้นความร่วมมือกับภาคเอกชน

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 ดร.พิเชฐ โพธิภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนดรุณาราชบุรี อ.เมือง จ.ราชบุรี เพื่อติดตามการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ สู่การปฏิบัติจริงในสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ โดยมี พระสังฆราช ซิลวีโอ สิริพงษ์ จรัสศรี ประมุขสังฆมณฑลราชบุรี บาทหลวง ผศ.ดร.อภิสิทธิ์ กฤษเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนดรุณาราชบุรี ผู้บริหาร ครู นักเรียน โรงเรียนดรุณาราชบุรี ให้การต้อนรับ โดย ดร.พิเชฐ   ให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจเยี่ยมห้องเรียนระดับอนุบาล และเข้าชมนวัตกรรมของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ว่า จากการเยี่ยมชมการเรียนการสอนระดับชั้นอนุบาล ทางโรงเรียนให้เด็กเรียนว่ายน้ำทุกคนตั้งแต่ชั้นอนุบาล โดยเป็นการจัดการเรียนการสอนแบบ Active  Learning ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้ทฤษฎี มีการฝึกปฏิบัติซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะที่ผ่านมาเด็กไม่น้อยต้องเสียชีวิตในช่วงปิดภาคเรียนเพราะไปเล่นน้ำโดยไม่มีทักษะว่ายน้ำ แต่โรงเรียนดรุณาราชบุรี ได้สอนให้เด็กทุกคนของโรงเรียนนี้ว่ายน้ำเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งต้องขอชื่นชมผู้บริหารโรงเรียนที่ได้จัดกิจกรรมเตรียมเด็กไทยให้มีทักษะชีวิตที่ดี

รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นได้เยี่ยมชมห้องเรียนมอนเตสเซอรี่ซึ่งเป็นการฝึกเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาลให้เข้าใจและฝึกปฏิบัติให้มีทักษะชีวิต ทั้งทักษะการฟัง ปฏิบัติ และร่วมกันประเมินผล โดยจะเห็นว่าครูมีการเอาใจใส่นักเรียนเป็นอย่างดี รวมถึงห้องเรียนภาษาอังกฤษที่มีครูต่างชาติมาสอนด้วย ทำให้เด็กกล้าพูดภาษาอังกฤษกล้าแสดงออก การสอนของโรงเรียนก็มีความชัดเจน มีแบบฝึกหัดให้เด็กฝึกการนำเสนอ ซึ่งทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของโรงเรียน

ดร.พิเชฐ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้ดูห้องเรียนของเด็ก ม. 6 ที่มีนวัตกรรมโครงงานที่เด็กได้คิดร่วมกัน โดยมีครูเป็นโค้ชช่วยจุดประกายความคิดให้กับเด็กแล้วให้เด็กรวมกลุ่มกันคิดวิเคราะห์ว่าควรจะทำโครงงานอะไรที่จะเป็นประโยชน์ ซึ่งหลายกลุ่มทำให้เรารู้สึกทึ่งในความคิด เช่น กลุ่มที่ทำเรื่องวิเคราะห์ความเครียด เด็กๆ สามารถทำให้เรารู้ลักษณะท่าทางว่า แบบไหนเป็นลักษณะของความเครียด ซึ่งจะสามารถบอกได้ว่าลักษณะนี้เครียดมากน้อยแค่ไหน แล้วก็มีวิธีแก้ปัญหาเพื่อลดความเครียดนั้นอย่างไร เช่นเครียดขนาดนี้ให้ไปออกกำลังกาย เครียดขนาดนี้ให้ไปอาบน้ำ หรือ ต้องไปปรึกษาครูหรืออาจต้องไปหาจิตแพทย์เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีการที่เกิดจากการระดมสมองของเด็กที่คิดเองโดยมีครูเป็นที่ปรึกษาจนเกิดเป็นภาพความสำเร็จออกมา และยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดนวัตกรรมจากการที่ครูต้องเดินจากตึกไกล ๆ มาสอน ซึ่งครูก็มีโรคประจำตัว แต่เด็กได้คิดช่วยครูขนย้ายสิ่งของในการมาสอน ซึ่งเป็นความคิดที่น่าทึ่งมากเพราะเด็กเหล่านี้มีจิตวิญญาณที่ดีงาม มีคุณธรรมในใจเห็นคนอื่นเดือดร้อนก็หาวิธีแก้ปัญหาให้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้ทราบว่าโรงเรียนได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)โดย พว. ได้ส่งวิทยากรมาอบรมการสอน Active  Learning ให้ครู เพื่อให้ครูมีกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps มีความรู้ความเข้าใจทั้งในระดับตนเอง ระดับห้องเรียนและระดับวิชาการ แล้วไหลลงมาสู่เด็ก ซึ่งเป้าหมายและหัวใจสำคัญของการเรียนรู้คือการให้เด็กเป็นคนดี เป็นคนเก่ง มีทักษะชีวิตและสามารถที่จะทำหน้าที่ตามที่ยูเนสโกกำหนด คือ เด็กก็มีความรู้  รู้แล้วปฏิบัติได้ มีอนาคตที่ตัวเองชอบ และ ต้องอยู่กับคนอื่นได้ อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ซึ่งโรงเรียนดรุณาราชบุรีสามารถทำได้

“ผมเชื่อว่าโรงเรียนในกลุ่มดรุณาราชบุรีสามารถเป็นต้นแบบที่ดีได้ในเรื่องการใช้ ai เทคโนโลยีในการสร้างคนให้เรียนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะให้เด็กเป็นศูนย์กลาง โดยโรงเรียนสามารถทำได้ชัดเจนว่า ให้ผู้เรียนมีความสำคัญแทบทุกเรื่อง เด็กสามารถคิดโครงงานเองทั้งหมดโดยมีครูเป็นที่ปรึกษา และมีหลายกิจกรรมที่สามารถไปขยายผลให้กับโรงเรียนอื่นๆได้ เพื่อทำให้เด็กคิดเป็นทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และ เท่าที่ทราบโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ส่วนหนึ่งก็ได้นำแนวคิด Active Learning ไปใช้อย่างเป็นระบบแล้ว และค่อนข้างจะมีความสำเร็จ ในฐานะที่จะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ .)ในเดือนตุลาคม นี้ ก็ขอชื่นชมและขอบคุณผู้บริหารโรงเรียนที่นำไปสู่การปฏิบัติ ส่วนโรงเรียนอื่นๆ ที่อยากเรียนรู้ว่าโรงเรียนอื่นประสบความสำเร็จอย่างไรก็สามารถมาดูต้นแบบได้ที่โรงเรียนดรุณาราชบุรีหรือโรงเรียนอื่นๆในสังกัดสพฐ.ที่ทำได้ดี เป็นต้นแบบได้เพื่อจะได้ไปพัฒนาเด็กในโรงเรียนตามปณิธานของพวกเรา คือ เด็กต้องดีเก่งสุด โรงเรียนทุกโรงก็ยังต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยพัฒนาจากครูด้วยกันในชั้นเรียน ผู้บริหารโรงเรียนช่วยดูแล ศึกษานิเทศก็มีส่วนร่วมได้ รวมถึงภาคเอกชนที่จะร่วมมือกันเพื่อให้เรามีเด็กที่ดีและเก่งที่สุดต่อไป และที่สำคัญ ก้าวต่อไปของ สพฐ.ผมจะเน้นการมีส่วนร่วมของเครือข่าย ภาคเอกชน เพราะถ้าเราร่วมมือพัฒนาการศึกษาไปด้วยกันแล้ว เชื่อว่าเราจะสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพ