ทีพีไอให้ทุน เพาะช่างพัฒนาการเรียนการสอนศิลปะ

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 ผศ.บรรลุ วิริยาภรณ์ประภาส ผู้อำนวยการวิทยาลัยเพาะช่าง นำคณะผู้บริหาร วิทยาลัยเพาะช่าง เข้าพบ เพื่อสวัสดีและมอบของขวัญปีใหม่แด่ คุณประทีป เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ณ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ในโอกาสนี้คุณประทีปและรศ.พญ.ยุวดี เลี่ยวไพรัตน์ได้มอบเงินสนับสนุนวิทยาลัยดังต่อไปนี้


1. กองทุนประทีป–รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงยุวดี เลี่ยวไพรัตน์ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวนเงิน 1,000,000 บาท

2. กองทุนประทีป–รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงยุวดี เลี่ยวไพรัตน์เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาลัยเพาะช่าง พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวนเงิน 500,000 บาท

ผอ.วิทยาลัยเพาะช่าง กล่าวว่า งินสนับสนุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ และพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาลัยเพาะช่าง โดยวิทยาลัยเพาะช่างจะดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของเจ้าของทุนต่อไป

ตัวแทนครูสี่ภาคบุก ศธ.ร้อง‘ตรีนุช’เร่งเคลียร์ปัญหา สกสค.

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)  กลุ่มตัวแทนข้าราชการบำนาญ และคณะครูสี่ภาค นำโดย นายทนง ทศไกร ประธานสหพันธ์ข้าราชการบำนาญภาคเหนือ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เรียกร้องให้กำกับดูแลหน่วยงานให้มีความโปร่งใส โดยเฉพาะการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ที่ส่อว่ามีการบริหารงานที่ไม่ถูกต้อง ไม่โปรงใสของผู้บริหาร สกสค.  โดยมี น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ​เป็นผู้รับเรื่องแทน

นายทนง กล่าวว่า ที่ผ่านมาเกิดปัญหามากมายใน สกสค.จึงต้องการให้ รมว.ศึกษาธิการ ​ดำเนินการ คือ ขอให้ปรับคณะผู้บริหาร สกสค.ออกไปทั้งหมดโดยเร็ว  ขอให้ดำเนินการแก้ไขกฎระเบียบการสรรหาผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัดทั้งหมดโดยเร็ว และดำเนินการสรรหาใหม่ ขอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.​ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินโครงการสวัสดิการเงินกู้ฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) กรณีพิเศษ ที่ส่อไม่โปร่งใสทั้งอดีตถึงปัจจุบัน ขอคืนให้คืนเงิน ช.พ.ค. กรณีพิเศษกลัลมาให้ครูเหมือนเดิมโดยเร็ว ขอให้ตรวจสอบการทุจริต การสรรหาผู้อำนวยการสกสค.จังหวัด ที่ผ่านมาอย่างเร่งด่วน ขอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.สนับสนุนการแก้ไข พ.ร.บ.บำเน็จข้าราชการ พ.ศ. … พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. … และ พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. … และขอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ดำเนินการให้เสร็จสิ้นในเวลา 1 เดือน และทางคณะจะกลับมาติดตามอีกครั้ง

ด้าน น.ส.อรพินทร์ กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องดังกล่าวรายงานต่อ รมว.ศึกษาธิการ ต่อไป และขอให้สบายใจว่า  รมว.ศึกษาธิการ มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้เกิดประโยชน์สุงสุดกับครูและบุคลากรทางการศึกษาในทุกมิติ

