เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรงศึกษาธิการ ได้นำรายชื่อระดับ10 สไลด์และแทนตำแหน่งเกษียณ 5 ราย เข้าครม.พิจารณาเห็นชอบ ดังนี้ ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เป็น อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ดร.พิเชฐร์ วันทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เป็น รองเลขาธิการ กพฐ. ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็น รองเลขาธิการ กพฐ. นายวีระ แข็งกสิการ ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็น รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ นายสุภชัย จันปุ่ม ผู้ตรวจราชการ ศธ.เป็นรองเลขาธิการสภาการศึกษา ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
วันสถาปนา ครบรอบ 84 ปีอาชีวะ “นฤมล”ยาหอมผลักดันเด็กสายอาชีวะเงินเดือนเทียบเท่าปริญญาตรีหรือมากกว่า
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ได้จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กรมอาชีวศึกษา) ครบรอบ 84 ปี โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.ลินธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) คณะผู้บริหาร รวมทั้งข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ร่วมงาน โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวให้โอวาทว่า ในสมัยที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมทำงานกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ครั้งนั้นได้ทำเรื่องของทวิภาคี เพราะขณะนั้นรัฐบาลมีการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC แต่ปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยตอนนั้น คือ บริษัทต่างประเทศที่มาลงทุนใน EEC ต้องการแรงงานที่มีทักษะพิเศษ แต่ที่เรามียังห่างไกลจากสิ่งที่เขาต้องการมาก เช่น เขาต้องการวิศวกรและช่างฝีมือที่มาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาหรือวิทยาลัยเทคนิค ไม่ใช่วิศวกรปริญญาตรี เพราะเขาต้องการคนที่ทำงานได้เลย และรู้ว่าจะแก้ปัญหาหน้างานได้อย่างไร จึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการทวิภาคีระหว่างกระทรวงแรงงานกับสอศ.
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องรายได้ของเด็กจบสายอาชีพ หรือ อาชีวศึกษา ทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)และ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)ก็เป็นปัญหา ว่า ได้เงินเดือนเริ่มต้นต่ำกว่าคนที่จบปริญญาตรี ซึ่งเป็นเรื่องของโครงสร้างเงินเดือนที่เป็นแรงจูงใจของน้อง ๆ เลือกไปเรียนปริญญาตรีกันหมด เพราะจบมาแล้วได้เงินเดือนเยอะกว่า เรื่องนี้ก็ขอฝากเชิญชวนนายจ้าง บริษัทเอกชน ขอให้พิจารณาโครงสร้างเงินเดือนของเด็กที่จบสายอาชีวะให้เทียบเท่ากับเด็กที่จบปริญญาตรีด้วย เพราะเด็กกลุ่มนี้สามารถทำงานได้เลย โดยเฉพาะเด็กที่ผ่านโครงการทวิภาคี ซึ่งขณะนี้ภาคเอกชนก็ให้ความร่วมมือพอสมควรแล้ว แต่ในส่วนของภาคราชการยังกำหนดอัตราเงินเดือนปริญญาตรีสูงกว่าอยู่
“ค่านิยมของคนไทย คือ ต้องจบปริญญาตรีถึงจะประสบความสำเร็จ ซึ่งมันไม่ใช่ จบอะไรก็ได้ที่มีงานทำ และเลี้ยงชีพได้ด้วยสัมมาชีพ ซึ่งพอค่านิยมเป็นแบบนี้ โครงสร้างเงินเดือนก็ล้อกันไป ให้เงินเดือนคนจบ ปวช. ปวส. น้อยกว่า ปริญญาตรี ซึ่งต่างประเทศไม่เป็นอย่างนี้ เขาจะให้เงินตามทักษะวิชาชีพ และตอนนี้ก็มีสาขาวิชาชีพเพิ่มขึ้นมากมาย ทางภาคอุตสาหกรรมก็ต้องการทักษะอาชีพที่เปลี่ยนไป อย่าง ทักษะช่างเชื่อม โลจิสติกส์ เอไอ ระบบราง เกษตรสมัยใหม่ สุขภาพสมัยใหม่ เขาต้องการเด็กที่จบออกไปแล้วสามารถทำงานได้เลย ซึ่งกลุ่มนายจ้างก็บอกเหมือนปลากระป๋องเปิดแล้วกินได้เลย เพราะฉะนั้นค่าจ้างก็ควรเป็นไปตามนั้น ก็เหลือแต่ราชการที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ กพร.ยังคุมเรื่องอัตรากำลัง โครงสร้างเงินเดือนอยู่ ถ้าสามารถปลดล็อกได้ เชื่อว่าจะทำให้เกิดแรงจูงใจให้คนมาเรียนสายอาชีพมากขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องไปต่อสู้”ศ.ดร.นฤมล กล่าว
ด้าน น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า สิ่งที่อาชีวะมี คือ การสร้างคนให้มีงานทำ อาชีวะไม่ใช่เพียงการเรียนที่จะมุ่งไปสู่การทำงานเท่านั้น แต่อาชีวะคือ ยุทธศาสตร์ของประเทศ ที่จะผลิตแรงงานสำคัญในการผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมยุคใหม่เติบโตได้
ด้าน นายเทวัญ กล่าวว่า ขอร่วมแสดงความยินดีกับ สอศ.ที่ปีนี้ครบรอบ 84 ปี ถ้าเป็นคนก็ถือว่าอายุเยอะพอสมควรแล้ว เป็นวัยที่ผ่านประสบการณ์ผ่านร้อน ผ่านหนาว มาเยอะ ตนขอเป็นกำลังใจให้อาชีวะผลิตบุคลากรดี ๆ มีคุณภาพ ต่อไป และอย่าลืมผลักดันเรื่องโครงสร้างเงินเดือนของเด็กที่จบอาชีวะด้วย
“ธรรมนัส”ปลื้มผลักดันงบฯศธ.ได้เกือบ100% “อ.แหม่ม”มอบ สพฐ.เพิ่มสัดส่วนวิชาประวัติศาสตร์สอบเข้าม.1-ม.4
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ และผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนวิภา พร้อมประชุมติดตามการดำเนินงานตามนโยบายด้านการศึกษา และรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 500 คน ที่หอประชุม 80 ปี โรงเรียนพะเยาพิทยาคม จังหวัดพะเยา โดย นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าวรายงานความเสียหายและผลกระทบจากสถานการน้ำท่วมจากพายุวิภา และแนวทางการป้องกันปัญหาน้ำท่วมและแนวทางการฟื้นฟูสถานศึกษา รวมถึงผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาร่วมรายงานผลกระทบและการช่วยเหลือเยียวยา ทั้งนี้ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พะเยา เขต 1 เข้าร่วมรับฟังและทักทายผู้เข้าร่วมประชุมด้วย
