เมื่อเวลา 10.23 น. วันที่ 4 สิงหาคม 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ในการมอบปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการอาชีวศึกษา ประจำปีการศึกษา 2567 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ เข้ารับปริญญาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 9 คน และผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตสาขาวิชาต่าง ๆ จากสถาบันการอาชีวศึกษา 23 แห่ง เข้ารับปริญญาบัตร รวม 2,384 คน โดยมี นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ปฎิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสถาบันการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา คณาจารย์ และนักศึกษา ให้การต้อนรับ
ในโอกาสนี้ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ผู้แทนพระองค์ ให้โอวาทแก่บัณฑิตสถาบันการอาชีวศึกษา ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ข้าพเจ้ามาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของสถาบันการอาชีวศึกษาประจำปีการศึกษา 2567 ในวันนี้ ขอแสดงความชื่นชมกับผู้ทรงคุณวุฒิและบัณฑิตทุกคนที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จ
ตามที่ได้รายงานว่า สถาบันการอาชีวศึกษาทั้ง 23 แห่ง อันเป็นสถานศึกษาในด้านวิชาชีพ ได้พัฒนากิจการให้ดำเนินก้าวหน้ามาด้วยดี และสามารถจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคมได้เป็นอันมากนั้น น่าชื่นชมอย่างยิ่ง ปัจจุบัน สังคมและโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตามความก้าวหน้าของวิทยาการและเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้การประกอบอาชีพการงานทุกอย่างเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปด้วย บัณฑิตทั้งหลายผู้กำลังจะออกไปประกอบวิชาชีพ ตามความถนัดและความสนใจของตน จึงควรจะได้เสริมสร้างความรู้ ความสามารถ และทักษะความเชี่ยวชาญ ให้เพิ่มพูนขึ้นอยู่เสมอ ทั้งในด้านวิชาการ เทคโนโลยี ความรู้รอบตัว และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม แต่ละคนจะได้สามารถประกอบอาชีพการงาน สร้างตัวสร้างฐานะให้มีความมั่นคงก้าวหน้า และเป็นกำลังสำคัญ ที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญ ไปใช้ปฏิบัติพัฒนางานในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้สำเร็จผลเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองสืบไป ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขออวยพรให้บัณฑิตทุกคนและทุกท่านที่มาร่วมในพิธีนี้ มีความก้าวหน้ารุ่งเรืองทั้งในชีวิตและกิจการงานโดยทั่วกัน
นายยศพล กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ท่านองคมนตรีมาปฏิบัติภารกิจแทนพระองค์ในพิธีมอบปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการอาชีวศึกษา ประจำปีการศึกษา 2567 ในวันนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม แก่ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรรมการสภาสถาบันการอาชีวศึกษา ผู้บริหารสถาบันการอาชีวศึกษา คณาจารย์ บัณฑิต และผู้เข้าร่วมพิธีโดยทั่วกัน
สถาบันการอาชีวศึกษา เป็นสถาบันอุดมศึกษาด้านวิชาชีพ และเทคโนโลยี สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 23 แห่ง ภารกิจหลักมุ่งเน้นจัดการศึกษา ด้วยระบบทวิภาคีคุณภาพสูง พัฒนาหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ โดยในปีการศึกษา 2567 มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตสาขาวิชาต่าง ๆ เข้ารับปริญญาบัตร รวม 2,384 คน และมีผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งสภาสถาบันการอาชีวศึกษา อนุมัติปริญญาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จำนวน 9 คน ดังนี้ สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 ได้แก่ นายสว่าง หนูน้อย, สาขาวิชาการบัญชี สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก ได้แก่ นางสาวภัทรปภา คิรินทร์, สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ได้แก่ นายชาญฉลาด ทองดี, สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 ได้แก่ นายมงคล จุลทรรศน์, สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 1 ได้แก่ นายกฤษณะ ผามั่ง สาขาวิชาเทคโนโลยีไฟฟ้า สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 ได้แก่ นายปรีชา ปานจันทร์, สาขาวิชาเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 4 ได้แก่ นายเทวินทร์ เลี้ยงจรูญ, สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหารและโภชนาการ สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร ได้แก่ นายชวยุต นิ่มนวล, สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคเหนือ ได้แก่ นายภคพงศ์ คำปลอด



รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ กล่าวว่า ในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนและระบบการเงินมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น การมีความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และการมีวินัยทางการเงินถือเป็นทักษะสำคัญที่ประชาชนทุกช่วงวัยควรมี โดยเฉพาะนักศึกษาและเยาวชน ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงวัยทำงานจึงจำเป็นต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการรายได้ ค่าใช้จ่าย การออม และการวางแผนการเงินในระยะสั้นและระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้สินเกินตัวและที่สำคัญเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคตให้แก่ตนเอง