ต้องทำความเข้าใจ ศธ.ไม่ได้บังคับแหย่จมูกตรวจATKเด็กทุกอาทิตย์

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ปกครองเรียกร้องให้ยกเลิกการตรวจ ATK นักเรียนทุกอาทิตย์ ว่า โดยกรอบนโยบายไม่ได้กำหนดให้นักเรียนที่ไปโรงเรียนทุกวันต้องตรวจATK แต่โดยหลักการ คือ ให้มีการสุ่มตรวจประมาณ 10%ของนักเรียนที่มาโรงเรียน กับตรวจนักเรียนที่ใกล้ชิดกับคนติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยงสูง ไม่ได้หมายความว่าให้ตรวจทุกคนทุกวัน  ดังนั้นการที่โรงเรียนไปปฏิบัติอย่างนั้นอาจเป็นเพราะไม่ได้สื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง หรือกรรมการสถานศึกษาว่าทุกคนเห็นด้วยหรือไม่ จำเป็นต้อง ทำอย่างนั้นหรือไม่   ตนคิดว่าเรื่องการสื่อสาร ทำความเข้าใจให้ตรงกันเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่เรื่องการเรียนก็เช่นกันที่ยังมีการเข้าใจว่า ไม่ฉีดวัคซีนไม่ให้ไปโรงเรียน ซึ่งไม่ใช่ เพราะความจริงคือ ไม่ว่าจะฉีดหรือไม่ก็สามารถมาเรียน On-site ได้ หรือเด็กที่ฉีดแล้วแต่ผู้ปกครองไม่ประสงค์ให้เรียน On-site ก็ให้เรียนแบบOnline ได้ เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม

“วันนี้การจัดการศึกษาอยู่ในภาวะไม่ปกติ การสร้างความเข้าใจ การสร้างการรับรู้ร่วมกันระหว่างผู้ปกครอง นักเรียน และครู ต้องทำให้มากขึ้น เพราะถ้าทุกคนเข้าใจกันความขัดแย้งทางความคิดก็จะไม่เกิด อย่างไรก็ตาม ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผมได้หารือร่วมกับทางกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ว่ามีแนวทางอะไรที่กำหนดจากส่วนกลางแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งหรือความไม่เข้าใจที่ตรงกันในทางปฏิบัติก็จะมีการปรับเพื่อนำเสนอต่อศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ใหญ่ ในวันที่ 20 มกราคมนี้  ซึ่งเชื่อว่า ทิศทางก็จะดีขึ้น”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

 

“สุทธิชัย”ยัน ศธ.เต็มที่พร้อมแก้ปัญหาหนี้สินครู

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2565 นายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลุ่มมูลนิธิสุภาวงค์เสนาเพื่อการปฏิรูปสิทธิลูกหนี้และคณะฯ ได้มาเข้าพบเพื่อแสดงความขอบคุณ คณะทำงานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ช่วยผลักดันการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากร ซึ่งตนได้ชี้แจงไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยได้มอบให้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนโดยรวม ซึ่งรวมถึงเครือข่ายครูในนาม “กลุ่มมูลนิธิสุภาวงค์เสนาเพื่อการปฏิรูปสิทธิลูกหนี้”ด้วย  ขณะเดียวกัน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ครูมีขวัญกำลังใจในการสอนนักเรียน และไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการศึกษา จึงมอบหมายให้ตน ดูแลรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งมีตนเป็นประธาน

นายสุทธิชัย กล่าวว่า จากการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ทำให้ทราบว่าปัญหาเกิดจากปัจจัยหลายด้าน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ครูเพียงเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และกฎหมายต่าง ๆ ที่จะต้องหาทางแก้ไขบนฐานของข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะสามารถออกแบบแนวทางแก้ไขให้เหมาะสมกับปัญหานั้น ๆ และหนี้สินของครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนใหญ่อยู่ที่สหกรณ์ออมทรัพย์และสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย เป็นต้น ดังนั้น จึงต้องวางมาตรการทั้งในเรื่องของดอกเบี้ยที่เป็นธรรม กฎระเบียบคุ้มครองครู ไม่ให้ถูกเอาเปรียบ การพัฒนาและให้ความรู้ด้านการเงินแก่ครู ในลักษณะการฝึกอบรม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกท่านสบายใจได้ กระทรวงศึกษาธิการพร้อมที่จะแก้ปัญหาความเดือดร้อนของครู ตลอดจนพร้อมเปิดรับข้อเสนอแนะและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแก้ไขต่อไป

ศธ.-รง.ทำ MOU พัฒนาทักษะอาชีพนักเรียนเพื่อการมีงานทำ

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 ที่กระทรวงศึกษาธิการ  น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ และ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทำให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ  โดย นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และกระทรวงแรงงาน(รง.)ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีนโยบายส่งเสริมพัฒนาทักษะทางอาชีพและส่งเสริมการมีงานทำ และให้ความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัยโดยเฉพาะในวัยกำลังแรงงานที่จะต้องได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือให้สูงขึ้นสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทั้งสองหน่วยงานจึงขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวโดยใช้แนวทางประชารัฐในการสร้างความร่วมมือ

