“ตรีนุช”คิกออฟ นำร่องใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ1พ.ย.”อัมพร”เผย ไม่ใช่หลักสูตรเปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564  ที่ห้องจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ฐานะประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาจัดทำและพัฒนา(ร่าง)หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ…..(หลักสูตรฐานสมรรถนะ) เป็นประธานเปิด “โครงการนำร่องการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา”  พร้อมเปิดตัวเว็บไซต์ CBCthailand.com (Competency – based Education) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ  โดยมี ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานคณะกรรมการจัดทำและพัฒนากรอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)  รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ  ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เข้าร่วม

โดย น.ส.ตรีนุช เทียนทอง กล่าวในการเป็นประธานเปิดโครงการ ว่า ตนได้เข้ามารับหน้าที่เป็น รมว.ศธ.และได้แถลง 12 นโยบายด้านการจัดการศึกษา และ 7 วาระเร่งด่วน (Quick Win) ของ ศธ.ซึ่งเรื่องการปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ให้ทันสมัย สู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 และเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยครอบคลุมการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ (Big ROCK) ด้านการศึกษาการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นอีกก้าวหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษา ที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และปฏิรูประบบการศึกษา ให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับความหลากหลายของการจัดการศึกษาและตอบโจทย์การพัฒนาของโลกอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนทุกกลุ่มวัยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มีทักษะที่จำเป็นของโลกอนาคต สามารถแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผล มีวินัย มีนิสัยใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และเป็นพลเมืองที่รู้สิทธิและหน้าที่ มีความรับผิดชอบ มีจิตสาธารณะ มีความรักความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และรู้คุณค่าของประวัติศาสตร์

“ วันนี้การเปิดโครงการนำร่องการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จำนวน 265 โรงเรียน ใน 8 จังหวัด ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมด้านหลักสูตรการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อความถนัดและความสนใจของผู้เรียนรายบุคคล ซึ่งจะนำไปสู่แผนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ได้รับการพัฒนาศักยภาพในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning และแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการในวันนี้จะมีส่วนช่วยเปลี่ยนผ่านการศึกษาแบบเดิม ไปสู่การพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน เปลี่ยน ‘ห้องเรียน’ เป็น  ‘ห้องเรียนรู้’ ที่ผู้เรียนเข้าใจ ทำเป็น เห็นผลลัพธ์ และเด็กทุกคนมีโอกาสในการค้นพบเป้าหมายของตนเอง นำไปสู่ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” รมว.ศธ.กล่าว

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา กล่าวว่า จากสถานการณ์ของโลกในศตวรรษที่ 21 วิทยาการต่างๆ มีความเจริญก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา(ฉบับปรับปรุง) ที่กำหนดให้กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้เรียนทุกระดับเป็นผู้มีความรู้ ทักษะ และใฝ่เรียนรู้ มีทักษะในการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ มีความรับผิดชอบ และมีจิต สาธารณะ โดย สพฐ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนา (ร่าง) กรอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถณะ มาตั้งแต่ปี 2562 ต่อมา รมว.ศธ. ตรีนุช เทียนทอง ได้กำหนดให้หลักสูตรฐานสมรรถนะ เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดทำและพัฒนาฯหลักสูตรฐานสมรรถนะ และเปิดรับฟังความคิดเห็น โดยจัดเวทีระดมสมอง 12 ครั้งเวที ซึ่งจัดไปแล้วจำนวน 5 ครั้ง โดยแต่ละครั้งมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมมากกว่า 11,000 คน และจัดเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยเปิดรับความคิดเห็นผ่านช่องทางสื่อโซเชียลมีเดียของ ศธ. และเว็ปไซต์หลักสูตรฐานสมรรถนะ เว็บไซต์ https://cbethailand.com

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า การทดลองใช้หลักสูตรในโรงเรียนนำร่องที่เข้าร่วมโครงการวิจัยในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจำนวน 265 โรงเรียน จาก 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ กาญจนบุรี ศรีสะเกษ ระยอง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยเป็นโรงเรียนสังกัด สพฐ. 226 โรง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 17 โรง และ สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 22 โรง โดยทั้ง 265 โรงเรียนเริ่มใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในช่วงชั้นที่ 1 ชั้น ป.1-ป.3 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้

“ร่างหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรแกนกลางเพื่อให้สถานศึกษาไปทำหลักสูตรสถานศึกษาให้เป็นไปตามบริบทและสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา ซึ่งต้องมีการพัฒนาผู้บริหารและครู รวมถึงทำความเข้าใจกับผู้ปกครองและนักเรียนถึงวัตถุประสงค์ของหลักสูตรใหม่และแนวทางการเรียนการสอนด้วย ส่วนการวัดและประเมินผลก็ต้องเป็นแนวใหม่ จากเดิมที่วัดเพื่อรู้ รู้แค่ไหน แต่ต่อไปนอกจากรู้แล้วจะต้องทำได้ ทำเป็น คิด ได้คิดเป็นแค่ไหน ส่วนเรื่องของสาระการเรียนรู้นั้นขอทำความเข้าใจว่า หลักสูตรฐานสมรรถนะไม่ใช่หลักสูตรเปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนแผ่นดิน แต่เป็นหลักสูตรต่อยอดหลักสูตรอิงมาตรฐาน ซึ่งหลักสูตรเดิมมีเรื่องของความรู้ ทักษะ และเจตคติ หลักสูตรใหม่ก็ยังมีเหมือนเดิม แต่สิ่งที่หลักสูตรใหม่เน้นคือ ไม่ใช่แค่รู้ ต้องทำให้เป็นทำให้ได้”ดร.อัมพรกล่าวและว่า ส่วนหนังสือเรียนที่เกรงว่าจะต้องปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรใหม่นั้น ขอชี้แจงว่าหนังสือเรียนก็ยังคงเป็นหนังสือที่มีสาระเหมือนเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือกระบวนการจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินผล ไม่ได้ยกเลิกสาระหนังสือเรียนที่มีอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า การยกร่างหลักสูตรฐานสมรรถนะ จะขัดกับแผนการปฏิรูปประเทศ ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564  หรือไม่ เนื่องจากในแผนปฏิรูปประเทศไม่มีเรื่องการปรับหลักสูตรเลย มีแต่การปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนตามหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-based Curriculum) ในปัจจุบัน ไปสู่การเรียนรู้ที่พัฒนาสมรรถนะผู้เรียน (Competency-basedLearning) เป็นสำคัญ การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะแบบผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้แบบถักทอความรู้ ทักษะ คุณลักษณะผู้เรียนเข้าด้วยกันด้วยการลงมือปฏิบัติจริง (Active Learning)มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและเรียนรู้อย่างมีความสุขและพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ผ่านการทำงานเป็นทีมและความร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า ในแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา บอกว่าให้พัฒนากระบวนการเรียนการสอนไปสู่สมรรถนะ เพราะฉะนั้นการทำจะให้การเรียนการสอนไปสู่สมรรถนะได้ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หลักสูตร การเรียนการสอน และการวัดประเมินผล เพราะฉะนั้น ทั้ง 3 ส่วนต้องเชื่อมโยงกัน  ส่วนกระบวนการไปสู่สมรรถนะมีความเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบActive Learning  คือ เดิมการเรียนการสอนเป็นแบบบอกความรู้ แต่พอใช้ Active Learning นอกจากรู้แล้วต้องปฏิบัติด้วย ขณะนี้หลักสูตรฐานสมรรถนะก็ต้องการให้เกิดแบบเดียวกัน เพราะฉะนั้น Active Learning ก็คือกระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดสมรรถนะ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องเดียวกัน

“เสมา2”ให้การบ้าน เลขาฯสกศ. เปลี่ยนSTEM เป็น STEAM  สร้างภูมิต้านทานให้เด็กยุคดิสรัปชัน

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานมอบนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมี ดร.อรรถพล สังขวาสี เลขาธิการสภาการศึกษา และผู้บริหารระดับสูงของ สกศ. เข้าร่วม ว่า ตนอยากให้ สกศ.เป็นเข็มทิศ เป็นทิศทางของการศึกษาไทยที่ทุกคนสามารถพึ่งพาและคาดหวังได้ ดังนั้นเมื่อโลกเปลี่ยนไป การศึกษาก็เปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่ง สกศ.มีภารกิจที่หนัก คือ การขับเคลื่อน ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. … ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมรัฐสภาในเร็วๆนี้ และการเปลี่ยนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2551 ที่เน้นสาระความรู้ มาเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ ให้คนเรียนแล้วสามารถไปประกอบอาชีพได้ ที่สำคัญคือ สกศ.ต้องเชื่อมโยงทุกภาคส่วนของสังคมให้การศึกษาในเรื่อง ศาสนา วัฒนธรรม และการกีฬา ให้เป็นรูปธรรม  มองว่าเด็กมีความรู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องนำเอาวัฒนธรรมมาผนวกเข้ากับการศึกษา เมื่อผู้เรียนได้เรียนแล้ว ต้องสามารถแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันได้ มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล มีความเมตตากรุณา จึงฝาก สกศ.นำเรื่องโค้ดดิ้ง และการเรียนวิทยาศาสตร์ ผสานศาสตร์และศิลป์ โดยเปลี่ยนจาก STEM เป็น STEAM  ที่ตนเองได้วางรากฐานไว้มาผลักดันพัฒนานักเรียนต่อไป เพื่อให้เด็กมีภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิสรัปชันได้

“สกศ. วางแผนที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้ต่างประเทศรู้ว่า การศึกษาของไทยต่อจากนี้ไปจะเดินหน้าอย่างไร โดย สกศ.จะเข้าไปให้ข้อมูลด้านการศึกษาที่ถูกต้องกับสถาบันเพื่อการพัฒนาด้านการบริหารระหว่างประเทศ (IMD : Institute for Management Development) เพื่อให้ต่างชาติรู้ว่าคุณภาพการศึกษาของไทยอยู่ตรงไหน พร้อมกับผลักดันให้ได้รับคะแนนการสอบ PISA ดีขึ้น เพื่อให้รู้ว่าทิศทางของการศึกษาไทยจะเป็นอย่างไร และแก้ไขปัญหาการใช้ดิจิทัลในการเรียนการสอน เช่น หากพบประเด็นปัญหาอะไรให้เร่งแก้ไข เพื่อทำให้เราสามารถใช้ดิจิทัลในการเรียนการสอนได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ”คุณหญิงกัลยา กล่าว

ด้าน ดร.อรรถพล กล่าวว่า หนึ่งในพันธกิจ ของ สกศ. คือการบูรณาการให้นักเรียน นักศึกษา มีความรู้ในเรื่อง ศาสนา วัฒนธรรม กีฬา และศิลปะ โดยทุกคนต้องมีความรู้เรื่องเหล่านี้เหมือนกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างรู้เหมือนที่ผ่านมา  สกศ.จะหลอมความรู้เรื่องวัฒนธรรมโดยสอนให้ผู้เรียนรู้รากเหง้าของตน มีศาสนาที่ตนนับถือ มีคุณธรรมจริยธรรม มีศิลปะคือ มีความคิดสร้างสรรค์ที่จะสามารถเลือกเส้นทางของตนในอนาคตได้ และด้านกีฬาคือ ผู้เรียนจะต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบรูณ์ ถ้าเราสามารถหลอมสิ่งเหล่านี้ให้ผู้เรียนได้ เราต้องมีเป้าหมายและทิศทางที่จะต้องเดินไปในอนาคต ซึ่งทาง World Economic Forum จัดทำรายงาน The Future of Jobs ว่าด้วยเรื่องแนวโน้มและทิศทางของอาชีพในอนาคต ตลอดจนทักษะการทำงานที่จำเป็นภายในอนาคตอันใกล้ 2025 ซึ่งจะมี 10 อาชีพที่เกิดใหม่ โดยคุณหญิงกัลยา มีแนวคิดว่า สกศ.ควรสัญจรไปหาเสาหลักของเศรษฐกิจไทย เช่น สมาคมธนาคารไทย สมาคมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ หอการค้าในและต่างประเทศ โดยหารือกับผู้ประกอบวิชาชีพว่าในปี 2025 ผู้ประกอบการต้องการคนแบบไหน เพื่อให้ทุกหน่วยงานเจ้ามาร่วมวางแผนการศึกษาของประเทศได้ โดยสกศ.จะรวบรวมข้อมูลที่ได้มาดำเนินการขับเคลื่อน เพื่อสร้างคนรับกับความต้องการของประเทศในปี 2025 ให้ได้

“ตรีนุช” เร่งยกระดับการอาชีวะเอกชน เรียนจริง รู้จริง ทำเป็นจริง

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564 ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่ตนมีนโยบายการศึกษาเพื่ออาขีพ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อให้ผู้จบการศึกษา ระดับปริญญาและอาชีวศึกษามีอาชีพและรายได้ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพและคุณภาพชีวิตที่ดี มีส่วนช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้ ซึ่งเรื่องหนึ่งในการเดินหน้าสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ การยกระดับคุณภาพการอาชีวศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน ซึ่งจากการที่ตนลงพื้นที่พบกับผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน ก็ได้รับทราบถึงเรื่องที่เป็นความต้องการของอาชีวศึกษาเอกชน ในการที่จะเร่งปรับปรุงพัฒนาการอาชีวศึกษาเอกชนในด้านต่างๆ โดยมี 3 เรื่องใหญ่ คือ1.การส่งเสริมสนับสนุนอาชีวศึกษาเอกชนให้สามารถจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทั่วถึงครอบคลุมทุกวิทยาลัย 2. การพัฒนาครูอาชีวศึกษาเอกชน ที่จะต้องมีการสนับสนุนทั้งด้านการฝึกอบรมและการนิเทศ และ 3.การจัดให้นักศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติในสถานการณ์จริง ในพื้นที่จริงโดยการร่วมกิจกรรมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน หรือ Fix it Center และการฝึกอบรมอาชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งหลังจากที่ตนได้รับทราบความต้องการของอาชีวศึกษาเอกชนแล้ว ก็ได้มอบหมายให้ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เร่งวางแนวทางยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาเอกชนและดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

