องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ มอบปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจากสถาบันการอาชีวศึกษา ประจำปีการศึกษา 2567

เมื่อเวลา 10.23 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2568  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ในการมอบปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการอาชีวศึกษา ประจำปีการศึกษา 2567 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ เข้ารับปริญญาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 9 คน และผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตสาขาวิชาต่าง ๆ จากสถาบันการอาชีวศึกษา 23 แห่ง เข้ารับปริญญาบัตร รวม 2,384 คน โดยมี นายยศพล เวณุโกเศศ  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ปฎิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสถาบันการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา คณาจารย์ และนักศึกษา ให้การต้อนรับ

ในโอกาสนี้ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ผู้แทนพระองค์ ให้โอวาทแก่บัณฑิตสถาบันการอาชีวศึกษา ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ข้าพเจ้ามาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของสถาบันการอาชีวศึกษาประจำปีการศึกษา 2567 ในวันนี้ ขอแสดงความชื่นชมกับผู้ทรงคุณวุฒิและบัณฑิตทุกคนที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จ

ตามที่ได้รายงานว่า สถาบันการอาชีวศึกษาทั้ง 23 แห่ง อันเป็นสถานศึกษาในด้านวิชาชีพ ได้พัฒนากิจการให้ดำเนินก้าวหน้ามาด้วยดี และสามารถจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคมได้เป็นอันมากนั้น น่าชื่นชมอย่างยิ่ง ปัจจุบัน สังคมและโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตามความก้าวหน้าของวิทยาการและเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้การประกอบอาชีพการงานทุกอย่างเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปด้วย บัณฑิตทั้งหลายผู้กำลังจะออกไปประกอบวิชาชีพ ตามความถนัดและความสนใจของตน จึงควรจะได้เสริมสร้างความรู้ ความสามารถ และทักษะความเชี่ยวชาญ ให้เพิ่มพูนขึ้นอยู่เสมอ ทั้งในด้านวิชาการ เทคโนโลยี ความรู้รอบตัว และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม แต่ละคนจะได้สามารถประกอบอาชีพการงาน สร้างตัวสร้างฐานะให้มีความมั่นคงก้าวหน้า และเป็นกำลังสำคัญ ที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญ ไปใช้ปฏิบัติพัฒนางานในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้สำเร็จผลเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองสืบไป ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขออวยพรให้บัณฑิตทุกคนและทุกท่านที่มาร่วมในพิธีนี้ มีความก้าวหน้ารุ่งเรืองทั้งในชีวิตและกิจการงานโดยทั่วกัน

นายยศพล กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ท่านองคมนตรีมาปฏิบัติภารกิจแทนพระองค์ในพิธีมอบปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการอาชีวศึกษา ประจำปีการศึกษา 2567 ในวันนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม แก่ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรรมการสภาสถาบันการอาชีวศึกษา ผู้บริหารสถาบันการอาชีวศึกษา คณาจารย์ บัณฑิต และผู้เข้าร่วมพิธีโดยทั่วกัน

สถาบันการอาชีวศึกษา เป็นสถาบันอุดมศึกษาด้านวิชาชีพ และเทคโนโลยี สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 23 แห่ง ภารกิจหลักมุ่งเน้นจัดการศึกษา ด้วยระบบทวิภาคีคุณภาพสูง พัฒนาหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ โดยในปีการศึกษา 2567 มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตสาขาวิชาต่าง ๆ เข้ารับปริญญาบัตร รวม 2,384 คน และมีผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งสภาสถาบันการอาชีวศึกษา อนุมัติปริญญาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จำนวน 9 คน ดังนี้ สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 ได้แก่ นายสว่าง หนูน้อย, สาขาวิชาการบัญชี สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก ได้แก่ นางสาวภัทรปภา คิรินทร์, สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ได้แก่ นายชาญฉลาด ทองดี, สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 ได้แก่ นายมงคล จุลทรรศน์, สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 1 ได้แก่ นายกฤษณะ ผามั่ง สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 ได้แก่ นายปรีชา ปานจันทร์, สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 4 ได้แก่ นายเทวินทร์ เลี้ยงจรูญ, สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหารและโภชนาการ สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร ได้แก่ นายชวยุต นิ่มนวล, สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคเหนือ ได้แก่ นายภคพงศ์ คำปลอด