นายสุชาติ กล่าวว่า การลงนามในวันนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูล (Big Data) ด้านอุปสงค์อุปทานของตลาดแรงงาน เพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาพัฒนาทักษะทางอาชีพและการมีงานทำ จัดฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้แก่บุคลากรและครูผู้สอนเพื่อนำความรู้ไปขยายผลให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) และแรงงานทุกระดับ พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมฝีมือแรงงานไปสู่การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติและการประเมินความรู้ความสามารถ ร่วมกันจัดการแข่งทักษะฝีมือระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ระดับอาเซียน และระดับนานาชาติ เผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีงานทำ การคุ้มครองแรงงาน และด้านประกันสังคม เป็นต้น

ด้าน น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า  ความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการพัฒนาศักยภาพนักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ ให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อส่งเสริมการมีงานทำ ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต และการพัฒนาประเทศ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลการศึกษาของชาติเพื่อการพัฒนาคุณภาพของประชาชน ได้กำหนดนโยบายการจัดการศึกษา ซึ่งมีเป้าหมาย คือ มีผู้เรียนเป็นเป้าหมายแห่งการพัฒนา โดยให้ผู้เรียนมีวิธีคิดและทักษะที่เป็นสากลสอดคล้องกับพลวัตในศตวรรษที่ 21 ควบคู่ไปกับสำนึกและความเข้าใจในความเป็นไทย ผ่านการมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี ทั้งในเชิงโครงสร้างและในเชิงการเรียนรู้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการศึกษาให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพในทุกมิติ ให้กับผู้เรียนทุกช่วงวัย การศึกษา เพื่ออาชีพ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อให้ผู้จบการศึกษา ระดับปริญญาและอาชีวศึกษามีอาชีพ และรายได้ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพและคุณภาพชีวิตที่ดี มีส่วนช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้

“เป็นความมุ่งมั่น ของรัฐบาล ภายใต้การนำของท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยให้ความสำคัญต่อเด็กนักเรียนอาชีวะ ให้เป็นผู้ที่มีความรู้และทักษะทางอาชีพ ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ซึ่งจะนำไปสู่การมีอาชีพ และรายได้ที่เหมาะสม มีคุณภาพชีวิตที่ดี” น.ส.ตรีนุช กล่าวและว่า นอกจากนี้ การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ การพัฒนาการจัดทำฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ (Big Data) ยังเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานนโยบายที่เป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ที่จะบูรณาการภารกิจการทำงานร่วมกัน

 

 

 

อาชีวะอุดรธานี จับมือ บิทคับ กลุ่มทองแตงและสถาบัน Finn พัฒนาทักษะ Digital Transformation สู่อาชีวะอินเตอร์

วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี รับคิวบิค ธง Digital ก้าวสู่การเป็น วิทยาลัยฯ นำร่องโครงการอาชีวะอินเตอร์ สู่ Digital Transformation ณ โรงแรม Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit ภายใต้ความร่วมมือของ “Bitkub โดยคุณท้อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” จับมือ “ทองแตง กรุ๊ป โดยคุณวิชัย ทองแตง ” ได้ร่วมลงทุนและเปิดตัวบริษัทร่วมทุนใหม่ ชื่อ “Bitkub WorldTech” หมวดธุรกิจการบริการ ที่สนับสนุนการศึกษา โดยมี Finn School of Business and Tourism เป็นหนึ่งในพันธมิตรหลัก ซึ่งร่วมพัฒนาหลักสูตรอาชีวะอินเตอร์ สู่อาชีพ Butler สมรรถนะสูง รายได้ดี มาตรฐานระดับโลก

