“นฤมล”หนุน ไทยเข้าร่วมเครือข่ายยูเนสโก Learning Cities–Creative Cities ร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้และเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก ภายใต้หัวข้อ “Learning, Sharing, and Networking for the UNESCO GNLC and UCCN Membership”โดยมี ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)และ Ms. Soohyun Kim ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ เข้าร่วม

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างราดเร็ว ความสามารถของเมืองในการปรับตัวและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องเศรษฐกิจหรือโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ และเมืองสร้างสรรค์ที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางและชุมชนเป็นฐาน ตามที่เราได้ตระหนักว่า การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) คือเสาหลักในการพัฒนาที่แท้จริง ดังนั้น การเรียนรู้จึงไม่ได้จำกัดอยู่ในห้องเรียน แต่เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และกับคน ทุกช่วงวัย การส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในทุกช่วงวัย และทุกบริบทของชุมชนคือ หัวใจของการสร้างเมืองที่มีชีวิต ซึ่งเติบโตไปพร้อมกับประชาชน ทั้งนี้ ทุกคนที่นี่ล้วนเข้าใจว่า การเป็นสมาชิกเมืองภายใต้เครือข่ายของยูเนสโกไม่ได้หมายถึงการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเท่านั้น แต่คือการดึงศักยภาพของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทุนทางสังคม และการบูรณาการสิ่งสำคัญเพล่านี้กับการเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าที่มีความหมายและคงอยู่ต่อไป

“ในฐานะหน่วยงานหลักของชาติด้านการส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเมืองต่าง ๆ ของไทยในการเข้าร่วมและพัฒนาภายใต้เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ และเมืองสร้างสรรค์ พันธกิจของเราคือ สร้างความมั่นใจว่า โอกาสทางการเรียนรู้มีความครอบคลุมทั่วถึงสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ และจะบูรณาการกับชุมชนทุกแห่งอย่างยั่งยืน”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า ขอบคุณกรุงเทพมหานคร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ กระทรางวัฒนธรรม สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ สถานเอกอัครราชทูตประเทศอาเซียน +8 ผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานสำคัญนี้

ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการเสวนาวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ , นิทรรศการและการนำเสนอ Best Practice จากเครือข่าย GNLC และ UCCN เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก อย่างไรก็ตาม การประชุมสัมมนาในครั้งนี้ถือเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ การเสริมสร้างศักยภาพ และการสร้างเครือข่ายผ่านการสัมมนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อพัฒนาการศึกษาให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงอย่างเท่าเทียม

“ครูแหม่ม”กำชับ สพฐ.เฝ้าระวังพายุคาจิกิ ดูแลครู–นักเรียน พร้อมจัดเตรียมที่พัก-เสบียง ย้ำหากจำเป็นสั่งหยุดเรียนได้ทันที

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงสถานการณ์พายุโซนร้อนคาจิกิที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยว่า ตนได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ให้ดูแลสวัสดิภาพของนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และศูนย์การศึกษาพิเศษทุกแห่ง ดูแลให้การช่วยเหลือนักเรียน ครู โรงเรียนในสังกัด รวมถึงทรัพย์สินทางราชการ ตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันอุทกภัย

“กระทรวงศึกษาธิการมีความห่วงใยในความปลอดภัยของนักเรียน ครู และบุคลากรการศึกษาทุกคน เราไม่ต้องการให้ใครได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติครั้งนี้ จึงได้กำชับให้ สพฐ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เตรียมมาตรการป้องกันและช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด หากเกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน หรือน้ำป่าไหลหลาก โรงเรียนสามารถประกาศหยุดเรียนได้ทันที เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเด็ก ๆ และครูเป็นสำคัญ”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่านอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดจัดเตรียมสถานที่พักพิงชั่วคราวสำหรับนักเรียนและครูที่อาจได้รับผลกระทบ เพื่อให้มีที่หลบภัยที่ปลอดภัย รวมถึง เสบียงอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรคด้วย ทั้งนี้ ขอให้ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานด้านการป้องกันภัยพิบัติในพื้นที่ เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง หากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า จากการติดตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่รายงานสถานการณ์พายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มที่จะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงและเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณภาคเหนือตอนบน ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 25 – 26 สิงหาคม 2568 นี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรง ส่วนภาคเหนือจะได้รับผลกระทบในช่วงวันที่ 25 – 27 สิงหาคม 2568 โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้กับเส้นทางเดินพายุ ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ หนองคาย นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย อุตรดิตถ์ น่าน พะเยา แพร่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน และแม่ฮ่องสอน สำหรับภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากพายุ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ลมแรง และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม นั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)มีความห่วงใยสวัสดิภาพของนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาทั่วประเทศ จึงกำชับสถานศึกษาในสังกัดให้เฝ้าระวัง เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและศูนย์การศึกษาพิเศษทุกแห่ง ดูแลให้การช่วยเหลือนักเรียน ครู โรงเรียนในสังกัด รวมถึงทรัพย์สินทางราชการ ตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันอุทกภัยของ สพฐ. ทั้งมาตรการระยะสั้น อาทิ วิเคราะห์ความเสี่ยงในการเดินทางของนักเรียน จัดเตรียมที่พักพิงหากจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้าย สำรวจ/ซ่อมแซมอาคาร ระบบไฟฟ้า-ประปาให้มีความพร้อม และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด หากมีเหตุจำเป็นให้ประกาศหยุดเรียนได้ทันที รวมถึงมาตรการระยะยาว แผนเผชิญเหตุ และรายงานสถานการณ์ทุกวัน พร้อมทั้งติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด โดยได้แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่งทราบด้วยว่า หากมีเหตุด่วน เหตุฉุกเฉินที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทุกเขตสามารถประสานโดยตรงมาที่ เลขาธิการ กพฐ. และทีมผู้บริหารทุกคนได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือและแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

ตามโผ “ภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย”นั่งรองเลขาธิการ กพฐ.- ภูธร-นิยม-เสริมฤทธิ์-สุรพงษ์-ภูมิพัทธ นั่งผู้ตรวจศธ.

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้สัมภาษณ์ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญเพื่อให้มาแสดงวิสัยทัศน์ในการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ในตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 1 ตำแหน่ง และ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ อีก 5 ตำแหน่ง เมื่อวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา นั้น คณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้สัมภาษณ์และได้พิจารณาผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่ง แล้วดังนี้ นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.) เป็น รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.นิยม ไผ่โสภา รองศึกษาธิการภาค 3 ดร.สุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)และ นายภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ คาดว่า ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) จะนำเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 26 สิงหาคม นี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งตามที่ ศธ.เสนอ

“ธนุ”พร้อมผู้บริหาร สพฐ.ลงตรวจเยี่ยมสนามสอบแข่งขันข้าราชการพลเรือนสามัญ สพฐ. (ส่วนกลาง)

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) พร้อมด้วย นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. นายศุภสิน ภูศรีโสม ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ และผู้บริหาร สพฐ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ส่วนกลาง) เพื่อติดตามการจัดสอบและมาตรการด้านความปลอดภัยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีคณะทำงานจากสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) ร่วมติดตามการตรวจเยี่ยม ณ อาคารศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

ทั้งนี้ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. พร้อมคณะฯ ได้ตรวจเยี่ยมสนามสอบศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พบว่าการจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีคณะกรรมการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการทุจริตทุกรูปแบบ และมีมาตรการดูแลความปลอดภัยเป็นอย่างดี โดยมีผู้มีสิทธิสอบจำนวน 5,068 คน มีผู้มาเข้าสอบ 3,352 คน คิดเป็นร้อยละ 66.14 ว่าที่ร้อยตรีธนุ ได้สอบถาม พูดคุยทักทายกับผู้ที่มารอเข้าสอบ และได้กล่าวให้กำลังใจผู้เข้าสอบ พร้อมเน้นย้ำว่าการดำเนินการสอบแข่งขันเป็นไปด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้ ตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้มาโดยตลอด เพื่อให้ได้ข้าราชการที่เป็นต้นแบบ มีคุณธรรมจริยธรรม และได้บุคลากรที่มีคุณภาพตอบโจทย์ภารงานของ สพฐ. ในส่วนกลางได้

สำหรับการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ส่วนกลาง) ได้เปิดสอบคัดเลือกใน 14 สายงาน รวม 61 อัตรา แบ่งเป็นตำแหน่งประเภทวิชาการ ได้แก่ นักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ (4 อัตรา) นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ (2 อัตรา) นักวิชาการโสตทัศนศึกษาปฏิบัติการ (1 อัตรา) นักวิชาการตรวจสอบภายในปฏิบัติการ (1 อัตรา) นักประชาสัมพันธ์ปฏิบัติการ (1 อัตรา) นักวิชาการพัสดุปฏิบัติการ (1 อัตรา) วิศวกรโยธาปฏิบัติการ (1 อัตรา) และตำแหน่งประเภททั่วไป ได้แก่ เจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน (27 อัตรา) เจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน (10 อัตรา) เจ้าพนักงานพัสดุปฏิบัติงาน (5 อัตรา) นายช่างโยธาปฏิบัติงาน (5 อัตรา) นายช่างเขียนแบบปฏิบัติงาน (1 อัตรา) เจ้าพนักงานเครื่องคอมพิวเตอร์ปฏิบัติงาน (1 อัตรา) และเจ้าพนักงานโสตทัศนศึกษาปฏิบัติงาน (1 อัตรา) โดยการสอบวันนี้เป็นการทดสอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน และทดสอบความรู้ความสามารถเกี่ยวกับงานในตำแหน่ง โดยวิธีการสอบข้อเขียน ซึ่งจะประกาศผลการสอบภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ต่อไป

เคาะปฏิทินคัดเลือก ผอ.วิทยาลัยอาชีวศึกษา ขึ้นบัญชีไว้1ปี

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้มีประกาศ อ.ก.ค.ศ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ยกเว้นเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เฉพาะจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี และ 4 อำเภอ ในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา และอำเภอนาทวี) จำนวน 8 อัตรา โดยกำหนดให้ผู้ประสงค์สมัครเข้ารับการคัดเลือกยื่นสมัครผ่านระบบรับสมัครทางเว็บไซต์ https://hrvec.ovec.go.th  วันที่ 1  –  4 กันยายน 2568 โดยกำหนดให้ส่งใบสมัคร เอกสารประกอบการสมัคร และเอกสารสำหรับประเมินตามตัวชี้วัดและองค์ประกอบการประเมินที่กำหนดด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 1- 4 กันยายน 2568 ณ สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัด ที่ตนเองสังกัดเท่านั้น ทั้งนี้ กรณีที่ปัจจุบันมิได้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ให้ส่งใบสมัคร เอกสารประกอบการสมัคร และเอกสารสำหรับประเมินตามตัวชี้วัดและองค์ประกอบการประเมิน ณ สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัด ที่เป็นที่ตั้งหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบัน และจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก ภายในวันที่ 26 กันยายน 2568

สำหรับการคัดเลือก แบ่งเป็น ภาค ก ความรู้และความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) ด้วยวิธีการสอบข้อเขียนแบบปรนัย  ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) ด้วยวิธีการประเมิน ตามตัวชี้วัด องค์ประกอบ และคะแนนการประเมินที่กำหนด แบ่งเป็น  ประวัติ และประสบการณ์ (40 คะแนน) ผลงานที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน (60 คะแนน) ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) ดำเนินการด้วยวิธีการสัมภาษณ์ และการประเมิน ตามตัวชี้วัด องค์ประกอบ และคะแนนการประเมินที่กำหนด แบ่งเป็น วิสัยทัศน์และแนวทางการบริหารงาน ตามมาตรฐานตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ที่ ก.ค.ศ. กำหนด (50คะแนน) ทั้งนี้ ให้เขียนบรรยายตามโจทย์ที่กำหนด โดยต้องเขียนให้มีความสอดคล้อง เชื่อมโยงกัน และให้เขียนด้วยลายมือของตนเอง ในวัน เวลา และสถานที่ที่กำหนด และ การสัมภาษณ์ (50คะแนน)