 

คณะบริหารธุรกิจ มทร.กรุงเทพ จับมือ LH Bank และ NIDA เติมความรู้วินัยทางการเงินให้นักศึกษา

รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ กล่าวว่า ในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนและระบบการเงินมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น การมีความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และการมีวินัยทางการเงินถือเป็นทักษะสำคัญที่ประชาชนทุกช่วงวัยควรมี โดยเฉพาะนักศึกษาและเยาวชน ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงวัยทำงานจึงจำเป็นต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการรายได้ ค่าใช้จ่าย การออม และการวางแผนการเงินในระยะสั้นและระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้สินเกินตัวและที่สำคัญเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคตให้แก่ตนเอง

รศ.ดร.พิชัย กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นทางสาขาวิชาการเงินและนวัตกรรมทางการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มทร.กรุงเทพ จึงได้ร่วมกับ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการเงินการธนาคาร และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA ในฐานะสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทในการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อมาถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ผ่านการจัดอบรมอย่างเป็นระบบให้แก่นักศึกษา โดยได้จัดโครงการส่งเสริมวินัยทางการเงินส่วนบุคคล (Financial Literacy) สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม Auditorium อาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค์ มทร.กรุงเทพ โดยได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ปริยดา สุขเจริญสิน คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ อาจารย์ณัฐพงษ์ อภินันท์กูล CFP กรรมการและเลขาธิการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ศ.ดร.สรศาสตร์ สุขเจริญสิน ศาสตราจารย์สาขาบริหารธุรกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ NIDA และตัวแทนจาก LH Bank มาร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้และประสบการณ์

รศ.ดร.พิชัย กล่าวอีกว่า การดำเนินความร่วมมือดังกล่าวเป็นการส่งเสริมวินัยทางการเงินส่วนบุคคล (Financial Literacy Sandbox) โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมมีความเข้าใจและสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง อันจะเป็นรากฐานที่ดีในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก็สนับสนุนการพัฒนาสังคมไทยให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับบุคคลและระดับประเทศ รวมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความรู้และทักษะด้านการเงินส่วนบุคคลแก่ผู้เข้าร่วมอบรม  ส่งเสริมวินัยทางการเงิน การวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมในชีวิตประจำวัน สร้างความตระหนักเกี่ยวกับการใช้จ่าย การออมเงิน และการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญเป็นการส่งเสริมวินัยทางการเงินที่ดีในระยะยาว อันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจทั้งในระดับบุคคลและสังคมโดยรวมด้วย

“เสมา3”ให้แนวทาง สลช,ปรับปรุงหลักสูตรลูกเสือให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง– เน้นบูรณาการพัฒนาคุณภาพเยาวชน เสริมคุณธรรมควบคู่ทักษะชีวิต

ที่จังหวัดชลบุรี  วันที่ 4 สิงหาคม 2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.)  เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานพัฒนากิจการลูกเสือ ณ ห้องประชุมสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ โดยมีคณะกรรมการลูกเสือ ผู้บริหารสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ(สลช.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางการดำเนินงานในอนาคต ทั้งนี้ นายเทวัญ กล่าวว่า กิจการลูกเสือมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างทักษะชีวิต คุณธรรมจริยธรรม และจิตสาธารณะให้แก่เยาวชนไทย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาคนทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม จึงต้องมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เยาวชนต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรลูกเสือ การพัฒนากิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิต การบริหารจัดการค่ายลูกเสือ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมกิจกรรมลูกเสือจิตอาสาพระราชทานในทุกระดับ ตลอดจนการขยายเครือข่ายความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำว่า แนวทางการพัฒนากิจกรรมลูกเสือจะไม่ใช่เพียงการจัดกิจกรรมตามแผนงาน แต่จะเป็นการพัฒนาโดยอิงกับบริบทของพื้นที่ เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม การคิดเชิงวิเคราะห์ และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และขอชื่นชมการดำเนินงานของคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญต่อบทบาทของลูกเสือในฐานะผู้นำเยาวชน และยังอนุมัติการใช้ค่ายลูกเสือในพื้นที่ชายแดนให้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว ทั้งยังช่วยเหลือสนับสนุนการจัดตั้งโรงครัว การบริจาคโลหิตร่วมกับสภากาชาดไทย ถือเป็นบทบาทเชิงรุกของลูกเสือในภารกิจช่วยเหลือสังคม ดังนั้น กิจการลูกเสือยังคงมีคุณค่าและความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเยาวชนไทยในศตวรรษที่ 21 ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกเสือเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

หึ่ง! คน สพฐ.งง คำสั่งแต่งตั้ง ผอ.เขตพื้นที่ฯ 3 ราย

จากมติคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้มีการอนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน  3  ราย  , อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกซึ่งขั้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3 ราย , อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 3 ราย นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกัน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ลงนามในคำสั่ง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.)  2 คำสั่ง  และตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 1 คำสั่ง ดังนี้

ทั้งนี้ หลังจากมีคำสั่ง สพฐ.ดังกล่าวได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มผอ.สพท. และ ข้าราชการอย่างมาก ว่า เพราะเหตุใดจึงมีการแต่งตั้งโยกย้ายเพียงคำสั่งละ 3 ตำแหน่ง โดยเฉพาะในส่วนของผอ. สพท. ที่เป็นการย้ายไปแทนที่ ผอ.สพท.ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2568 และแต่งตั้ง ผอ.สพท.ใหม่จากบัญชีที่รอเรียกบรรจุเข้ามาแทนที่คนที่ย้ายออกไปเท่านั้น  ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ปี 2568 นี้ มีรายชื่อ ผอ.สพท.จะเกษียณอายุราชการเกือบ 30 คน แต่ทำไมจึงเรียกบรรจุแทนเพียง 3 ตำแหน่งเท่านั้น

จากข้อสังเกตดังกล่าว ประกอบกับมีกระแสข่าวว่า ปีนี้ มี ผอ.สพท. 3 คนยื่นขอลาออกจากราชการก่อนวันเกษียณอายุราชการ โดยมีผลไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน บัญชีรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 26 กันยายน 2567 ทั้งในส่วนของกลุ่มทั่วไป และ กลุ่มประสบการณ์ กำลังจะหมดอายุในเดือนกันยายน 2568 นี้ โดยทั้ง 2 บัญชีนี้ยังมีรายชื่อผู้สอบได้และรอการเรียกบรรจุบัญชีละ 16 คน คือ ได้มีการเรียกบรรจุไปแล้วถึงลำดับที่ 24 ทั้ง 2 บัญชี สำหรับผู้ที่ได้รับการเรียกบรรจุใหม่ ทั้ง   3 ราย มาจากบัญชีกลุ่มประสบการณ์ลำดับที่ 25 -26 และกลุ่มทั่วไปลำดับที่ 25  ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าทำไมไม่รอแต่งตั้งพร้อมกันกับผู้ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้

“อ.แหม่ม”นำทัพผู้บริหารลงพื้นที่น้ำท่วม จ.น่าน เร่งของบฯกลางฟื้นฟูความเสียหาย

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)และ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนวิภา ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้กับโรงเรียนและวิทยาลัยหลายแห่งในพื้นที่  โดย ศ.ดร.นฤมล ได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านดอนไชย (ศรีเสริมกสิกร) และโรงเรียนสตรีศรีน่าน อำเภอ-เมืองน่าน เพื่อตรวจเยี่ยมล้างทำความสะอาดโรงเรียนร่วมกับจิตอาสา พร้อมมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง และถุงยังชีพให้กับนักเรียนที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมทั้งรับฟังความเดือดร้อนของนักเรียนที่บ้านพักอาศัยถูกน้ำท่วม และให้การช่วยเหลือทันที

