“เสมา 2” จับมือมหาดไทย สั่งด่วน 2,046 หน่วยปกครองท้องถิ่น ดูแลพื้นที่เรียนรู้ของ สกร. เดินหน้าส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา หลังเข้ารับตำแหน่ง ได้เดินทางไปทั้งภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้เห็นปัญหาของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ในมิติที่ลึกขึ้น หนึ่งในปัญหาที่พบและสามารถแก้ไขได้ทันที คือ การขอใช้พื้นที่เรียนของ สกร. ร่วมกับหน่วยการปกครองท้องถิ่นทุกระดับ  โดยกรณีล่าสุดเกิดขึ้นที่ สกร.ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเทศบาลตำบลสันผีเสื้อขอคืนพื้นที่ เนื่องจากมีแผนปรับปรุงภูมิทัศน์และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ชำรุดทรุดโทรม โดยได้มีหนังสือให้ขนย้ายเครื่องมือและส่งมอบคืนภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้ง ทำให้นักเรียน สกร. จำนวนมากได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มีสถานที่เรียน แม้เบื้องต้น สกร. ได้ใช้งบประมาณจากส่วนกลางเช่าอาคารพาณิชย์เป็นทางออกชั่วคราว

“จากเหตุการณ์นี้ ดิฉันเห็นว่าการเช่าสถานที่ใหม่อาจไม่ใช่การใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างคุ้มค่า ทั้งที่ยังมีอาคารของรัฐหลายแห่งที่สามารถบูรณาการและใช้งานร่วมกันได้เหมือนที่ผ่านมา และเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดซ้ำในพื้นที่อื่น ๆ จึงได้ประสานกระทรวงมหาดไทย ขอความร่วมมือหน่วยปกครองท้องถิ่นทุกระดับในทุกจังหวัดกว่า 2,046 แห่ง ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอนุเคราะห์พื้นที่แก่ศูนย์การเรียนรู้ของ สกร. ในการจัดการเรียนการสอน” ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวและว่า ในฐานะ รมช.ศึกษาธิการ ผู้กำกับดูแลกรมส่งเสริมการเรียนรู้ จะยึดประโยชน์ของผู้เรียนและประชาชนเป็นหลัก พร้อมเร่งแก้ไขข้อร้องเรียนโดยเร็ว เพื่อให้ทุกพื้นที่ยังคงมีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้คุณภาพในทุกช่วงวัย

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทำหนังสือแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนการจัดการศึกษาตลอดชีวิตแก่หน่วยงานที่มีอำนาจจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการและด้านอาคารสถานที่

ข้อบังคับใหม่ร่นเวลาพิจารณาความผิดจรรยาบรรณครู ช่วย กมว.เร่งสางคดีเก่าได้เร็วขึ้น

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ ประธานกรรมการมาตรฐานวิชาชีพเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ(กมว.) ครั้งที่ 8/2568 ว่าที่ประชุมได้ออกข้อบังคับเกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพฉบับใหม่ เป็นข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยการพิจารณาการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ .. ….  โดยยกเลิกข้อบังคับเก่า 3 ฉบับ มารวบเป็นฉบับใหม่ ซึ่งได้แก้ไขข้อที่เป็นปัญหาในการพิจารณาการประพฤติผิดจรรยาบรรณ เพื่อทำให้การลงโทษผู้ประพฤติผิดจรรยาบรรณเป็นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็วเป็นธรรมถูกต้องขึ้นกว่าเดิม เกิดความบริสุทธิยุติธรรมในเวลาที่สั้นลงกว่าเดิมและทันเหตุการณ์  คือ ข้อบังคับฉบับใหม่นี้ จะทำให้กระบวนการพิจารณาจรรยาบรรณดำเนินการได้ตั้งแต่เกิดเหตุทันทีจนถึง 30 วัน แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องไปสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มก็ไม่เกิน 3 เดือน ดังนั้น การที่ กมว.ประกาศข้อบังคับฉบับใหม่นี้ออกมา จะทำให้คุรุสภาทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งข้อบังคับเกี่ยวกับจรรยาบรรณฉบับใหม่นี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงนามประกาศใช้แล้ว และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เรียบร้อยแล้ว

