อาชีวะคัดเลือกทีมแกะสลักหิมะเป็นตัวแทนประเทศไทยแข่งระดับนานาชาติที่ฮาร์บิน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 ดร. สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2564 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ดำเนินการคัดเลือกทีมตัวแทนเข้าร่วมแข่งขัน การแกะสลักหิมะนานาชาติ ประจำปี 2565 ณ มหาวิทยาลัยวิศวกรรมฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งในปีนี้ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  เจ้าภาพจึงจัดแข่งขันในรูปแบบออนไลน์ โดยให้ส่ง ภาพสเก็ตซ์ผลงาน และโมเดล เข้าร่วมแข่งขันฯ  สำหรับทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน มีจำนวน 6 ทีมประกอบด้วย  วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี ชื่อผลงาน นางฟ้าของฉัน  วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง ชื่อผลงาน ชัยชนะรวมโลกเป็นหนึ่งเดียว วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม ชื่อผลงาน พลังแห่งการรวมกัน วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี ชื่อผลงาน The Hero หัวใจสิงห์ผู้ไม่เคยยอมแพ้แก่โชคชะตา วิทยาลัยอาชีวศึกษากาญจนบุรี ชื่อผลงาน ศาลายาไทยในอนาคต และวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ชื่อผลงาน ความฝันสู่อนาคต

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับหัวข้อที่ใช้ในการแข่งขันคัดเลือกในครั้งนี้ คือ “ความฝันสู่อนาคต” โดยการคัดเลือกครั้งนี้ สอศ. ได้รับเกียรติจาก นายเฉลิมศักดิ์ พงษ์กล่าวขำ อุปนายกสมาคมการประดิษฐ์ไทย นายกุศล บุญกอบส่งเสริม นักแกะสลักหิมะระดับมืออาชีพ แชมป์เมืองซัปโปโร นายกฤษณะ วงศเทศน์ นักแกะสลักหิมะ มืออาชีพ นายสุพัฒน์ ปักกาโต นักแกะสลักหิมะมืออาชีพ
และคณะกรรมการอีก 4 คนจาก สอศ.โดยทีมที่ชนะเลิศ และรองชนะเลิศอันดับที่ 1 และอันดับที่ 2 จำนวน 3 ทีมจะได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันการแกะสลักหิมะนานาชาติ ประจำปี 2565 ณ มหาวิทยาลัยวิศวกรรมฮาร์บิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ในรูปแบบออนไลน์ ต่อไป

“สุรศักดิ์” ชี้ กศน.ไม่ใช่ กศ.เบอร์สองหรือเบอร์สาม แต่เป็นกศ.นอกระบบที่เป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ

เมื่อวันที่  18 พฤศจิกายน 2564 ที่หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) ได้จัดการประชุมชี้แจงจุดเน้นและแนวทางการดำเนินงาน สำนักงาน กศน.ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 โดยมี ดร.สุรศักดิ์ อินศรีไกร เลขาธิการ กศน. เป็นประธาน ทั้งนี้ ดร.ปรเมศวร์ ศิริรัตน์ รองเลขาธิการ กศน.กล่าวรายงานว่า เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณ 2565 และมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสำนักงาน กศน.มีแผนงาน / โครงการสำคัญที่ต้องดำเนินการ เพื่อสนองตอบยุทธศาสตร์และแผนการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งนโยบายของ รมว.และ รมช.ศึกษาธิการ ทั้งโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน โครงการภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพ โครงการเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน รวมถึงโครงการอื่น ๆ ตามภารกิจที่พร้อมจะขับเคลื่อนการดำเนินงานในการพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้มีคุณภาพในทุกมิติ ทั้งการจัดการเรียนรู้ การสร้างสมรรถนะและทักษะ การพัฒนาและส่งเสริมองค์กรและแหล่งเรียนรู้ และการบริหารจัดการให้ขับเคลื่อนการจัดการศึกษาและการเรียนรู้เข้าถึงประชาชนทุกคนทุกระดับในสังคม ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทุกช่วงวัยเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ไปสู่การศึกษาตลอดชีวิตอย่างแท้จริง

