“อ.แหม่ม”มอบ สอศ. จัด Fix It Center ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ จากฝนตกหนักต่อเนื่องทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีระดับน้ำป่าสักสูงสุด และจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ได้รับผลกระทบจากพายุคาจิกิ ที่ส่งผลให้โรงเรียนบ้านน้ำเพียงดิน ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ถูกน้ำท่วมฉับพลัน จึงได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เร่งเข้าพื้นที่ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) เพื่อซ่อมแซมอุปกรณ์การเรียน เครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งของที่เสียหาย ดูแลระบบไฟฟ้า เพื่อให้โรงเรียนสามารถกลับมาใช้งานได้โดยเร็ว

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ สอศ. ได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุคาจิกิ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจากจากฝนตกหนักในพื้นที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ และพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย เปิดครัวอาชีวะจัดทำอาหารปรุงสุก อาหารกล่อง และน้ำดื่ม สนับสนุนการขนย้ายสิ่งของและความช่วยเหลือเร่งด่วนอื่น ๆ ตามความจำเป็น และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย สอศ. เตรียมวางแผนรับมือ จัดศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) ดำเนินการซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ครัวเรือน และเครื่องมือทางการเกษตร เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งนี้ สถานศึกษาในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่สถานศึกษาที่ประสบความเสียหาย เพื่อให้การเรียนการสอนและการดำเนินงานสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว และคำนึกถึงความปลอดภัย

 

“นฤมล”สั่งเร่งฟื้นฟูโรงเรียนบ้านน้ำเพียงดิน แม่ฮ่องสอน หลังเจอพายุคาจิกิถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน เส้นทางเข้าออกถูกตัดขาด หวังให้เด็ก ๆ กลับมาเรียนหนังสือได้โดยเร็ว

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และหัวหน้าพรรคกล้าธรรม (กธ.) เปิดเผยว่า ตนได้รับการประสานจากนายปกรณ์ จีนาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน พรรคกล้าธรรม ถึงสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุคาจิกิ ส่งผลให้โรงเรียนบ้านน้ำเพียงดิน ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ถูกน้ำท่วมฉับพลัน เส้นทางเข้าออกถูกตัดขาด ครู นักเรียน และชาวบ้านในพื้นที่ต่างประสบความลำบาก ขณะเดียวกันอุปกรณ์การเรียนการสอนภายในโรงเรียนก็ได้รับความเสียหายจำนวนมาก

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พร้อมจัดทีมจากศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) เข้าไปตรวจสอบระบบไฟฟ้า ซ่อมแซมอุปกรณ์การเรียน และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้โรงเรียนสามารถกลับมาใช้งานได้โดยเร็ว

“กระทรวงศึกษาธิการจะเร่งฟื้นฟูโรงเรียนให้กลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็วที่สุด เพื่อให้เด็ก ๆ กลับมาเรียนหนังสือได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะเร่งสรุปและประเมินความเสียหายทั้งหมดเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติงบประมาณเยียวยาต่อไป“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ปลัด ศธ.ติวเข้มเครือข่ายตรวจราชการ เน้น “พัฒนา คน งาน เทคโนโลยี” ยกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างพลังเครือข่ายการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมบรรยายพิเศษ “การสร้างและพัฒนาเครือข่ายการตรวจราชการ การติดตามประเมินผลการจัดการศึกษา“ ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ โดย ปลัด ศธ. กล่าวว่า แนวทางการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการนั้น ต้องมีการพัฒนาวิธีการและกระบวนการตรวจอย่างต่อเนื่อง มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการมอนิเตอร์ผลการดำเนินงาน โดยแนวคิดสำคัญที่ว่า “สถานที่ใดที่ดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว ขอให้ทำดีต่อไป หากพื้นที่ใดต้องปรับปรุงก็เข้ามาทบทวนเพื่อพัฒนายิ่งขึ้น” เครื่องมือสำคัญที่นำมาใช้คือระบบตรวจราชการออนไลน์ หรือ E-Inspection ที่จะช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลและรวบรวมผลการตรวจราชการเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถสรรหาข้อมูล Best Practice ได้อย่างแม่นยำและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน

ดร.สุเทพ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการกำลังร่างระเบียบใหม่เกี่ยวกับการตรวจราชการ ซึ่งมุ่งเน้นการลดขั้นตอนและความซับซ้อนในการติดตามผลของผู้ตรวจราชการ โดยใช้กลไกศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นเครื่องมือสำคัญในการรายงานผลการดำเนินงาน เพื่อให้กระบวนการตรวจราชการมีความคล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกพื้นที่ สำหรับการรายงานผลของหน่วยปฏิบัติ จะมีการรายงานผลในสองเส้นทาง คือ การรายงานตามสายบังคับบัญชาโดยตรง และการรายงานไปยัง กศจ. เพื่อส่งต่อไปยังสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลส่งต่อไปยังสำนักงานตรวจราชการ ก่อนนำเสนอแก่ผู้บริหารระดับสูงต่อไป ซึ่งช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินงาน ทำให้การติดตามและประเมินผลเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

“สิ่งสำคัญคือขอให้ทุกคนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง สะสมประสบการณ์ในหลากหลายพื้นที่ หลายสายงาน และหลายสังกัด เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความสามารถและสร้างความแตกต่างในการทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ต้องเรียนรู้เนื้องานและบทบาทหน้าที่อย่างลึกซึ้ง ตีโจทย์ให้แตก และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการเปรียบเสมือน “คัมภีร์” ในการขับเคลื่อนงาน ผู้ตรวจราชการจึงต้องลงพื้นที่ตรวจติดตามตามมอบหมายของรัฐมนตรี พร้อมประสานงานกับผู้รับการตรวจราชการและเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล พื้นที่ และแนวทางการดำเนินงานให้รอบด้าน “ความท้าทาย” ของการตรวจราชการคือปัญหาและความต้องการสนับสนุนในแต่ละพื้นที่ที่นำเสนอต่อผู้บริหาร จะช่วยสะท้อนแนวทางในการกำหนดนโยบาย ผู้ที่อยู่ในพื้นที่และเผชิญเหตุการณ์จริงเป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาและสามารถเสนอแนวทางแก้ไขได้ดีที่สุด เพื่อนำไปกำหนดแนวทางและนโยบาย รวมถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม”ปลัด ศธ.กล่าว

ดร.สุเทพ กล่าวอีกว่า การตรวจราชการเปรียบเหมือนการให้กำลังใจ การเชื่อมโยงข้อมูลและการประสานงานอย่างมีเครือข่าย ถือเป็นหัวใจสำคัญของงานตรวจราชการ ขอให้คน ศธ. รุ่นใหม่ทุกคนคิดว่า “พวกเราคือทีมเดียวกัน” ในฐานะ “ทีมกระทรวงศึกษาธิการ” ด้วยเป้าหมายเดียวกัน คือ “การยกระดับคุณภาพการศึกษาของชาติให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ” การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้เราสามารถแข่งขันทั้งในระดับอาเซียน +3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) และระดับโลกได้

ศธ.ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน ยกระดับคุณภาพการสอนภาษาจีนโรงเรียนเอกชน สานสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความร่วมมือของโรงเรียนเอกชน “อนาคตการศึกษาไทย-จีน โรงเรียนเอกชน เนื่องในโอกาสความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี” ณ โรงแรมรอยัล ซิตี้ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร โดย ดร.สุเทพ ศธ. กล่าวว่า ตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนได้พัฒนาอย่างมั่นคงและลึกซึ้งในทุกมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจ ความไว้วางใจ และความร่วมมือระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยไทยและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีความใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ และมีการขยายความร่วมมือเชิงลึกในทุกมิติ โดยในปี 2568 ได้ครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนในโรงเรียนเอกชนทุกระดับ มีการเปิดห้องเรียนพิเศษภาษาจีน การพัฒนาครูผู้สอน ตลอดจนการสร้างสื่อดิจิทัลสำหรับการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับบริบทสากล นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการความร่วมมือ และกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การประกวดสุนทรพจน์และความรู้ภาษาจีน การจัดสรรครูอาสาสมัครจีนให้แก่โรงเรียนเอกชน

“กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดนโยบายด้านการศึกษา 3+1 ที่เน้นการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต คือ ทักษะ 3 ภาษา (ไทย, อังกฤษ, จีน) ควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้าน AI เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และมีรายได้ระหว่างเรียน โดยเป้าหมายของนโยบาย 3+1 คือการยกระดับสมรรถนะผู้เรียนผ่านการสร้างผู้เรียนให้มีทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัล ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ รวมถึงเป็นการส่งเสริมการหารายได้ สนับสนุนให้ผู้เรียนมีทักษะที่นำไปสู่การสร้างรายได้ระหว่างเรียน และมีงานทำเมื่อสำเร็จการศึกษา และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยการใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ และการมีส่วนร่วมของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน” ปลัด ศธ.กล่าว

ด้าน นายโกเมศ กลั่นสมจิตต์ รองเลขาธิการ กช. กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในฐานะที่เป็นส่วนราชการที่ดูแลรับผิดชอบโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน ส่งเสริมสนับสนุนและร่วมดำเนินการในการพัฒนาโรงเรียนเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูสอนภาษาจีนในโรงเรียนเอกชน มีการติดตามผลการสอนภาษาจีนและพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีมาตรฐานและศักยภาพด้านภาษาจีนที่สูงขึ้น โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนภาษาจีนมีคุณภาพและศักยภาพทางภาษาจีนที่สูงขึ้น และได้ร่วมมือกับสมาคมและเครือข่ายเอกชนสอนภาษาจีน ยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนในโรงเรียนเอกชนในประเทศไทย

รองเลขาธิการ กช. ได้กล่าวตอนหนึ่งในช่วงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตการศึกษาภาษาจีนในไทยกับยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน” ว่า โรงเรียนเอกชนในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน เพราะมีความคล่องตัวในการจัดหลักสูตร และมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์อนาคต ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้มีความร่วมมือกับสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน รวมถึงเครือข่ายตามภูมิภาคอีก 7 เครือข่าย ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลข่าวสารช่วยเหลือ ขับเคลื่อน และผลักดันให้โรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีนมีความ เพื่อยกระดับคุณภาพครูผู้สอนและพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย รวมถึงการส่งต่อนักเรียนเข้ารับการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เพราะทาง สช. เล็งเห็นว่า โรงเรียนเอกชนไม่เพียงเป็น “ผู้สอนภาษา” แต่ยังเป็น “ผู้สร้างสะพานเชื่อมโยง” ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและจีนในอนาคตอีกด้วย ดังนั้น โรงเรียนเอกชนควรพัฒนาสื่อการเรียนการสอนภาษาจีนที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัล ยกระดับครูผู้สอนให้มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาและเทคโนโลยี สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำของจีน และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกประสบการณ์จริง ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน พร้อมย้ำว่า “การศึกษา” คือ สะพานที่แข็งแรงที่สุดที่จะเชื่อมโยงคนสองประเทศเข้าด้วยกัน ภาษาจีนจึงไม่ใช่เพียงแค่ทักษะ แต่คือโอกาสในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับเยาวชนไทย และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป

“หากมองไปสู่อนาคต 10 ปีข้างหน้า หากเราวางยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนร่วมกันอย่างจริงจัง ประเทศไทยจะสามารถสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญภาษาจีนได้มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด เยาวชนไทยจะไม่เพียงสามารถสื่อสารภาษาจีนได้คล่องแคล่ว แต่ยังเข้าใจวัฒนธรรม ความคิด และวิธีการทำงานร่วมกับชาวจีนอย่างลึกซึ้ง เมื่อการศึกษาเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ เราจะมีโอกาสดึงดูดการลงทุน สร้างเครือข่ายธุรกิจ และสร้างความร่วมมือทางวิชาการในระดับสูงยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลางเศรษฐกิจและการศึกษาของอาเซียนต่อไปในอนาคต” รองเลขาธิการ กช. กล่าว

นายมณฑล กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนเอกชนสอนภาษาจีน ว่า  สช. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน ผ่านการเสริมสร้างศักยภาพครูผู้สอนทั้งชาวไทยและชาวจีน รวมถึงช่วยสนับสนุนด้านทรัพยากรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและทิศทางความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเน้นย้ำถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายทางการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนให้มีความยั่งยืนและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคต

 

“อ.แหม่ม“หนุนแก้กฎหมายโรงเรียนเอกชน หลังครูต่างชาติใช้ช่องโหว่เรียกค่าชดเชย สร้างความไม่เป็นธรรมต่อโรงเรียนและครูไทย

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.)ประชุมร่วมกับผู้แทนสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย 12 หน่วยงาน โดยตัวแทนสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ได้นำดอกไม้แสดงความยินดีและขอขอบคุณ ศ.ดร.นฤมล ที่ขับเคลื่อนงานการส่งเสริมการศึกษาเอกชน

โดยสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ได้หารือถึงผลกระทบจากกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของโรงเรียนเอกชน โดยเฉพาะการตีความมาตรา 86 ของพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 ที่ระบุว่า กิจการของโรงเรียนในระบบไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน แต่ผู้ปฏิบัติงานของโรงเรียนต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ทำให้มีครูชาวต่างชาติที่สิ้นสุดสัญญาจ้างหลายคน ใช้ประโยชน์จากการตีความตามมาตราดังกล่าวมาเรียกร้องค่าชดเชยจากโรงเรียนเอกชน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อโรงเรียนและครูชาวไทย ที่ได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์น้อยกว่าครูต่างชาติค่อนข้างมาก

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ได้มีการเห็นชอบให้มีการเสนอขอแก้ไขพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 ในส่วนของการคุ้มครองการทำงาน ให้เกิดการตีความที่ชัดเจน เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเรียกร้องค่าชดเชยของครูต่างชาติหลังสิ้นสุดสัญญาจ้าง โดยตนเห็นว่าเป็นหนทางแก้ไขผลกระทบที่ตรงประเด็นและเกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยคาดว่าจะสามารถเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 ได้ประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568

สกศ.ขับเคลื่อนการศึกษา พัฒนาศักยภาพคนไทย สร้าง“พลเมืองที่เข้มแข็ง”  

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ ห้องประชุมกำแหง พลางกูร สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 3/2568 โดยมี คณะกรรมการสภาการศึกษา พร้อมด้วย รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมประชุม ควบคู่กับการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการและขยายผล 3 เรื่องหลัก ได้แก่  1.(ร่าง)ทิศทางการพัฒนาศักยภาพคนไทย เพื่อให้เป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง พร้อมเรียนรู้ ปรับตัว อย่างยั่งยืน ผ่านเสาหลัก 5 ประการ The L.E.A.R.N. Pillars ประกอบด้วย ศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learner Agency) บุคลากรทางการศึกษามีสุขภาวะที่ดีและมีความเป็นเลิศ (Educator Excellence) การบริหารงบประมาณและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Allocation) การเข้าถึงการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นสำหรับทุกคน (Reach) และการบริหารจัดการแบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วม (Network) ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตขับเคลื่อนไปพร้อมกับการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง  2. ปรับแนวทางบริหารจัดการทรัพยากรและสูตรจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ดังนี้ 1) กระจายอำนาจ ส่งเสริมการร่วมลงทุนและสนับสนุนจากทุกภาคส่วน 2) ปรับเพิ่มสัดส่วนการใช้ทรัพยากรสำหรับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมรองรับการเปลี่ยนแปลง 3) เพิ่มการจัดสรรไปยังผู้เรียนโดยตรงควบคู่กับการจัดสรรไปยังสถานศึกษา 4) ปรับรายการเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐาน 5) แยกค่าสาธารณูปโภคพื้นฐานออกจากค่าจัดการเรียนการสอน ทั้งนี้ต้องพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวัดประเมินผลและพัฒนาปรับปรุงอย่างเป็นระบบ และ 3. ข้อเสนอนโยบายการสร้างเสริมชุดทักษะที่จำเป็น Essential Skills Set สำหรับเด็กและเยาวชนไทย 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) เสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียนด้วยการเรียนรู้บนฐานทักษะที่จำเป็น 2) เสริมสร้างระบบสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อขับเคลื่อนชุดทักษะที่จำเป็นอย่างเป็นระบบ และ 3) สร้างพื้นที่เรียนรู้ สร้างชุดทักษะที่จำเป็นด้วยทุนทางสังคมและทรัพยากรในพื้นที่