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้ตนไม่ได้มามอบนโยบายเพราะเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่ว่าอยากจะมาทักทายกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งที่คุยกับ อ.แหม่ม ช่วงที่มีข่าวว่าจะได้เป็น รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) อ.แหม่ม บอกว่ากระทรวงศึกษาธิการ น่าจะเป็นกระทรวงหลักที่ช่วยเหลือคนไทยโดยเฉพาะลูกหลานให้ได้รับสิ่งดีๆซึ่งก็เป็นความโชคดีที่พรรคกล้าธรรมได้รับโควตา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งตนก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งในเรื่องของการบริหารราชการ ปล่อยให้ผู้บริหารบริหารกันเอง
“ ช่วง2-3 วันในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ผมไม่ได้หลับได้นอน เพราะต้องการให้เสียงในสภาฯครบ เพื่อให้งบประมาณผ่าน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการก็ได้รับงบประมาณมาได้เกือบ 100% ที่ขอไป ถูกตัดเพียง 94 ล้านบาท ซึ่งผมก็ได้ประสานเพื่อน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทุกคนว่า อย่าไปตัดงบฯกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงเกษตรฯเลย เพราะชีวิตครูกับ เกษตรกร ก็ลำบากอยู่แล้ว ไม่เหมือนอาชีพอื่น ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ สส. ทุกคนเข้าใจ“ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า พรรคกล้าธรรม ได้รับโควต้ามา กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง อยากให้การศึกษาไทยเปลี่ยน แต่ส่วนตัวไม่เคยเป็นครูสอนในโรงเรียนไม่เคยเป็นผู้บริหารโรงเรียนไม่เคยทำงานในกระทรวงศึกษาธิการมาก่อน แล้วเราก็ไม่ใช่เทวดามาจากไหนที่จะเดินมาชี้นิ้วบอกว่านโยบายกระทรวงศึกษาธิการต้องเป็น อย่างโน้น อย่างนี้ ถึงแม้จะมีตำแหน่งทางวิชาการก็ตามแต่ก็เป็นแค่เฉพาะทาง ไม่ได้รู้ทุกด้าน ดังนั้นจึงได้รับฟังจากทุกแท่งก่อนกำหนดมาเป็นนโยบาย โดยตั้งใจอยากให้การศึกษาไทยเปลี่ยน โดยเฉพาะ เรื่องวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองที่ผู้ใหญ่ฝากมา ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กำลังปรับตำราเรียน และตนได้ให้นโยบาย สพฐ.ไปว่าอยากให้เพิ่มสัดส่วนในการสอบเข้าศึกษาต่อ ม.1 ม.4 นอกเหนือจากสอบจบในโรงเรียนแล้ว เพราะเราเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเราจะไปลอกของชาติอื่นไม่ได้ ส่วนจะเริ่มใช้ในการสอบเข้าเรียนต่อได้เมื่อใดนั้น ต้องหารือถึงความพร้อมของแต่ละโรงเรียนที่จะนำมาใช้ก่อน แต่ก็อยากให้นำมาใช้ให้เร็วที่สุด
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า เรื่องการลดภาระครู รับทราบตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้ากระทรวงศึกษาธิการ ก็เห็นติดที่หน้าประตูกระทรวงว่า เรียนดี มีความสุข แสดงว่าเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่เน้นการพัฒนาตัวเด็ก แต่ตนก็เป็นห่วงว่าจะลืมชีวิตความเป็นอยู่ของครู ก็อยากให้เพิ่ม นอกจากเรียนดีมีความสุข คือ ครูสอนดี ชีวิตครูมีความสุขด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องฝากเรื่องลดภาระครูด้วย ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้มีมติให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 621 ตำแหน่งมากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค(2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย 18 แห่ง เพื่อแก้ปัญหา ขาดแคลนอัตรากำลังบุคลากรสายสนับสนุนของโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยไปแล้ว และในปลายเดือนนี้ก็จะได้มาอีก 1,800 ตำแหน่งส่วนจะไปลงที่ไหนนั้นจะมีการหารือร่วมกันขององค์กรหลักเพื่อจัดสรรบุคลากรสายสนับสนุนให้โรงเรียนต่อไป อย่างกรณีผลกระทบจากพายุวิภาที่ผ่านมาทำให้ครูต้องมาช่วยทำความสะอาดโรงเรียน ซึ่งเป็นภาระที่หนักเหมือนกัน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เวลาพิจารณางบฯต่อไปก็อยากจะให้เชิญกรรมาธิการงบประมาณ กรรมาธิการการศึกษา สำนักงบประมาณ หรือ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินลงดูพื้นที่จริงด้วย เพื่อจะได้เข้าใจปัญหาในพื้นที่จะได้ไม่ถูกตัดงบประมาณ
ส่วนเรื่องหนี้สินครู ซึ่งหนักอยู่ ทั้งครูที่ยังประจำการอยู่และครูเกษียณอายุราชการ โดยมียอดหนี้รวมกันมากถึง 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งยอดหนี้ครัวเรือนทั่วประเทศไทยครูน่าจะแบกหนี้เยอะกว่าเกษตรกร โดยเกษตรกรยังมีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แต่ครูไทยเกษียณมามีแต่เงินบำนาญ วิทยฐานะก็ไม่มี ได้เงินเกษียณมาก็ไปจ่ายหนี้หมด ทำให้เราคิดว่าจะต้องมี สหกรณ์กลาง สกสค. ขึ้นมา ซึ่งดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)กำลังดำเนินการอยู่ แล้วรับโอนหนี้สินครู จากสหกรณ์อื่นมา มารวมไว้ที่สหกรณ์กลาง สกสค. แต่จะต้องมีตกลงร่วมกันไม่ให้ครูไปก่อหนี้สินอื่นอีก ขณะเดียวกันเราต้องช่วยให้ครูมีรายได้เสริม แต่ไม่อยากให้ครูมีอาชีพเสริมอย่างอื่น อาชีพครูต้องมีรายได้ที่เพียงพอ ซึ่งที่ทำได้ก็คือเรื่องวิทยฐานะซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของ ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ที่จะทำอย่างไรให้ครู ผู้อำนวยการ โรงเรียน ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการทุกตำแหน่งมีวิทยฐานะ แยกแต่ละแท่งได้ และการได้วิทยฐานะก็ต้องมีความเป็นธรรมกับของแต่ละแท่ง แต่ละสาขา รวมถึงให้ทบทวนการนำผลงานเชิงประจักษ์มาใช้ในการพิจารณาด้วย ซึ่งยอมรับว่าอาจจะมีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ก็ขอให้พิจารณาทบทวนแก้ไขข้อดี ข้อเสียเพื่อที่ครูจะไม่ต้องไปมุ่งทำวิจัยกันหมด จะได้ไปโฟกัสที่พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนก็จะมีกำลังใจในการทำวิทยฐานะมากขึ้น ทั้งนี้จะมีการประชุมร่วมกันกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกคนก่อน ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ เพราะตนไม่อยากให้ออกมาแบบเป็นคำสั่งให้ทำแต่ต้องการให้เป็นการแก้ปัญหาร่วมกันมากกว่า
จากนั้น รมว.ศึกษาธิการ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมประชุมนำเสนอปัญหาในพื้นที่เพิ่มเติม โดย ผู้แทนโรงเรียนเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุวิภา ได้แจ้งให้ทราบว่า ที่ผ่านมาโรงเรียนเอกชนที่ได้รับผลกระทบได้รับความเสียหายไม่ต่างจากโรงเรียนของรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาเลย จึงขอเรียกร้อง ให้ช่วยเหลือในเรื่องการขอกู้เงินกองทุนสงเคราะห์อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปฟื้นฟูโรงเรียนได้เหมือนตอนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ มอบให้เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.) ไปดูระเบียบกฎหมายเพื่อเปิดทางให้โรงเรียนเอกชนสามารถกู้เงินอัตราดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนสงเคราะห์ได้ ทั้งนี้รวมถึงโรงเรียนเอกชนนอกระบบที่จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายด้วย
“อ.แหม่ม”ลงพื้นที่พะเยา เร่งเยียวยา รร.น้ำท่วม พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย4ข้อ ไม่มีสะดุด
ที่จังหวัดพะเยา วันที่ 17 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศึกษาธิการ)พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และผู้บริหารทุกหน่วยงานในองค์กรหลัก ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย (พายุวิภา)พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือและถุงยังชีพให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบ ที่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 46 (ดอกคำใต้) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)พะเยา เขต 1 และโรงเรียนดอกคำใต้วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)พะเยา อำเภอดอกคำใต้ จ.พะเยา พร้อมทั้งรับฟังเสียงสะท้อนของนักเรียนและครู จากนั้น รมว.ศึกษาธิการ ก็ได้เดินไปที่โรงเรียนบ้านทุ่งหลวง ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน(fix it center)ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา( สอศ.)ได้ระดมเครือข่ายในจังหวัดพะเยา เพื่อเป็นศูนย์ซ่อมสร้างซ่อมอุปกรณ์เครื่ิองใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่เสียหายจากการถูกน้ำท่วม พร้อมกันนี้ก็ได้แจกต้นกล้าพันธุ์ไม้ และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรให้ชาวบ้านด้วย
ศ.ดร.นฤมล ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้านโยบาย 4 ข้อ ของกระทรวงศึกษาธิการ ว่า การแยกวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ตอนนี้ สพฐ.กำลังปรับปรุง เนื้อหา การเรียนการสอนในหนังสือเรียน ควบคู่ไปกับการวัดผลประเมินผล ซึ่งองคมนตรีก็ได้ติดตามในเรื่องนี้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามตนอยากให้ครูและนักเรียนให้ความสำคัญกับวิชาประวัติศาสตร์ ว่าไม่ได้อยู่แค่ในหลักสูตรในตำราเรียนเท่านั้น แต่อยากให้อยู่ในจิตสำนึกของทุกคน ส่วนเรื่องวิทยฐานะ สำนักงานคณะกรรมการข้าราขการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ดำเนินการอยู่ ซึ่งในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ก็อยากให้ทุกคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นกันมากๆ ไม่อยากให้เป็นนโยบายจากรัฐมนตรีลงไปเพียงฝ่ายเดียว ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ได้คุยเบื้องต้นกับอธิบดีและว่าที่อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์แล้วว่าจะมาแก้ไขปัญหาร่วมกันกับ ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการ สกสค. ที่จะเอาหนี้สหกรณ์มารวมกัน ซึ่งก็คืบหน้าไปมากแล้ว และเรื่องการลดภาระครู ก็มีความคืบหน้าไปมากเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา Anywhere Anytime จะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนกันยายนนี้หรือไม่ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตอนนี้ สพฐ.กำลังให้เขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 118 เขต ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างอยู่
ด้าน ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวว่า ถ้าโครงการนี้ทำไม่ทันจริง ๆ เราก็จะกันงบแบบไม่มีหนี้ ไว้เบิกเหลื่อมปี กรณีที่ได้ก่อหนี้ผูกพันแล้ว และยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ภายในสิ้นปีงบประมาณ ในระบบ GFMIS(Government Fiscal Management Information System )หรือ ระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์
ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุม ก.ค.ศ.เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบในหลักการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 621 ตำแหน่งมากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค(2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย 18 แห่ง เพื่อแก้ปัญหา ขาดแคลนอัตรากำลังบุคลากรสายสนับสนุนของโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยนั้น ถือเป็นความสำเร็จแรกในการดำเนินการแก้ปัญหาขาดแคลนอัตรากำลังบุคลากรสายสนับสนุน และในปลายเดือนสิงหาคมนี้จะได้อีกประมาณเกือบ 2,000 ตำแหน่งที่จะนำมากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค(2) ในโรงเรียนที่ขาดแคลนต่อไป โดยจะนำเข้าที่ประชุม ก.ค.ศ.ในรอบการประชุมถัดไป ส่วนปีงบประมาณหน้าเมื่อได้อัตราเกษียณคืนมาและเป็นอัตราที่เกินเกณฑ์ก็จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันไปเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องการเสนอรายชื่อกรรมการอ่านผลงานของ ก.ค.ศ. จากหน่วยงานต้นสังกัดนั้น ตอนนี้ให้ทุกส่วนราชการเสนอรายชื่อบุคคลเข้ามาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ เรื่องหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะมีการนัดคุยทุกส่วนในวันที่ 2 กันยายนนี้
“ดร.อรรถพล“ แนะ ศธ.เร่งประเมินผลการศึกษาส่งต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 14 ชู 5 งานเร่งด่วนที่ต้องอยู่ในแผน
ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการและเลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า ขณะนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่ระหว่างการเริ่มต้นวางโครงร่าง “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14” ซึ่งเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสสำคัญของภาคการศึกษาไทยในการเข้าไปบูรณาการร่วมกำหนดทิศทางประเทศอย่างเป็นระบบ แผนฉบับใหม่นี้จะเชื่อมความท้าทายใหญ่ของชาติ อาทิ ผลิตภาพเศรษฐกิจที่ต้องเร่งยกระดับ โครงสร้างประชากรสูงวัยที่ขยายตัว ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่และรายได้ และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและสีเขียว เข้ากับ “ทุนมนุษย์” ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงแรงงานและผู้สูงอายุ การที่การศึกษาเข้าไปอยู่ในกระบวนการออกแบบตั้งแต่ต้นน้ำ จะทำให้ประเทศมี “กรอบผลลัพธ์การเรียนรู้” ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยไม่แยกส่วนระหว่างห้องเรียนกับโลกของการทำงาน
ดร.อรรถพล กล่าวว่า ช่วงเวลานี้ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีที่กระทรวงศึกษาธิการจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางโครงสร้างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมกับสภาพัฒน์ ผ่านการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับใหม่ ผมคิดว่า แผน 14 ไม่ใช่เอกสารของสภาพัฒน์ฝ่ายเดียว แต่คือสนามปฏิบัติการของ ศธ. เราต้องเข้าไปกำหนดรายละเอียดเชิงนโยบาย งบประมาณ และตัวชี้วัดตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ใช่รอปลายน้ำแล้วค่อยทำตาม โดยสิ่งแรกที่กระทรวงศึกษาธิการต้องดำเนินการ คือ การประเมินผล โดยต้องประเมิน 3 สิ่งนี้เป็นอันดับแรก คือ 1) การประเมินผลระบบการศึกษาของประเทศไทยว่า ระบบการศึกษาในปัจจุบันรองรับกับสถานการณ์ในปัจจุบันและมีความยืดหยุ่นเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ 2) การประเมินผลการศึกษาของชาติว่า ผลการจัดการศึกษาของชาติมีคุณภาพเพียงพอแนวทางแลการพัฒนาประเทศไทยหรือไม่ และ 3) การประเมินระบบประเมินผลการศึกษาของประเทศเพื่อดูว่าเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพทางการศึกษามีมาตรฐานและตรวจสอบผลทางการศึกษาได้อย่างแท้จริงหรือไม่
“ผมขอเสนอ 5 งานเร่งด่วน ที่ควรผลักดันให้เป็นโครงการสำคัญในแผน 14 คือ 1) จัดวาง “ธง” สมรรถนะหลักชาติ เป้าหมายในอนาคตที่ประเทศต้องการจริง ๆ คืออะไร 2) ยกเครื่องพัฒนาครูแบบใช้ห้องเรียนเป็นฐาน: เปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาครูจากอบรมเชิงบรรยาย เป็นโค้ชชิ่งรายโรงเรียน/เครือข่าย พร้อมแรงจูงใจผูกกับผลลัพธ์ผู้เรียน 3) พัฒนาระบบประเมินเพื่อการเรียนรู้ (assessment for learning): เพิ่มเครื่องมือวัดแบบหลากหลายและรายหน่วยเรียน ใช้ข้อมูลสะท้อนกลับสู่การสอน ลดการพึ่งข้อสอบปลายทาง 4) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและ AI เพื่อการสอน: อินเทอร์เน็ตโรงเรียน อุปกรณ์ครู–นักเรียน แพลตฟอร์มเรียนรู้ และแนวทางใช้ AI อย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และ 5) ปิดช่องว่างเชิงพื้นที่และกลุ่มเปราะบาง: ผ่านการจัดสรรงบประมาณที่ไม่เน้นจำนวนผู้เรียนในสถานศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว งานเร่งด่วนทั้งหมดนี้ควรถูกบรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำคัญของแผน 14 ซึ่งเป็นความจำเป็นของระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน”ดร.อรรถพลกล่าว