ดร.สุรศักดิ์ อินศรีไกร เลขาธิการ กศน.  กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับชาว กศน.ว่า เราจะต้องขับเคลื่อนนโยบายไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ มีคุณภาพ และประสบความสำเร็จ  ที่ต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจ จะอาศัยตนคนเดียวคงยาก เพราะงาน กศน.เป็นงานที่ใหญ่ เป็นที่พึ่งของประชาชน เป็นความหวังของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการในการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และต้องการสร้างคุณภาพให้เกิดกับประชาชน และกลุ่มเป้าหมายของ กศน.ซึ่งต้องอาศัยทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคในการร่วมกันขับเคลื่อนให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า โครงสร้าง กศน.มี 3 ส่วนหลัก คือ 1.ส่วนกลาง ซึ่งเปรียบเสมือนต้นน้ำ มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แจ้งนโยบาย สนับสนุน ส่งเสริม กำกับ นิเทศติดตาม สร้างขวัญกำลังใจให้พี่น้องในส่วนภูมิภาค 2. ส่วนกลางที่เป็นสถาบัน  กศน.ภาค  กศน.จังหวัด ซึ่งเป็นกลางน้ำที่จะเป็นโซ่ข้อกลาง ทำให้เกิดคุณภาพสามารถขับเคลื่อนนโยบายจากต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำ มีความสำคัญในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และ 3.ปลายทาง หรือ ปลายน้ำ ซึ่งคือ กศน.อำเภอ กศน.ตำบล ที่เป็นหัวใจสำคัญของกศน.ในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติจะประสบความสำเร็จได้ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของ กศน.ที่จะต้องสร้างความเข้มแข็งและสร้างขวัญกำลังใจให้กับปลายน้ำในการขับเคลื่อนงานให้ประสบความสำเร็จ

“การทำงานต้องอาศัยทีมเวิร์ค เครือข่าย ความสอดคล้อง และความเชื่อมโยงทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ไม่มีส่วนใดสำคัญกว่ากัน ทุกส่วนมีความสำคัญตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละส่วน แต่ถ้าต้องให้น้ำหนักว่าส่วนไหนที่จะขับเคลื่อนงาน กศน.ให้ประสบความสำเร็จได้ ผมขอให้น้ำหนักไปที่ปลายน้ำ นั่นก็คือ กศน.อำเภอ และ กศน.ตำบล อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าการขับเคลื่อนงาน กศน.ต้องอาศัยทั้ง 3 ส่วนให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน”ดร.สุรศักดิ์ กล่าวและว่า ในส่วนการบริหารจัดการเพื่อไปสู่เป้าหมาย ตนไม่ต้องการตัดเสื้อตัวเดียวและใส่ทุกคน เพราะคิดว่า นโยบาย หรือ จุดเน้น คือภาพกว้าง ๆ แต่วิธีการทำงานขอให้เป็นรูปแบบของแต่ละพื้นที่ในการคิดค้น เป็นนวัตกรรมของตัวเอง เพราะมีความหลากหลายในพื้นที่ มีอุปสรรคที่แตกต่างกัน แต่มีจุดหมายเดียวกัน ตามสโลแกนที่ว่า ‘กศน.เพื่อประชาชน ก้าวใหม่ ก้าวแห่งคุณภาพ’

เลขาธิการ กศน.กล่าวต่อไปว่า กรอบการขับเคลื่อนนโยบาย 3 ส่วน คือ โอกาส คุณภาพ และประสิทธิภาพ เนื่องจาก การลดความเหลื่อมล้ำ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นอีกหน้าที่หนึ่งของ กศน. ซึ่งโอกาสจะเป็นตัวตอบโจทย์ว่า กศน.สามารถจัดการศึกษา ที่ลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ สกรีน หรือ เอ็กซเรย์ เอาคนที่หลุดจากระบบในระบบ มาสู่การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยทุกรูปแบบ และวันนี้เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง เขาไม่มาหาเรา เราต้องไปหาเขา ฝากเป็นโจทย์ให้พื้นที่ไปดูว่าจะทำอย่างไรให้การจัดการศึกษาของกศน.ให้เข้าถึงกลุ่มคนเหล่านี้ได้ ส่วนเรื่องของคุณภาพ วันนี้เราต้องตอบโจทย์สังคมว่า เราไม่ใช่การศึกษาเบอร์สองหรือเบอร์สาม แต่เราเป็นการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่เป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ เราสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ คนที่จบ กศน.สามารถเรียนต่อในระดับสูงสุดได้ สามารถประกอบอาชีพได้ สามารถเป็นผู้นำในสังคมได้ ซึ่งมีตัวอย่างมากมายที่ประสบความสำเร็จจากการเรียน กศน. ส่วนเรื่องของประสิทธิภาพในการบริหาร ประสิทธิภาพในการทำงานจะเป็นตัวที่ทำให้งานมีคุณภาพและบรรลุผลสำเร็จได้ ซึ่งวันนี้แต่ละองค์กร วัดศักยภาพด้วยประสิทธิภาพในการบริหารงาน

“ผมจะขับเคลื่อนนโยบาย 3 กลุ่มหลัก คือ 1.การน้อมนำพระบรมราโชบาย และโครงการพระราชดำริ สู่การปฏิบัติ เช่น โคกหนองนาโมเดล หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการจิตอาสา เป็นต้น 2.การนำนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการสู่การปฏิบัติ ทั้งในส่วนที่เป็นนโยบายของ รมว. และ รมช.ศึกษาธิการ 3.การนำนโยบายสู่การปฏิบัติ เน้นการดำเนินงานของ กศน.ใน 4 ประเด็น คือ การจัดการเรียนรู้คุณภาพ การสร้างสมรรถนะและทักษะคุณภาพ องค์กร/สถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้คุณภาพ และการบริหารจัดการคุณภาพ ทั้งนี้องค์กรจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีผู้นำที่มีคุณภาพด้วย”เลขาธิการ กศน.กล่าว