“นอกจากนี้ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานของ สกศ. ได้แก่ 1. ผลการจัดอันดับ IMD ด้านการศึกษา 2025 ควรกำหนดการยกระดับให้เป็นตัวชี้วัด และมีการวางแผนพร้อมติดตามประเมินผล รวมถึงถอดบทเรียนผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. มติของสมัชชาสภาการศึกษาระดับชาติเพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ คือ การสร้างการเรียนรู้เพื่อสร้างรายได้ Learn to Earn และระบบนิเวศการเรียนรู้ของเมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3. ได้พัฒนาแนวทางการได้รับคุณวุฒิการศึกษาตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติของกลุ่มเยาวชนยอดทักษะฝีมือ รวมถึงจะเปิดแพลตฟอร์มธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติในปีหน้า 4. การขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD ขณะนี้เอกสาร IM ส่งไปยังสำนักงานกฤษฎีกาฯ เพื่อตรวจสอบและส่งต่อ OECD ประเมินทางเทคนิคต่อไป และสุดท้าย สกศ. เสนอการจัดทำแผนการจัดการศึกษาในภาวะฉุกเฉินระดับชาติ จากปัญหาความไม่สงบบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อกำหนดมาตรการในการช่วยเหลือและสร้างขวัญกำลังใจ ให้ทันสถานการณ์และบูรณาการทุกภาคส่วนได้”รมว.ศึกษาธิการกล่าว

“เทวัญ”ให้การบ้านคุรุสภา ขอใบรับรองแพทย์กรองครูรุ่นใหม่ไม่มีเรื่องยาเสพติด

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ว่า ตนได้เสนอต่อที่ประชุมให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาไปพิจารณาระเบียบหลักเกณฑ์ว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่ครูรุ่นใหม่ที่จะขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพต้องมีใบรับรองแพทย์แนบมาด้วยว่า บุคคลนั้นได้รับการตรวจเรื่องสารเสพติดมาแล้ว เพื่อเป็นการกรองว่า อย่างน้อยครูรุ่นใหม่ที่เข้ามาประกอบวิชาชีพครูไม่มีเรื่องของยาเสพติดมาเกี่ยวข้อง  โดยได้หารือกับเลขาธิการคุรุสภาเบื้องต้นแล้วว่า มีระเบียบข้อบังคับใดให้สามารถดำเนินการได้หรือไม่  แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็อาจต้องใช้วิธีขอความร่วมมือจากครู ว่า หากจะขอใบอนุญาตก็ขอให้ตรวจและมีใบรับรองแพทย์มายื่นด้วย ซึ่งหากใครไม่มีมา ก็อาจทำให้คิดได้ว่าทำไมถึงไม่มีใบรับรองแพทย์

“แต่ละปีคุรุสภาจะมีผู้เข้ามาขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูหลายหมื่นคน หากสามารถทำได้อย่างน้อยก็จะทำให้เราได้คนรุ่นใหม่มาเป็นครูโดยไม่มีปัญหาเรื่องยาเสพติด คุรุสภาก็จะเป็นองค์กรหนึ่งที่ช่วยคัดกรองเรื่องยาเสพติดได้  ทั้งนี้ถ้าโครงการนี้สามารถเดินไปได้ดี ก็จะค่อย ๆ ขยายผลไปถึงผู้ที่จะมาขอต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพด้วย ซึ่งก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่เราก็สามารถทำให้มั่นใจได้ว่าครูรุ่นใหม่ปลอดยาเสพติดแน่นอน”รมช.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบร่าง ประกาศคณะกรรมการคุรุสภา เรื่อง รายละเอียดของมาตรฐานความรู้ และประสบการณ์วิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. … และมีการรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่คุรุสภาให้การรับรองแล้ว ดังนี้