ลูกเจ็บแม่ขอเจ็บแทน ผู้ปกครองบุก ศธ.ค้านแหย่จมูกตรวจATKเด็กทุกอาทิตย์

เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 ที่กระทรวงศึกษาธิการ  ได้มีตัวแทนกลุ่มผู้ปกครองจากจังหวัดต่าง ๆ ประมาณ 20 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เพื่อขอให้ยกเลิกการตรวจ ATK กับนักเรียน โดยมี นายวิสิทธิ ใจเถิง หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้รับเรื่องแทน โดย น.ส.นัทธมน ตั้งบุญธินา ตัวแทนผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนรัฐ และเอกชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการตรวจ ATK กล่าวว่า เราเห็นว่าลูกหลานของเราได้รับความเดือดร้อนจากการที่โรงเรียนต้องจัดตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ เพราะเด็กมีความทรมาน เจ็บตัว จากการตรวจ ATK ทำให้เด็กเริ่มหลอนการไปโรงเรียน นอกจากนี้ประชาชนทั่วไปก็ต้องตรวจ ทั้งที่ไม่มีอาการอะไร ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่ทำไมต้องถูกปฏิบัติราวกับเป็นคนป่วย การตรวจ ATK หรือการฉีดวัคซีน ควรทำเฉพาะคนที่มีอาการ หรือมีความเสี่ยงเท่านั้น

“ทางกลุ่มเห็นว่าเด็กทั่วไปที่แข็งแรงดีไม่ควรได้รับการตรวจ ATK ทุกสัปดาห์แบบนี้ ผู้ปกครองหลายคนไม่เห็นด้วยที่จะมาเห็นลูกถูกจับกดตัว ถูกบังคับให้เงยหน้าเพื่อแหย่สิ่งแปลกปลอมเข้าไป เด็กบางคนเลือกออก เด็กบางคนแสบจมูก เราเลยมาขอให้ ศธ.ยกเลิกนโยบายการตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ และการสวมหน้ากากอนามัยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เป็นการทำลายสุขภาพ ทำให้ภูมิตก เลือดเป็นกรด การใส่หน้ากากตลอดเวลาไม่ช่วยให้ร่างการแข็งแรงขึ้น อยากจะขอใส่หน้ากากอนามัยตามความสมควรได้หรือไม่ คนที่ปกติหรือคนที่แข็งแรงสมควรที่จะได้รับการปฏิบัติแบบปกติ ควรได้รับอากาศบริสุทธิ์” น.ส.นัทธมน กล่าวและว่า แพทย์ออกมาให้ข้อมูลว่า เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น เพราะเป็นแล้วก็สามารถหายเองได้ภายในไม่กี่วัน และอาการก็ไม่หนัก โดยเฉพาะเด็กแค่เจ็บคอ 2-3 วันก็หาย

ด้านนายวิสิทธิ กล่าวว่า ได้รับเรื่องไว้แล้ว และจะนำเสนอ รมว.ศึกษาธิการ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป

ปี 65 สอศ.พร้อมรองรับเด็กเรียนสายอาชีพเพิ่ม

เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยถึงการรับนักเรียน นักศึกษา ปีการศึกษา 2565 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ว่า ปีนี้ สอศ.หวังว่าจะมีเด็กเรียนสายอาชีพเพิ่มขึ้น ตามนโยบายของ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) โดยเฉพาะนโยบายการป้องกันเด็กตกหล่นจากระบบการศึกษา ซึ่ง ศธ.ได้ประกาศเป็นนโยบายว่าเด็กที่จบ ม.3 ต้องได้เรียนต่อ 100% และยังมีโครงการการอาชีวะสร้างโอกาสการศึกษาให้เยาวชน เพื่อผลิตกำลังคนของประเทศ หรือ “อาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ” ที่เป็นนโยบายของรมว.ศึกษาธิการ เพื่อรองรับเด็กที่มีฐานะยากจน ที่ขาดโอกาสทางการศึกษาให้เข้ามาเรียนสายอาชีพ ซึ่ง สอศ.ได้สั่งการให้สถานศึกษาในสังกัดทั่วประเทศเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษาที่จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายดังกล่าวแล้ว

เลขาธิการ กอศ.​กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้สถานศึกษาในสังกัด สอศ.ได้เริ่มออกไปแนะแนวเชิญชวนนักเรียนให้มาเรียนสายอาชีพแล้ว โดยเป็นการดำเนินการผ่านสื่อโชเซียล พร้อมกับทำหนังสือประสานไปยังโรงเรียนมัธยมศึกษา และโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา เพื่อแนะแนวการเรียนต่อและให้โควต้าแก่นักเรียนของโรงเรียนต่างๆ โดยเน้นย้ำว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลและรมว.ศึกษาธิการที่ต้องการให้เด็กมาเรียนสายอาชีพเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ที่เน้นการเรียนสายอาชีพ เพื่อให้ประกอบอาชีพได้ตนเอง โดย สอศ. จะมีการเพิ่มเติมหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการ หรือ Start up ให้แก่ผู้เรียน ซึ่งจะสามารถประกอบอาชีพได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสถานประกอบการก็ได้