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องเหตุความไม่สงบที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้เร่งลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ และใช้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยมีทั้งเด็กนักเรียน ครู และประชาชนที่ต้องอพยพ และเมื่อวานนี้ ก็ได้ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพน้องและคุณแม่ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ปั๊มน้ำมัน และในวันอาทิตย์นี้ จะเดินทางไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพน้อง ๆ อีก 3 ราย ที่ จ.ศรีสะเกษ สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่ จ.น่าน แม้น้ำในหลายพื้นที่จะเริ่มลดลง แต่หลายโรงเรียนยังประสบปัญหาความเสียหายรุนแรง ทั้งอาคารเรียน อุปกรณ์การเรียนการสอน เอกสารทางราชการ รวมถึงที่พักครูเสียหาย บางแห่งต้องอพยพครูไปอยู่ที่พักเอกชน และไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ ทำให้ต้องใช้เงินส่วนตัว ซึ่งตอนนี้เราต้องการงบประมาณเร่งด่วน เพื่อใช้ซ่อมแซม ฟื้นฟูโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ จึงขอให้ทุกโรงเรียนเร่งสำรวจความเสียหาย และรายงานมายัง สพฐ.เพื่อให้สามารถของบกลางจากคณะรัฐมนตรีมดำเนินการ

 “การลงพื้นที่ในครั้งนี้ กระทรวงศึกษาฯ ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ โดยได้รับความร่วมมือจากท่านอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯและผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ที่นำกำลังเจ้าหน้าที่ และเครื่องมือมาช่วยฟื้นฟูพื้นที่ พร้อมทั้งมีผู้บริหารจากสำนักงานอาชีวศึกษา สพฐ. และหน่วยงานด้านงบประมาณ ร่วมเดินทางมาด้วย ทังนี้ ดิฉันต้องขอขอบคุณจิตอาสาจากหลายโรงเรียนที่มาช่วยกันทำความสะอาด รวมถึง ผอ.โรงเรียนสตรีศรีน่าน ที่เสียสละงบประมาณส่วนตัวดูแลค่าใช้จ่ายด้านอาหารระหว่างช่วงฟื้นฟูโรงเรียน ซึ่งงบในส่วนนี้ ดิฉันขอเป็นผู้ดูแลให้ ส่วนงบล้างทำความสะอาด สพฐ.จะรีบดำเนินการ”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

จากนั้นในช่วงบ่าย ศ.ดร.นฤมล ได้เดินทางไปยังวิทยาลัยเทคนิคน่าน เพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) ซึ่งเป็นโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อให้บริการซ่อมแซมเครื่องมือ เครื่องใช้ในครัวเรือน และอุปกรณ์ประกอบอาชีพต่างๆ ให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถือเป็นการลดภาระของพี่น้องประชาชนได้อีกทางหนึ่ง

“ปฏิรูปห้องเรียนอีสาน!ครู10 จังหวัดรวมพลังพลิกวิธีสอน สู่ยุค Active Learning ด้วย GPAS 5 Steps

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาในระดับประถมศึกษา ภายใต้โครงการ “พัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ด้วยรูปแบบ Active Learning  ณ  อาคารคณะการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และ ห้องประชุมโรงเรียนอนุบาลบุรีรัมย์  โดยมีครูจากโรงเรียนในโครงการ “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง รวมกว่า 260 คน จาก 10 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, ยโสธร, มหาสารคาม, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์ และนครราชสีมา เข้าร่วม โดย ดร.จุฬาวดี มีวันคำ รองผู้อำนวยการสำนักวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กำลังพัฒนาครูให้เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทของห้องเรียนจริง ไม่ใช่แค่ฟังบรรยายหรือทำแผนการสอน แต่ครูจะต้องรู้วิธีคิด วิเคราะห์ สร้างนวัตกรรม และจุดไฟให้เด็ก ๆ ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ด้วยรูปแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อให้เด็กเกิดกระบวนการคิด วิเคราะห์ และสร้างนวัตกรรมเช่นเดียวกับคุณครู

ดร.กัญจนา สัตตรัตนำพร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)บุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า การจัดอบรมให้แก่ครูของโรงเรียนในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ เป็นการกระตุ้นให้ครูเกิดการรับรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps และยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูในโรงเรียนคุณภาพ ที่สำคัญการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ซึ่งเป็นหน่วยผลิตครูจะได้นำนวัตกรรมการเรียนการสอนใหม่ ๆ มาเปิดโลกทัศน์ให้แก่ครูและศึกษานิเทศก์ ที่จะนำนักเรียนออกนอกตำราไปสู่การเรียนการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ โดยการอบรมครั้งนี้เราไม่ได้แค่มาอบรมให้ผ่าน ๆ แต่เราต้องการให้ครูกลับไปเปลี่ยนห้องเรียนจริง ครูต้องกล้าคิดใหม่ ทำใหม่ ให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงนั่งฟัง ครูต้องกลายเป็นผู้นำทางการศึกษาในยุคที่โลกหมุนเร็วเกินคาด

นางณัฐฐ์ธมล สอโส ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สพป.สุรินทร์ เขต 1 กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ คือ หมุดหมายสำคัญที่จะพาครูพัฒนาตัวเอง เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้แบบลงมือจริง ฝึกคิด ฝึกทำ และได้ทักษะชีวิตที่จำเป็นในอนาคต เด็กจะไม่ได้แค่ท่องจำ แต่จะได้ทดลอง ทำงานกลุ่ม คิดแก้ปัญหา และก้าวทันเทคโนโลยีได้ด้วยตนเอง และ การอบรมได้เน้นการออกแบบกิจกรรมในห้องเรียนที่สอดรับกับโลกยุค Soft Power โดยมุ่งหวังให้นวัตกรรมการสอนของครูสามารถแปรเปลี่ยนเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน และต่อยอดไปสู่คุณค่าทางเศรษฐกิจในชีวิตจริง  ทั้งนี้ การยกระดับคุณภาพการศึกษาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการพัฒนาครูอย่างจริงจัง โครงการนี้จึงถือเป็นต้นแบบสำคัญ ที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ครูได้ “ลองคิด ลองเปลี่ยน ลองสร้าง” และส่งต่อแรงบันดาลใจนั้นไปยังนักเรียนในห้องเรียน

 

ทั้งนี้ ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสามัญของคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา บรรยายพิเศษ ว่า  ในโลกที่เปลี่ยนเร็วกว่าแผนการสอน ครูไทยต้องลุกขึ้นมาเป็น “ผู้นำการเรียนรู้” ไม่ใช่แค่ “ผู้ถ่ายทอดความรู้” และครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เพื่อขับเคลื่อนห้องเรียนไทยให้เข้าสู่การเรียนรู้เชิงรุกอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการพลิกโฉมการศึกษาด้วยการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ผ่านการพัฒนาครูและบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ ที่มีต่อการพัฒนาการเรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps โดยเน้นวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ด้านการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning หรือนวัตกรรมทางการศึกษา ที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพผู้เรียนจากการเรียนรู้ปกติให้เป็นนวัตกร มีความถนัดและความฉลาดที่แตกต่างกัน สามารถสร้างผลงาน  ชิ้นงาน โครงงาน และนวัตกรรมได้ เป็นการต่อยอดจากกระบวนการไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งนวัตกรรมนี้จะเป็นการสะท้อนให้เห็นความรู้ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นของเด็ก และร่องรอยหลักฐานทั้งระบบที่นำมาสู่ผลผลิตได้อย่างชัดเจน

“เสมา 1“ นำทีมผู้บริหาร ศธ.ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพเหยื่อระเบิดชายแดนไทย–เขมร 

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. เวลา 14.00 น. ณ วัดป่าหมากมาย ตำบลกลาง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเพลิงศพ นางจำปี เต็มจิต และเด็กชายพีรพัฒน์ คุณาพันธ์ ซึ่งเสียชีวิตจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา เป็นกรณีพิเศษ

โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธี พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุบลราชธานี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ คณะลูกหลาน ญาติผู้วายชนม์ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธี

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียในครั้งนี้ และขอให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อให้คนในครอบครัวดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข โดยได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บด้วย

“การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และเป็นการแสดงความห่วงใยจากกระทรวงศึกษาธิการต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ๆ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

“ครูหญิง”หนุนประเมินภายนอกยกระดับโรงเรียนขนาดเล็ก ชู รร.วัดกู่คำ เป็นตัวอย่างการพัฒนาที่ดี 

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  เป็นประธานเปิดกิจกรรมด้านการประเมินคุณภาพภายนอก พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนขยายโอกาส ที่สร้างโอกาสให้กับนักเรียน สู่การเป็น Learner Leader Innovator จากการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกมาปรับใช้ จัดโดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. และเครือข่ายในพื้นที่

ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวถึงบทบาทของ “การประเมิน” ว่า เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ช่วยให้เห็นทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน และสามารถวางแผนพัฒนาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขยายโอกาส ที่มักเจอกับข้อจำกัดหลายด้าน จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนการประเมินที่ตรงกับบริบทจริง และ สมศ. จะต้องพัฒนาวิธีการประเมินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดภาระครูต่อไป

“โรงเรียนวัดกู่คำ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเคยมีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากร แต่สามารถใช้ผลการประเมินเป็นเครื่องมือวางแผนพัฒนาอย่างเป็นระบบ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทั้งในด้านผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และความเชื่อมั่นจากชุมชน ในส่วนของการประเมินไม่ต้องการให้เป็นแค่การให้คะแนน แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้โรงเรียนได้มองเห็นตัวเอง แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้จริง โดยมีความตั้งใจที่จะผลักดันให้ทุกโรงเรียนพัฒนาไปสู่เป้าหมาย “ผู้เรียนตลอดชีวิต ผู้นำแห่งอนาคต นักนวัตกรรม” (Learner, Leader, Innovator) ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของโลก” รมช.ลิณธิภรณ์ กล่าวและว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ต้องการเห็นถึงผลของการประเมินที่เด็กได้รับประโยชน์ และยังสะท้อนจุดยืนของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการทำให้ “ระบบการศึกษาไทยเป็นพื้นที่แห่งโอกาส ความเท่าเทียม และแรงบันดาลใจ” โดยเน้นการสร้างคุณภาพจากรากฐาน พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ลมเปลี่ยนทิศ