รศ.ดร.ศิริเดช กล่าวต่อไปว่า กมว.จะดำเนินการเชิงรุกในการสร้างความรู้ ความเชื่อและทัศนคติที่ถูกต้องให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาเกี่ยวกับมาตรฐานและจรรยาบรรณ โดยใช้ AI เข้ามาช่วย มีการสร้างเป็นเรื่อง มีคุณครู 2 คน ที่เป็นตัวแทน ครูผู้ชายชื่อว่าคุณครูบรรณ และคุณครูผู้หญิงชื่อครูจรรยา ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เราจะใส่คอนเทนต์ผ่านคุณครูทั้งสองคนนี้เผยแพร่จรรยาบรรณ เรียกง่ายๆ ว่า กมว.และ คุรุสภายุคใหม่ได้นำเทคโนโลยี AI มาช่วยในเรื่องของการส่งเสริมจรรยาบรรณ เพื่อทำให้คุณครูตระหนักและให้ความสำคัญ และเพื่อตอบสนองนโยบายของ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมช.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้พัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ โดยยึด ...ครูและบุคลากรทางการศึกษา ..2546 อย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล นอกจากนี้ คุรุสภา ยังมี E-book รวบรวมกฏหมาย และการพิจารณาคดีใหม่ๆไปให้มหาวิทยาลัยที่ผลิตครู เพื่อให้นักศึกษาและคุณครูได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ด้วย

ด้าน ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า กมว.จะเร่งเคลียร์คดีเก่าที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จโดยเร็ว จากคดีเก่าทั้งหมด 1,200 กว่าคดี ตอนนี้เหลือเพียง300 กว่าคดีแล้ว ซึ่ง กมว.กำลังเร่งล้างคดีเก่าโดยนำข้อบังคับใหม่มาใช้ในการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบรัดกุม ซึ่งจะใช้เวลาพิจารณาสั้นลง ดังนั้น คดีที่สังคมสงสัยว่ามีความล่าช้า ปัญหานี้ก็จะหมดไป ความยุติธรรมและเวลาในการพิจารณาที่สมควรก็จะเกิดขึ้น ซึ่งข้อบังคับใหม่นี้ถ้าไม่เกี่ยวกับคดีอาญาก็จะจบเร็วขึ้นภายใน 3 เดือน

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า วันนี้ กมว.ได้พิจารการประพฤติผิดจรรยาบรรณแยกเป็นไม่มีมูล 2 ราย, ตักเตือน 2  ราย, ภาคทัณฑ์ 6 ราย, พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ 1 ราย, เพิกถอนใบอนุญาตฯ 4 ราย(กรณีล่วงละเมิดทางเพศ,ทำร้ายร่างกาย, ปลอมแปลงเอกสารทั้งที่ไม่เคยเป็นครูมาก่อน กรณีนี้ทางต้นสังกัดจะรับไปดำเนินการทางกฏหมายต่อไปเพราะเป็นคดีอาญา)  นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตั้งอนุกรรมการสอบสวน 3 ราย ผลการพิจารณาประพฤติผิดในวันนี้ เป็นคดีเก่าที่คั่งค้างอยู่ แต่คดีใหม่ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เผยแพร่ออกสื่อต่างๆ  เราได้มีการตรวจสอบเชิงรุก คดีความใหม่จึงลดลงเหลือแต่คดีเก่าที่จะเร่งเคลียร์ให้หมด ทั้งนี้ อยากให้ต้นสังกัดของผู้กระทำผิดช่วยด้วยเพื่อให้การพิจารณาของเราถูกต้องรวดเร็วยิ่งขึ้นผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวและว่านอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติห็นชอบการอนุมัติออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา โดยเลขาธิการคุรุสภา จำนวน 24,986 ราย ให้แก่ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตและขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาตรวจสอบแล้ว มีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้

             ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา จำนวน 10,167 รายเป็นครู 9,254 ราย, ผู้บริหารสถานศึกษา 666 ราย, ผู้บริหารการศึกษา 166 ราย, ศึกษานิเทศก์ 81 ราย

               ต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา จำนวน 14,819 ราย เป็นครูจำนวน 13,278 ราย, ผู้บริหารสถานศึกษา 1,384 ราย, ผู้บริหารการศึกษา72 ราย, ศึกษานิเทศก์ 85 ราย

               นอกจากนี้ อนุมัติออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นต้นให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพครู จำนวน 1 ราย โดยให้ใบอนุญาตมีอายุนับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ มีมติอนุมัติออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นต้น

          

“ธนุ”เร่งเขตพื้นที่ฯประกาศเช่าซื้อแท็บเล็ตให้เสร็จภายในกันยายนนี้-ไม่อยากให้งบฯตกกว่าจะได้มาแสนเหนื่อย

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 สิงหามคม นี้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)จะไปเป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพนักเรียนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นศพสุดท้ายที่เก็บไว้ในโรงพยาบาล พร้อมทั้งจะไปคุยกับป้าของเด็กด้วย เนื่องจาก รมว.ศึกษาธิการ รับปากว่าจะไปสร้างบ้านใหม่ให้ และในวันที่ 17-18 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ก็จะลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย และพะเยา ประชุมผู้บริหารทุกสังกัดในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรับฟังข้อเสนอคนในพื้นที่ต้องการอะไร และอยากให้ทำอะไรบ้าง ก่อนให้นโยบายโดยจะเน้น 4 จุดเน้นเหมือนเดิม คือ ผลักดันแยกวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง  ออกมาเป็นอีกหนึ่งวิชา  ลดภาระครู  วิทยฐานะ และแก้ไขปัญหาหนี้สินครู

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 เพื่อจัดหาอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย(Anywhere Anytime)สำหรับการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอน สำหรับครูและนักเรียนภายใต้โครงการดังกล่าว กลุ่มเป้าหมาย โรงเรียนคุณภาพและโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ที่จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 1018 โรงเรียน ผูกพันงบประมาณ 2568-2574 จำนวน 617,250 เครื่อง งบประมาณ 14,647,342,500 บาท แบ่งเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับนักเรียน 13,232,963,310 บาท อุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับครู 1,414,379,190 บาท ซึ่งในปีงบประมาณ 2568 โครงการเช่าซื้ออุปกรณ์ฯได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,221,276,400 บาท สำหรับการเช่าใช้อุปกรณ์ฯ ระยะเวลา 5 เดือน ซึ่ง สพฐ.ได้กระจายอำนาจให้เขตพื้นที่การศึกษา 118 เขตพื้นที่ฯดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเอง และเน้นให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยขณะนี้ตนได้ทำGoogle Form สำรวจว่าเขตพื้นที่ไหนสามารถดำเนินการได้หรือไม่ได้ ถ้าเขตพื้นที่ไหนมีปัญหาอุปสรรคเรื่องอะไรก็จะส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางลงไปช่วย ทั้งนี้จะต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เสร็จภายในเดือนกันยายนนี้

“เรื่องนี้เราต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายนนี้ และจากการได้รับรายงานมีบางเขตพื้นที่ฯได้ประกาศจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นงบประมาณผูกพัน 5 ปี กว่าจะได้งบฯนี้มาเราก็ต่อสู้กันมาแสนจะเหนื่อย ถ้าทำงบฯตกไปก็ถือว่าไม่มีความรับผิดชอบอย่างสูง ถ้าดำเนินการในปีนี้ไม่ได้ ก็จะมีผลกระทบในปีต่อๆไป ดังนั้นผมจึงได้เน้นย้ำ ผอ.เขตพื้นที่ฯเป็นพิเศษ และได้ทำTORให้บ้างแล้ว โดยเขตพื้นที่สามารถปรับได้ตามบริบทในพื้นที่ของตัวเอง แต่ให้เน้นเช่าเครื่องที่มีคุณภาพ”ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว

กยศ.พร้อมจัดสรรเงินให้กู้ยืมครั้งที่ 2 ปีการศึกษา 2568 จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 8,488 ล้านบาท

ดร.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า กยศ.ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 8,488 ล้านบาท ตามข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เพื่อรองรับการจัดสรรเงินกู้ยืมครั้งที่ 2 ของปีการศึกษา 2568 สำหรับเป็นค่าเล่าเรียน ค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาให้แก่นักเรียน/นักศึกษาผู้กู้ยืมรายเก่าและรายใหม่ ที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามที่ กยศ.กำหนด โดยเป้าหมายสำคัญคือ การสนับสนุนให้นักเรียน/นักศึกษาได้เรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องพักการศึกษา หรือเลิกเรียนกลางคัน นอกจากนี้ การให้เงินกู้ยืมแก่นักเรียน/นักศึกษายังทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการใช้จ่ายเงินในพื้นที่โดยรอบสถานศึกษา เนื่องจากนักเรียน/นักศึกษา จะนำเงินที่ได้รับจาก กยศ.ไปใช้จ่ายเป็นค่าหนังสือ อุปกรณ์การเรียน ค่าหอพัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีพ ส่วนสถานศึกษาก็จะนำเงินค่าเล่าเรียนไปจ้างบุคลากรทางการศึกษา และการจัดซื้อ/จัดหาวัสดุอุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนที่จะใช้ในสถานศึกษา ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการบริโภคในพื้นที่โดยรอบสถานศึกษาและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น ๆ ทั้งนี้ กยศ.จะเร่งดำเนินการปล่อยกู้ให้แก่นักเรียน/นักศึกษาโดยเร็วที่สุด ตามนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทุนมนุษย์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

นอกจากนี้ กยศ.ได้ขยายระยะเวลาเปิดระบบให้กู้ยืม ปีการศึกษา 2568 ให้กับนักเรียน/นักศึกษา และสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้นักเรียน/นักศึกษาได้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

สอศ. – BOI – ภาคเอกชน ร่วมเปิดตัวโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุน  ยกระดับอาชีวะไทย 

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และภาคเอกชน 6 ราย เปิดตัวโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุนอย่างเป็นทางการ และจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษาเชิงรุกผลิตกำลังคนทักษะสูงตรงตามความต้องการของตลาดอุตสาหกรรม และภาคการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี

ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว ดิฉัน ได้รับมอบหมายจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในนามของ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รู้สึกยินดียิ่งที่ร่วมจัดงานโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาเพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุน Vocational Education Upskill (VOC-UP: ยกระดับอาชีวะไทย อัปสกิลกำลังคนไทยสู่อนาคต) ซึ่งมีเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และภาคเอกชน 6 ราย นับก้าวสำคัญของการศึกษา และการยกระดับการจัดอาชีวศึกษาให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอุตสาหกรรม ตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการเรียนสายอาชีพเพื่อการมีงานทำ โดยเน้นการเรียนรู้ด้วยการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี การฝึกอบรม Upskill – Reskill – New Skill ให้กับครู และนักเรียน นักศึกษา รวมถึงการออกแบบหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตรงตามความต้องการของเศรษฐกิจใหม่โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ร่วมพัฒนา เช่น อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (Advanced Electronics), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), โลจิสติกส์ และสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) ซึ่งมีความต้องการกำลังคนในระดับช่างเทคนิคและวิศวกรจำนวนมาก

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า โครงการ VOC-UP  นับเป็นต้นแบบความร่วมมือที่สร้างกำลังคนคุณภาพเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน การพัฒนากำลังคนให้มีทักษะที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจใหม่ของประเทศผ่าน การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับการทำงานจริงอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แนวคิด‘สร้างคน สร้างงาน’ จึงทำให้โครงการ VOC-UP มีการจ้างงานทันที 1,875 อัตรา และไม่น้อยกว่า 3,000 อัตรา ตลอดระยะเวลา 5 ปีของโครงการ