 ด้าน ดร.สุเทพ กล่าวว่า หลังจากรับนโยบายของ รมว.ศึกษาธิการ ตนได้มอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านการอาชีวศึกษาเอกชน การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ด้านงานวิชากการ การทิเทศ และด้านความร่วมมือได้หารือร่วมกัน เช่น เรื่องการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ที่เป็นการจัดการศึกษาวิชาชีพที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษา กับ สถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐ ในเรื่องการจัดหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การจัดการฝึกอาชีพ การวัดและประเมินผล โดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหนึ่งในสถานศึกษาอาชีวศึกษา และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเดิมอาชีวศึกษาเอกชนอาจจะติดปัญหาในหลักเกณฑ์บางประการก็จะปรับปรุงให้คล่องตัวมากขึ้น นอกจากนี้จะเลือกบางจังหวัดเป็นพื้นที่ต้นแบบ ที่จะเร่งดำเนินการทุกเรื่องที่เป็นความต้องการของอาชีวศึกษาเอกชนอย่างครบวงจร ทั้งเรื่องอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี การพัฒนาครู การพัฒนากิจกรรมองค์การวิชาชีพในวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน การวางแผนการรับนักศึกษาร่วมกัน การแชร์ทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างวิทยาลัยอาชีวะของรัฐกับเอกชน และและนำนักศึกษาปฏิบัติงานในพื้นที่จริง โดยภายในเดือนตุลาคมนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะส่งคณะทำงานจากส่วนกลางลงพื้นที่เป้าหมาย เพื่อวางแผนในการดำเนินการ โดยกำหนดให้ได้แนวทางและลงมือปฏิบัติตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 และให้เห็นผลภายในเดือนเมษายน 2565

 

เสมา3 ฟังปัญหาการศึกษาเอกชน3จชต.จับมือสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ช่วยยกระดับคุณภาพ ดึงอาชีวะสอนอาชีพสร้างรายได้

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2564 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมโรงเรียนมูลนิธิอาซิซสถาน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อรับฟังปัญหาการจัดการศึกษาเอกชน ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพบว่ามีปัญหาค่าคะแนนการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต อยู่ในระดับต่ำทุกระดับชั้น ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)จะต้องลงไปดูว่าจะแก้ปัญหาให้ตรงจุดได้อย่างไร ซึ่งก็รวมไปถึงเรื่องการอ่านออกเขียนได้ และการศึกษาเพื่ออาชีพ ซึ่งจะต้องทำไปพร้อม ๆ กัน ขณะเดียวกันจะมีการส่งเสริมสนับสนุนเด็กที่มีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ให้มีความเป็นเลิศ โดยจะมีการจัดกิจกรรมเสริมทักษะ พัฒนาเพื่อต่อยอดความถนัดและความสนใจของนักเรียน เช่น ค่ายพรีโอลิมปิกวิชาการ เป็นต้น

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(มอ.)ปัตตานี มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ในการจัดกิจกรรม เพื่อยกระดับพัฒนาต่อยอดส่งเสริมความเป็นเลิศของนักเรียน อีกทั้งจะมีการยกระดับโค๊ดดิ้งค่ายภาษาอังกฤษ ค่ายภาษาอาหรับ ค่ายศิลปะ เป็นต้น  รวมถึงพัฒนาห้องเรียนพิเศษต่าง ๆ ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และพัฒนาทักษะการสอนของครูไปพร้อมกันด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ส่งผลไปถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ก็จะร่วมกับอาชีวศึกษาในการจัดสอนอาชีพในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อสอนอาชีพที่สอดคล้องกับความสนใจของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีอาชีพสร้างรายได้ด้วยตัวเอง

ด้าน ดร.พะโยม ชินวงศ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ในฐานะประธานที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่ำกว่าเด็กภาคอื่น ๆ ว่า สาเหตุที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่ำกว่าภาคอื่น เพราะบริบทของพื้นที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามใช้ภาษายาวีเป็นหลัก เด็กส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาไทย ไม่ใช่ไม่มีความรู้ เพราะฉะนั้นจะต้องแก้ปัญหาโดยการทำให้เด็กอ่านภาษาไทยได้และเข้าใจภาษาไทยด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับภาษาแม่  ซึ่งต้องให้เข้าใจทั้งสองภาษาคู่กัน

“ครูโอ๊ะ”เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน “ปลื้ม” ยอดขายของออนไลน์ “พุ่ง”ช่วยชาวบ้านช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ได้