หยอกหยอก วันที่ 31 ..2568***วันนี้ขอยกสุภาษิต คำว่ากลับลำในสำนวนไทยหมายถึง การเปลี่ยนแปลงความคิดหรือท่าทีอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการกระทำที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เคยพูดหรือทำมาก่อนหน้านี้ เปรียบได้กับการที่เรือลำหนึ่งกำลังแล่นไปในทิศทางหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน…***หยอกหยอก คอลัมน์ที่เอาความจริงมาหยอก*** ว่างมาสักพักแล้วสำหรับผู้ครองตำแหน่งผู้จัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการภายใต้ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานข่าวล่ามาเงียบ ว่า ตอนนี้ได้คนมานั่งเก้าอี้ว่างนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้จัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ คนใหม่ ที่จะเข้ามาเริ่มงานในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ … *** บางคนอาจจะว่าไม่แปลกที่จะให้ใครก็ได้ ที่มีความรู้ ความชำนาญ เฉพาะด้านรึไม่ก็ได้ข้ามห้วยมานั่งกำกับดูแลงานเฉพาะด้าน ถ้าคนคนนั้นมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการดูแลคนพิการ  แต่ที่ได้ข่าวแว่วว่ามาจากกรมสรรพากรพื้นที่จังหวัดทางภาคกลางที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือนนี้ แถมยังมากันเป็นชุด ถูกทาบทามเข้ามาเป็นผู้จัดการกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ….สืบไปสืบมาท่าจะมีแบ็คใหญ่หนาปึ้ก 555 *** ยังพอมีเวลาหายใจอย่างน้อยอีกสัปดาห์  กับว่าที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานคนใหม่ที่จะมาแทน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา ที่จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือน แค่อาจารย์แหม่ม.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เจ้ากระทรวงเสมา บอกว่าจะเอาชื่อเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบ ในวันที่ 29 ..ที่ผ่านมาฝุ่นก็ตลบแล้ว แต่พอถึงเวลาไม่มีการเสนอรายชื่อเข้า ครม. งานนี้ก็ไม่ทราบว่าสะดุดตอใหญ่ขนาดไหน แว่วมาว่าคนหลุดโผสู้ไม่ถอยถึงขั้นเอาคนภายนอกเข้ามากดดันฝ่ายการเมืองผู้มีอำนาจกุมบังเหียนวังจันทร์เกษม ถ้าได้เข้ามาจริง เดาไม่ออกเลยว่าจะทำงานร่วมกันอย่างไร เมื่อฝ่ายการเมืองรู้ที่มาที่ไปจำใจต้องเลือกโหวว..น่าสงสารการศึกษาไทยตอนนี้ลมก็เปลี่ยนทิศ..อักษรย่อตัวเต็งเพิ่มขึ้นเป็นหางว่าว พลิกกลับไปกลับมา มีทั้งกระแสข่าวตั้งใหม่ ทั้งย้ายสลับเก้าอี้ระดับ11 ชิงไหวชิงพริบ สู้กันเต็มที่ งานนี้ไม่มีใครยอมกันแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจโดนอ้างเอ่ยกันวุ่นไปหมดหยอกหยอก เคยยิงคำถามตรง กับ อาจารย์แหม่มว่า หนักใจกับการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงครั้งนี้หรือไม่ คำตอบฟังจากปากเจ้ากระทรวง คือไม่หนักใจค่ะ … 555 สั้น จบนะรอลุ้นต่อไป *** ข่าวการสอบครูผู้ช่วยรอบทั่วไป ประจำปี 2568 ของ สพฐ ที่จะจัดสอบในเดือนสิงหาคมนี้ แต่มีข้อเรียกร้องให้เลื่อนการสอบออกไปในบางพื้นที่ ก็ได้ข้อสรุปจาก ว่าที่ร้อยตรีธนุว่า สพฐ.ได้สำรวจแล้ว มี 2 จังหวัด ใน 7 จังหวัดที่เป็นจุดเสี่ยง ที่อยู่ใกล้ศูนย์อพยพ คือสพป.สุรินทร์ เขต 2 จึงให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอเมืองสุรินทร์ และ สพป.บุรีรัมย์ เขต2 ให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอกระสัง ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยเป็นอันว่า เป็นการย้ายสนามสอบเท่านั้น ไม่ได้เลื่อนสอบเด้อ เดี๋ยวจะกระทบกับการเรียนการสอนของเด็กไปกันใหญ่ …***กระแสการเรียกร้องการบริหารงานในกรมส่งเสริมการเรียนรู้ หรือสกร.ยังคงได้ยินกันอย่างต่อเนื่องใน2-3 ปีนี้ เรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ หยอกหยอก ไม่กล้าฟันธง แต่อยากฝากเรื่องหนึ่งขอให้ ผศ.ดร. ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการครูหญิงที่กำกับดูแล เข้ามาดูเรื่องการจัดซื้อหนังสือของสกร.หน่อย เพราะข่าวว่ามาเฟียจากสำนักพิมพ์ใหญ่ที่หากินกับ สกร.นานแล้ว เขาทำอะไรหยอกหยอก ก็แค่บอกทาง***ทิ้งท้ายด้วยข่าวองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ที่ตอนนี้ถูกจัดหนักทั้งเรื่องคดีความในชั้นศาล ทั้งเรื่องที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(...)กรรมมาธิการการศึกษา วุฒิสภา  กรมบัญชีกลาง และล่าสุดเจ้าหน้าที่ ที่ถูกไล่ออกเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้พากรมบังคับคดีบุกไปถึงองค์การค้าฯเพื่ออายัดทรัพย์สินที่องค์การค้าฯ เพราะแพ้คดีต้องจ่าย 20 ล้านบาทให้กับพนักงาน 14 คน และจะตามมาอีกเป็น 100 คน งานนี้ไม่อยากคิดเลยว่าองค์การค้า สกสค.มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? เอาล่ะวันนี้ พอหอมปาก หอมคอ ก่อน***