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) มอบหมายให้ นายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการ กอศ.ร่วมงานเปิดโครงการความร่วมมือพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุน “VOC-UP” โดยนายวิทวัต กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นหน่วยงานในการผลิตและพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงเพื่อการพัฒนาประเทศให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว การจัดอาชีวศึกษายุคใหม่จึงต้องเน้นการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชนและบูรณาการการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและการฝึกประสบการณ์จริงในสถานประกอบการ ด้วยการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ซึ่งเป็นรูปแบบการศึกษาที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมเข้าสู่สถานประกอบการอย่างแท้จริง ความร่วมมือระหว่าง สอศ. BOI และสถานประกอบการ 6 ราย ภายใต้แนวคิด VOC-UP ครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเชิงระบบ ครอบคลุมการออกแบบหลักสูตร วางแผนการฝึกอบรม ไปจนถึงสร้างโอกาสทำงานทันทีหลังจบการศึกษา ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนที่ตรงสายงานของสถานประกอบการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน โดย สอศ. มีสถานศึกษาในสังกัดทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ พร้อมขับเคลื่อนเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างกำลังคนอาชีวศึกษาคุณภาพสูงในระยะยาวและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า หนึ่งในคำถามสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจในการพิจารณาเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คือ “ประเทศไทยมีบุคลากรที่เพียงพอและตรงความต้องการหรือไม่” คำถามนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนกำลังคนเชิงรุกเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ดังนั้นเพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม บีโอไอจึงได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และภาคเอกชน เดินหน้าโครงการ VOC-UP (Vocational Education Upskill ) ซึ่งเป็น “กลไกเชื่อมโยงที่สำคัญ” ระหว่างผู้เรียนอาชีวะ (กำลังคนในอนาคต) สถานศึกษา (ผู้ผลิตกำลังคน) และภาคอุตสาหกรรม (ผู้ใช้กำลังคน)

“บีโอไอ ไม่ได้ทำหน้าที่ให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยประสานงานให้เกิดการพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมด้านบุคลากร บีโอไอเป็นตัวกลางเชื่อมโยงความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเข้ากับการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา เพื่อให้การผลิตกำลังคนเป็นไปอย่างตรงจุด ตรงกลุ่มมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ที่ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิต 1 ใน 5 ของโลก และการลงทุนกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยต้องการกำลังคนเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเทคนิคระดับสูงในระดับอาชีวศึกษากว่า 50,000 คน ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม เพิ่มทักษะให้กับบุคลากรไทย และช่วยสร้างงานคุณค่าสูงในประเทศไทยด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการจากภาคเอกชนและสถานศึกษาอาชีวศึกษา 8 แห่ง เพื่อแสดงศักยภาพและนวัตกรรมในสาขาวิชาต่าง ๆ ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคถลาง (สาขาอากาศยานและอากาศยานไร้คนขับ), วิทยาลัยการพาณิชย์นาวีนครศรีธรรมราช (สาขาพาณิชย์นาวี), วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ (สาขาปิโตรเคมี), วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี (สาขาระบบขนส่งทางราง), วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ (สาขายานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ), วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น(สาขาการโรงแรมและธุรกิจการบิน), วิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร และวิทยาลัยพณิชยการธนบุรี

 

มทร.กรุงเทพ แสดงพลังแห่งความรักชาติ ภักดี ร่วมร้องเพลงชาติไทย ส่งกำลังใจให้ทหารกล้า

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ  นำคณะผู้บริหาร บุคลากร และ นักศึกษา มทร.กรุงเทพ เข้าร่วมกิจกรรมแสดงพลังแห่งความภักดีและความรักชาติ “รวมใจราชมงคลกรุงเทพ หนึ่งธง หนึ่งใจ ส่งสู่ทหารไทยผู้กล้า” โดยเวลา 8.00 น. ได้ร่วมกันประกอบพิธีเชิญธงไตรรงค์ขึ้นสู่ยอดเสาอย่างสง่างาม พร้อมรวมพลังกันร้องเพลงชาติไทย เพื่อสะท้อนถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวไทย และร่วมส่งกำลังใจให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดน

จากนั้น เวลา 10.00 น. ได้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เดินขบวนพาเหรดแปรผืนธงชาติไทย เพื่อแสดงออกถึงความเป็นเอกราชของชาติไทย โดยมี ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของคนในชาติ เพื่อดำรงไว้ถึงความเป็นปึกแผ่นของประเทศไทย ในกิจกรรมนี้ ผศ.ชัยศักดิ์ คล้ายแดง รองอธิการบดี มทร.กรุงเทพ ได้เป็นผู้แทนมหาวิทยาลัยฯ กล่าวให้กำลังใจถึงทหารชายแดน ว่า “เราขอส่งกำลังใจจากใจกลางแผ่นดิน สู่พี่น้องทหารที่แนวชายแดนไทย – กัมพูชา และขอบคุณในความเสียสละ ขอให้ท่านทุกคนปลอดภัย มีขวัญกำลังใจที่เข้มแข็ง และโปรดรู้ว่าพวกเรายืนอยู่เคียงข้างท่านเสมอ” เสร็จแล้วนำบุคลากรและนักศึกษายืนสงบนิ่งระลึกถึงความเสียสละและสดุดีทหารกล้าที่สละชีพเพื่อชาติ พร้อมปกป้องอธิปไตยและประชาชน

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยฯ ยังจัดพื้นที่ให้บุคลากรและนักศึกษาได้เขียนข้อความแสดงความห่วงใยและส่งกำลังใจถึงทหารและประชาชนในพื้นที่ชายแดน ผ่านกิจกรรม “เขียนความรู้สึกลงบน Post-it” แล้วนำไปติดบอร์ดธงชาติไทย เพื่อมหาวิทยาลัยฯ จะนำข้อความส่งต่อเป็นกำลังใจให้กับทหารผู้กล้าต่อไป

สอศ.ยืนยันสอบผอ.สถานศึกษาโปร่งใสทุกขั้นตอนตรวจสอบได้

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 จากกรณีเครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย (ค.ร.อ.ท.)ยื่นหนังสือร้องทุกข์ถึงนายกรัฐมนตรีผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่ชอบทางจริยธรรมของผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)รวมถึงให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสอบคัดเลือกผู้อำนวยการสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ครั้งที่ผ่านมาว่าเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมายหรือไม่นั้น นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)เปิดเผยว่า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)คือ การสอบคัดเลือกผู้อำนวยการสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ร้องเคยร้องเรียนมานานแล้ว สอศ.ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาสอบถามแล้วว่ามีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่าการดำเนินการสอบผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ผ่านมาไม่โปร่งใส ให้เอาหลักฐานมาจะได้ดำเนินการตรวจสอบให้ ก็ไม่มีใครกล้าพูด มีคนบอกว่าให้ช่วยก็ไม่บอกว่าเป็นใคร จึงไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีการดำเนินการตามที่ถูกกล่าวหา อย่างไรก็ตามกรณีที่บอกให้กรรมการช่วยให้ได้คะแนนสูง แต่กรรมการไม่ช่วยก็ถือว่ากรรมการท่านนั้นให้ความยุติธรรมกับผู้เข้าสอบทุกคน ส่วนกรณีที่บอกว่ามีการแก้คะแนนให้ผู้สอบบางรายได้คะแนนสูงจนผิดปกติ ในวันพรุ่งนี้กรรมการที่ถูกกล่าวอ้างซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์มาจากมหาวิทยาลัยจะมายืนยันกับกรรมาธิการการศึกษาว่าเป็นลายมือของเขาเอง ส่วนคะแนนภาค ก-ข จะได้เท่าไหร่นั้นตนไม่ทราบเพราะสอศ.ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ดำเนินการสอบ

