อ.แหม่ม อวยพรนักเรียนไทยลุยศึกคณิตคิดเร็วนานาชาติที่มาเลเซีย

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบโอวาทและให้กำลังใจแก่นักเรียนไทยจำนวน 27 คน ก่อนออกเดินทางไปร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติ ณ ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้แทนจากสมาคมลูกคิดและคณิตศาสตร์นานาชาติ (ประเทศไทย) ครูผู้ฝึกสอน และผู้ปกครอง เข้าร่วมด้วย

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบการฝึกฝนคณิตคิดเร็วตั้งแต่เยาว์วัย และเคยศึกษาวิชาคณิตศาสตร์เชิงประยุกต์ รวมถึงสถิติประกันภัยและการเงิน เชื่อมั่นว่าคณิตศาสตร์เป็นรากฐานของกระบวนการคิดที่มีตรรกะและเป็นระบบ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายด้านของชีวิตและทุกวิชาชีพ พร้อมแสดงความยินดีและชื่นชมในความมุ่งมั่นของนักเรียนทุกคน ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการแข่งขัน และได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่า หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะสร้างทั้งความภาคภูมิใจให้กับตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้พัฒนาทักษะด้านคณิตศาสตร์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การแข่งขันคณิตศาสตร์และคณิตคิดเร็วนานาชาติ ประจำปี 2568 กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 2 สิงหาคม ที่ประเทศมาเลเซีย โดยสมาคมลูกคิดและคณิตศาสตร์นานาชาติ (ประเทศไทย) ร่วมกับเครือข่ายจากนานาประเทศ เพื่อส่งเสริมศักยภาพทางคณิตศาสตร์ของเยาวชนในระดับสากล

ก.ค.ศ.ไฟเขียว สกร.ขยายเวลาใช้กรอบอัตรากำลังอีก 1 ปี พร้อมผ่านร่างหลักเกณฑ์คัดเลือกผู้บริหาร สกร.ประจำจังหวัด

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ผศ.ดร. ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 6/2568 โดยมี ดร. ธนู ขวัญเดช เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม โดย ผศ.ดร. ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้  1. อนุมัติ ขยายระยะเวลาการใช้กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) เนื่องจาก ก.ค.ศ.ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 มีมติอนุมัติให้ สกร.ใช้กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตำแหน่งครู ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามที่ ก.ค.ศ. อนุมัติให้สำนักงาน กศน. (เดิม) จำนวน 4,598 อัตรา ไปกำหนดในหน่วยงานการศึกษา หรือสถานศึกษา แล้วแต่กรณี ไปพลางก่อน เป็นระยะเวลา 1 ปี  โดยครบระยะเวลาที่กำหนดวันที่ 26 มิถุนายน 2568 แต่ขณะนี้ สกร.อยู่ในระหว่างดำเนินการสรุปข้อมูลการสำรวจข้อมูลปริมาณงาน ภาระงาน และจำนวนตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศ เนื่องจากข้อมูลมีจำนวนมากและมีความหลากหลาย จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบความถูกต้อง และวิเคราะห์อัตรากำลังอย่างรอบคอบ ก.ค.ศ. จึงมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการใช้กรอบอัตรากำลังฯดังกล่าว ของ สกร. ออกไปอีกเป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี และให้ สกร. รายงานผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ ตามตัวชี้วัดค่าเป้าหมายความสำเร็จที่ ก.พ.ร. มีมติเห็นชอบ ตามมติ ก.ค.ศ. อย่างเคร่งครัดต่อไป

2.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด รองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.กรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร  สืบเนื่องจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ประกอบกับ ก.ค.ศ. กำหนดมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ (ว19/2567) ส่งผลให้คุณสมบัติเฉพาะสาหรับตำแหน่งของตำแหน่งต่าง ๆ ในแต่ละสายงานเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น เพื่อให้หน่วยการศึกษามีผู้บริหารการศึกษาที่สามารถบริหาร จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของส่วนราชการที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอันที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ จึงเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกฯ ตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษา สังกัด สกร. แต่เนื่องจากปัจจุบัน สกร.อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำข้อมูลเพื่อขอกำหนดกรอบอัตรากำลังใหม่ให้สอดคล้องกับภาระงานตามประกาศกรมส่งเสริมการเรียนรู้ และ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัด และรองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 จึงเห็นควรกำหนดเงื่อนไขในการดำเนินการคัดเลือกฯ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สกร.ประจำจังหวัด และรองผู้อำนวยการสำนักงานสกร.ประจำกรุงเทพมหานคร ว่า การดำเนินการคัดเลือกฯ ตำแหน่งเหล่านี้จะดำเนินการได้ “เมื่อ ก.ค.ศ. มีมติกำหนดกรอบอัตรากำลังในหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ แล้ว” ทั้งนี้ ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการ สำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.6/29 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2564

ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ การตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 18 แห่ง แห่งละ 36 ตำแหน่ง รวม 648 ตำแหน่ง ซึ่งต้องใช้ค่าตอบแทนเฉลี่ย ในการกำหนดตำแหน่งเป็นเงิน 22,176,000บาท โดยมีเงื่อนไขว่าการกำหนดตำแหน่งดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้งบประมาณที่ได้รับและไม่ทำให้งบประมาณรายจ่ายด้านบุคคลเพิ่มสูงขึ้น ต่อมา สพฐ. ขอตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา จากผลการจัดสรรคืนอัตราว่าง จากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120 คน และเป็นโรงเรียนยุบเลิกหรือรวมที่ปัจจุบันไม่มีนักเรียนแล้ว ในงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 จำนวน 394 ตำแหน่ง รวมค่าตอบแทนเฉลี่ยเป็นเงิน 22,543,690 บาท มากำหนด

ซึ่ง ก.ค.ศ. พิจารณาแล้ว เห็นชอบให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา จากอัตราว่างผลการเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 มากำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 18 แห่งได้ รวมทั้งสิ้น 621 ตำแหน่ง แบ่งเป็น ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 9 แห่ง แห่งละ 35 ตำแหน่ง และในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวนอีก 9 แห่ง แห่งละ 34 ตำแหน่ง คิดเป็นค่าตอบแทนเฉลี่ยของตำแหน่ง รวมเป็นเงิน 21,259,080 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าการตัดโอนตำแหน่ง และอัตราเงินเดือน ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าว จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารในสถานศึกษา ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องไม่เป็นการเพิ่มหรือกระทบต่อภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคคล ตามบัญชีรายละเอียดการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนฯ

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. เสนอข้อมูลที่ ก.ค.ศ. เห็นชอบไปยังคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขออนุมัตินำตำแหน่ง ผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งเป็นอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2567 ที่ได้รับการจัดสรรคืนจาก ก.ค.ศ. แล้ว จำนวน 371 ตำแหน่ง ซึ่งไม่สามารถจัดลงในสถานศึกษาได้ตามเงื่อนไขของ คปร. เนื่องจากโรงเรียนยุบเลิกและโรงเรียนรวม และในปัจจุบันไม่มีนักเรียนแล้ว ไปกำหนดเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ. กำหนด ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย สืบเนื่องจากหลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตาม ว 19/2561 และแบบประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ว 26/2561 ได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลากว่า 6 ปี ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ของการจัดการศึกษาในปัจจุบัน ประกอบกับ ก.ค.ศ. ได้กำหนดมาตรฐานตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ ตาม ว 19/2567

ดังนั้น สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้สำรวจข้อมูลเพื่อพัฒนาปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการฯ และแบบประเมินฯ ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ และการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลภาคสนาม และได้จัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ซึ่ง ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย 2) หลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย และ 3) แบบบันทึกการประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

  1. ครูผู้ช่วย ต้องเข้ารับการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มในสถานศึกษาเป็นเวลาสองปี โดยมีการประเมินทุกหกเดือน รวม 4 ครั้ง โดยกำหนดหลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ซึ่งประกอบด้วย ด้านวิชาชีพ ด้านสังคม และด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล
  1. ให้มีคณะกรรมการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม จำนวน 3 คน ประกอบด้วย 1) ผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ 2) ศึกษานิเทศก์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการ และ 3) ครูในสถานศึกษา เป็นกรรมการและเลขานุการ
  1. กรณีครูผู้ช่วยมีผลการประเมินในครั้งใดต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินให้สามารถโต้แย้งแสดงหลักฐานภายใน 5 วันทำการ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนผลการประเมินได้

กรณีครูผู้ช่วยมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินเมื่อครบกำหนด 2 ปี และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง พิจารณาอนุมัติผลการประเมินแล้ว ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 ออกคำสั่งแต่งตั้งครูผู้ช่วยผู้นั้นดำรงตำแหน่งครูในวันถัดจากวันครบกำหนดการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม

ในส่วนของแนวปฏิบัติการนับระยะเวลาเตรียมความพร้อมฯ กำหนดการนับระยะเวลาในกรณีต่าง ๆ เช่น การลา การไปช่วยราชการในสถานศึกษาอื่น การได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูผู้ช่วยตามบัญชี ผู้สอบแข่งขันได้ เป็นต้น

สำหรับหลักสูตรการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มฯ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ด้านวิชาชีพ ด้านสังคม และด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ซึ่งการประเมินในแต่ละด้าน ผลการประเมินใช้เกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน โดยครูผู้ช่วยต้องมีผลการประเมินผ่านจากกรรมการทุกคน ในการประเมินทุก 6 เดือน รวม 4 ครั้ง ใน 2 ปี

ทั้งนี้ ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตาม ว 19/2561 และแบบประเมินการเตรียมความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ว 26/2561

นอกจากนี้ มีการ อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 3 ราย  , อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกซึ่งขั้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3 ราย และ อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 3 ราย

 

“เทวัญ” ย้ำจรรยาบรรณครูต้องสูงกว่าวิชาชีพอื่น ครูต้องเป็นตัวอย่างของเด็ก

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ครั้งที่ 8/2568 โดย นายเทวัญ กล่าวว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้  การรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่คุรุสภาให้การรับรองแล้ว ได้แก่  1) ให้การรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา จำนวน 5 แห่ง รวม 5 หลักสูตร  1. ปริญญาตรีทางการศึกษา (หลักสูตร 4 ปี) จำนวน 2 หลักสูตร ประกอบด้วย   มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม  2. ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพครู) จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ และ 3. ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพบริหารการศึกษา) จำนวน 2 หลักสูตร ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ พื้นที่ศาลายา และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ พื้นที่วิทยาเขตวังไกลกังวล   2) ให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา ที่คุรุสภาให้การรับรองแล้ว  โดยเปลี่ยนแปลงแผนการรับนักศึกษา จำนวน 5 แห่ง รวมจำนวน 10 หลักสูตร ดังนี้ ปริญญาตรีทางการศึกษา (หลักสูตร 4 ปี) จำนวน 9 หลักสูตร ประกอบด้วย  มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี   มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และ   สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด  ปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพบริหารการศึกษา) จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครสวรรค์

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการรับรองผลการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตน ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 7/2568 ของผู้ผ่านเกณฑ์การทดสอบและประเมินฯ จำนวน 1,646 คน โดยเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างศึกษาในหลักสูตรปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา ประกอบด้วย 1) หลักสูตรปริญญาตรีทางการศึกษา จำนวน 1,405 คน 2) หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู จำนวน 59 คน และ 3) หลักสูตรปริญญาโททางการศึกษา (วิชาชีพครู) จำนวน 182 คน นอกจากนี้ได้เห็นชอบการรับรองผลการเทียบเคียงผลการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ครั้งที่ 2/2568 กลุ่มวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 4 ราย   เห็นชอบผลการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู รายวิชาครู ครั้งที่ 1 ระบบกระดาษ ประจำปี พ.ศ. 2568 จำนวน 15,911 คน

“สำหรับเรื่องของจรรยาบรรณครู นั้น ที่ประชุมได้มีการพุดคุยกันบ้าง ซึ่งผมได้กำชับเรื่องของระเบียบวินัยและเรื่องของความเป็นครูที่ต้องมีมาตรฐานสูงกว่าวิชาชีพอื่น เนื่องจากครูมีหน้าที่สอนเด็ก ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างของเด็ก” นายเทวัญกล่าว

“เสมา1”ห่วงสุขภาพจิตครู-บุคลากร-นักเรียน-ผู้ปกครองในพื้นที่จัดนักจิตวิทยาช่วยฟื้นฟู