ให้การรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา จำนวน 33 แห่ง รวมจำนวน 93 หลักสูตร ได้แก่ ปริญญาตรีทางการศึกษา (หลักสูตร 4 ปี) จำนวน 87 หลักสูตร ประกอบด้วย 1) มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 2) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) 3) มจร. วิทยาเขตขอนแก่น 4) มจร.วิทยาสงฆ์นครน่าน เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จังหวัดน่าน 5) มจร.วิทยาสงฆ์บุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์  6) มจร.วิทยาสงฆ์พะเยา จังหวัดพะเยา 7) มจร.วิทยาสงฆ์พิจิตร จังหวัดพิจิตร 8) มจร.วิทยาสงฆ์ร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด 9) มจร.วิทยาสงฆ์ลำพูน จังหวัดลำพูน 10) มจร.วิทยาสงฆ์อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี 11) มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย(มมร.) วิทยาเขตร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด 12) มมร.วิทยาเขตล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ 13)มมร.วิทยาเขตศรีธรรมาโศกราช จังหวัดนครศรีธรรมราช 14)มมร.วิทยาเขตศรีล้านช้าง จังหวัดเลย 15) มมร.วิทยาเขตอีสาน จังหวัดขอนแก่น 16)มมร.จังหวัดนครปฐม 17) มหาวิทยาลัยราชภัฏ(มรภ.) นครราชสีมา 18)มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา 19) มรภ.เพชรบุรี 20) มรภ.เพชรบูรณ์ 21)มรภ.ยะลา 22) มรภ.เลย 23)มรภ.สกลนคร 24) มรภ.สุรินทร์ 25) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี 26) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานครนายก จังหวัดนครนายก 27) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาลำปาง จังหวัดลำปาง 28) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กรุงเทพมหานคร และ 29) วิทยาลัยเทคโนโลยีพนมวันท์ จังหวัดนครราชสีมา

ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู จำนวน 3 หลักสูตร ประกอบด้วย 1) มรภ.เชียงใหม่ 2)มรภ.นครราชสีมา และ 3)มรภ.พระนครศรีอยุธยา

ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพครู) จำนวน 2 หลักสูตร ประกอบด้วย 1) มรภ.ชัยภูมิ และ 2) มจร.วิทยาเขตสุรินทร์

ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพบริหารการศึกษา) จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ มรภ.พระนครศรีอยุธยา

ให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา ที่คุรุสภาให้การรับรองแล้ว โดยเปลี่ยนแปลงแผนการรับนักศึกษา จำนวน 2 แห่ง รวมจำนวน 2 หลักสูตร ดังนี้ ปริญญาตรีทางการศึกษา (หลักสูตร 4 ปี) จำนวน1 หลักสูตร ได้แก่  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)  ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพบริหารการศึกษา) จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยพิษณุโลก ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ksp.or.th หัวข้อ ตรวจสอบรายชื่อสถาบันผลิตครูที่คุรุสภารับรอง

นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบผลการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตน ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 8/2568 ของผู้ผ่านเกณฑ์การประเมินฯ จำนวน 1,208 คน โดยเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างศึกษาในหลักสูตรปริญญาและประกาศนี ยบั ตรทางการศึ กษา ประกอบด้วย 1) หลักสูตรปริญญาตรีทางการศึกษา จำนวน 785 คน  2) หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู จำนวน 354 คน และ 3) หลักสูตรปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพครู) จำนวน 69 คน

เห็นชอบการรับรองผลการเทียบเคียงผลการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 3/2568 กลุ่มวิชาภาษาจีน จากหน่วยสอบ : Center for Language Education and Cooperation ชุดทดสอบ : HSK จำนวน 2 ราย กลุ่มวิชาภาษาเกาหลี จากหน่วยสอบ : Korean Education Center in Thailand ชุดทดสอบ : TOPIK จำนวน 1 ราย

เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการคุรุสภา เรื่อง สาระการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ในการกำหนดนโยบายและแผนการพัฒนาวิชาชีพ และส่วนการบังคับใช้สาระการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ระบุให้หน่วยงานการศึกษาควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความเป็นครูมืออาชีพ และใช้ประกอบการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ในกิจกรรมการเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถทางวิชาชีพ หรือวิชาการเฉพาะด้าน และการพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา

รับทราบการอนุมัติหลักการให้ออกหนังสืออนุญาตประกอบวิชาชีพควบคุมเป็นการชั่วคราว (ประเภทครู) ให้ผู้สอบแข่งขันได้ ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568 ที่มีคุณวุฒิในกลุ่มวิชา หรือทางหรือสาขาวิชาเอกที่ขาดแคลน หรือมีความจำเป็นต่อการจัดการเรียนการสอนเป็นพิเศษ จำนวน 6 กลุ่มวิชา ประกอบด้วย 1) สถาปัตยกรรม 2) การพยาบาล 3) กายภาพบำบัด 4) กิจกรรมบำบัด 5) จิตวิทยาคลินิก และ 6) อรรถบำบัด เป็นเวลา 2 ปี ตามมติคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ครั้งที่ 8/2568 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568