จากการที่ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ(ศธ.) ดร.กมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ  ดร.พะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทำงาน รมช.ศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)ดร.ปรเมศวร์ ศิริรัตน์ รองเลขาธิการ กศน.และผู้บริหารของ ศธ.ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัด สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564  ได้ลงติดตามผลการดำเนินงาน กศน.ตำบล 5 ดี พรีเมียม กศน.ตำบลคูเต่า ปีงบประมาณ 2564 และเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอาชีพ และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ กศน.อำเภอหาดใหญ่ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทั้งนี้ ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า นโยบาย 5 ดี พรีเมียม ของรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ และตน ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) ทำให้ปรากฏผลที่ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์มีการพัฒนาและมีคุณภาพ และยังทำให้เห็นว่าในแต่ละพื้นที่มีสินค้าที่โดดเด่น สามารถนำออกมาขายในห้างได้ ทั้งนี้ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วย โดยเฉพาะศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลหาดใหญ่แห่งนี้ที่ยื่นโอกาสให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง และทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น และที่ยิ่งไปกว่านั้น การขายออนไลน์ ทำให้ผู้ซื้อสั่งสินค้าสามารถสั่งสินค้าได้โดยตรงจากผู้ผลิต โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ซึ่งห้างก็เปิดไม่ได้ เดินทางก็ไม่ได้ แต่การขายทางออนไลน์ก็สามารถขับเคลื่อนไปได้ มียอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งตนได้สั่งการให้ทางกศน.เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อจะได้ต่อยอดและหาแนวทางสนับสนุนให้มีช่องทางการขายมากขึ้น รวมถึงพัฒนาฝีมือการผลิตเพื่อยกระดับสินค้าให้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาครู และบุคลากรของกศน.ให้มีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของกศน.ให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งก็ได้รับปากที่จะเพิ่มบุคลากร กศน.ให้สอดคล้องกับความขาดแคลน ซึ่งก็สามารถเพิ่มได้กว่า 1,000 อัตรา โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ที่ได้รับมากกว่าภาคอื่น และขณะนี้ก็กำลังสำรวจเพิ่มเติม โดยจะเพิ่มบุคลากรมารองรับผู้พิการด้วย ส่วนเรื่องการพัฒนาหลักสูตรของกศน.นั้น ตอนนี้เราได้ เลขาธิการ กศน.และรองเลขาธิการ กศน.ใหม่ทั้งหมดแล้ว ก็จะมอบหมายให้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจความต้องการของครูว่าต้องการให้พัฒนาหลักสูตรแบบไหน เพราะคนในพื้นที่จะรู้ดีที่สุด

“ลุงป้อม”ดูเด็กสระแก้วฉีดไฟเซอร์เตรียมพร้อมรับเปิดเทอมอย่างปลอดภัย

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ที่โรงเรียนวังน้ําเย็นวิทยาคม .สระแก้ว พล.. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนนักเรียน นักศึกษาเยี่ยมชมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน หรือ Fix It Center พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาให้นักเรียน นักศึกษา 100 คน มอบอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 เจลแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัยซักได้ 2,000 ครั้งให้แก่นักเรียนที่มาฉีดวัคซีน มอบอ่างล้างมือและอุปกรณ์ต้านโควิด-19 ให้แก่สถานศึกษา 5 แห่ง  และมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้ประสบปัญหาจากสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดสระแก้ว โดยมีน..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษารมว.ศึกษาธิการ ..อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรมว.ศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ให้การต้อนรับ   

โดย พล.. ประวิตร กล่าวว่า มีความยินดีที่ได้มาเยี่ยมนักเรียน ครูบุคลากรทางการศึกษา บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปกครองนักเรียน และพี่น้องชาวจังหวัดสระแก้ว ในการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2464″สถานศึกษา และเด็กสระแก้ว ปลอดภัย จากโรคโควิด-19 ” ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ รวมไปถึงสถานศึกษาก็ไม่สามารถเปิดเรียนตามปกติได้ ทำให้นักเรียนต้องเรียนในรูปแบบออนไลน์ หรือในรูปแบบอื่น ซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้

รัฐบาล ได้ระดมกำลังกันเพื่อแก้ปัญหา โดยให้ความช่วยเหลือกับประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน  ในส่วนของนักเรียนได้มีการลดภาระของผู้ปกครองด้วยการลดค่าเทอม การจ่ายเงินให้ผู้ปกครองเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้ คนละ 2,000 บาท รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้สถานศึกษาเพิ่มเติมเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนรู้และจัดทำสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ คือ ทำอย่างไรให้โรงเรียนเปิดเรียนตามปกติได้ สร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองในการส่ง ลูก หลาน มาเรียนรัฐบาลจึงได้อนุมัติให้ใช้ วัคซีนไฟเซอร์ กับเด็กอายุ 12-18 ปี ซึ่งมีประสิทธิภาพและได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ถ้าเราสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโควิดได้ครบทั้งนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาจะสามารถเปิดเรียนในภาคเรียนที่ 2 ได้รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้านน..ตรีนุช กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ เกิดจากการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นายอำเภอวังน้ำเย็นบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว ในการดำเนินการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยมีการฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียนนักศึกษา ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ตามที่รัฐบาล โดย ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล..ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้อนุมัติหลักการมา ซึ่งขณะนี้จังหวัดสระแก้ว มีนักเรียนที่ได้แจ้งความประสงค์เข้ารับการฉีดวัคซีน จำนวน 33,630 คน คิดเป็นร้อยละ 81.32 จากนักเรียนทั้งหมด 41,354 คน และได้รับอนุมัติวัคซีนไฟเซอร์ ระยะที่ 1 จากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาจำนวน 16,800 คน ในโรงเรียน 50 แห่ง โดยดำเนินการฉีดระหว่างวันที่ 5-15 ตุลาคม นี้

รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรม Fix It Center วันนี้มีอาจารย์ และนักศึกษาอาชีวศึกษาจำนวนกว่า 50 คน จาก 3 วิทยาลัย ได้แก่วิทยาลัยเทคนิควังน้ำเย็นวิทยาลัยเทคนิคสระแก้ว และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว ได้ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ฯให้บริการซ่อมเครื่องยนต์ ,เครื่องจักรกล,เครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ โทรทัศน์ วิทยุพัดลม หม้อหุงข้าว เครื่องเสียง และซ่อมรถจักรยานยนต์ เป็นต้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆชำรุดเสียหายระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีการฝึกอาชีพจัดทำสลัดโรลจัดทําเจลแอลกอฮอล์และพัฒนา ท๊อปอัพต่อยอด โดยจัดทำบรรจุภัณฑ์ หรือpackaging บรรจุข้าวเกรียบปลาซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เด่นของชุมชนวังน้ำเย็นด้วย.

“ครูโอ๊ะ”ลงจังหวัดชายแดนใต้ประเดิมดูเด็กฉีดไฟเซอร์ ปลื้มสงขลาฉีด90% ยืนยันวัคซีนมีเพียงพอฉีดให้ประชาชนและเด็กแน่นอน ผู้ปกครองเผยฉีด ดีกว่าไม่ฉีด

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ที่โรงพยาบาลคลองหอยโข่ง อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ได้ลงไปตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนเด็กอายุตั้งแต่ 12 ถึง 18 ปี ซึ่งวันนี้มีเด็กเข้ามาฉีดวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 242 คน จาก 13 โรงเรียน

ทั้งนี้ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า วันนี้ตนมาเป็นตัวแทนของรัฐบาลมาให้กำลังใจพี่น้องชาวใต้ และรับฟังปัญหาเรื่องการฉีดวัคซีนสำหรับเด็ก เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีความมั่นใจ ทั้งนี้สำหรับพื้นที่จังหวัดสงขลาวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กล็อตแรกที่ลงมาถือว่าได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะได้รับรายงานจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดว่าพ่อแม่ผู้ปกครองยินยอมและอนุญาตให้ฉีดวัคซีนประมาณ 90% ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายอย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนที่เหลือประมาณ 10%นั้น เราจะมีการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมต่อไป

ตอนนี้ทราบว่าทุกจังหวัดมีการแจ้งยอดนักเรียนที่จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มขึ้นเรื่อย ซึ่งรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมวัคซีนเพิ่มเติมไว้แล้ว ไม่มีขาดแน่นอน ส่วนเรื่องการเปิดภาคเรียนถึงแม้เด็กจะได้รับวัคซีนแล้วแต่ยอดผู้ป่วยก็ยังเพิ่มอยู่นั้น เรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการได้มีมาตรการเตรียมรับมือไว้แล้ว

ขณะเดียวกัน แต่ละจังหวัดซึ่งคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานจะพิจารณารูปแบบ การเปิดเรียนที่เหมาะสมโดยเน้นความปลอดภัยของผู้เรียนและพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญดร.กนกวรรณกล่าว

นอกจากนี้ ดร.กนกวรรณ ยังได้มอบฟ้าทะลายโจรและหนังสือพระมหากษัตริย์ไทยแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 10 รัชกาล ฉบับการ์ตูน ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

ด้าน นางปั้นแก้ว ไพโรจน์ ครู กศน.อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ลูกชายเรียนอยู่โรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่มีเด็กจำนวนมาก ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็ยินยอมให้ลูกฉีดวัคซีน เพราะกระทรวงศึกษาธิการประกาศว่าจะเปิดเรียนในเดือนพฤศจิกายน

ซึ่งตนก็ต้องป้องกันไว้ก่อน ฉีดดีกว่าไม่ฉีด เพราะคนในครอบครัวทุกคนก็ฉีดวัคซีนกันหมดแล้ว อีกทั้งตนก็ต้องออกมาทำงานนอกบ้านอาจเป็นกลุ่มเสี่ยงกลัวว่าจะนำเชื้อไปติดลูก ถ้าเขาได้รับวัคซีนแล้วมันก็จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้มีความกังวลว่าเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนถ้าเปิดเทอมแล้วจะทำอย่างไร นอกจากนี้ยังอยากให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนสำหรับเด็ก ที่ต่ำกว่าอายุ 12 ปีด้วย ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่จัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่เด็กเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อโควิด19 และลดความรุนแรงหากมีการติดเชื้อ

กศน.จังหวัดสระแก้ว สนองนโยบายควิกวิน ขับเคลื่อนการศึกษานอกระบบอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ชู แหล่งเรียนรู้โคกหนองนาโมเดล สไตล์ กศน.