“ขณะนี้ สอศ.มีปัญหาขาดแคลนครูผู้สอน ซึ่งเท่าที่สำรวจพบว่า ขาดครูมากถึง 17,700 กว่าคน ซึ่งสถานศึกษาก็ได้แก้ปัญหาโดยใช้เงินรายได้ของสถานศึกษาจ้างครูอัตราจ้างไปแล้ว และ รมว.ศึกษาธิการก็ได้รับทราบถึงปัญหา จึงเห็นควรให้ทำเรื่องถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอใช้งบกลางเพื่อช่วยเหลือสถานศึกษาที่ได้มีการจ้างครูอัตราจ้างไปก่อนแล้วประมาณ 8,000 กว่าอัตราก่อน ขณะเดียวกันก็ทำเรื่องตั้งเป็นงบปกติในปีงบประมาณ 2566 นอกจากนี้ สอศ.ยังได้ทำเรื่องไปยังคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เพื่อขอกำหนดอัตราตามความขาดแคลนของสถานศึกษาด้วย ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือสถานศึกษาในเบื้องต้นได้ เพื่อให้สถานศึกษานำเงินรายได้ของสถานศึกษาไปจัดการเรียนการสอนได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องมารับภาระเรื่องการจ้างครู”ดร.สุเทพ กล่าวและว่า สำหรับเหตุผลที่ทำให้ สอศ.ขาดแคลนครู เนื่องมาจาก ก.ค.ศ.กำหนดอัตราส่วนครูต่อนักเรียนแล้วมาใช้กับทุกสังกัด ซึ่งในทาง
ปฏิบัติในส่วนของอาชีวศึกษา ไม่สามารถใช้สัดส่วนดังกล่าวได้ เพราะเป็นการเรียนสายวิชาชีพที่จะต้องใช้ครูเฉพาะสาขาซึ่งมีความหลากหลายมาก อย่างไรก็ตามในระยะยาวการแก้ปัญหาคงต้องขอกำหนดอัตราจาก ก.ค.ศ.ใหม่ และอีกวิธีการหนึ่งคือใช้บุคลากรจากสถานประกอบการมาเป็นวิทยากรพิเศษ และเน้นการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคี โดยส่งเด็กไปเรียนรู้ในสถานประกอบการซึ่งจะสามารถช่วยลดการขาดแคลนบุคลากรและเด็กยังได้ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยด้วย

 

17 ปี มทร.พระนครกับทิศทางในอนาคต มุ่งสู่มหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ ผลิตบัณฑิตตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม

วันที่ 18 มกราคม 2565 วันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร หรือ มทร.พระนคร สถาบันอุดมศึกษาด้านวิชาชีพและเทคโนโลยี ที่มีวิสัยทัศน์ (Vision) มหาวิทยาลัยผู้สร้างแรงบันดาลใจ พัฒนาทักษะการคิดเป็นระบบ ปฏิบัติเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีและเป็นที่พึ่งของสังคมมายาวนาน เวลากว่า 17 ปี

ดร.ณัฐวรพล  รัชสิริวัชรบุล อธิการบดี มทร.พระนคร กล่าวถึงทิศทางการพัฒนามหาวิทยาลัยในอนาคตว่า  มทร.พระนครจะมุ่งไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความสมบูรณ์แบบ การจะพัฒนามหาวิทยาลัยให้มีความสมบูรณ์แบบ เพื่อให้องค์กรสามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว  ซึ่งต้องมีการจัดการเรียนการสอนที่มีความหลากหลาย และครอบคลุมทุกสาขา ที่สำคัญหลักสูตรที่เปิดการเรียนการสอนต้องตอบโจทย์ตลาดแรงงาน  การพัฒนากำลังคนตอบโจทย์ด้านอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล  อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบราง  อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงการอบรมหลักสูตรระยะสั้นที่สามารถประยุกต์ความรู้ไปใช้ได้ในโลกความเป็นจริง  และมุ่งเปิดโอกาสเรียนรู้ยกระดับการศึกษา ซึ่งนักศึกษาในวันนี้ จะมีทุกกลุ่มวัยและคนวัยทำงานในตลาดแรงงานที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตน หรือผู้ที่ต้องการ Re-Skill ,Up Skill เข้ามาศึกษาต่อ  โดยผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตจากการศึกษาในระบบจากมหาวิทยาลัย  การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรง  เพื่อนำไปใช้รับประกาศนียบัตร วุฒิบัตร อนุปริญญาหรือปริญญาตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถที่จะเลือกเรียนเฉพาะเรื่องที่ต้องการยกระดับ หรือเพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็นกับตัวเองที่เป็นไปตามแนวทางของมหาวิทยาลัยในการเป็นสถาบันการศึกษาที่เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต(Lifelong Learning ) นอกจากนี้ต้องปรับปรุงพื้นที่ทางกายภาพให้เหมาะสมกับการเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์แบบ นักศึกษาสามารถมีชีวิตในมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์ด้วย