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 30 ก.ค.2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้ทำพิธีปล่อยขบวนคาราวานช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา และผู้ประสบอุทกภัยพายุวิภา ณ.สวนวันครู อาคาร สพฐ.1 โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้ก็คือ เรื่องสุขภาพจิตของ ครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครอง ที่อยู่ในพื้นที่ปะทะไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านเรือนได้ โดยขณะนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปยังศูนย์พักพิงต่าง ๆ แล้ว ส่วนกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ส่งนักจิตวิทยาที่ประจำในเขตพื้นที่การศึกษาเข้าไปด้วยเช่นกัน  ซึ่งอาจารย์เองก็ได้แต่มีความหวังว่าเหตุการณ์จะสงบสุขโดยเร็ว ส่วนเรื่องการเรียนการสอนส่วนใหญ่นักเรียนกับครูก็อยู่ในศูนย์พักพิงเดียวกัน ก็จะมีการช่วยเหลือในเรื่องการเรียนการสอนได้ในระดับหนึ่ง และเมื่อวานนี้ตนก็ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องขอให้สนับสนุนอุปกรณ์กีฬาให้เด็กได้มีกิจกรรมเพิ่มเติมในศูนย์พักพิงด้วย

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับที่มีกระแสข่าวให้เลื่อนสอบครูผู้ช่วยรอบทั่วไปของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ประจำปี 2568 ในเดือนสิงหาคมนั้น ได้หารือกับ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ทราบว่ามีข้อเรียกร้องว่าอยากให้เลื่อนออกไปบางส่วน แต่บางส่วนก็เกรงว่าจะล่าช้าออกไปรวมทั้งมาตรฐานของข้อสอบด้วย

ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวว่า สพฐ.ได้สำรวจแล้ว มี 2 จังหวัด ใน 7 จังหวัดที่เป็นจุดเสี่ยง ที่อยู่ใกล้ศูนย์อพยพ คือสุรินทร์เขต2 จึงให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอเมืองสุรินทร์ และที่บุรีรัมย์เขต2 ก็ให้ย้ายสนามสอบมาที่อำเภอกระสังข์ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทั้งนี้เป็นการย้ายสนามสอบเท่านั้น เป็นการสอบพร้อมกันทั่วประเทศ ไม่ใช่เลื่อนวันสอบ เพราะตอนนี้โรงเรียนยังขาดครูจำนวนมาก ถ้าปล่อยไปนานก็จะกระทบกับการเรียนการสอนของเด็ก

มทร.กรุงเทพ จับมือพันธมิตร พัฒนา “Aerospace Valley” ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในภูมิภาค

รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ มทร.กรุงเทพ ได้ร่วมพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจความสามารถพิเศษต้นแบบ “Aerospace Valley” กับพันธมิตรหลัก ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ)  คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ บริษัท ไอซีไอเค นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ความรู้ จำกัด โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับโครงสร้างเขตเศรษฐกิจเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve

รศ.ดร.พิชัย กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจ “Aerospace Valley” สู่ศูนย์กลางด้าน Aviation & Aerospace Hub แห่งภูมิภาค การส่งเสริมการวิจัย นวัตกรรม และการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับนักศึกษา บุคลากรสายวิชาการ และแรงงานฝีมือ เพื่อรองรับตลาดแรงงานในอนาคต และเชื่อมโยงภาคการศึกษา รัฐ และเอกชน ผ่านแนวคิด “One-Stop-Integration” โดย มทร.กรุงเทพ มีบทบาทในการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างกำลังคนในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ พัฒนาหลักสูตรต้นแบบ ทั้งในระบบปริญญา (Degree) และนอกระบบ (Non-Degree) รวมถึงยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องทดลอง อาคารปฏิบัติการ และศูนย์เทคโนโลยีขั้นสูง ให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม

“ความร่วมมือนี้มีระยะเวลาเริ่มต้น 2 ปี โดยเปิดโอกาสในการขยายระยะเวลาตามความเห็นชอบร่วมกันของทุกฝ่าย และความเข้าใจร่วมกันฉบับนี้ยังส่งเสริมให้เกิดโครงการย่อยด้านการพัฒนานวัตกรรม การลงทุน และกิจกรรมการเรียนรู้ในเขต Sandbox เฉพาะทางของอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในอนาคต ดังนั้นการลงนามความร่วมมือครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยฯ ในการมีบทบาทเชิงรุกสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนให้กับประเทศ”รศ.ดร.พิชัยกล่าว