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ สอศ.จะมีการประชุม อ.ก.ค.ศ. สอศ. เพื่อพิจารณาโยกย้ายผู้อำนวยการสถานศึกษาอาชีวศึกษาลงในตำแหน่งที่ว่างกรณีถูกดำเนินการทางวินัย และที่เลื่อนให้เข้ามาดำรงตำแหน่งผอ.สำนักต่าง ๆ ในส่วนกลางก่อน ทั้ง 8 ตำแหน่ง จากนั้นจึงจะเปิดรับสมัครคัดเลือกตามประกาศดังกล่าวในวันที่ 1-4 กันยายน โดยเปิดรับสมัครตามอัตราที่ว่างอยู่เดิม 8 ตำแหน่งและตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาที่จะว่างจากการเกษียณอายุราชการอีก 13 ตำแหน่ง รวม 21 ตำแหน่ง แต่ทั้งหมดนี้ สอศ.จะดำเนินการคัดเลือกให้แล้วเสร็จทั้ง 21 ตำแหน่ง เพื่อเรียกบรรจุและแต่งตั้งให้เสร็จสิ้นประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน หรือ ต้นเดือนธันวาคมนี้ และจะขึ้นบัญชีไว้ 1 ปี

เช็คยัง!มีคำสั่งยกเลิกสัมภาษณ์ศึกษาธิการภาค12 ภาค แต่ไม่ยกเลิกสัมภาษณ์ผู้ตรวจราชการ1ตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 20.00 น.ได้มีคำสั่งด่วนจากเลขานุการคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารสูง ให้ยกเลิกให้มาสอบสัมภาษณ์ มายังผู้ที่มีรายชื่อให้มาสัมภาษณ์ในวันที่ 22 สิงหาคม 2568 เพื่อคัดเลือกเป็นผู้บริหารระดับสูง ตำแหน่งศึกษาธิการภาค ระดับ 10 ที่มีอยู่ 12 ภาค ทั้งนี้คำสั่งเดิมมีผู้ตรวจราชการรวมอยู่ด้วย 1 ตำแหน่ง ที่เดินหน้าไปแล้ว สมัยพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  แต่ไม่มีคำสั่งยกเลิกไม่ให้ผู้มีรายชื่อทาบทามเป็นผู้ตรวจราชการ 1 ตำแหน่งมาสัมภาษณ์ ทำให้ผู้ที่มีรายชื่อต่าง งงงวย ทำอะไรกันไม่ถูก  แถมยังมีข่าวแว่วว่าจะแต่งตั้งศึกษาธิการภาคเพียง 6 ภาค อีก 6 ตำแหน่ง จะเอามาเป็นผู้บริหารระดับสูงในส่วนกลาง

คืบหน้าตั้ง‘สหกรณ์กลางสกสค.’แก้หนี้ครูสกสค.’ เตรียมชง ครม.เห็นชอบ 26 ส.ค.นี้

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) และเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ สกสค.ว่า สำหรับการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค. ทาง องค์การค้าฯได้เสนอให้ที่ประชุมรับรองแผนงบประมาณ ปี งบประมาณ 2569 โดย ที่ประชุมก็ได้มอบให้องค์การค้าฯนำกลับไปทบทวนและให้นำแผนฯกลับมาเสนอใหม่อีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการประชุมคณะกรรมการ สกสค. ที่ประชุมเห็นชอบหลักการให้ สกสค.ไปดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยการจัดตั้ง “สหกรณ์กลาง สกสค.” ซึ่งก็จะเป็นหน้าที่ของ สกสค.ในการรวบรวมผู้ที่จะมาร่วมจัดตั้งสหกรณ์ฯ จากนั้น ตนก็จะนำรายละเอียดของโครงการฯเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาเห็นชอบ ซึ่งถ้า สกสค.จัดทำโครงการดังกล่าวเสร็จเร็วก็น่าจะนำเสนอ ครม.ได้ทันในวันอังคารที่ 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งถ้าสามารถจัดตั้งสหกรณ์กลาง สกสค. สำเร็จ ก็หวังว่าชีวิตครูจะดีขึ้น ตรงนี้คือเป้าหมายหลักของเรา