ส่วนตัวมองว่าการศึกษาวันนี้ผู้เรียนมีโอกาสเลือกเรียนได้มากขึ้น  หากจัดการศึกษาทั่วไปแล้วให้บัณฑิตที่จบไปค้นหาตัวเองว่าจบแล้วจะไปเป็นอะไร อยากจะทำวิชาชีพไหน ตำแหน่งอะไร ก็ไปค้นหาตัวเองนั้นอาจจะไม่เหมาะกับการแข่งขันในตลาดการศึกษายุคนี้ ตนเชื่อมั่นในการสร้าง Supply Chain ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการหรือตลาดแรงงานที่ตรงประเด็น คือเรามีจุดแข็งทางด้านอะไรก็ต้องผลิตบัณฑิต เพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงานทางด้านนั้นโดยเฉพาะ อย่างหลักสูตรที่เปิดสอนมีตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ถือว่าเป็นจุดแข็งและมีชื่อเสียงมายาวนานน่าจะเป็นการเรียนการสอนระดับ ปวช. ทางช่าง ที่มหาวิทยาลัยคงต้องกลับมาดูส่วนนี้ให้มากขึ้น เพราะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ขณะเดียวกันต้องดูหลักสูตรใหม่ๆ ที่รองรับวิชาชีพในอนาคตด้วย โดยเน้นด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเกษตร อาหาร  สุขภาพ และการพัฒนามิติสุขภาวะ เนื่องจากเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  ดังนั้นเราต้องดูว่าทุกหลักสูตรที่จะผลิตนั้นควรจะเป็นอย่างไร  อาจารย์ควรจะมีความรู้ ทักษะทางด้านไหน  อุปกรณ์ เครื่องมือการเรียนการสอนควรจะต้องมีอะไรบ้าง คงต้องมาดูกันทั้งระบบ และการจะทำเช่นนี้ได้ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับภาคอุตสาหกรรม และตลาดแรงงาน ที่สำคัญมหาวิทยาลัยจะไปเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม รับรู้ แลกเปลี่ยนข้อมูลกันมากขึ้น ต้องดูว่าเค้าคาดหวังอะไรจากมหาวิทยาลัย  อยากให้นักศึกษาเป็นอย่างไร มีลักษณะแบบไหน และมหาวิทยาลัยต้องผลิตให้ตรงตามที่ต้องการ  สมัยก่อนเราจะถูกมองว่าเป็นแพะของสังคม บัณฑิตที่จบจากรั้วมหาวิทยาลัยทำงานอะไรก็ไม่เป็น ทำงานก็ไม่ได้  ต้องมาสอนใหม่หมด วันนี้เราจะไม่โทษกันแล้ว ภาคอุตสาหกรรมต้องมาทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา ช่วยกันหล่อหลอมบัณฑิตให้ตรงใจตั้งแต่เริ่มกระบวนการจัดการศึกษา มีการสร้างเครือข่ายการทำงาน เพราะเราจะไม่ทำงานอย่างโดดเดียว ยังร่วมมือกับ 9 มทร.ในการทำงาน รวมถึงความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากลด้วย