โรงเรียนชายแดนในภาวะเสี่ยง : เมื่อห้องเรียนกลายเป็นเขตภัยสงคราม

ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า  ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อความมั่นคงระดับประเทศเท่านั้น แต่เริ่มขยายวงเข้ามากระทบโดยตรงต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้วและสุรินทร์ ที่มีโรงเรียนหลายแห่งต้องสั่งปิดฉุกเฉิน ครู นักเรียน และครอบครัวอพยพหนีภัยอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่บางชุมชนไม่มีแม้แต่โอกาสในการเตรียมความพร้อมรับมือ ความสูญเสียในสถานการณ์นี้ไม่ได้จำกัดเพียงอาคารเรียนที่อาจได้รับความเสียหาย หรือวันที่ขาดเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” ที่ฝังลึกในใจของเด็ก ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในระยะยาว โรงเรียนซึ่งควรเป็นเขตปลอดภัย (Safe Zone) สำหรับทุกคน กลับกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยที่ไม่มีหลักประกันใดว่าจะปลอดภัยจริง

“แม้ไทยจะเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และได้ร่วมลงนามในหลักการ “Safe Schools Declaration” ที่ประกาศร่วมกันโดยนานาประเทศเพื่อคุ้มครองสถานศึกษาจากภัยสงคราม แต่ในทางปฏิบัติระบบการเตือนภัย การจัดการความต่อเนื่องทางการศึกษา (Education in Emergency : EiE ) และการเยียวยาทางจิตใจให้กับเด็กและครูยังแทบไม่มีอยู่จริง”ดร.อรรถพลกล่าวและว่า การปะทะตามแนวชายแดนคร้งนี้จึงไม่ใช่เพียงประเด็นด้านความมั่นคง แต่คือการทดสอบ “ขีดความสามารถของระบบการศึกษาไทย” ว่าจะยืดหยุ่น ทันสถานการณ์ และเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์มากเพียงใด เมื่อมีเด็กต้องสูญเสียทั้งโอกาสในการเรียนรู้ และความรู้สึกมั่นคงในวัยเยาว์ไปพร้อมกัน

ดร.อรรถพล เสนอว่า ประเทศไทยน่าจะใช้โอกาสนี้ ทำแผนการศึกษาในภาวะฉุกเฉินตามกรอบของ EiE รวมทั้งกำหนด “ผู้รับผิดชอบ” ต่อการเรียนรู้และความปลอดภัยของเด็กเหล่านี้ในเวลาที่พวกเขาต้องการมากที่สุดให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่เฉพาะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่แผนควรต้องรวมถึงแนวชายแดนทั่วประเทศ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจัดการศึกษาฉุกเฉินในภาวะวิกฤตอื่นด้วย อาทิ อุทกภัย และแผ่นดินไหว เป็นต้น

สกศ.เสนอแนวทางการจัดการศึกษาในพื้นที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) มีความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการปิดโรงเรียนไม่มีกำหนด ซึ่งกระทบต่อสิทธิการศึกษาของเด็ก สกศ.จึงได้ศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาในพื้นที่ความขัดแย้งจากเวทีโลก หรือ การศึกษาในภาวะฉุกเฉิน(Education in Emergencies – EIE) ประเทศไทยควรใช้วิกฤตครั้งนี้เป็น “จุดเปลี่ยน” ในการวางรากฐานใหม่ ดังนี้ 1. การศึกษาในสถานการณ์ฉุกเฉินบูรณาการกับด้านความมั่นคงของชาติ มีกลไกประสานงานระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงมหาดไทย และภาคประชาชน เพื่อจัดการศึกษาช่วงวิกฤต  2. ยกระดับเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เท่าเทียมเข้าถึงได้ทุกคน โดยพัฒนา Education as a Service ผ่านระบบ cloud-based, open-source สำหรับทุกโรงเรียน และสนับสนุนระบบการเรียนรู้ทางไกลในชนบท เช่น Micro Learning Kits, Mobile Learning Centers 3. ออกแบบระบบการเรียนรู้แบบ Flexible Learning Ecosystem การเรียนรู้ที่ไม่ยึดติดกับห้องเรียน และส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านชุมชน ศาสนสถาน ศูนย์สุขภาพ และพื้นที่พลเรือนปลอดภัยอื่น ๆ 4. ฟื้นฟูสภาพจิตใจและพัฒนา Soft Skills เด็กในพื้นที่เปราะบาง โดยบูรณาการหลักสูตรที่เน้น SEL (Social and Emotional Learning) พร้อมการเยียวยาทางใจและการปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง และควรจัดทีมแนะแนวและนักจิตวิทยาในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง 5. ติดตาม ประเมินผล และเรียนรู้จากทุกวิกฤตโดยสร้างระบบฐานข้อมูลแบบ real-time สำหรับโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยง และ 6. ประเมินผลกระทบทางการศึกษาทุกครั้งที่เกิดเหตุรุนแรง เพื่อปรับแผนให้ทันสถานการณ์

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม การศึกษา คือความหวังของชาติ และความหวังต้องไม่หยุดแม้ในภาวะสงคราม การจัดการศึกษาในพื้นที่่ความขัดแย้งจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือความจำเป็นและภารกิจเร่งด่วนของรัฐในการยืนยันว่าเด็กทุกคนมีสิทธิในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม

“ครูหญิง”ลงพื้นที่ปัตตานี เปิดตลาดนัดหลักสูตรพื้นที่นวัตกรรม มุ่งยกระดับคุณภาพการศึกษาเอกชน

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดกิจกรรมตลาดนัดหลักสูตรพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดปัตตานี ภายใต้โครงการพัฒนาทักษะครูผู้สอนยุคใหม่ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ และร่วมพิธีรำลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ 16 ปี การจัดตั้งสำนักงานการศึกษาเอกชน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ คณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ทั้งนี้มีผู้บริหารระดับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล คณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัด คณบดี และคณาจารย์คณะวิทยาการอิสลาม ตลอดจนผู้บริหารสถานศึกษาและครูในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรม

ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูและผู้บริหารยุคใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการศึกษาเอกชนให้สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม เพราะการศึกษา คือเครื่องมือสำคัญในการสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ลูกหลานในพื้นที่เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ มีทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะด้านภาษาและวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ เช่น ภาษาอาหรับและมลายู ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนให้แก่ครูผู้สอนศาสนาในพื้นที่ชายแดนใต้ เช่น ครูในตาดีกา จากเดือนละ 3,000 บาท เป็น 3,500 บาท โต๊ะครูและผู้ช่วยโต๊ะครูในโรงเรียนปอเนาะ จาก 2,000 บาท ปรับเพิ่มสูงสุดเป็น 4,000 บาท เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เพื่อสร้างแรงจูงใจและความเป็นธรรมแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาในพื้นที่ พร้อมทั้งสนับสนุนค่าบริหารจัดการโรงเรียนเอกชนนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามโดยเฉพาะ ผลักดันโครงการอาหารกลางวันและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้แก่เยาวชนในศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) อย่างต่อเนื่องด้วย อย่างไรก็ตามแม้ภารกิจในการพัฒนาการศึกษาจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เราจะสามารถสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ มีศักยภาพ และเป็นอนาคตที่เข้มแข็งของประเทศได้อย่างแน่นอน

จากนั้นคณะ รมช.ศึกษาธิการ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานศึกษา สังกัด สช. ณ โรงเรียนเตรียมศึกษาวิทยา และสถาบันปอเนาะดารุลอูลูมอัซซัรอียะห์ รวมทั้งตรวจเยี่ยมศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาปัตตานี พร้อมพูดคุยและให้กำลังใจผู้บริหารโรงเรียน ครู และนักเรียนในการเรียนและการปฏิบัติงานด้านการสอน