ที่ปรึกษา สอศ.ตรวจการสอน On-Site พร้อมเยี่ยมศูนย์ CVM – Excellent อาชีวะอุดร

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษา(วอศ.)อุดรธานี  เปิดเผยว่า ดร.นิติ  นาชิต ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาธุรกิจและบริการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ตรวจเยี่ยมวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ในการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอุดรธานี ให้เปิด แบบ On-Site และได้เข้าเยี่ยมชมการดำเนินการขับเคลื่อนศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center of Vocational Manpower Networking Management : CVM) สาขาการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน และศูนย์ความเป็นเลิศ Excellent Center สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี โดยทั้ง 2 สาขา ได้ทำการเชื่อมโยงหลักสูตรตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และกรอบอ้างอิงคุณวุฒิอาเซียน (AQRF) ได้เทียบเคียงให้สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพ ทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)

“ วิทยาลัยฯ ได้ให้ข้อมูลถึงการนำนวัตกรรมและมาตรฐานอาชีพ ทั้งในประเทศและมาตรฐานสากลมาจัดการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในการแข่งขัน รวมทั้งมีการระดมทรัพยากรจากภาคประกอบการมาร่วมจัดการเรียนรู้สู่การปฏิบัติจริงภายในสถานศึกษาหรือโรงงานในโรงเรียนโดยให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง อีกทั้งสถานศึกษามีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม หากได้รับการสนับสนุนอาคารปฏิบัติการด้านธุรกิจและโรงแรมจะทำให้นักเรียนมีแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพมากยิ่งขึ้นต่อไป” ผอ.วอศ.อุดรธานี กล่าว

ทั้งนี้ทางวิทยาลัยฯ ดร.นิติยังได้กราบสักการะ “องค์ศรีสุขคเณศ” ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ รวมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนทุกสาขาอาชีพ และยังเป็นพระพิฆเนศองค์แรกที่รวมบารมีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอุดรธานีที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี และเข้าเยี่ยมชม Beyond Cafe @UDVC แหล่งเรียนรู้เพื่อการฝึกอาชีพ ภายใต้โครงการความร่วมมือการจัดการด้านอาชีวศึกษา ระหว่างวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีกับ บริษัท BEYOND CAFÉ จำกัด ซึ่งการทำความร่วมมือจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษา เพื่อจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษา สาขาวิชาต่างๆ อาทิ สาขาคหกรรมศาสตร์ สาขาการโรงแรม สาขาการบัญชี สาขาอาหารและโภชนาการ และสาขาการตลาด โดยสถานประกอบการได้สนับสนุนงบประมาณ ครุภัณฑ์ วัสดุ อุปกรณ์ และองค์ความรู้ต่างๆ ให้กับครูผู้สอนรวมถึงให้นักศึกษา ได้ฝึกอาชีพ และฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริงด้วย

กยศ.จับมือกรมคุ้มครองสิทธิฯจัดงานไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้ค้างชำระ

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564  ที่ กระทรวงยุติธรรม ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินงานด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ระหว่าง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานในพิธี โดยมี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือ

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 รับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบาย รัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง เพื่อการแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชนภายใต้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยกระทรวงมีนโยบายด้านการอำนวยความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนดำเนินการการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนที่เป็นหนี้รายย่อย หนี้ครัวเรือน หนี้เกษตรกร และหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ด้วยการนำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททั้งก่อนฟ้องคดีและหลังฟ้องคดีมาใช้ยุติหรือระงับข้อพิพาท ซึ่งต้องขอขอบพระคุณท่านโฆสิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานแก้ไขปัญหาหนี้สินของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่ได้ขับเคลื่อนนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดีให้สามารถยุติหรือระงับข้อพิพาทได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เป็นธรรม ไม่เสียค่าใช้จ่าย และเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงกรุงเทพมหานคร

นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ได้บูรณาการความร่วมมือเพื่อดำเนินงานเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาก่อนฟ้อง ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 โดยคำนึงถึงความยินยอมของคู่กรณีเป็นสำคัญ ทำให้ข้อพิพาทยุติได้ก่อนขึ้นสู่ศาล ลดปัญหาความขัดแย้ง ลดค่าใช้จ่าย ในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างคู่กรณีและความสมานฉันท์ในสังคม ภายหลังจากลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ทั้งสองหน่วยงานจะได้ร่วมกันจัดมหกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้แก่ลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่มีจำนวนกว่าหนึ่งล้านรายทั่วประเทศ