ผ่านแล้วงบฯ69 ศธ.ได้รับ 3.55 แสนล้าน ถูกปรับลดแค่ 94.33 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2568 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท โดยในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ขอไป 355,108.4775 ล้านบาท ถูกปรับลด 94.3301 ล้านบาท ได้รับ 355,014.1474 ล้านบาท แยกเป็น สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ขอไป 41,247.0931 ล้านบาท ถูกปรับลด 6 ล้านบาท ได้รับ 41,241.0931 ล้านบาท กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) ขอไป 12,009.9307 ล้านบาท ถูกปรับลด 5 ล้านบาท ได้รับ 12,004.9307 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขอไป 27,261.7238 ล้านบาท ถูกปรับลด 50 ล้านบาท ได้รับ 27,211.7238 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ขอไป 28,004.2189 ล้านบาท ถูกปรับลด 31 ล้านบาท ได้รับ 27,973.2189ล้านบาท สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)ขอไป 200.6140ล้านบาท ไม่มีการปรับลด
ส่วนหน่วยงานในกำกับและองค์การมหาชน คือ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ขอไป 2,168.4286 ล้านบาท ไม่มีการปรับลด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) ขอไป 158.2113 ล้านบาท ไม่มีการปรับลด สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ขอไป 174.0032 ล้านบาท ถูก ปรับลด 2.3301 ล้านบาท ได้รับ 171.6731 ล้านบาท โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ขอไป 352.5986 ล้านบาทไม่มีการปรับลด สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) ขอไป 430.4627 ล้านบาท ไม่มีการปรับลด และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) ขอไป 101.1926 ล้านบาท ไม่มีการปรับลด

“คุรุสภา” ชวนสมัครด่วน! ประชุม “KSP Webinar 2025” ผ่านออนไลน์
ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ขอเชิญชวนผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา นักการศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย คณาจารย์นิสิต/นักศึกษาและผู้ที่สนใจทั่วประเทศ ร่วมการประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจำปี 2568 (KSP Webinar 2025) ภายใต้หัวข้อ “AI กับการศึกษา:ความท้าทายและโอกาส” ซึ่งเป็นเวทีทางวิชาการระดับประเทศที่ให้องค์ความรู้ที่ทันสมัยเป็นปัจจุบัน และเพื่อให้เกิดโอกาสสำหรับการเข้าถึงการพัฒนาตนเองของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ตรงตามบริบท สอดคล้องกับความสนใจ การประชุมทางวิชาการของคุรุสภาปีนี้ จึงจัดประชุมแบบออนไลน์
ในรูปแบบ Webinar (Web – Based – Seminar) โดยแบ่งกิจกรรมเป็น 2 เฟส ซึ่งกิจกรรมเฟสแรก (Pre Webinar) เป็นการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้เพื่อพัฒนาความลุ่มลึกทางวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม – 12 กันยายน 2568 จำนวน 12 EP รับจำนวนจำกัด EP ละ 3,000 คน เปิดให้ลงทะเบียนEP.1- EP.3 ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าเต็มจำนวนของแต่ละEP ผ่านทาง https://khuruplatform.ksp.or.th/_/course/1 ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้เข้าร่วมกิจรรมจะได้รับเกียรติบัตรออนไลน์ตามเงื่อนไขที่คุรุสภากำหนด และนับเป็นกิจกรรมการพัฒนาตนเองทางวิชาชีพเพื่อการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้
“เฟสแรก เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นภายใต้ โครงการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาและบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา โดยเป็นการเสวนาในประเด็นถอดองค์ความรู้ผ่านผู้ปฏิบัติ จำนวน 12 หัวข้อ ดังนี้ 1.การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้รูปแบบ Akita Action Model ที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2.การจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการศึกษาชั้นเรียน และวิธีการแบบเปิด ร่วมกับแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่สอดคล้องกับชีวิตจริง 3.การพัฒนาเด็กปฐมวัยเจนอัลฟ่าในโลกยุค BANI ด้วย Smart Baankunmae Model 4.อ่านเขียนเรียนรู้ภาษาด้วยกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก 5.การพัฒนาโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีและระบบการประกันคุณภาพ 6.กระบวนการแก้ปัญหาพฤติกรรมผู้เรียนด้วยนวัตกรรม 7 คลินิกให้คำปรึกษาร่วมกับสหวิชาชีพ 7.รูปแบบการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5 STEPs) เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 8.การใช้กลยุทธ์นิเทศ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อพัฒนาอาชีวศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 9.การสอนโดยใช้หลัก Project base learning โครงงานประเภททดลอง(Experimental Research Project) 10.แชร์ ใช้ ไลค์ เลิฟ (The item bank and analysis on cloud computing) 11.การพัฒนาเทคนิคการสอน SIX WRITING STEPS เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และ 12.การพัฒนาเครื่องคัดแยกเมล็ดข้าวสารสำหรับแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวเกษตรไทยวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหนองกุง ซึ่งทั้งหมดนี้จะเผยแพร่ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เริ่มหัวข้อแรกในวันที่ 18 สิงหาคม 2568”
เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่อไปว่า สำหรับเฟสสอง (KSP Webinar) จัดขึ้นภายใต้งานส่งเสริมการพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเพิ่มพูนกระบวนทัศน์เพื่อการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ กำหนดจัดระหว่างวันที่ 13 – 14 กันยายน 2568 ในรูปแบบออนไลน์ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเพิ่มพูนกระบวนทัศน์เพื่อการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ ประกอบด้วยพิธีเปิดการประชุม การปาฐกถาพิเศษ การเสวนา โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการศึกษา จำนวนไม่น้อยกว่า 8 หัวข้อ คุรุสภาหวังว่าผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาจะใช้เวทีนี้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้ นำผลงานวิจัย ผลงานนวัตกรรมของสถานศึกษา และประสบการณ์ที่เป็นแบบอย่างไปปรับประยุกต์ใช้ หรือ ต่อยอดเพื่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวิชาชีพ อีกทั้งยังถือเป็นเวทีทางวิชาการของคุรุสภาที่จะร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวคิด แนวปฏิบัติ หรือองค์ความรู้ทางวิชาการ และยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ผู้ที่สนใจสามารถรับชมถ่ายทอดสดผ่านทาง FanpageFacebook คุรุสภา และติดตามข่าวสารและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์คุรุสภา www.ksp.or.th
วิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ โชว์สุดยอดนวัตกรรมฝีมืออาชีวะบนเวทีนานาชาติ
นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)จัดประชุมวิชาการนานาชาติ โครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 10 (The 10th International Convention on Vocational Student’s Innovation Project) เมื่อวันที่ 12-15 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมสีมาธานี จังหวัดนครราชสีมา โดยมอบหมายให้ นายสง่า แต่เชื้อสาย รองเลขาธิการ กอศ.เป็นประธานพิธีปิดและมอบรางวัลแก่สุดยอดผลงานนวัตกรรมจากนักเรียน นักศึกษาอาชีวะทั้งในและต่างประเทศ
เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า ขอแสดงความยินดีกับทุกทีมที่ได้รับรางวัล พร้อมชื่นชมทุกผลงานในความตั้งใจ ทุ่มเท คิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ เกิดความคิดสร้างสรรค์จนเกิดเป็นนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่เวทีประกวด แต่เป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ เวทีแห่งมิตรภาพ สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ และนำไปสู่การยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาในอนาคต
โดยมีผลงานการนำเสนอที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ 5 ประเภท ดังนี้ 1.ประเภท Poster Applied Science รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน EFFECT OF THE REPLACEMENT OFFERMENTED EDAMAME RESIDUE IN DIET ON THE PRODUCTION EFFICIENCY OF QUAILS (ผลของการทดแทนเศษถั่วแระญี่ปุ่นหมักในอาหารต่อประสิทธิภาพการผลิตนกกระทา) จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูน และระดับ ปวส. รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ EFFECTS OF BETEL LEAF (Piper BetleL.) EXTRACT ON INHIBITING Aspergillus sp. CONTAMINATION IN CHILI PEPPERS (ประสิทธิภาพของสารสกัดใบพลู (Piper betle L.) ต่อการยับยั้งเชื้อรา Aspergillus sp. ในพริก) จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูน 2.ประเภท Poster Engineer รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน IoT-Enabled Community Fridge จาก ITE college central Singapore 3.ประเภท Oral presentation Applied Science รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน FURIKAKE-RICE SEASONING FROM LOCUST จากโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ 4.ประเภท Oral presentation Engineer รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน STUDY ON COSMETIC SELECTION ALGORITHM BASED ON USER SKIN TONE WITH 18% GRAY CARD LIGHT CORRECTION จากสถาบัน Kosen Okinawa Japan และ 5.ประเภท Robotics รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน Green 3D Filament from Recycle Plastic Bottle (เส้นฟิลาเมนต์รักษ์โลกจากขวดพลาสติกรีไซเคิล) จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี)
ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมจากสถาบันการศึกษาจากประเทศไทย และ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ และบังกลาเทศ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา สถานศึกษาในโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ 5 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี), วิทยาลัยเทคนิคพังงา, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูน, วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี และวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี และสามารถติดตามผลรางวัลได้ที่เพจ Facebook : โครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ สอศ.