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2564 ที่สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)จังหวัดสระแก้ว นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวรายงานด้านการศึกษาของจังหวัดสระแก้ว ต่อ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามงานด้านการศึกษา ว่า จังหวัดสระแก้ว มีหน่วยงานจัดการศึกษาทั้งภาครัฐ และเอกชน จำนวน 12 แห่ง มีสถานศึกษาทุกสังกัดรวม 336 แห่ง มีนักเรียน นักศึกษา รวมทั้งสิ้น 101,769 คน  โดยจังหวัดสระแก้วได้กำหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษาของจังหวัด ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกภาคส่วนมากำหนดวิสัยทัศน์ เพื่อให้มีการพัฒนาองค์กรให้ผู้เรียน มีคุณภาพมาตรฐานการศึกษาระดับชาติ และส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันระดับสากล  โดยมีหน่วยงานการศึกษาภาครัฐ เอกชน ร่วมขับเคลื่อนและยกระดับคุณภาพในการจัดการศึกษาโดยมีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการผลักดันคุณภาพการศึกษาเพื่อให้นักเรียน นักศึกษาสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนที่สูงขึ้น

ด้าน นายวรรณวิจักษณ์ กุศล ผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.จังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า โครงการ “มหกรรมวิชาการจัดการศึกษา กศน. ตามวาระเร่งด่วน (Quick win) ของกระทรวงศึกษาธิการ”  กศน.จังหวัดสระแก้ว ได้ขับเคลื่อนการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพให้แก่ผู้เรียนนอกระบบทั้งกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ผู้ขาดโอกาส และผู้พลาดโอกาส รวมทั้งประชาชนทั่วไป โดยจัดการศึกษาบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เป็นประธานคณะกรรมการ กศน.จังหวัด  ที่ให้คำปรึกษาและแนะนำแก่ กศน.

“นอกจากนี้ยังได้ขับเคลื่อนนโนบายของ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ โดยการจัดการศึกษา กศน. ตามวาระเร่งด่วน (Quick win) ของกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ วาระที่ 1.ความปลอดภัย ของผู้เรียนและสถานศึกษา วาระที่ 5 พัฒนาทักษะทางอาชีพ และวาระที่6 การศึกษาตลอดชีวิต ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสถานศึกษาปลอดภัยจากโรคอุบัติใหม่ไวรัสโคโรนา 2019(COVID 19) ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คือ 1.สถานศึกษา ผู้บริหาร ครู บุคลากร และนักศึกษา ปลอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบ 100%  กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมขยายผลหมู่บ้าน/ชุมชนปลอดจากโควิด-19 แบบ 100%   โครงการที่ 2. กศน.สระแก้ว ร่วมใจสู้ภัยโควิด -19 ประกอบด้วย  กิจกรรมหลักสูตรหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ กิจกรรมมล้านเมล็ดพันธุ์สู้ภัยโควิด-19 กิจกรรมการฝึกอาชีพ การมีงานทำสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-9  และ โครงการที่ 3. กิจกรรมการพัฒนาทักษะอาชีพจากแหล่งเรียนรู้ต้นแบบ โคกหนองนา โมเดล ในสไตล์ กศน.จังหวัดสระแก้ว ในการจัดการศึกษา กศน.”ผอ.กศน.จังหวัดสระแก้วกล่าว

“สุภัทร”ถกมาตรการเด็กประถมฯเปิดเรียนอย่างไรให้ปลอดภัย

ดร.สุภัทร  จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว นี้ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการเตรียมความพร้อมเปิดเรียนระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน โดย ศธ.อยู่ระหว่างเร่งให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ได้ร้อยละ85  ซึ่งเท่าที่ทราบขณะนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับวัคซีนแล้วกว่าร้อยละ 80 และถ้าผู้ปกครองที่ดูแลเด็กได้รับวัคซีนครบทุกคน เท่ากับเด็กจะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ไม่มีผลกระทบหรือความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ตามไปด้วย

แนวคิดของทางราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยเห็นควรให้เปิดเรียนในระดับประถมศึกษาแต่ต้องมีมาตรการดูแลที่เข้มข้น ขณะที่วัคซีนถือว่ามีความจำเป็นใช้ในการเสริมเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้เพราะเด็กมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง และหากผู้ปกครองซึ่งดูแลเด็กได้รับการฉีดวัคซีนเท่ากับว่า เด็กจะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ลดความเสี่ยง อีกทั้งหากสถานการณ์ภายในประเทศดีขึ้นตามลำดับ ก็อาจเป็นไปได้ว่า จะสามารถเปิดเรียนระดับประถมศึกษาได้ตามปกติ และถ้ามีโอกาสฉีดวัคซีนเชื้อตายอย่าง ซิโนแวค หรือซิโนฟาร์มก็น่าจะเป็นผลดี ยืนยันว่า วัคซีนไม่ใช่คำตอบสุดท้ายแต่เน้นในเรื่องการดูแลตัวเองและครอบครัว เพื่อให้เด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยปลัดศธ.กล่าวและว่า ทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่ข้อสรุป อยู่ระหว่างวางแผน ว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเปิดเรียนได้อย่างปกติ โดยเฉพาะพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด เพราะในพื้นที่สีส้ม 11 จังหวัด และพื้นที่สีแดง 37 จังหวัดสามารถเปิดเรียนได้ แต่ต้องทำตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)และได้รับการอนุญาตจาก ศบค.จังหวัด