ได้ชื่อแล้วแต่ยังไม่จบ

หยอก หยอก วันที่ 27 กรกฎาคม 2568 คอลัมน์ที่ข้าราชการเทาเทาไม่อยากเข้าใกล้*** โลกนี้สอนให้รู้ว่าจริงใจกับใครไป ใช่ว่าเขาจะจริงใจกลับ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก … ต่อหน้าทำเป็นดี แต่พอลับหลังก็นินทาหรือหาทางใส่ร้าย หน้าไหว้หลังหลอก … อันนี้ไม่รู้ว่าเข้าใคร ดูกันไปยาว ๆ *** ในนามประชาชนชาวไทย ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของวีรบุรุษทหารกล้าจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ หยอก หยอก เอง ก็ขอส่งกำลังใจไปถึงกำลังพลที่เสียชีวิต ท่านได้จากไปในขณะปฏิบัติหน้าที่อันทรงเกียรติ เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง การอุทิศตนและเสียสละของท่านจะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป ขอให้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้าไปสู่สุคติ รวมถึงประชาชน เด็กผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย …***ทันที ที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสมา 1 พร้อมด้วย เสมา 2 และ เสมา 3 ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็วางงานในกระทรวงศึกษาธิการ ต่างลงพื้นที่เพื่อเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน นักเรียน ตามภาระงานที่กำกับดูแล ซึ่งก็ถือว่าช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้มากเลยทีเดียว … หยอก หยอก ขอชื่มชมรัฐมนตรีทั้ง 3 ท่าน นับถือ นับถือ *** เข้าโหมดเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายแทนตำแหน่งเกษียณอายุราชการกันดีกว่า…ทันที่ ที่ “อาจารย์แหม่ม” ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศว่าจะเสนอรายชื่อเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)แทนว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ระดับ 11 ที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 2 เดือนข้างหน้าในวันอังคารที่จะถึงนี้ กลิ่นอายของนักวิ่งก็สตาร์ททันที เพราะไม่แค่เพียงตำแหน่งเลขาธิการ กพฐ.เท่านั้น ยังพ่วงมาด้วยตำแหน่งรองเลขาธิการ กพฐ. 2 ตำแหน่ง แทน นายพัฒนะ พัฒนทวีดล และ ดร.ธีร์ ภวังคนันท์ ระดับ10 ที่จะเกษียณอายุราชการไปพร้อมกันกับ เลขาธิการ กพฐ. … เพราะสพฐ.เป็นหน่วยงานใหญ่ที่ใคร ๆ ก็อยากจะเข้ามาบริหารงาน *** นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งศึกษาธิการภาค ระดับ 10 อีก 12 ตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาการศึกษา ระดับ 10 อีก 1 ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการ ศธ. ระดับ10 อีก 5 ตำแหน่ง และ รองปลัด ศธ.ระดับ10 อีก 1 ตำแหน่ง … โอ้โหวววว! ก็เท่ากับว่า บริหารระดับสูงว่างครั้งนี้ถึง 22 ตำแหน่ง เลยหรอ…เนี่ยยย..โอแม่เจ้า มิน่า….*** แต่ ตำแหน่งที่ต้องจับตามองที่สุดคือ ตำแหน่งบริหารในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ที่ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูกาลโยกย้าย ใครที่มีสิทธิ์ก็ต้องอยู่ไม่เป็นสุข คนที่อยู่ในตำแหน่งก็ต้องรักษาเก้าอี้ไว้จนกว่าจะเกษียณ(นั่งทับอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หยอก ไม่รู้ ไม่รู้)เอาละนะ…ณ เวลานี้ ย้ำนะ ว่า ณ เวลานี้ คนที่มีโอกาสจะมานั่งตำแหน่งเลขาธิการ กพฐ.แทน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา มีหลายคน เรื่องมีอยู่ว่า มีชื่อ 3 ดอกเตอร์คนเก่งของศธ. ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ให้ “อาจารย์แหม่ม” เลือก และ อาจารย์แหม่ม ก็เลือกแล้ว …เป็น”ผู้ชาย” ซึ่งก็น่าจะรู้กันมากแล้ว เพราะเขาปิดกันให้ “แซด”แต่ถ้าใครยังไม่รู้ก็ถามมาหลังไมค์5555 …..บอกไว้ก่อนนะ คอลัมน์นี้ หยอกเขียนวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ยังมีเวลาอีก 1 วัน ที่คนหลุดโผยังมีโอกาสอยู่ เพราะมีบางคนยังสู้อยู่ แต่จะมีการเปลี่ยนโผหรือไม่ ก็ขึ้นกับผู้มีอำนาจแล้วล่ะ หยอก หยอก ก็เป็นแค่ผู้บอกทาง แต่ก็ยังเชื่อว่า “พรรคกล้าธรรม”จะไม่ให้ใครมากดดัน แค่ชื่อ “ธรรมนัส พรหมเผ่า”กับ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” แล้วหยอกยัง..อึ้งเลย สัมผัสลีลาการทำงานแล้วก็ไม่ธรรมดา อย่าปรามาศ..เด้อ…น่าจะไม่เหมือนพรรคอื่นที่รับปากแล้ว เปลี่ยนชื่อก่อนเข้า ครม.เพียงไม่กี่นาที…555 จะเรียกว่ายังไงดี? ขออย่างเดียวก่อนตัดสินใจเลือกใครไม่ว่าตำแหน่งไหน อย่าให้คนการศึกษาเขาร้อง “ยี้” มันจะเสียชื่อพรรคได้…น่อ.. *** ปรับโหมดมาตำแหน่งรองเลขาธิการ กพฐ.กันหน่อย…แว่วมาว่าอาจจะเสนอชื่อไปพร้อม ๆ กันกับเลขาธิการ กพฐ.คนใหม่ ที่สามารถแต่งตั้งได้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายข้อบังคับ คือ การสไลด์ จาก 10 ไป10 ที่คาดว่าจะมาจากผู้ตรวจราชการ ศธ.1 หรือ 2 คน ส่วนอีก 1 คนที่ยังครองตำแหน่งบริหารต้นอยู่ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสรรหาบริหารสูงให้ถูกต้องตามระเบียบก่อน ไม่งั้นถูกร้องเรียนตายว่าข้ามขั้นตอน(ประเด็นนี้หยอกเป็นห่วงนะ) ก็รอไปก่อนนะจ๊ะ อายุก็ยังน้อย แถมเพิ่งขึ้นบริหารต้นยังนานไม่ถึงปีเลย รออีกนิดหนึ่งถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาเสียก่อนก็คงได้ขึ้นแน่นอน….5555…ท้ายสุด อยากฝาก “พรรคกล้าธรรม”ว่าท่านรู้จัก กระทรวงปราบเซียนนี้ ดีแค่ไหน? จะกล้าทำ อะไรที่ใครคาดไม่ถึงแค่ไหน…เอวัง …***