ดร.ณัฐวรพล กล่าวต่อไปว่า สำหรับการปรับเปลี่ยนสถานภาพของมหาวิทยาลัยไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือ การออกนอกระบบ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมากและยังฟันธง 100 % ไม่ได้ว่าจะออกนอกระบบวันไหน คงต้องดูความพร้อมของเราด้วยว่ามีมากน้อยแค่ไหน หลายคนกลัวว่าการออกนอกระบบจะทำให้อยู่ยาก โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง แต่อยากบอกว่าเวลานี้โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทางรอดคือส่งเสริมให้องค์กรแข่งขันเพื่อให้อยู่รอดได้ เกิดความคล่องตัวในการใช้งบประมาณ สามารถตอบสนองแรงงานได้ สิ่งแรกต้องสร้างความเข้าใจกับคนในองค์กรว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไร อะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น ดีหรือไม่ดีอย่างไร ต้องมีการสื่อสารให้ทุกภาคส่วนเข้าใจให้ตรงกันว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อย่างไรก็ตามเวลาพูดเรื่องนี้ทุกคนไม่ได้คัดค้านการออกนอกระบบ  เพียงแต่ต้องการทราบกระบวนการ วิธีการ และอยากให้มีส่วนร่วมมากขึ้น

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกไม่หยุด และส่งผลกระทบต่อแวดวงการศึกษาของประเทศไทย ทำให้ต้องมีการปรับการเรียนการสอนครั้งใหญ่ไปสู่เทรนด์โลกแห่งการเรียนรู้แบบใหม่หรือออนไลน์ ดร.ณัฐวรพล บอกว่า ยอมรับว่าโควิดกระทบต่อการระบบการศึกษามากทั้งเชิงบวกและเชิงลบ โดยเชิงลบทำให้บุคลากรไม่สามารถมาทำกิจกรรมหรืออยู่รวมกันได้ ต้องเลื่อนการทำกิจกรรมบางอย่างออกไป ต้องปรับการเรียนการสอนมาเป็นระบบออนไลน์มากขึ้น  แต่ในสถานการณ์นี้เกิดผลเชิงบวกทำให้ทุกคนเริ่มนำเทคโนโลยีเข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น จนเกิดเป็นความคุ้นชินไปแล้ว  ที่สำคัญทำให้เราเห็นถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤติที่เป็นตัววัดความเข้มแข็งขององค์กรว่าใครปรับตัวได้เร็วกว่ากัน และต้องอยู่กับสถานการณ์นี้ต่อไปให้ได้

 

“ตรีนุช”ย้ำ สอศ.จัดหนักทั้งวินัย-อาญาแก๊งตกเบ็ดอ้างช่วยนั่งผอ.สถานศึกษาอาชีวะได้

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2565 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)  เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัด สอศ.  ซึ่งจะเปิดรับสมัครวันที่ 1-10 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ แต่ปรากฎว่า มีกลุ่มบุคคลแอบอ้างว่า สามารถวิ่งเต้นเพื่อช่วยให้เป็นผู้อำนวยการสถานศึกษาได้ โดยอ้างถึงผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เรื่องดังกล่าวมีมูลความจริง สอศ.จึงได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.ดุสิต เพื่อเอาผิดอาญา พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงกับผู้เกี่ยวข้องทึ่เป็นข้าราชการ โดยมี นายยศพล เวณุโกเศศ รองเลขาธิการ กอศ. เป็นประธาน

“เรื่องนี้ผมเอาจริง อยากจะตัดวงจรกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะไม่อยากให้ใครเอาชื่อเสียงของอาชีวะมาใช้ในลักษณะนี้ สอศ.จะไม่ให้มีกระบวนการตกเบ็ดเข้ามาแทรกการสรรหาผู้บริหารสถานศึกษาอย่างเด็ดขาด โดยขณะนี้มีข้อมูลและหลักฐานที่มีทำให้มั่นใจว่ามีกระบวนนี้อยู่จริง ๆ และสามารถเอาผิดได้แน่นอน เพราะมีทั้งพยานหลักฐาน พยานบุคคลที่สามารถเชื่อมโยงกันได้  อย่างไรก็ตามเบื้องต้นพบว่า มีบุคคลทั้งในราชการและนอกราชการร่วมขบวนการหลายคน โดยบุคคลเหล่านี้เป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งหมด”เลขาธิการ กอศ.กล่าวและว่า ทั้งนี้ตนได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ทราบแล้ว ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ ได้ขอบคุณสอศ.ที่เร่งดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากให้มีเหลือบเข้ามาอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ และเน้นย้ำให้ สอศ.ดำเนินการทางวินัยและอาญาให้ถึงที่สุด เพราะมีการเอาชื่อผู้ใหญ่ระดับนโยบายไปแอบอ้าง