รศ.ดร.พิชัย กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นทางสาขาวิชาการเงินและนวัตกรรมทางการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มทร.กรุงเทพ จึงได้ร่วมกับ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการเงินการธนาคาร และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA ในฐานะสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทในการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อมาถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ผ่านการจัดอบรมอย่างเป็นระบบให้แก่นักศึกษา โดยได้จัดโครงการส่งเสริมวินัยทางการเงินส่วนบุคคล (Financial Literacy) สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม Auditorium อาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค์ มทร.กรุงเทพ โดยได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ปริยดา สุขเจริญสิน คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ อาจารย์ณัฐพงษ์ อภินันท์กูล CFP กรรมการและเลขาธิการสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ศ.ดร.สรศาสตร์ สุขเจริญสิน ศาสตราจารย์สาขาบริหารธุรกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ NIDA และตัวแทนจาก LH Bank มาร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้และประสบการณ์
ที่จังหวัดชลบุรี วันที่ 4 สิงหาคม 2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานพัฒนากิจการลูกเสือ ณ ห้องประชุมสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ โดยมีคณะกรรมการลูกเสือ ผู้บริหารสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ(สลช.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางการดำเนินงานในอนาคต ทั้งนี้ นายเทวัญ กล่าวว่า กิจการลูกเสือมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างทักษะชีวิต คุณธรรมจริยธรรม และจิตสาธารณะให้แก่เยาวชนไทย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาคนทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม จึงต้องมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เยาวชนต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรลูกเสือ การพัฒนากิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิต การบริหารจัดการค่ายลูกเสือ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมกิจกรรมลูกเสือจิตอาสาพระราชทานในทุกระดับ ตลอดจนการขยายเครือข่ายความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำว่า แนวทางการพัฒนากิจกรรมลูกเสือจะไม่ใช่เพียงการจัดกิจกรรมตามแผนงาน แต่จะเป็นการพัฒนาโดยอิงกับบริบทของพื้นที่ เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม การคิดเชิงวิเคราะห์ และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และขอชื่นชมการดำเนินงานของคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญต่อบทบาทของลูกเสือในฐานะผู้นำเยาวชน และยังอนุมัติการใช้ค่ายลูกเสือในพื้นที่ชายแดนให้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว ทั้งยังช่วยเหลือสนับสนุนการจัดตั้งโรงครัว การบริจาคโลหิตร่วมกับสภากาชาดไทย ถือเป็นบทบาทเชิงรุกของลูกเสือในภารกิจช่วยเหลือสังคม ดังนั้น กิจการลูกเสือยังคงมีคุณค่าและความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเยาวชนไทยในศตวรรษที่ 21 ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกเสือเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน




รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องเหตุความไม่สงบที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้เร่งลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ และใช้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยมีทั้งเด็กนักเรียน ครู และประชาชนที่ต้องอพยพ และเมื่อวานนี้ ก็ได้ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพน้องและคุณแม่ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ปั๊มน้ำมัน และในวันอาทิตย์นี้ จะเดินทางไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพน้อง ๆ อีก 3 ราย ที่ จ.ศรีสะเกษ สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่ จ.น่าน แม้น้ำในหลายพื้นที่จะเริ่มลดลง แต่หลายโรงเรียนยังประสบปัญหาความเสียหายรุนแรง ทั้งอาคารเรียน อุปกรณ์การเรียนการสอน เอกสารทางราชการ รวมถึงที่พักครูเสียหาย บางแห่งต้องอพยพครูไปอยู่ที่พักเอกชน และไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ ทำให้ต้องใช้เงินส่วนตัว ซึ่งตอนนี้เราต้องการงบประมาณเร่งด่วน เพื่อใช้ซ่อมแซม ฟื้นฟูโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ จึงขอให้ทุกโรงเรียนเร่งสำรวจความเสียหาย และรายงานมายัง สพฐ.เพื่อให้สามารถของบกลางจากคณะรัฐมนตรีมดำเนินการ
“การลงพื้นที่ในครั้งนี้ กระทรวงศึกษาฯ ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ โดยได้รับความร่วมมือจากท่านอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯและผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ ที่นำกำลังเจ้าหน้าที่ และเครื่องมือมาช่วยฟื้นฟูพื้นที่ พร้อมทั้งมีผู้บริหารจากสำนักงานอาชีวศึกษา สพฐ. และหน่วยงานด้านงบประมาณ ร่วมเดินทางมาด้วย ทังนี้ ดิฉันต้องขอขอบคุณจิตอาสาจากหลายโรงเรียนที่มาช่วยกันทำความสะอาด รวมถึง ผอ.โรงเรียนสตรีศรีน่าน ที่เสียสละงบประมาณส่วนตัวดูแลค่าใช้จ่ายด้านอาหารระหว่างช่วงฟื้นฟูโรงเรียน ซึ่งงบในส่วนนี้ ดิฉันขอเป็นผู้ดูแลให้ ส่วนงบล้างทำความสะอาด สพฐ.จะรีบดำเนินการ”ศ.ดร.นฤมล กล่าว
จากนั้นในช่วงบ่าย ศ.ดร.นฤมล ได้เดินทางไปยังวิทยาลัยเทคนิคน่าน เพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) ซึ่งเป็นโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งขึ้นโดย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อให้บริการซ่อมแซมเครื่องมือ เครื่องใช้ในครัวเรือน และอุปกรณ์ประกอบอาชีพต่างๆ ให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถือเป็นการลดภาระของพี่น้องประชาชนได้อีกทางหนึ่ง