“อาจารย์แหม่ม”วอนแยกแยะกรณีเด็ก 13 ถูกจับส่งกลับเขมร แค่เส้นบางๆ ความขัดแย้งระหว่างประเทศกับหลักมนุษยธรรม

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีนักเรียนวัย 13 ปี โรงเรียนในพื้นที่ .บัวเชด .สุรินทร์ถูกตำรวจเข้ามารับตัวจากข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและพำนักอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตว่า เรื่องนี้ต้องมองตามหลักความจริงทั้ง 2 มุม ถ้าตอบในฐานะคนเป็นแม่ก็รู้สึกเสียใจที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับลูกที่อายุเพียงแค่ 13 ปีซึ่งถือเป็นความทุกข์ใจอย่างยิ่ง และตนก็เข้าใจครูที่สอนนักเรียนด้วยเช่นกันที่อยากให้ความเป็นธรรมกับเด็ก

หากตอบในฐานะ รมว.ศึกษาธิการ ต้องชี้แจงว่า การขับเคลื่อนการศึกษา เรายึดหลักมนุษยธรรมมาตลอด มิฉะนั้นเด็กจะไม่ได้ศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)แน่นอน แต่เนื่องจากเหตุการณ์บริเวณชายแดนไทยกัมพูชา เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ที่ต้องดูแล และดำเนินการตามกฎหมาย ดังนั้นจึงต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการต่อจากนี้ด้วย.ดร.นฤมลกล่าวและว่า  อย่างไรก็ตามจากรายงานของ สพฐ.พบว่า นักเรียนรายดังกล่าวพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนไทย ดังนั้นจะต้องตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของครอบครัวนี้ตั้งแต่ตนว่า ได้เดินทางเข้าประเทศไทยมาถูกกฎหมายหรือไม่ และจากนี้จะสามารถดำเนินการทำให้ถูกกฎหมายได้หรือไม่อย่างไร ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการพร้อมจะดูแลเด็กทั้งนี้ ตนอยากจะขอให้คนไทยทุกคนแยกแยะระหว่างความขัดแย้งระหว่างประเทศกับหลักมนุษยธรรมด้วย

“ดร.หญิง ลิณธิภรณ์”ปลื้มหลักสูตรCare Giverจบแล้วมีงานทำ สอดรับนโยบายLearn to Earn

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568  ที่ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานแถลงข่าว ความร่วมมือโครงการ “ความร่วมมือพัฒนางานวิชาการการบริหารจัดการบุคลากร” เพื่อสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ปีงบประมาณ 2568  โดยมี นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) พร้อมด้วย นางยุพิน บัวคอม  นายชัยพัฒน์ พันธุ์วัฒนสกุล นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดี สกร. นายจเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และ ผู้บริหาร ข้าราชการ ของทั้ง 2 หน่วยงาน เข้าร่วม

ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ กล่าวว่า นับเป็นอีกก้าวสำคัญของประเทศไทย ในการสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ “ความร่วมมือพัฒนางานวิชาการ การบริหารจัดการบุคลากร” เพื่อสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในปีงบประมาณ 2568 โดยเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) กระทรวงศึกษาธิการ และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การขับเคลื่อนหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver) ที่เป็นหลักสูตรการสร้างงานที่กำลังเป็นที่ต้องการของสังคม สร้างรายได้ให้ผู้เรียนสู่ครอบครัว และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงทั่วประเทศนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยอาศัยกลไกความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน เป็นนโยบายการจ้างงานที่ พร้อมสนับสนุนการจ้างงานบุคลากรให้ผู้ เรียนจบหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุจบแล้วมีงานทำทันที

“เมื่อรัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศการกระตุ้นเศรษฐกิจดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง ดิฉันในฐานะ รมช.ศึกษาธิการ ที่ดูแล สกร.จึงเห็นว่าเป็นโอกาสของ สกร.ที่จะเข้าร่วม เพราะเรามีบุคลากรที่ผ่านการอบรมจากกระทรวงสาธารณสุขโดยตรง ถ้าสามารถนำเด็กกลุ่มนี้เข้าสู่โครงการได้ก็จะทำให้การเรียนของ สกร.นำไปสู่การมีอาชีพเป็น Learn to Earn อย่างแท้จริง โดยโครงการนี้อยู่ในรูปแบบการจัดการศึกษาต่อเนื่อง“วิชาชีพระยะสั้น” โดยมีมาตรฐานขั้นต่ำของหลักสูตร 70 ชั่วโมง และ 420 ชั่วโมง โดยผู้ที่ผ่านหลักสูตร 70 ชั่วโมงจะได้รับเงินเดือน 5,000 บาท และผู้ที่ผ่านหลักสูตร 420 ชั่วโมงจะได้รับเงิน 6,000 บาท ตลอดโครงการ  โดยผู้ผ่านการอบรมสามารถไปปฏิบัติงานทั้งในครอบครัว ชุมชน และในเชิงวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงได้จริง จึงต้องเร่งผลักดันโครงการนี้ให้ผู้เรียนที่สนใจได้เข้าการอบรมเพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพตอบสนองความต้องการของสังคม”รมช.ศึกษาธิการกล่าว

ด้าน นายธนากร กล่าวว่า สกร.ดำเนินการจัดหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ Caregiver ตั้งแต่ปี 2559 โดยบูรณาการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านการจัดการศึกษาต่อเนื่อง ในรูปแบบ วิชาชีพระยะสั้น ทั้ง 70 ชั่วโมง และ 420 ชั่วโมง มีผู้สำเร็จการอบรมแล้ว 9,102 คน จำนวนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 1,017 คน แต่ผู้ผ่านการอบรมส่วนใหญ่สามารถนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพได้จริง แสดงให้เห็นถึง พลังของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถพัฒนาตนเองและพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานได้จริง

 อธิบดี สกร.กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้กำหนดแนวทาง “การจ่ายค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง” เพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ถือเป็นนโยบายสำคัญที่เชื่อมโยงทั้งมิติทาง เศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม และเพื่อสนับสนุนนโยบายนี้ สกร.จึงได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สปสช. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเน้นดำเนินงาน 3 ด้าน คือ สนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล  พัฒนาหลักสูตรและงานวิชาการด้านการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง และสนับสนุนการวิจัย การฝึกอบรม และการบริการวิชาการ รวมถึงการสร้างโอกาสการจ้างงานให้แก่ผู้สำเร็จหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ สร้างอาชีพและเพิ่มรายได้แก่ครอบครัว โดยความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงให้กับสังคมไทย ในยุคสังคมสูงวัยและที่สำคัญคือ สร้างคุณค่าให้แก่สังคมไทย ในการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีมาตรฐานและยั่งยืนอีกด้วย

“ทิดแย้ม-ทิดอลงกต”ถูกริบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติคุณฯจากคุรุสภาแล้ว-ครูโฉดที่สระบุรีรอยกเลิกใบอนุญาตฯสิ้นสุดทางอาชีพครู

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568  นายเทวัญ ลิฟตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะกำกับดูแล สำนักงานคุรุสภา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวเชิงลบของพระผู้ใหญ่และถูกจับสึกจากความเป็นพระไปแล้ว นั้น ตนได้รับรายงานจากคุรุสภา ว่า ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการคุรุสภาได้ลงนามให้ริบวางรัลผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติคุณให้เป็นผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ จากอดีตพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม อินทร์กรุงเก่า) อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม และเจ้าคณะภาค 14  หรือ ทิดแย้ม ที่ได้รับรางวัลเมื่อปี 2558  และ ทิดอลงกต หรือ อดีตพระราชวิสุทธิประชานาถ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ที่ได้รับรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติคุณให้เป็นผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ ประจำปี 2563 ซึ่งขณะนี้ทั้ง 2 คน ได้สึกจากการเป็นพระแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวไม่สมควรเป็นแบบอย่างแก่เด็กและเยาวชน

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีครูชายในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.หนองแค จ.สระบุรี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมหลังก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนหญิง อายุ 7 ขวบ จำนวน 3 ราย และข่มขู่โดยการถ่ายภาพเพื่อแบล็กเมล์ นั้น เรื่องนี้เป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งคุรุสภาในฐานะหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการประกอบวิชาชีพครู ได้ดำเนินการเบื้องต้นไปแล้ว โดยคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ(กมว.)ได้สั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ซึ่งออกให้เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 และจะหมดอายุในวันที่ 22 มิถุนายน 2570 ไปแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนการประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งหากผลการพิจารณาพบว่ามีความผิดจริง ก็จะมีการยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพภายใน 60 วัน ต่อไป