ดร.อรรถพล แนะ โค้งสุดท้าย PISA2025 ต้องเตรียมความพร้อมผู้เรียนเข้าสู่การสอบPISA เน้นการสร้างบรรยากาศที่ดีภายในสถานศึกษา

ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการประเมินนักเรียนนานาชาติ หรือ  PISA ว่า ถือเป็นการทดสอบสำคัญที่ทั่วโลกให้การยอมรับ และทุกประเทศใช้เป็นมาตรฐานในการพัฒนาระบบการศึกษาของตนเอง ความสำคัญของการทดสอบ PISA นอกเหนือจากเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพผู้เรียนและคุณภาพของระบบการศึกษาของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่ปรากฏอยู่ในดัชนีชี้วัดในระดับนานาชาติจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มความสามารถสำหรับการทดสอบPISA 2025 ที่กำลังจะมาถึงในเดือนสิงหาคม

ดร. อรรถพล กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมในการทดสอบ PISA ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้จะต้องให้ความสำคัญกับ 2 ด้าน คือ 1. การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการสอบ อันประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ สัญญาณอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจาก การทดสอบ PISA ในรอบนี้ เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ต้องสอบในระบบออนไลน์ 100 % หากอุปกรณ์เครื่องมือไม่พร้อมแล้ว จะทำให้ผลการทดสอบคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างแน่นอน และ 2. การสร้างบรรยากาศที่เสริมพลังให้กับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายในทุกโรงเรียน เนื่องจากจุดอ่อนสำคัญของประเทศไทยอีกประการหนึ่ง คือ นักเรียนไทยไม่มีเป้าหมาย ความกระตือรือร้น และตั้งใจในการทำแบบทดสอบจำนวนมาก ดังนั้น โรงเรียนต้องกระตุ้นให้นักเรียนตั้งใจและมีสมาธิในการทำแบบทดสอบอย่างเต็มที่ เช่น เลื่อนกิจกรรมต่าง ของโรงเรียนที่จะทำให้นักเรียนวิตกกังวลออกไปก่อน เพื่อให้นักเรียนมีสมาธิกับการทำแบบทดสอบอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังควรปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการทดสอบอย่างเต็มที่ เช่น การเลือกเวลาทดสอบในช่วงเช้า การดูแลให้นักเรียนให้รับประทานอาหารก่อนให้สอบ เพื่อให้มีแรงกายและแรงใจในการสอบ มาตรการต่าง เหล่านี้ ล้วนเป็นเสียงสะท้อนจากรุ่นพี่นักเรียนที่ควรเข้ารับการมดสอบแล้วสะท้อนกลับให้ฝ่ายนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการได้รับทราบ ที่แม้ฝ่ายบริหารจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับนักเรียนที่มีประสบการณ์ในการทำแบบทดสอบ PISA มาแล้วทั้งสิ้น

ประเทศไทยเดิมพันภาพลักษณ์ทางการศึกษาของประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้าไว้กับการทดสอบ PISA ในครั้งนี้ เนื่องจาก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)เปลี่ยนระยะเวลาในการทดสอบใหม่จากเดิมเว้นระยะห่าง 3 ปี มาเป็น4 ปี หากผลการทดสอบ PISA ครั้งนี้ไม่เป็นไปตามที่ทุกคนคาดหวัง ย่อมส่งผลกระทบต่อการวางแผนทางการศึกษาของประเทศไทยอย่างแน่นอน ดังนั้น แม้จะเหลือเวลาอีกไม่มาก แต่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันทำให้ผลการทดสอบ PISA ของประเทศไทยให้ดีขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพของคนไทยในมุมมองของต่างชาติ ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของ กระทรวงศึกษาธิการในการออกแบบอนาคตของประเทศไทยดร. อรรถพล