“เรื่องนี้ต้องแยกความสัมพันธ์กับการสอบออกจากกัน ตรงกันข้ามถ้า สอศ.เข้าไปช่วย เราก็ผิด แต่ที่ผ่านมาการสอบทุกขั้นตอน สอศ.ก็ได้ชี้แจงไปแล้ว ยืนยันว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามกระบวนการ ส่วนใครจะมีความสัมพันธ์กับใครเป็นคนละส่วนกัน”นายณรงค์ชัย”กล่าว

EGCO Group เปิดฐานลับปั้นนวัตกรน้อย จุดไอเดีย “Triple R” ฟื้นสมดุลโลกใน “มหกรรมวิทย์ฯ แห่งชาติ ปี 68” ณ ศูนย์ฯ สิริกิติ์ 9 – 17 ส.ค.

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ชวนเยาวชนบุกฐานลับ ร่วมพิชิตนวัตกรรมพลิกฟื้นสมดุลโลกในบูธนิทรรศการ “นวัตกรรมวิทย์ พลิกโลก ตอน EGCO Base : Mission for Change ฐานบัญชาการลับแห่งอนาคต” ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2568 เยาวชนที่มาร่วมกิจกรรมจะได้เดินทางข้ามมิติเวลาเพื่อถอดรหัส “Triple R” ผ่านโรงภาพยนตร์ 4 มิติ ร่วมค้นหานวัตกรรมคืนสมดุลโลกจากไอเดียของนวัตกรทั่วโลก พร้อมปลดปล่อยจินตนาการพลิกฟื้นโลกของตัวเองและแปลงร่างเป็น “Re-Gen Hero” ระหว่างวันที่ 9 –17 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 – 19.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ชั้น LG ฮอลล์ 5 – 6 บูธที่ 36 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นางสาวปิยนนท์ วัฒนะจรรยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group กล่าวว่า “EGCO Group มีความเชื่อเรื่อง “ต้นทางดี จะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทาง  ที่ดี” จึงมุ่งส่งเสริมการเรียนรู้และผลักดันศักยภาพด้านพลังงาน วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนบ่มเพาะจิตสำนึกในการร่วมแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดงานวิทยาศาสตร์ที่ศูนย์เรียนรู้โรงไฟฟ้าขนอม อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช และการจัดบูธนิทรรศการในมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ แห่งชาติอย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 2568 EGCO Group ได้รับเชิญจากองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ให้เข้าร่วมจัดบูธนิทรรศการในมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ แห่งชาติ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนเติบโตไปเป็นพลเมืองโลก ที่ตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมจุดประกายแรงบันดาลใจในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยพลิกฟื้นโลก (Regenerative) ให้ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม ตามแนวคิด “Triple R” คือ Refuse ปฏิเสธการทำพฤติกรรมเชิงลบ Refill เติมเต็มและฟื้นฟูคุณค่าเชิงบวก และ Reverse สร้างการเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อพลิกฟื้นให้โลกดีขึ้นกว่าเดิม”

สำหรับกิจกรรมแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ดังนี้

  • โซนที่ 1 EGCO Base Mission ฐานลับเปลี่ยนโลก : เข้าสู่ฐานบัญชาการลับและเดินทางข้ามมิติเวลาไปถอดรหัส “Triple R” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเติมเต็มและพลิกฟื้นสมดุลโลกอย่างยั่งยืน ผ่านภาพยนตร์ 4 มิติ ที่สร้างจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • โซนที่ 2 EGCO Regenerative ภารกิจค้นหานวัตกรรม : ออกตามหานวัตกรรมที่ช่วยพลิกฟื้นโลกแบบ Regenerative จากตัวอย่างไอเดีย “ลดโลกเดือด” ของนวัตกรน้อยปี 2567 รวมถึงไอเดียนวัตกรรมอื่น ๆ ทั้งจากประเทศไทยและทั่วโลก
  • โซนที่ 3 EGCO Act Now or Never ! เปลี่ยนโลกด้วยตัวเรา : ร่วมแชร์ไอเดียและนวัตกรรมเปลี่ยนโลกพร้อมแปลงร่างเป็นนวัตกรน้อย “Re-Gen Hero” ด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าได้พิชิตทุกภารกิจอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ เมื่อจบกิจกรรมแล้ว EGCO Group จะรวบรวมความคิดและไอเดียสร้างสรรค์ของเหล่านวัตกรน้อยและผู้เยี่ยมชมนิทรรศการ ส่งต่อไปที่กระทรวง อว. ในฐานะผู้กำหนดนโยบายในอนาคตด้วย

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังจะได้ร่วมเล่นเกมตอบคำถามชิงรางวัล และพบกับขบวน EGCO Rangers ฮีโร่พลังงานทั้ง 6 ตัว ที่มาช่วยกอบกู้โลกจากปีศาจความมืด อีกทั้งผู้สนใจยังสามารถรับชมบรรยากาศ และเข้าร่วมกิจกรรมแบบ Online ได้ทาง Facebook Live ของเพจเฟซบุ๊ก Khanom Learning Center www.facebook.com/khanomlearningcenter ด้วย

ตามโผ “พิเชฐ โพธิ์ภักดี” นั่งเลขาธิการ กพฐ. – “สุรศักดิ์ อินศรีไกร” รองปลัด ศธ.

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง ดร.พิเชฐ์ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็น เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) แทน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา ที่จะเกษียณอายุราชการในปีนี้ และ แต่งตั้ง ดร.สุรศักดิ์ อินศรีไกร ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เป็น รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่แต่งตั้งให้ ดร.พิเชฐ เป็นเลขาธิการ กพฐ. เนื่องจากได้พิจารณาคุณสมบัติแล้ว พบว่า ดร.พิเชฐ เคยผ่านงานสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)มาแล้ว และมีความอาวุโส จึงอยู่ในลำดับที่เหมาะสม ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ วันนี้ยังไม่ได้เสนอ ก็จะพิจารณาเพื่อนำเสนอ ครม.ในการประชุมครั้งต่อไป

สพฐ.ยังเปิดโรงเรียนดูแลความปลอดภัยประชาชนบริเวณชายแดนไทย-เขมรต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ครั้งที่ 29/2568 ว่า ที่ประชุมได้กำลังตามข้อสั่งการของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีการเปิดสถานศึกษาให้เป็นที่พักพิงสำหรับประชาชนในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นย้ำว่าหากทางฝ่ายความมั่นคงยังขอความร่วมมือให้เปิดสถานศึกษาเป็นที่พักพิงต่อก็ขอให้สถานศึกษาอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนต่อไปก่อน โดยยึดความปลอดภัยเป็นอันดับแรก รวมถึงดูแลความรู้สึก ขวัญกำลังใจของประชาชนด้วย ส่วนการจัดการเรียนการสอนก็ให้ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน 5 ออน ซึ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยขณะนี้ได้มีการออกแบบการจัดการเรียนการสอนเรียบร้อยแล้วทั้งนี้เพื่อไม่ให้เด็กเสียโอกาส  ส่วนกรณีการฟื้นฟูโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากพายุวิภา นั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย รมช.เกษตรและสหกรณ์ และตน ได้ลงพื้นที่ที่จังหวัดน่าน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อการกุศล และ กระทรวงเกษตรฯ ในการระดมเครื่องมือหนักเพื่อเข้ามาช่วยเหลือล้างดินโคลนออกจากโรงเรียน เพื่อให้กลับมาจัดการเรียนการสอนได้อย่างรวดเร็ว

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีเด็กนักเรียน 3 คน หายออกจากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 30 จังหวัด.เชียงใหม่ นั้น เป็นที่น่ายินดีว่าสามารถติดตามตัวน้องทั้ง 3 คนได้แล้ว แต่ตนจะประชุมร่วมกับโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ทั้งประเทศ เพื่อกำชับเรื่องมาตรการการดูแล เด็กนักเรียน ที่ต้องมีความเข้มงวด และดูแลเด็กด้วยความรัก ความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้ ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(สศศ.)ตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าเด็กมีปัญหาด้านสภาพจิตใจอย่างไรบ้าง เพื่อจะเข้าไปดูแลต่อไป