“เสมา3” ร่วมบริจาคโลหิตสำรองไว้ช่วยเหลือทหารและประชาชนในยามวิกฤต พร้อมร่วมคำปฏิญาณ ลูกเสือไทยพร้อมเคียงข้างประชาชนทุกสถานการณ์

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่จังหวัดนครราชสีมา  นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแสดงพลังแห่งความเสียสละในกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อสำรองให้แก่โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อส่งต่อพลังแห่งความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และประชาชนที่ยังคงต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกเสือ บุคลากรทางการลูกเสือ และประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และพื้นที่ใกล้เคียง กว่า 200 คน ร่วมบริจาคโลหิต ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช

โดยนายเทวัญ กล่าวว่า การบริจาคโลหิตในวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของขบวนการลูกเสือไทยในการช่วยเหลือสังคมในยามวิกฤต เพื่อเป็นการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ แสดงออกถึงการมีจิตอาสาและความเสียสละ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นลูกเสือ ที่พร้อมจะบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและลูกเสือไทย ขอเชิญชวนลูกเสือ บุคลากรทางการลูกเสือ และพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ร่วมกันบริจาคโลหิตเพื่อสำรองไว้ให้กับโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด รวมถึงคลังโลหิตกลาง เพื่อให้พร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินและช่วยชีวิตผู้ที่กำลังเผชิญความทุกข์ยากจากสถานการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม นอกจากการบริจาคโลหิต สำนักงานลูกเสือแห่งชาติยังคงเดินหน้าในการให้ความช่วยเหลือในหลายมิติ โดยเฉพาะการใช้ “ค่ายลูกเสือ” ในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ จันทบุรี และจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับการปะทะ  ให้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับประชาชนผู้ประสบภัย มีการจัดเตรียมความพร้อมทั้งในด้านสถานที่ ความปลอดภัย อาหาร และสิ่งของจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งอาคารสถานที่สามารถรองรับประชาชนทั้งที่พักภายในอาคารได้ประมาณ 2,000 คน และลานกางเต็นท์ได้ประมาณ 5,000 คน พร้อมดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยมี “ลูกเสือจิตอาสา” คอยดูแลอย่างเต็มกำลัง

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน สำนักงานลูกเสือแห่งชาติยังได้จัดเตรียมถุงยังชีพ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก “พายุวิภา” ซึ่งส่งผลให้หลายพื้นที่ทางภาคเหนือประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก โดยเน้นการส่งมอบผ่านเครือข่ายลูกเสือในพื้นที่ เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้สะท้อนถึงบทบาทของลูกเสือไทย ที่ไม่เพียงแต่เป็นผู้ให้ความรู้ ความเข้มแข็งแก่เยาวชน แต่ยังเป็นกลไกในการร่วมดูแลสังคมในยามวิกฤตตามคำปฏิญาณ “ลูกเสือพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ และทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นทุกวัน” และยังคงเดินหน้าสนับสนุนและอยู่เคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างสังคมไทยที่เข้มแข็งด้วยพลังของลูกเสือไทย ต่อไป