ด้าน ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการ สกสค. กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการ สกสค. ที่ประชุมก็ได้มอบให้ตนในฐานะ เลขาธิการ สกสค.นำเรื่องการจัดตั้งสกหรณ์กลาง สกสค.เสนอให้ที่ประชุมเห็นชอบ เป็นโครงการสวัสดิการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ประจำปี 2568 เพื่อรวมหนี้ทั้งระบบ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ สกสค. ไปจัดทำโครงการดังกล่าวแล้วนำมาเสนอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ลงนาม เพื่อนำเสนอ ครม.ได้เห็นชอบรวมถึงกำหนดวงเงิน เพื่อดำเนินโครงการฯ จำนวน 100,000 ล้านบาท โดยโครงการสหกรณ์กลาง สกสค. จะคิดดอกเบี้ย 0% ในปีแรกให้กับครูที่มาเข้าร่วมโครงการด้วย ทั้งนี้ เพื่อลดภาระให้ครูและให้ครูมีเงินเหลือ สำหรับการดำเนินการของสหกรณ์กลาง สกสค. จะดำเนินการในรูปแบบของสหกรณ์กลาง โดยร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ และสถาบันการเงิน ซึ่งมีเงินงบประมาณที่จะชดเชย ประมาณ 6,000 ล้านบาท ก็จะเสนอขอ ครม. ให้ความเห็นชอบ ในเรื่องเงินชดเชยเพื่อที่จะให้ครูที่เข้าร่วมโครงการฯสามารถดำเนินชีวิตได้ดีขึ้น ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการได้เห็นชอบให้ครูทุกคนต้องเข้าสู่หลักสูตรการอบรมทางการเงินและเข้าระบบเครดิตบูโรด้วย

 

24 รร.คุณภาพจังหวัดพิจิตร บันทึกความร่วมมือหอการค้าจ.พิจิตรและมูลนิธิใจกระทิงพัฒนาการศึกษา ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมพัฒนา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ที่จังหวัดพิจิตร ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ตนได้รับ มอบหมายจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ว่าที่ ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้มาเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา”ระหว่าง โรงเรียนในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา 24 แห่ง ในจังหวัดพิจิตร กับ หอการค้าจังหวัดพิจิตรและมูนิธิใจกระทิง ณ ห้องประชุม แฮปปี้คอนเวนชั่น ฮอลล์ อาคารศูนย์การค้าแฮปปี้พลาซ่า อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร

ดร.ภูธร กล่าวว่า การบันทึกความ ร่วมมือครั้งนี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีโรงเรียนเป้าหมาย 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ซึ่งหอการค้าจังหวัดพิจิตร และมูลนิธิใจกระทิง จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาอย่างเป็นระบบ โดยโครงการนี้ เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรม ที่กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ เพื่อสร้างนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพิ่มทักษะอาชีพและทักษะชีวิตให้กับนักเรียน รวมถึงพัฒนาโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน 
นอกจากนี้โรงเรียนยังมีอิสระในการออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของพื้นที่ ส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในการจัดการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย อีกทั้งให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนและการบริหารจัดการโรงเรียน ร่วมคิด ร่วมทำร่วมพัฒนา

นายจาตุรนต์ เหลืองสว่าง ประธานหอการค้า จังหวัดพิจิตรกล่าวว่า หอการค้าจังหวัดพิจิตรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชนและส่งเสริมการศึกษาสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาศักภาพของเยาวชนรวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการศึกษาและสถาบัน ในด้านต่างๆ ทางด้านการศึกษาและคุณธรรม อย่างสม่ำเสมอเพราะตระหนักดีว่าเยาวชนเป็นกำลังสำคัญของประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หอการค้าจังหวัดพิจิตรและมูลนิธิใจกระทิงได้มุ่งดำเนินโครงการนำเยาวชนและส่งเสริม การเรียนรู้ต่าง ๆโดยมุ่งเน้นให้ ความรู้ ความสามารถ รวมถึงการพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี คนเก่งของสังคม และให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงสู่โลกยุคดิจิทัล เนื่องในวันที่ 5 กันยายนนี้ทางสภาหอการค้าไทยและหอการค้าจังหวัดพิจิตรจะร่วมกันจัด UTCC TUTOR จะจัดติวเตอร์ เด็กเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย

ด้านนางสาวนุชรี อยู่วิทยา รองประธานมูลนิธิใจกระทิง กล่าวว่า มูลนิธิใจกระทิง ได้สานต่อปณิธานของ คุณเฉลียว อยู่วิทยา ประธานมูลนิธิฯในการตอบแทนแผ่นดินไทย
ได้ ทำงานร่วมกับหน่วยงานและองค์กรสาธารณกุศลเพื่อช่วยเหลือสังคมผ่านโครงการต่างๆมากมายตามภารกิจ โดยภารกิจด้านการศึกษามูลนิธิฯได้มีโอกาสเข้าร่วมขับเคลื่อนการศึกษาให้กับจังหวัดพิจิตร ผ่านโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาตั้งแต่ปี 2565 จำนวน 4 แห่ง ประกอบด้วย โรงเรียน บางมูลนาก(ราษฏร์อุทิศ) โรงเรียนวังตะกู โรงเรียนบ้านน้อย และโรงเรียนบ้านห้วยยาวและอีก 1 แห่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ คือโรงเรียนประชาชนอุทิศ และสถาบันอื่นๆ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

 

จับตาสรรหาบริหารสูง-ลุ้นระทึก

หยอก หยอก วันที่ 20 สิงหาคม 2568*** วันนี้ขอยกคำคม “ตั้งคนให้ถูกที่” “Put the right man on the right job” วางคนให้เหมาะสมกับงาน ตามความสามารถและคุณสมบัติของพวกเขา เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพ *** ผ่านไปแล้วกับการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งบริหารสูง ทดแทนผู้เกษียณราชการ ทั้งระดับ 10 และ ระดับ 11 รอบล่าสุด แต่ก็ยังเหลือให้ต้องลุ้นต่ออีก 17 ตำแหน่ง คือ ศึกษาธิการภาค 12 ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการ 4 ตำแหน่ง และรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) 1 ตำแหน่ง ซึ่งคาดว่าจะเข้าคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 26 สิงหาคมนี้ *** ว่ากันว่า กระบวนการสรรหาศึกษาธิการภาคทั้ง 12 ตำแหน่ง เดินหน้าไปแล้วตั้งแต่สมัย พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ ยังนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่ได้ถูกชลอไว้ก่อน เหลือแค่เพียงขั้นตอนสัมภาษณ์ประเมินวิสัยทัศน์ ดังนั้นคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง รอบนี้ก็จะประกาศสรรหาเพียง 5 ตำแหน่ง คือ ผู้ตรวจราชการ 4 ตำแหน่ง และรองเลขาธิการ กพฐ. 1 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่เป็นที่จับตามองที่สุด คือ ตำแหน่งรองเลขาธิการ กพฐ. ที่ ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ทั้ง 2 คน คือ ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง และ ภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ต่างก็ได้รับเทียบเชิญให้ไปรับการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งในวันศุกร์ ที่ 22 สิงหาคมนี้ … เรียกว่า ทั้ง 2 คน มีความรู้ ความสามารถ เป็นลูกหม้อ สพฐ. ส่วนใครจะได้ขึ้นก่อนหรือหลัง หยอก หยอก ก็ได้แต่เอาใจช่วยลุ้นไปด้วย และไม่ว่าจะเป็นใครขอให้มาทำงานแล้วทำให้การศึกษาเดินหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ดีใจแล้ว … หวังว่า “พรรคกล้าธรรม”จะดูออกว่าใครจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้*** สำหรับผู้ตรวจราชการ ศธ. 4 ตำแหน่งที่พอเห็นรายชื่อคนได้รับเทียบเชิญแล้ว บอกได้คำเดียว“ตาถึง” เพราะจะเป็นคลื่นลูกใหม่ที่จะมาทำงานแทนพี่ ๆ ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ … เชื่อว่างานการศึกษายุคต่อจากนี้ไปจะได้เห็นการพลิกโฉมอย่างชัดเจน *** สำหรับ ระดับ 10 ที่สไลด์แทนตำแหน่งเกษียณไปล่าสุด ก็ต้องรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมาก่อน จากนั้นจึงจะเปิดรับการสรรหาต่อไป(อีกนาน)… ก็ยังมีให้ได้ลุ้นกันอีก *** เมื่อต้นสัปดาห์ อ.แหม่ม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำทีมผู้บริหาร ศธ.ลงพื้นที่พะเยา เชียงราย ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนวิภา และ ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายด้านการศึกษา … ได้ฟังนโยบายการศึกษาของพรรคกล้าธรรม ทั้งจากปากหัวหน้าพรรค คือ เสมา 1 อ.แหม่ม ศ.ดร.นฤมล และ ผู้กอง ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ส.ส.พะเยา เขต 1 ที่เข้าร่วมรับฟังและทักทายผู้เข้าร่วมประชุม ก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจมากกับงานการศึกษาของชาติ ทั้งเรื่องความชัดเจนในการฟื้นการเรียนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง การลดภาระครู การแก้ปัญหาหนี้สินครู และเรื่องวิทยฐานะ โดยเฉพาะเรื่องของงบประมาณปี 2569 ที่ทั้ง 2 คนเป็นปลื้มอย่างมากว่าสามารถต่อสู้จนกระทรวงศึกษาธิการถูกตัดงบฯไปแค่ 94 ล้านบาท ได้รับมาถึง 3.55 แสนล้านบาท …*** ท้ายสุดขอฝากเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) และ ผู้อำนวยการส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดและอำเภอ สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)แทนคนเกษียณฯ ก็อย่าให้คนภายนอกและฝ่ายการเมืองไปล้วงลูกมากนัก เพราะคนนอกน่าจะไม่รู้เท่ากับคนทำงานร่วมกัน***