“ประเสริฐ จันทรรวงทอง”มอบเหรียญลูกเสือสดุดี-ยั่งยืน ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกิจการลูกเสือ “เทวัญ”เล็งปรับบทบาทลูกเสือเชิงลึก
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกสภาลูกเสือไทย เป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 ประจำปี 2565 และเหรียญลูกเสือยั่งยืนประจำปี 2566 เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ.หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงาน ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่ เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ เป็นผู้เบิกตัวผู้เข้ารับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 2 จำนวน 104 ราย ชั้นที่ 3 จำนวน 138 ราย และเหรียญลูกเสือยั่งยืนประจำปี 2566 จำนวน 194 ราย เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ตามลำดับ ทั้งนี้ นายประเสริฐ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีมอบเหรียญลูกเสือสดุดีพระราชทานในครั้งนี้ ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดีและเหรียญลูกเสือยั่งยืนทุกท่าน กิจการลูกเสือถือเป็นกระบวนการสำคัญ ในการพัฒนาคุณภาพเยาวชน ให้รู้จักการรักษาระเบียบวินัย สร้างการรู้รักสามัคคีในหมู่คณะ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปลูกจิตสำนึกการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเกื้อกูลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐาน เสริมสร้างให้เด็กและเยาวชน มีความเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศในอนาคต โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บรรดาผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดี และเหรียญลูกเสือยั่งยืนในวันนี้จะได้ธำรงรักษาคุณความดี ที่ปฏิบัติมา และรวมพลังทุ่มเทการปฏิบัติภารกิจลูกเสือ ให้สัมฤทธิ์ผลสำเร็จดังเจตนารมณ์ตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชนลูกเสือรุ่นหลัง และเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศไทยแบบยั่งยืน นอกจากท่านจะได้อุทิศตนโดยปฏิบัติภารกิจของลูกเสือให้เกิดผลสำเร็จอย่างดียิ่ง จนเป็นที่ประจักษ์ และได้รับการยกย่องสรรเสริญแล้ว การได้รับเหรียญลูกเสือ สดุดีและเหรียญลูกเสือยั่งยืนพระราชทาน ในวันนี้จึงเป็นการประกาศคุณความดี และเป็นเกียรติประวัติสำหรับตนเองและวงศ์ตระกูลสืบไป
นายเทวัญ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่เราชาวลูกเสือมีความภาคภูมิใจ ซึ่งผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 จะพระราชทานแก่ผู้ที่มีอุปการคุณต่อกิจการลูกเสือถึงขนาด หรือที่ได้อุทิศกำลังกาย หรือกำลังความคิดในการประกอบกิจการให้บังเกิดคุณประโยชน์แก่การลูกเสือ และผู้ที่สมควรได้รับพระราชทาน เหรียญลูกเสือยั่งยืน คือบุคลากรทางการลูกเสือ (เช่น ผู้บังคับบัญชา, เจ้าหน้าที่ ฯลฯ) ที่ปฏิบัติหน้าที่ติดต่อกันนานอย่างน้อย 15 ปี, ทำงานอย่างทุ่มเท, มีความเรียบร้อย, ไม่มีประวัติการถูกลงโทษหรือจำคุก (เฉพาะความผิดไม่ร้ายแรง), และก่อให้เกิดผลดีต่อกิจการลูกเสือโดยรวม เป็นต้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันลูกเสือมีเกือบ 2 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะลูกเสือทุกคนได้ทำความดี อย่างเช่นเมื่อครั้งเกิดเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ลูกเสือก็ได้ไปบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยเพื่อสำรองโลหิตไว้ช่วยเหลือทหารและประชาชนในที่เกิดเหตุ และยังเปิดแคมป์ลูกเสือให้ ทหาร ประชาชน เป็นที่พักพิงพร้อมเปิดโรงครัวเอาลูกเสือไปช่วยทำอาหารเลี้ยงประชาชนในหลาย ๆ พื้นที่ด้วย ทั้งนี้ ตนยังได้หารือกับ ดร.วรัท ว่าต่อไปถ้าบ้านเรือนประชาชนเกิดความเสียหายจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็จะให้ลูกเสือลงไปช่วยซ่อมแซมบ้านเรือน เพราะเรามีลูกเสืออยู่ทุกจังหวัดในพื้นที่
“ขณะนี้ เรามีค่ายลูกเสืออยู่ 87 แห่ง มีประมาณครึ่งหนึ่งที่พอใช้ได้ ที่เหลือจะอยู่ในพื้นที่อื่น การจัดสรรงบประมาณลงไปพัฒนาซ่อมแซมก็ค่อนข้างยากลำบาก แต่ที่มีอยู่หลัก ๆ ก็คือที่ค่ายลูกเสือศรีราชา ที่มีความพร้อมในการจัดกิจกรรมตามหลักสูตรต่าง ๆ อย่างไรก็ตามก็กำลังดูอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ค่ายลูกเสือต่าง ๆ กลับมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์”นายเทวัญ กล่าว
“ครูยุคใหม่ ใช้ GPAS 5 Steps สร้างนวัตกร”สพป.โคราช ตอกหมุดวิสัยทัศน์ใหม่ เด็กจะไม่ใช่แค่ “ผู้เรียน” แต่เป็น “ผู้สร้าง”
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 นายดำเนิน เพียรค้า ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) นครราชสีมา เขต 3 ปฏิบัติหน้าที่ ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 1 เปิดเผยระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการครู ตามโครงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาด้วยรูปแบบ Active Learning สําหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(1 อําเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ) ระดับประถมศึกษาสร้างต้นแบบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง(อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ ยโสธร มหาสารคาม ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ และนครราชสีมา)ที่ห้องประชุม โรงเรียนเสนานุเคราะห์ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานพิธีเปิดการอบรมฯในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปการเรียนรู้ระดับห้องเรียนให้ครูเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่การสร้างและพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นนวัตกร ที่นำไปสู่การเพิ่มพูนมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Soft Power) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าครูและบุคลากรทางการศึกษา ระดับประถมศึกษา ในโรงเรียนคุณภาพ ที่มาร่วมโครงการนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงาน ขอให้ผู้เข้าร่วมการอบรมฯครั้งนี้ให้ความสนใจในสาระสำคัญและเทคนิคกระบวนการที่วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจะได้สร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการพัฒนาครูผู้สอนตามโครงการนี้ จนเกิดความเข้าใจในเทคนิคกระบวนการการเรียนรู้ด้วยกการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps และลงมือปฏิบัติการให้มีทักษะอย่างเพียงพอที่จะไปผลักดันการปฏิรูปการเรียนรู้ระดับห้องเรียน ด้วยการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ที่เป็นการพัฒนานวัตกรรมการสอนของทุกคน
“การดำเนินการ 1 อําเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ มีหลักการว่าจะต้องทำให้โรงเรียนแห่งโอกาสทางการศึกษา และความเท่าเทียมของนักเรียน ที่ต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ สามารถรับประกันได้ว่าเด็กที่จบจากโรงเรียนในโครงการ 1อำเภอ 1โรงเรียนคุณภาพ ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีทักษะชีวิต สามารถดำรงชีพได้ในอนาคตเทียบเท่ากับโรงเรียนในอำเภอหรือในจังหวัด เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรกระบวนการเรียนการสอนจะสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างดี ครูสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่นักเรียน นักเรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ซึ่งการจัดการศึกษาโดยรูปแบบ Active Learning เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเด็กจะได้ปฏิบัติจริง เรียนรู้จริง และมีองค์ความรู้สามารถเอาตัวรอดได้ เพราะฉะนั้นเชื่อว่า Active Learning ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงได้จริง”ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต1 กล่าว
ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสามัญของคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)กล่าวว่า เมื่อ Active Learning แบบ GPAS 5 Steps เข้ามาในกระบวนการเรียนรู้ เด็กจะไม่ใช่แค่ “ผู้เรียน” แต่เป็น “ผู้สร้าง” ผู้เรียนกลายเป็น นักคิด นักสร้าง นักเปลี่ยนแปลง” นั่นแหละคือหัวใจของการศึกษาไทยยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ให้ “รู้” แต่ต้อง “ลงมือทำ” และ “เชื่อมโยงกับชีวิตจริง” สอดคล้องกับแนวคิดสี่เสาหลักการศึกษาของ UNESCO คือ การเรียนรู้เพื่อรู้ (Learning to Know) การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติ (Learning to Do)การเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกัน (Learning to Live Together) และการเรียนรู้ความถนัด สันทัดเพื่อสร้างอนาคต (Learning to Be) กิจกรรมในขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps จะช่วยให้ครูวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้แบบเรียลไทม์ ช่วยครูพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เพิ่มโอกาสให้ผู้เรียนเข้าใจการเรียนรู้และเนื้อหาบทเรียนอย่างทะลุปรุโปร่ง สรุป คือ ถ้าครูไม่เปลี่ยน เด็กก็ไม่เดิน