ศธ.ยันวัคซีนไฟเซอร์เพียงพอฉีดให้เด็กอายุ12-18ปี ไม่มีกั๊ก

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการก กล่าวว่า ตอนนี้ได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้ปกครองแสดงความประสงค์ยินยอมให้นักเรียนฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น จากเด็กอายุ 12-18 ปีที่มีทั้งหมดกว่า 5 ล้านคน แจ้งความประสงค์ฉีดประมาณ 3.8 ล้านคนหรือเกือบ 80% แล้ว จากเดิมที่แจ้งความประสงค์ 3.6 ล้านคน และระหว่างนี้ก็ยังมีผู้ปกครองแจ้งความประสงค์เพิ่มมามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ในการเปิดภาคเรียนที่จะถึงนี้ แม้กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)จะเป็นผู้จัดการศึกษา แต่ก็ต้องมีมาตรการเว้นระยะห่าง และมาตรการป้องกันตามที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)กำหนดด้วย โดย สธ.กำหนดให้การเปิดเรียนในสถานศึกษา มีนักเรียนประมาณ 10-15% ต้องสุ่มตรวจหาเชื้อทุก 2 สัปดาห์ ซึ่งตรงนี้จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก ดังนั้นตนจะไปหารือกับทาง สธ.อีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปว่าหน่วยงานไหนจะเป็นผู้รับผิดชอบจัดเตรียมอุปกรณ์ และหน่วยงานไหนที่จะมาตรวจหาเชื้อให้นักเรียน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่ผู้ปกครองบางส่วนที่กังวลว่าเมื่อเปิดเทอมแล้ว เด็กที่ไม่ประสงค์หรือยังไม่ได้รับวัคซีนจะทำอย่างไรนั้น ตนมองว่าการฉีดวัคซีน ไม่ได้ยืนยันว่าเด็กจะไม่ติดเชื้อโควิด-19 แต่เป็นการป้องกันการติดเชื้อแล้วจะลดความรุนแรง และลดความเสี่ยงให้น้อยลง ซึ่งเด็กกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนก็สามารถมาเรียนที่โรงเรียนได้ ทั้งนี้ศธ. ได้ประสานกับ สธ. ตลอดเวลาเพื่อจัดทำมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อในโรงเรียน อย่างไรก็ตามหากนักเรียนและผู้ปกครองเปลี่ยนใจให้เด็กฉีดวัคซีน ก็สามารถแจ้งความประสงค์มาได้ เพราะรัฐบาลเตรียมสำรองไว้เพียงพออยู่แล้ว

“ดิฉันไม่กังวลเรื่องการเปิดภาคเรียนที่ 2 เพราะเราอยู่กับโควิด-19 มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และประชาชนก็ทราบว่าจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับโควิด-19 ไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นจะต้องมีมาตรการ มีแผนเผชิญเหตุ เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักเรียนให้มาเรียนในรูปแบบ On Site ได้” น.ส.ตรีนุช กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้เกิดกระแสในโลกออนไลน์โดยมีนักเรียนและผู้ปกครองบางส่วนไม่ยินยอมฉีดวัคซีนเพราะกลัวจะเสียชีวิต น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ตนรับทราบปัญหา และจะเร่งประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับนักเรียนและผู้ปกครองต่อไป ทั้งนี้จากที่แพทย์ให้คำแนะนำพบว่า มีเด็กได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนน้อยมาก

ดร.สุภัทร กล่าวว่า ขณะนี้ครูทั่วประเทศได้รับวัคซีนไปแล้ว 78% แต่ยังเหลือครูประมาณ 1.9 แสนคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ส่วนวัคซีนจะทยอยเข้ามาเรื่อยๆ คาดว่าจะได้รับครบ 8 ล้านโดส ภายในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนความกังวลว่านักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี จะจัดการเรียนการสอนอย่างไร เด็กสามารถมาเรียนในโรงเรียนได้หรือไม่ จากการหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ ได้รับข้อมูลว่าหากครู และผู้ปกครอง ได้รับวัคซีนครบทุกคน ก็จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยกับเด็ก เด็กก็จะสามารถมาเรียนในโรงเรียนเช่นเดียวกัน ส่วนที่มีข่าวว่ามีการตัดโควตาวัคซีนนั้น เรื่องวัคซีนขาดไม่มี เพราะส่งทุกสัปดาห์ กลัวแต่ว่าจะไม่มาฉีดเท่านั้น