สพฐ.เร่งยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ ประวัติศาสตร์-ภูมิศาสตร์-หน้าที่พลเมือง ใช้สื่อดิจิทัล-เน้นคิดวิเคราะห์

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ครั้งที่ 30/2568 โดยเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือหลายประเด็นที่สำคัญ อาทิ ความคืบหน้าการขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ตามที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ได้มอบหมายให้ สพฐ. ดำเนินการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิชาดังกล่าว เพื่อปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีความสำนึกรักชาติ เข้าใจหน้าที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีความรอบรู้ด้านภูมิศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยปรับโครงสร้างเวลาเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ให้เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันในระดับประถมศึกษา มีการเรียนประวัติศาสตร์ไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อปี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อปี และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไม่น้อยกว่า 80 ชั่วโมงต่อสามปี ส่วนการจัดการเรียนรู้และการวัดและประเมินผล ให้ใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พร้อมทั้งใช้สื่อร่วมสมัยที่เหมาะสมกับวัยผู้เรียน เช่น สื่อดิจิทัล แอนิเมชัน สื่อเทคโนโลยี AR ที่ส่งเสริมกระบวนการคิด รวมถึงสื่อจากแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และแหล่งเรียนรู้ชุมชน ในด้านการประเมินให้ประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนเป็นหลัก เน้นกระบวนการคิดมากกว่าการท่องจำ และใช้วิธีประเมินที่หลากหลาย ควบคู่ไปกับการพัฒนาครู ให้สามารถจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์ ฝึกปฏิบัติจริง และการปรับปรุงสื่อและหนังสือเรียน ให้มีความถูกต้อง ทันสมัย เป็นปัจจุบัน และสวยงามน่าสนใจ

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนแนวคิดที่จะเพิ่มสัดส่วนวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ในการสอบเข้าศึกษาต่อของนักเรียน ก็ได้เตรียมประสานกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการใช้ความสามารถด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง เป็นส่วนหนึ่งของการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย พร้อมทั้งมอบหมายสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) ให้มีการนำความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง เป็นเกณฑ์ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการของ สพฐ. ด้วย ส่วนการสอบเข้าศึกษาต่อของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 เป็นเรื่องที่ยังต้องหารือกันต่อไปในรายละเอียด ซึ่งต้องใช้เวลาและมีความรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับนักเรียนทุกคน

“พร้อมกันนี้ ได้เน้นย้ำผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในการขับเคลื่อนการศึกษาตามประเด็นสำคัญที่ รมว.ศึกษาธิการ ฝากไว้ นอกจากการส่งเสริมวิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ยังมีเรื่องของการปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ รวมถึงการลดภาระงานครู เพื่อให้ครูมีเวลาพัฒนางาน มุ่งสอนลูกศิษย์ได้มากยิ่งขึ้น และการเพิ่มสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน และวางรากฐานชีวิตที่ดีให้กับเด็กไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน”เลขาธิการ กพฐ. กล่าว