ดร.กัญจนา สัตตรัตนำพร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)บุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า การจัดอบรมให้แก่ครูของโรงเรียนในโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ เป็นการกระตุ้นให้ครูเกิดการรับรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps และยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูในโรงเรียนคุณภาพ ที่สำคัญการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ซึ่งเป็นหน่วยผลิตครูจะได้นำนวัตกรรมการเรียนการสอนใหม่ ๆ มาเปิดโลกทัศน์ให้แก่ครูและศึกษานิเทศก์ ที่จะนำนักเรียนออกนอกตำราไปสู่การเรียนการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ โดยการอบรมครั้งนี้เราไม่ได้แค่มาอบรมให้ผ่าน ๆ แต่เราต้องการให้ครูกลับไปเปลี่ยนห้องเรียนจริง ครูต้องกล้าคิดใหม่ ทำใหม่ ให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงนั่งฟัง ครูต้องกลายเป็นผู้นำทางการศึกษาในยุคที่โลกหมุนเร็วเกินคาด
นางณัฐฐ์ธมล สอโส ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สพป.สุรินทร์ เขต 1 กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ คือ หมุดหมายสำคัญที่จะพาครูพัฒนาตัวเอง เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้แบบลงมือจริง ฝึกคิด ฝึกทำ และได้ทักษะชีวิตที่จำเป็นในอนาคต เด็กจะไม่ได้แค่ท่องจำ แต่จะได้ทดลอง ทำงานกลุ่ม คิดแก้ปัญหา และก้าวทันเทคโนโลยีได้ด้วยตนเอง และ การอบรมได้เน้นการออกแบบกิจกรรมในห้องเรียนที่สอดรับกับโลกยุค Soft Power โดยมุ่งหวังให้นวัตกรรมการสอนของครูสามารถแปรเปลี่ยนเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน และต่อยอดไปสู่คุณค่าทางเศรษฐกิจในชีวิตจริง ทั้งนี้ การยกระดับคุณภาพการศึกษาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการพัฒนาครูอย่างจริงจัง โครงการนี้จึงถือเป็นต้นแบบสำคัญ ที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ครูได้ “ลองคิด ลองเปลี่ยน ลองสร้าง” และส่งต่อแรงบันดาลใจนั้นไปยังนักเรียนในห้องเรียน

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. เวลา 14.00 น. ณ วัดป่าหมากมาย ตำบลกลาง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเพลิงศพ นางจำปี เต็มจิต และเด็กชายพีรพัฒน์ คุณาพันธ์ ซึ่งเสียชีวิตจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา เป็นกรณีพิเศษ
โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธี พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุบลราชธานี หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ คณะลูกหลาน ญาติผู้วายชนม์ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธี
ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียในครั้งนี้ และขอให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อให้คนในครอบครัวดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข โดยได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บด้วย
“การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และเป็นการแสดงความห่วงใยจากกระทรวงศึกษาธิการต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ๆ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว“ศ.ดร.นฤมล กล่าว
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดกิจกรรมด้านการประเมินคุณภาพภายนอก พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนขยายโอกาส ที่สร้างโอกาสให้กับนักเรียน สู่การเป็น Learner Leader Innovator จากการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกมาปรับใช้ จัดโดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. และเครือข่ายในพื้นที่
ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวถึงบทบาทของ “การประเมิน” ว่า เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ช่วยให้เห็นทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน และสามารถวางแผนพัฒนาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขยายโอกาส ที่มักเจอกับข้อจำกัดหลายด้าน จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนการประเมินที่ตรงกับบริบทจริง และ สมศ. จะต้องพัฒนาวิธีการประเมินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดภาระครูต่อไป
“โรงเรียนวัดกู่คำ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเคยมีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากร แต่สามารถใช้ผลการประเมินเป็นเครื่องมือวางแผนพัฒนาอย่างเป็นระบบ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทั้งในด้านผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และความเชื่อมั่นจากชุมชน ในส่วนของการประเมินไม่ต้องการให้เป็นแค่การให้คะแนน แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้โรงเรียนได้มองเห็นตัวเอง แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้จริง โดยมีความตั้งใจที่จะผลักดันให้ทุกโรงเรียนพัฒนาไปสู่เป้าหมาย “ผู้เรียนตลอดชีวิต ผู้นำแห่งอนาคต นักนวัตกรรม” (Learner, Leader, Innovator) ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของโลก” รมช.ลิณธิภรณ์ กล่าวและว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ต้องการเห็นถึงผลของการประเมินที่เด็กได้รับประโยชน์ และยังสะท้อนจุดยืนของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการทำให้ “ระบบการศึกษาไทยเป็นพื้นที่แห่งโอกาส ความเท่าเทียม และแรงบันดาลใจ” โดยเน้นการสร้างคุณภาพจากรากฐาน พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี