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า กองทุนได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ในการให้ความช่วยเหลือ ผู้กู้ยืมที่มีหนี้ค้างชำระติดต่อกันหลายงวด ซึ่งอาจถูกบอกเลิกสัญญาและถูกฟ้องร้องดำเนินคดี โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้กู้ยืมยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการชำระหนี้ของผู้กู้ยืม ลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรม ลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาล รวมถึงเป็นการส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษารุ่นน้อง โดยสามารถติดตามรายละเอียดการจัดงานไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ทาง www.studentloan.or.th

“ตรีนุช”เยี่ยมชมศูนย์ฝึกอาชีพเทคนิคกระบี่

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564  น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) นอกจากนี้ได้เยี่ยมชมนิทรรศการงานมหกรรมการจัดการศึกษา อาชีวศึกษาสู่ความเป็นเลิศ และได้เยี่ยมชมศูนย์ฝึกอาชีพฯ นักเรียน นักศึกษา ร้านกาแฟ Sawasdee Cup และ Sawasdee Plaza โดยมี ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)   ดร. ศิวกรณ์ เอ่งฉ้วน ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคกระบี่ ประธานอาชีวศึกษาจังหวัดกระบี่ คณะผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่ และตัวแทนนักเรียน นักศึกษา อาชีวศึกษาจังหวัดกระบี่ ให้การต้อนรับ ณ วิทยาลัยเทคนิคกระบี่

ครม.ไฟเขียวย้ายคนเดียว “พิเชฐ์ โพธิ์ภักดี” ศธภ.ภาค10 นั่งผู้ตรวจฯ จาก ที่ ศธ.เสนอ 5 ราย

ตามที่ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ว่า ได้เสนอรายชื่อผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในตำแหน่งผู้บริหารระดับ 10 ที่ยังว่างอยู่ 5 ตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ตรวจราชการ ศธ. จำนวน 4 ตำแหน่ง และรองเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) 1 ตำแหน่ง ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)สัญจร ที่จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2564 พิจารณานั้น

เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2564 ครม.ได้มีมติอนุมัติเพียง 1 ราย คือ นายพิเชฐ์ โพธิ์ภักดี ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 10 ซึ่งเป็นการย้ายสลับตำแหน่งเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าที่เหลืออีก 4 ตำแหน่งขาดคุณสมบัติหรือว่าด้วยเหตุผลประการใด

 

“คุณหญิงกัลยา”ติดตามโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ พังงา พื้นที่ชุมชนร่วมเสนอแผนยกระดับเป็น “วิทยาลัยเทคโนโลยีฐานนวัตกรรม”

ดร.คุณหญิงกัลยา  โสภณพนิช  รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตาม การดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ที่จังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ระหว่างวันที่ 15-16พฤศจิกายน2564  ว่า ตนได้ลงพื้นที่จังหวัดพังงา เพื่อติดตามโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ของวิทยาลัยเทคนิคพังงา ซึ่งได้พบปะนักเรียนโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์พังงา และนักเรียนในโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงของกองทุนเพื่อความเสมอภาค (กสศ.) โดยการประชุมผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้รายงานถึงความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์พังงา และต้องการที่จะยกระดับวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์พังงาให้เป็นแหล่งผลิตบุคลากรผู้มีความสามารถทางเทคโนโลยีที่จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างนวัตกรรมให้กับประเทศ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ระยะที่ 3 และเร่งศึกษา วิจัย ข้อมูล ในเรื่องการจัดตั้งวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์พังงาโดยจะแยกออกจากวิทยาลัยเทคนิคพังงา และจะใช้ชื่อเป็น วิทยาลัยเทคโนโลยีฐานนวัตกรรมพังงา เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนบุคลากรให้มีประสิทธิภาพทางการศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศ และยกระดับคุณภาพการจัดการอาชีวศึกษาไทยต่อไป

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์พังงาเปิดการเรียนการสอนสาขางานเทคโนโลยีการท่องเที่ยว ตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 จนถึงปัจจุบันนับเป็นรุ่นที่ 12 มีนักเรียนจำนวน 168 คน และในปีการศึกษา 2563 ได้เปิดสอนสาขาเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร มีนักเรียนจำนวน 40 คน รวมจำนวนนักเรียนในโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น 208 คน และในปีการศึกษา2565 จะดำเนินการเปิดสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เป็นปีแรกจำนวน 2 สาขา ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีการจัดประชุม นิทรรศการและอีเว้นต์ จำนวน20 คน และสาขาเทคโนโลยีการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จำนวน 20 คน โดยในช่วงแรกจะรับนักเรียนทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ประเภททุน ปวช.ต่อเนื่อง ปวส. 5 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งขณะนี้นักเรียนทุนสาขาเทคโนโลยีการท่องเที่ยวรุ่นที่ 1 กำลังจะจบการศึกษาในระดับ ปวช.ปีที่ 3 และจะเข้าศึกษาต่อในระดับปวส.ในปีการศึกษา 2565


 คุณหญิงกัลยา กล่าวต่อไปอีกว่า การลงพื้นที่ติดตามในครั้งนี้ทำให้ได้เห็นความมุ่งมั่นของผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษาในโครงการเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ที่ตั้งใจสั่งสอนอบรมดูแลจนนักเรียนได้สร้างเกียรติประวัติทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เช่น นักเรียนรางวัลพระราชทาน 5 ปีซ้อน รางวัลชนะเลิศการประกวดแผนธุรกิจระดับประเทศ รางวัลชนะเลิศการแข่งขันทักษะสะเต็มศึกษาระดับชาติ รางวัลรองชนะเลิศการนำเสนอรายการนำเที่ยวและการกล่าวสุนทรพจน์ภาษาจีนระดับชาติ รางวัลชนะเลิศโครงการ CDD Young Designer Contest รางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติในงาน The International Convention on Vocation Innovation Project เป็นต้น  อีกทั้งปัจจุบัน ยังมีศิษย์เก่าในโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์กลับมาเป็นครูจำนวน 7 คน ซึ่งจะยิ่งช่วยทำให้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนในโครงการรูปแบบProject based learning มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น

ทั้งนี้คุณหญิงกัลยาพร้อมคณะยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานนวัตกรรม และการจัดการเรียนแบบ Project-Based learning  (PjBL)  การสร้างผู้ประกอบการนวัตกรรมSTEAM for INNOPRENEUR  ตลอดจนเยี่ยมชมศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) สาขาวิชาพาณิชยกรรมและบริการฐานวิทยาศาสตร์สาขางานเทคโนโลยีการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งเป็นสาขาเปิดใหม่ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังคนตอบสนองทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม เป้าหมายของประเทศ(S-Curve) ในกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัดพังงาในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยจะเปิดรับนักศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปีการศึกษา 2565 โดยวิทยาลัยได้ทำความร่วมมือกับสาธารณสุขจังหวัดพังงาและสถานประกอบการด้านการโรงแรม ท่องเที่ยวและสปาชั้นนำของประเทศ

วิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์พังงา มีการจัดเรียนการสอนในลักษณะของโรงเรียนประจำ เปิดสอนในสาขาพาณิชยกรรมและบริการฐานวิทยาศาสตร์(เทคโนโลยีการท่องเที่ยว) โดยมีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงและมีมหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เป็นมหาวิทยาลัยในเครือข่ายความร่วมมือ  มีการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ซึ่งผู้สอนจะนำสาระและทักษะพื้นฐานทั้งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสังคมศาสตร์ รวมทั้งทักษะด้านวิชาชีพมาบูรณาการจัดทำเป็นโครงงาน หรือ โปรเจกต์ (projects) ภายใต้การจัดการเรียนการสอนแบบ Project-Based learning ที่มุ่งเน้นการสร้างทักษะในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ โดยบูรณาการร่วมกับ STEAM for Innopreneur ที่จะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการนำแนวคิดเชิงนวัตกรรมมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการนวัตกรรม

ตรีนุช”สั่ง สพฐ.ดูแลเด็กพิการทั่วประเทศ ย้ำไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ที่จังหวัดกระบี่ ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านนักเรียน ตามโครงการปรับบ้านเป็นห้องเรียนเปลี่ยนพ่อแม่เป็นครูของสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ได้จัดทำระบบสารสนเทศสถานศึกษาในการค้นหาเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยใช้ Google Maps ปักหมุดสถานที่ (Location) ที่บ้านของนักเรียน พร้อมทั้งเพิ่มรายละเอียดข้อมูลพื้นฐาน และรูปภาพของผู้รับบริการลงในระบบ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายวาระเร่งด่วน (Quick Win) ของตนในการเพิ่มโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษาของประชากรวัยเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยในส่วนของเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษได้มุ่งแก้ปัญหาให้เด็กพิการในวัยเรียนที่ไม่ได้รับการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยปักหมุดบ้านเด็กพิการทั่วประเทศ และให้ความช่วยเหลือให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือด้านการศึกษา ด้านคุณภาพชีวิต และด้านสุขภาพ  

วันนี้ดิฉันได้ติดตามจากการปักหมุด มาเยี่ยม น้องหนูนา หรือ ..ปาลิตา บุตรสันอายุ 6 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นเด็กพิการซ้อน แรกเริ่ม โดยพบว่า มีความพิการซ้อนตั้งแต่กำเนิด และเข้ามารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดกระบี่ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา น้องหนูนาได้รับการประเมินคัดกรอง ตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล(Individual Education Program : IEP) ฟื้นฟูสมรรถภาพและทำกายภาพบำบัด จนสามารถปรับพฤติกรรมทางอารมณ์ พัฒนาการทางด้านร่างกายที่ดีขึ้นจนสามารถช่วยเหลือตนเองได้   จึงได้ปรับลดเวลามารับบริการที่ศูนย์ฯ สัปดาห์ละ 2 วัน ตามความสะดวกของผู้ปกครอง จนกระทั่งเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในปีการศึกษา 2564 ทางศูนย์ฯ จึงได้ปรับการเรียนโดยครูประจำชั้นได้ออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล พร้อมติดต่อผู้ปกครองมารับสื่อ ใบงาน ชุดกิจกรรม แบบฝึก และก่อนการสอนครูประจำชั้นจะติดต่อ สื่อสารกับผู้ปกครองผ่านแอปพลิเคชันไลน์ และโทรศัพท์ แจ้งว่าจะสอนอะไรบ้าง ให้พ่อแม่เตรียมอุปกรณ์ พร้อมให้คำแนะนำผู้ปกครองในการฝึกผู้เรียนที่บ้าน ขณะเดียวกันครูไปเยี่ยมนักเรียนที่บ้าน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อสังเกตจากพฤติกรรม อารมณ์ และผลสำเร็จระหว่างการสอน รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ปกครองรายงานผลการจัดการเรียนการสอนทุกวันจันทร์ เพื่อให้คำแนะนำและติดตามผลการเรียนร่วมกันอย่างใกล้ชิดรมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้เห็นสภาพจริงและความตั้งใจของครูและบุคลากรที่ทำงานในหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ซึ่งเป็นสถานที่ให้บริการทางการศึกษาแก่เด็กพิการ เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ตั้งแต่แรกเกิด หรือแรกพบความพิการ จนถึง18 ปี ในชุมชนที่อยู่ห่างไกล ผู้ปกครองมีฐานะยากจนมีความยากลำบากในการเดินทางมาส่งบุตรหลานที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด ซึ่งปัจจุบัน สพฐ. ได้จัดตั้งหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษใน 76 จังหวัด จำนวน 624 หน่วยบริการ กระจายอยู่ทั่วประเทศ พร้อมทั้งได้ดำเนินงานตามโครงการปรับบ้านเป็นห้องเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู โดยมีกลุ่มเป้าหมายให้เด็กพิการ ซึ่งรับบริการที่บ้านแล้วมากกว่า 9,500 คนทั่วประเทศ

..ตรีนุช กล่าวด้วยว่า กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญเรื่องการเพิ่มโอกาสความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษาทุกช่วงวัยเป็นอย่างยิ่ง โดยในส่วนของการศึกษาพิเศษ เราจะเดินหน้าค้นหาเด็กที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา เมื่อแรกพบจะส่งเสริม สนับสนุน ครูศูนย์การศึกษาพิเศษให้คำแนะนำพ่อแม่ผู้ปกครอง ในการสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลช่วยเหลือเด็กพิการในช่วงที่อยู่ที่บ้าน สร้างความร่วมมือกับเครือข่ายระหว่างกลุ่มพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว และชุมชน ทั้งนี้ ตนได้มีนโยบายให้ สพฐ. ขยายการจัดตั้งหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษให้ครบทุกอำเภอทั่วประเทศต่อไป พร้อมทั้งประสานให้ความช่วยเหลือครอบครัวเด็กพิการ ในด้านคุณภาพชีวิตกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และสาธารณสุขจังหวัด (สธจ.) เป็นต้น เพื่อให้เด็กพิการได้รับการช่วยเหลือครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านคุณภาพชีวิต ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญของรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง.

“ตรีนุช”ชงบิ๊กโปรเจกต์“อาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ”เก็บตกเด็กจบ ม.3 เรียนต่อ100% นำร่อง 6 จังหวัดอันดามัน

  เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ที่ วิทยาลัยเทคนิคกระบี่ จังหวัดกระบี่ ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการทางการศึกษา เพื่อติดตามนโยบายรัฐบาลและนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ จังหวัดกระบี่ ตรัง พังงาภูเก็ต ระนอง และสตูล โดย ..ตรีนุช เปิดเผยว่า จากการตรวจเยี่ยมการจัดการศึกษาในหลายพื้นที่พบว่ามีเด็กไม่ได้เรียนต่อหลังจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ (.) 3 และเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่ได้เพราะอายุไม่ถึง 18 ปี ส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลงเนื่องจากไม่มีความรู้พื้นฐานอาชีพ ดังนั้น จึงได้กำหนดนโยบายให้ผู้จบชั้น .3 ได้เรียนต่อ 100 % ทั้งสายสามัญศึกษา และสายอาชีพ ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในวันที่ 16 ..นี้ ศธ.จะเสนอโครงการอาชีวะสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชน เพื่อผลิตกำลังคนของประเทศหรืออาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพของสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) ให้ที่ประชุมครม.พิจารณา

 

โครงการของ สอศ.เป็นการช่วยเหลือนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ยากจน ขาดโอกาสทางการศึกษา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษามากขึ้น ในลักษณะโรงเรียนประจำ ผู้เรียนได้เรียนฟรี มีที่พัก พร้อมอาหาร โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ซึ่งในปีการศึกษา 2565 จะนำร่องที่ 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่จังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล ก่อนจากนั้นจะขยายโครงการไปในวิทยาลัยสังกัด สอศ.ทั่วประเทศ รวมถึงฝึกอบรม Upskill และ Reskill ให้เยาวชนด้วย มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 10 ปี ตั้งแต่ปีงบฯ 2566-2575 ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มปริมาณผู้เรียนสายวิชาชีพได้ 31,200 คนต่อปี และ Upskill และ Reskill ได้ 65,000 คนต่อปี ใช้งบประมาณเฉลี่ย 1,200 ล้านบาทต่อปีรมว.ศธ.กล่าว 

..ตรีนุช กล่าวด้วยว่า สอศ.ได้รายงานความก้าวหน้านโยบายการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาสู่ความเป็นเลิศ Excellent Center เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ที่เป็นหนึ่งในโยบายเร่งด่วน(Quick Win) ของ ศธ. ซึ่งทางวิทยาลัยเทคนิค(วท.)กระบี่ ได้ดำเนินการในสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน พัฒนาปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนกับสถานประกอบการ และเชื่อมโยงกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ใน 4 สาขางาน คือ สาขาชอฟต์แวร์และการประยุกต์ สาขาเครือข่ายคอมพิวเตอร์และความปลอดภัย สาขากราฟิกเกมและแอนิเมชัน และสาขาสมองกลฝังตัวและไอโอที (Internet of things) เน้นกระบวนการจัดการเรียนการสอน ที่สร้างระบบความคิด การพัฒนาทักษะให้นักเรียน นักศึกษาสามารถปฏิบัติงานได้จริง มีการประยุกต์ใช้รายวิชาในสาขางานสู่อาชีพในอุตสาหกรรมดิจิทัล  

นอกจากนี้ วท.กระบี่ ได้เตรียมขยายผลในสาขาที่เป็นความต้องการกำลังคนในท้องถิ่นในสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ การท่องเที่ยว การโรงแรม ช่างซ่อมบำรุงเรือยอร์ชและช่างอากาศยาน รวมถึงมีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพและพัฒนาศักยภาพการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในองค์กรหลักของ ศธ. และหน่วยงานการศึกษาในจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนและเป็นศูนย์กลางการประสานงานระหว่างหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการเสริมสร้างทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ ให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในจังหวัด โดยกำลังสำรวจความต้องการในการพัฒนาอาชีพ เพื่อนำไปสู่การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะอาชีพได้ตรงตามความต้องการและบริบทที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ รมว.ศธ.ได้เยี่ยมชมศูนย์ฝึกอาชีพและพัฒนาศักยภาพการเป็นผู้ประกอบการSawasdee Plaza และ Sawasdee Cup (CAFE) ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติงานจริงในการจำหน่ายสินค้า และการให้บริการของ วท.กระบี่ โดยมีผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นผลผลิตจากการเรียนการสอนของวิทยาลัย วางจัดจำหน่าย เช่น โต๊ะไม้จากไม้หมาก แก้วสกรีนเครื่องดื่มค็อกเทล เป็นต้น และเยี่ยมให้กำลังใจศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix It Center) ในการให้บริการช่วยเหลือประชาชน โดยเปิดให้บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้กับประชาชน ฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น และการต่อยอดผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนเพื่อเพิ่มมูลค่า สร้างงาน สร้างรายได้ ในสถานการณ์โควิด-19 ด้วย.

สพม.กำแพงเพชรเดินหน้าจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning 100% เพราะเชื่อมาถูกทางแล้ว

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 ที่โรงเรียนคลองขลุงราษฎร์รังสรรค์ ได้มีการจัดงาน “โครงการขยายผลกิจกรรมสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียนรูปแบบ Active learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps” โดย ดร.ศักดิ์ชัย เพชรแกมทอง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)กำแพงเพชร กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ การจัดกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อเตรียมพร้อมทักษะในศตวรรษที่ 21 (21 Century Skills) ให้แก่นักเรียนมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนี้ขอแสดงความชื่นชมโรงเรียนต้นแบบทั้ง 4 โรงเรียนที่จัดกระบวนการเรียนรู้ได้ดีและให้กำลังใจกับโรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมในการที่จะนำรูปแบบ การจัดการเรียนรู้ Active learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนต่อไป

ดร.สุรพล พิมพ์สอน ผู้อำนวยการโรงเรียนคลองขลุงราษฎร์รังสรรค์ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ในโลกปัจจุบันยุคศตวรรษที่ 21 ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีการเชื่อมโยง ข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ และความรู้เกิดขึ้นใหม่มากมาย ทำให้การใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในสังคมมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม ท่ามกลางสังคมบริโภคนิยม ดังนั้นการศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญ ที่เราจะต้องเพิ่มพูนทักษะเพื่อการเรียนรู้และฝึกฝน รวมทั้งการเตรียมพร้อมทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้นักเรียนได้เติบโตและมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน ซึ่งการจัดการเรียนรู้เชิงรุก หรือ Active Learning เป็นแนวการจัดการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และตอบสนองต่อการพัฒนาของสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กอปรกับ นโยบาย ประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”ดังนั้นกระบวนการจัดการเรียนรู้จึงต้องพัฒนานักเรียนให้มีกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ ในการที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning GPAS 5 Steps เป็นกระบวนการพัฒนาผู้เรียนได้เป็นอย่างดี

ดร.สุรพล กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมวันนี้เป็นการขยายผลหลังจากที่โรงเรียนหลัก 4 โรงในจังหวัดกำแพงเพชร ได้แก่ โรงเรียนคลองขลุงราษฎร์รังสรรค์ โรงเรียนพรานกระต่ายพิทยาคม โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม และโรงเรียนวัชรวิทยา ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างนวัตกรรมครู มาจากมหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้มีการขับเคลื่อนจนเกิดนวัตกรรมของนักเรียน ซึ่งการจัดกิจกรรมขยายผลในวันนี้เป็นการขยายผลการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วย Active Learning โดยกระบวนการ GPAS 5 Steps หรือกระบวนการคิดขั้นสูงให้แก่โรงเรียนมัธยมศึกษา 28 โรงในจังหวัดกำแพงเพชรไปขยายผลต่อในปีงบประมาณ 2565 หรือภาคเรียนที่ 2/2564นี้ โดยทักษะ หรือกระบวนการคิดขั้นสูงเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เพราะกระบวนการจะเริ่มตั้งแต่การค้นหาข้อมูล สืบค้นข้อมูลแล้วจัดการข้อมูล ซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับเด็กเพราะเทคโนโลยีที่ถาโถมเข้ามา โซเชียลต่างๆก็เข้ามาทำให้เด็กต้องมีกระบวนการคิดเพื่อให้สามารถจัดการข้อมูลได้ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ เพราะฉะนั้นเชื่อว่ากระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบนี้จะทำให้เด็กมีทักษะกระบวนการคิดที่ดีขึ้น และเรียนอย่างมีความสุขเพราะได้ลงมือปฏิบัติจริง

“เมื่อเด็กได้ปฏิบัติแล้วสิ่งที่โรงเรียนคาดหวังคือการเชื่อมโยงไปสู่ชุมชนโดยนักเรียนสามารถเรียนรู้กับชุมชนเพื่อต่อยอดในการจัดการปัญหาจนเกิดเป็นนวัตกรรมได้ ผมเชื่อว่าการเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติจะทำให้เด็กไม่เบื่อเกิดความสนุกสนานซึ่งเรามาถูกทางแล้ว แต่การเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ก็มีอุปสรรค คือโรงเรียนต้องไปจัดระบบของการเรียนรู้โดยต้องดูว่าการเรียนโดยนวัตกรรมทำอย่างไรไม่ให้ซ้ำซ้อนเพราะครูหลายคนเด็กเรียนหลายวิชาจะทำให้เกิดนวัตกรรมหลายชิ้นงานก็จะเป็นปัญหากับเด็กได้ เพราะฉะนั้นโรงเรียนต้องไปดูเรื่องหลักสูตรโดยการจัดกระบวนจัดทำหลักสูตรหรือหน่วยบูรณาการ เพื่อให้เด็กไปใช้หน่วยบูรณาการลงไปปฏิบัติและไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนซึ่งจะทำให้เด็กเรียนอย่างมีความสุขได้”ดร.สุรพลกล่าว

ด้าน ผศ.ดร.สุพจน์ ทรายแก้ว อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า โครงการขยายผลครั้งนี้เกิดจาก ผอ.สพม.กำแพงเพชร ซึ่งได้เข้าร่วมการประกาศเดินหน้าพลิกโฉมสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียน ก้าวข้ามสภาวะวิกฤตโควิด-19 แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดชั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่หอประชุมคุรุสภา เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา แล้วเห็นว่าเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ใช่ ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่ครบถ้วน และช่วยให้ครูเกิดการพัฒนาความก้าวหน้าในวิชาชีพได้ด้วย จึงได้ติดต่อมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อให้เป็นพี่เลี้ยงในการขยายผลไปยังโรงเรียนมัธยมศึกษาทุกโรงในจังหวัดกำแพงเพชร และทราบว่าวันนี้ได้มีโรงเรียนประถมศึกษาส่วนหนึ่งมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย