โดนแล้ว! “อ.แหม่ม”สั่ง สพฐ.ลบเนื้อหา“ทิดอลงกต”ออกจากแบบเรียน ป.5 ชี้พฤติกรรมขัดหลักคุณธรรม-จริยธรรม เด็กไม่ควรถือเป็นแบบอย่าง

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงกรณีการตรวจสอบเนื้อหาแบบเรียนเสริมวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งมีการยกย่องอดีตพระอลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ให้เป็นตัวอย่างบุคคลผู้มีจิตสาธารณะ ว่า ตนได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ตรวจสอบและสรุปผลแล้วว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เหมาะสมที่จะปรากฏอยู่ในหนังสือเรียนต่อไป

“ในอดีตพระอลงกตเป็นที่รู้จักจากการอุทิศตนดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และได้รับการยกย่องจากหลายภาคส่วนว่า เป็นผู้มีจิตอาสา แต่เนื่องจากปัจจุบันถูกดำเนินคดีในข้อหาคดีทุจริตยักยอก ฟอกเงิน และถูกสอบสวนถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการปกปิดประวัติส่วนตัวที่แท้จริง ซึ่งถือว่า ขัดกับหลักคุณธรรมและจริยธรรมที่เด็กควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญมาก เพราะแบบเรียนคือ สิ่งที่ปลูกฝังทัศนคติและค่านิยมให้กับเด็ก หากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม จะสร้างความสับสนในสังคมและทำให้เยาวชนเข้าใจผิดได้ จึงได้มีคำสั่งให้ถอดเนื้อหาเกี่ยวกับอดีตพระอลงกตออกจากตำราเรียนทันที และยืนยันว่า การพิมพ์ตำราสำหรับปีการศึกษาหน้า จะไม่มีการปรากฏเนื้อหาดังกล่าวอีก”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ส่วนโรงเรียนนาถะศาสตร์ ที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของอดีตพระอลงกต นั้น ตนได้มอบให้คณะกรรมการการศึกษาเอกชน (กช.)ตรวจสอบแล้ว พบว่า โรงเรียนนาถะศาสตร์เป็นโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา มีมูลนิธิอาทรประชานาถ เป็นผู้รับใบอนุญาต ซึ่งไม่ได้เป็นโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา และโรงเรียนดังกล่าวยังได้รับอุดหนุนตามอัตราของโรงเรียนทั่วไป 70% โดยมูลนิธิช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของนักเรียนอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นโรงเรียนแห่งนี้ถือเป็นโรงเรียนกินนอนที่มีนักเรียนอยู่ประมาณ 120 คน และผู้เรียนไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอน ซึ่งขณะนี้ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.)ลพบุรีอยู่ระหว่างการเข้าไปตรวจสอบข้อมูลของโรงเรียนว่า จะได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่ โดยจะนำข้อมูลมาหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดในวันที่ 3 กันยายน นี้ หากโรงเรียนได้รับผลกระทบด้านค่าใช้จ่าย หรือหากมูลนิธิดังกล่าวถูกระงับการทำธุรกรรม ทางศธจ.ลพบุรี จะเข้าไปวางแนวทางแก้ไขร่วมกับโรงเรียนต่อไป

สถาบันวุฒิวิชาชีพอนุมัติ14 หลักสูตรอาชีพสกร.เก็บหน่วยกิตสอบเทียบระดับได้ “รองนายกฯ”ฝากพัฒนาหลักสูตรใหม่ ๆ ”ดร.หญิง”เตรียมขยาย 1 หลักสูตร 1 จังหวัด

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ได้จัดงานส่งเสริมและนำเสนอหลักสูตร สกร.ที่สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพ ภายใต้ “โครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ยกระดับหลักสูตร ต่อยอดมาตรฐานอาชีพ โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(เลขาธิการ กพฐ.) ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ เลขาธิการ กพฐ. นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดี สกร.และผู้บริหาร สกร.เข้าร่วมงาน

นายประเสริฐ กล่าวว่า การยกระดับหลักสูตรอาชีพในครั้งนี้ เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการเรียนรู้และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เป็นการยกระดับทักษะด้านอาชีพเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งเป็นอาชีพที่ตรงกับความต้องการของตลาด เป็นหลักสูตรระยะสั้น ใช้เวลาเรียนไม่นาน โดยผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในอาชีพที่ตัวเองชอบ เป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ขณะเดียวกันผู้เรียนก็สามารถเก็บสะสมหน่วยกิตเพื่อนำไปเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ เพราะเรามีสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพรับรองแล้ว เป็นโครงการที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นอกจากจะเพิ่มทักษะให้กับตัวเองแล้วยังเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ตนขอให้สอนผู้เรียนนำเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ AI เข้ามามีบทบาทในการทำคอนเทนต์สร้างรายได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก

“ผมได้เพิ่มนโยบายให้กับ สกร.ไป 2 เรื่อง คือ ให้ สกร.พัฒนาหลักสูตรอาชีพใหม่ ๆ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และต้องมีองค์กรเครือข่ายพันธมิตรเข้ามาสร้างระบบนิเวศ มาสร้างทักษะ มีผู้ประกอบการ ผู้ผลิตผู้ให้บริการรับช่วงต่อ ซึ่งเครือข่ายจะสามารถต่อยอดความสำเร็จฝึกอาชีพแล้วต้องสามารถสร้างอาชีพได้จริงเรียนรู้ได้จริง และสร้างรายได้ ได้”นายประเสริฐ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดของการพัฒนากำลังคนด้วยมาตรฐานอาชีพ เป็นการเพิ่มโอกาสในการทำงานให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย เป็นช่องทางในการเพิ่มสมรรถนะและความสามารถในการทำงาน ช่วยให้แรงงานไทยมีทักษะที่ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล สามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดโอกาสให้กำลังแรงงานได้เข้าถึงการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ อย่างเท่าเทียมและต่อเนื่องด้วย ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นด้านอาชีพของ สกร. ตามมาตรฐานอาชีพของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ จึงไม่เพียงแต่เป็นการจัดการศึกษาเพื่อการเรียนรู้อาชีพ แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของการเรียนรู้ที่ยืนยันได้ว่า “เรียนแล้วมีรายได้จริง” ผู้เรียนสามารถใช้ความรู้และทักษะที่ได้รับไปต่อยอดการทำงาน เป็นช่องทางในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และยกระดับศักยภาพของตนเองให้เป็นมืออาชีพ

ดร.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า การผลักดันหลักสูตรอาชีพ สกร. เข้าสู่มาตรฐานวิชาชีพในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ ที่จะช่วยให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคง พร้อมทั้งขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความยั่งยืนในอนาคต หลักสูตรอาชีพของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงการอบรมเพื่อมีอาชีพ แต่เป็นหลักสูตรที่ได้รับการยืนยันมาตรฐาน เรียนแล้วมีอาชีพ สร้างรายได้จริงและได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยในปีพ.ศ. 2567 มีประชาชนเข้ารับการฝึกอาชีพในหลักสูตร ทั้ง 14 หลักสูตร กว่า 700 คน และสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 1,200,000 บาทต่อปี ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพและความสำเร็จของหลักสูตรดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เรามีหลักสูตรอาชีพในภาพรวมของ สกร.ระดับตำบลถึง 30,000 กว่าหลักสูตร ซึ่งตนได้นำมาคัดเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมเพื่อเข้าสู่มาตรฐานวิชาชีพต่อไป และวันนี้ก็มี 14 หลักสูตรที่ได้รับการอนุมัติจากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ตนขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมการอบรมในหลักสูตรอาชีพทั้ง 14 สาขา ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่อาหารไทย นวดแผนไทย บาติก การทอผ้าจากสีธรรมชาติ กาแฟ งานจักสาน และอาหารพื้นถิ่น โดยการรับรองหลักสูตรนำร่องในครั้งนี้ จะเป็นต้นแบบที่นำไปสู่การขยายผลการพัฒนาหลักสูตรอื่นๆที่จัดทำขึ้นโดยสถานศึกษาในสังกัดสกร.ประจำจังหวัดทั่วประเทศ 1 จังหวัด 1 หลักสูตร รวมกว่า 77 หลักสูตรทั่วประเทศ หลักสูตรดังกล่าวจะมีการเผยแพร่ จัดอบรมและกรมส่งเสริมการเรียนรู้มีแผนดำเนินงานในปีงบประมาณหน้าครบทั้ง 77 จังหวัดต่อไป เพื่อให้การเรียนรู้อาชีพเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง

คุรุสภา รับลูก”รมช.เทวัญ”สั่งพักใบอนุญาตฯ ครูสระบุรีละเมิดเด็กทันที ไม่รอผลการสอบสวน

จาก กรณีครูชายในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.หนองแค จ.สระบุรี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมหลังก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนหญิง อายุ 7 ขวบ จำนวน 3 ราย และข่มขู่โดยการถ่ายภาพเพื่อแบล็กเมล์ นั้น ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่ารการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษาเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่นักเรียนทุกคน จึงมอบหมายให้ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว้าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา เร่งดำเนินการและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่ง รมช.ศึกษาธิการ ก็ได้มอบหมายให้เลขาธิการคุรุสภาดำเนินการกรณีดังกล่าวอย่างเร่งด่วนแล้ว

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่อไปว่า สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษาของบุคคลที่เป็นข่าวแล้ว พบว่า เป็นผู้ประกอบวิชาชีพครู มีใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่ครู ออกให้เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 และจะหมดอายุในวันที่ 22 มิถุนายน 2570 ส่วนการดำเนินการทางจรรยาบรรณของวิชาชีพ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้รับเรื่องเข้าสู่การพิจารณาทางจรรยาบรรณของวิชาชีพแล้ว ซึ่งการกระทำผิดดังกล่าวนั้นเป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง ในเบื้องต้นได้เสนอต่อคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพพิจารณาพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูไว้ก่อน โดยไม่ต้องรอผลการสอบสวน โดยหากการสอบสวนแล้วเสร็จ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพจะพิจารณาวินิจฉัยกำหนดระดับความผิดทางจรรยาบรรณ ซึ่งกรณีความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงที่มีโทษถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ส่วนการดำเนินการด้านความผิดคดีอาญานั้นให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

“การที่ครูประพฤติผิดด้วยการล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนเป็นเรื่องร้ายแรงที่จะต้องเร่งจัดการทันที เพราะครูทุกคนจะต้องเป็นที่เคารพและศรัทธาของลูกศิษย์และโรงเรียนจะต้องเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยของนักเรียนทุกคน ซึ่งในขั้นแรกคุรุสภาจะสั่งพักใช้ใบอนุญาตฯ ไว้ก่อน แต่หากผลการสอบสวนออกมาแล้วปรากฏว่ามีความผิดจริง ครูคนนี้จะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตฯ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ครูได้อีกต่อไป” เลขาธิการคุรุสภากล่าว.

 

 

 

ครม.อนุมัติ แต่งตั้งข้าราชการการเมืองประจำศธ.3ราย

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 3 ราย ดังนี้
นายจิรทัศ ไกรเดชา ตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์)

นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(นายเทวัญ ลิปตพัลลภ)

นายตติยภัทร์ ปิติเศรษฐพันธุ์ ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ศึกษาธิการ  ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์) ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป

สพฐ.เตรียมของบฯกลางขยายเวลาให้เด็กดื่มนมทั้ง 365 วัน พร้อมให้สถานศึกษา เฝ้าระวังพายุ “คาจิกิ”

วันที่ 26 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 31/2568 ว่า วันนี้ ตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมหลายเรื่อง โดยเฉพาะ การแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเด็กปฐมวัยและเด็กในวัยเรียน ซึ่งจากการจัดทำข้อมูลสุขภาพนักเรียน พบว่า นักเรียนที่มีภาวะส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ (เตี้ย) ปี 2567 มีจำนวน 543,253 คน และปี 2568 มีจำนวน 403,987 คน เท่ากับลดลง 139,266 คน คิดเป็นร้อยละ 25.63 แสดงให้เห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งเสริมให้นักเรียนได้รับอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ที่มีคุณภาพอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ดังนั้น หากเพิ่มระยะเวลาในการจัดอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากเดิม 260 วัน เป็น 365 วัน จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กนักเรียน ให้เจริญเติบโต สูงดีสมส่วนได้ สพฐ. จึงมีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาในการจัดอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากเดิมเด็กดื่มนม 260 วัน เป็น 365 วัน ซึ่ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามหนังสือดังกล่าว ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา และเมื่อ รมว.เกษตร ลงนามเห็นชอบ เราจะทำเรื่องเข้าเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อของบฯกลางต่อไป ซึ่งเรื่องนี้จะได้ประโยชน์ 2 ฝ่าย คือให้เด็กได้ดื่มนมทุกวัน เพื่อทำให้ภาวะทางโภชนาการของเด็กดีขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเติบโต หากได้กินนมทุกวันสุขภาพก็จะดีขึ้น  แข็งแรงสมวัย เรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ และยังได้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมในประเทศด้วย

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ติดตามสถานการณ์พายุ “คาจิกิ” ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา โดย รมว.ศึกษาธิการ มีความห่วงใยนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา และสถานศึกษา ในหลายพื้นที่ของประเทศที่อาจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน ซึ่งตอนนี้เราได้ติดตามกันอย่างใกล้ชิด โดยได้เน้นย้ำผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ให้ช่วยกันเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่อาจน้ำท่วมและเสียหายขึ้นที่สูง ดูแลอุปกรณ์-ระบบไฟฟ้าภายในโรงเรียน รวมถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ และประสานกับหน่วยงานข้างเคียง อาทิ หน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)จังหวัด หรือฝ่ายปกครองในพื้นที่ อีกสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ หากเกิดเหตุจำเป็น เช่น ถนนขาด น้ำท่วม โรงเรียนได้รับความเสียหาย ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ ผู้บริหารโรงเรียนสามารถสั่งปิดโรงเรียนได้ทันที โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนและครูเป็นสำคัญ จากนั้นให้ประสานกับทางสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ปภ. ฝ่ายพลเรือนหรือหน่วยทหารเข้าไปดูแลให้การช่วยเหลือโดยเร็วต่อไป

ประกาศ 14 รางวัล ประกวดสื่อสร้างสรรค์ส่งเสริมภาพลักษณ์ สพฐ.

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)  เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)  ได้จัดโครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ส่งเสริมภาพลักษณ์ สพฐ. หัวข้อ “เรียนดี มีความสุข” ซึ่งตอนนี้ต่อยอดมาเป็น “เรียนดี มีคุณธรรม” นั้น  กิจกรรมดังกล่าวเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีส่วนร่วมในการนำเสนอเรื่องราวการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาที่สะท้อนอัตลักษณ์และบริบทของตนเอง ผ่านสื่อประเภทคลิปวิดีโอ และภาพถ่าย โดยมีผู้ส่งผลงานและผ่านเกณฑ์ รวม 419 ผลงาน มีผู้ชนะรางวัล รวม 14 รางวัล โดยวันนี้( 26 สิงหาคม) ได้มีพิธีมอบรางวัลไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับผลการประกวด มีดังนี้ ประเภทคลิปวิดีโอ  รางวัลชนะเลิศ : สพม.ตาก, รองชนะเลิศอันดับ 1 : สพป.ประจวบคีรีขันธ์ เขต 2, รองชนะเลิศอับดับ 2 : สพป.นครพนม เขต 1, รางวัลชมเชย : สพป.บุรีรัมย์ เขต 3 และสพม.เลย หนองบัวลำภู, รางวัล Top View : สพม.ตาก และสพป.นครพนม เขต 1

ประเภทภาพถ่าย  รางวัลชนะเลิศ : โรงเรียนบรบือ สพม.มหาสารคาม, รองชนะเลิศอันดับ 1 : โรงเรียนบ้านซำตาโตง สพป.ศรีสะเกษ เขต 4, รองชนะเลิศอันดับ 2 : โรงเรียนโยธินบูรณะ เพชรบุรี สพม.เพชรบุรี, รางวัลชมเชย : โรงเรียนสอนดี(ประชารัฐอนุสรณ์) สพป.พระนครศรีอยุธยา เขต 2 และโรงเรียนนครหลวง (พิบูลประเสริฐวิทย์) สพป.พระนครศรีอยุธยา เขต 1, รางวัล Top Likes : โรงเรียนตากพิทยาคม สพม.ตาก และโรงเรียนบรบือ สพม.มหาสารคาม

“เทวัญ”สั่งคุรุสภาตรวจสอบครูหื่นอนาจารเด็ก ถ้าทำผิดจริงเพิกถอนใบอนุญาตฯทันที

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่มูลนิธิปวีณาได้พาผู้ปกครองเด็กนักเรียนหญิง จำนวน 3 ราย เข้าพบ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ แสนวงษ์สิริ ผกก.สภ.หนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อเข้าจับกุมครูอัตราจ้าง สอนวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.หนองแค จ.สระบุรี ที่ล่วงละเมิดทางเพศบุตรสาวมานานนับปี และใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปไว้หลายครั้ง โดยจะหลอกมากระทำช่วงพักเที่ยงในห้องพักครู และข่มขู่เด็กไม่ให้บอกใคร นั้น ตอนนี้ทางสำนักงานเลขาธิการคุรุสภากำลังตรวจสอบดูว่า ครูคนดังกล่าวได้ล่วงละเมิดเด็กจริงหรือไม่ ชื่ออะไร เลขบัตรประจำตัวใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูอะไร ซึ่งต้องตรวจสอบข้อมูลกับต้นสังกัดด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าครูอัตราจ้างดังกล่าวกระทำความผิดจริงก็สามารถพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ทันที และนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาจรรยาบรรณครูเพื่อเข้าสู่กระบวนการลงโทษเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ถ้าผิดจริงก็ต้องเพิกถอนใบอนุญาตฯต่อไป

“ก่อนอื่นต้องแยกความผิดออกเป็น 2 ส่วนคือ ความผิดทางอาญาหากละเมิดเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และความผิดทางวินัย ซึ่งความผิดทางอาญาก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ ส่วนความผิดทางวินัยคุรุสภาก็ต้องไปดูรายละเอียดว่าครูคนดังกล่าวเข้าข่ายกระทำความผิดต้องเพิกถอนใบอนุญาตฯหรือไม่ หรือมีความผิดต้องพักใบอนุญาตชั่วคราว ซึ่งตอนนี้ผมยังไม่ได้รับรายงานจากคุรุสภา”นายเทวัญ กล่าว

สพฐ.คิดใหญ่ปรับข้อสอบทุกประเภทเพิ่มสัดส่วนอัตนัย 50% เลิกแล้วกาอย่างเดียว ทำข้อสอบต้องคิด วิเคราะห์ด้วย

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวถึงนโยบายการปรับเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ว่า ขณะนี้มีความคืบหน้ามาก โดยจะให้เพิ่มเนื้อหาเรื่องภูมิศาสตร์เข้าไปด้วย เป็น ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง เพื่อต้องการปลูกฝังให้เด็กรักชาติ แต่ที่สำคัญอาจต้องไปเริ่มที่กระบวนการจัดการเรียนการสอน ต้องสอนประวัติศาสตร์ในเชิงสร้างสรรค์ให้เด็กคิด วิเคราะห์ ไม่ใช่แค่ท่องจำ เช่น กรณีที่เราเสียกรุงครั้งที่ 2 ไม่ใช่แค่จำว่าเสียกรุงเมื่อไหร่ แต่ต้องสอนให้เด็กคิดว่าทำไมเราถึงเสียกรุง ถ้าเราอยู่ในยุคนั้น เราจะทำอย่างไรให้เราไม่เสียกรุง ซึ่งตอนนี้เรากำลังปรับทั้งหลักสูตรและปรับวิธีการจัดการเรียนการสอนเป็นแบบ Active Learning ให้เด็กคิด วิเคราะห์  รวมถึงต้องปลูกฝังให้เด็กรักชาติ รักสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยต้องปลูกฝังตั้งแต่เล็ก ๆ

“การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์เราต้องมาทบทวนเนื้อหากันใหม่ ต้องให้ทันสมัย  ส่วนที่รมว.ศึกษาธิการ ต้องการให้เพิ่มสัดส่วนวิชาประวัติศาสตร์ และหน้าพลเมืองในการสอบเข้า ม.1 และ ม.4 นั้น ก็อยู่ในสัดส่วนเดิมในสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา แต่จะเน้นเรื่องของภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง มากขึ้น และเท่าที่ผมดูแล้วคิดว่า คงไม่ใช่แค่สอบเข้าเท่านั้น  แต่จะใช้ในการสอบจบของเด็กด้วย เพราะถ้าเด็กเรียนแล้วไม่ได้สอบเขาก็จะไม่ตั้งใจเรียน แม้แต่การสอบบรรจุครู หรือ การเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งผอ. หรือ รอง ผอ.สถานศึกษา ผอ.เขตพื้นที่ฯ ก็มีข้อสอบวิชาเหล่านี้อยู่ด้วยแล้ว  นอกจากนี้ผมกำลังคิดต่ออีกว่า อาจจะต้องรื้อฟื้นข้อสอบอัตนัย โดยเพิ่มสัดส่วนข้อสอบอัตนัยในการสอบทุกประเภทเข้ามาด้วย เพราะการเขียนจะทำให้เด็กเกิดความคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ แต่ถ้าเป็นข้อสอบปรนัยบางทีเด็กอาจจะไม่ได้อ่านคำถามด้วยซ้ำ กาอย่างเดียว ไม่ได้เกิดความคิด วิเคราะห์ เพราะฉะนั้นต้องทำให้ครบทั้งฟัง พูด อ่านเขียน โดยผมให้นโยบายไปแล้วให้ฝ่ายวิชาการไปคิดถึงเรื่องสัดส่วนข้อสอบระหว่างปรนัย กับ อัตนัย ซึ่งอาจจะมีความเป็นไปได้ว่าจะให้ทำ 50 : 50”เลขาธิการกพฐ.กล่าว

โผไม่พลิก “ภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย”นั่งรองเลขาธิการ กพฐ.- ภูธร-นิยม-เสริมฤทธิ์-สุรพงษ์-ภูมิพัทธ นั่งผู้ตรวจศธ.-พร้อมให้ สป.ไปทบทวนตำแหน่ง ศธภ.

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 6 ราย ดังนี้ นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.) เป็น รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.นิยม ไผ่โสภา รองศึกษาธิการภาค 3 ดร.สุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)และ นายภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับตำแหน่งศึกษาธิการภาค(ศธภ.)ทั้ง 12 ตำแหน่ง นั้น สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(สป.)จะไปศึกษาก่อน เนื่องจากมีข้อเสนอแนะจากหลายส่วนว่าภารงานมีความย้ำซ้อนกับงานผู้ตรวจราชการ และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ประกอบกับกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติได้เสนอปรับแก้กฏหมายและให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้นเรื่องนี้ก็ขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการนำไปทบทวนก่อน

“เสมา1”ตอบชัดเหตุผล จัดตั้ง”สหกรณ์กลาง สกสค.”เป็นนโยบายรัฐบาลที่ต้องการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ไม่อุ้มหนี้เน่า ถ้า สกสค.ทำได้ก็ถือเป็นเรื่องดี

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการจัดตั้ง “สหกรณ์กลาง สกสค.” ว่า  เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ในการดำเนินการจัดตั้งและผลักดัน  โดยรัฐมนตรีมีหน้าที่มอบนโยบาย  ช่วยนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) และช่วยชี้แจงผลักดันให้ ครม.เห็นชอบ ส่วนเรื่องการขอเงินสนับสนุนเพื่อนำมาทดแทนกรณีที่มีการลดหย่อนดอกเบี้ยให้แก่ครูที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ นั้น หากมีเหตุผลและหลักการที่ดี เชื่อว่า ครม.จะไม่ขัดข้องและพร้อมที่จะช่วย เพราะการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา โดยในจำนวนนั้นมีครูรวมอยู่ด้วย  ดังนั้นการจัดตั้งและผลักดันให้สำเร็จจึงเป็นของ สกสค. ที่มีหน้าที่ในการบริหารจัดการสวัสดิการ สวัสดิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของครูและบุคลากรทางการศึกษา

“สกสค.ต้องไปประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วตั้งเรื่องเข้ามา แล้วอาจารย์จะเซ็นเข้า ครม. แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ส่งกลับมา เพราะเขาตั้งเป้าว่า จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างในประมาณเดือนกันยายน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้( 26 สิงหาคม) น่าจะไม่ทันเสนอ ครม.”รมว.ศึกษาธิการกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การตั้งสหกรณ์กลาง สกสค.มีเป้าหมายหนึ่งที่จะอุ้มหนี้เน่าของการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา(ช.พ.ค.)หรือไม่ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า สกสค.ต้องไปกำหนดหลักเกณฑ์ว่า จะมีกลุ่มไหนบ้างที่จะเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้กับสหกรณ์กลางของ สกสค.ได้ ซึ่งจะต้องดูให้รอบคอบ และมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อแก้หนี้ส่วนนั้นแน่นอน คนที่คิดอย่างนั้นน่าจะเป็นความเข้าใจผิด

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันพรุ่งนี้จะมีการเสนอชื่อแต่งตั้งผู้บริหารระดับ 10 ของกระทรวงศึกษาธิการ หรือไม่ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า คาดว่าจะได้เข้า เห็นออกข่าวไปแล้ว