“ตรีนุช”เผยยังไม่ประกาศใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะเดือนพฤษภาคม65 แค่ทดลองใช้

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน(หลักสูตรฐานสมรรถนะ) ว่า ยังไม่ได้คุยกับ ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานกรรมการอำนวยการจัดทำและพัฒนา(ร่าง)หลักสูตรฯ ว่าร่างหลักสูตรไปถึงไหนแล้ว  แต่เท่าที่ทราบมีความก้าวหน้ามากแล้ว และกำลังจะเปิดรับสมัครโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมนำร่องการใช้หลักสูตร ซึ่งก็มีโรงเรียนที่สนใจต้องการเข้าร่วมทดลองใช้ค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามที่ ดร.สิริกร บอกว่าจะให้ลงนามใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในเดือนพฤษภาคม 2565 นั้น คงไม่ใช่ประกาศใช้หลักสูตร แต่เป็นการทดลองใช้ และดูว่าจะต้องปรับอะไรบ้างเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะที่จะมีการทดลองนำร่องใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงศึกษาธิการก็เพิ่งประกาศนโยบาย “เดินหน้าพลิกโฉมสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียน ก้าวข้ามสภาวะวิกฤต COVID-19 แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps” โดยศ.ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน อย่างนี้จะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนหรือโรงเรียนเกิดความสับสนหรือไม่ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ไม่ซ้ำซ้อน เพราะ Active Learning เป็นเรื่องของกระบวนการเรียนรู้ แต่หลักสูตรฐานสมรรถนะเป็นหลักสูตรแกนกลาง ที่จะทำอย่างไรให้เด็กไทยมีสมรรถนะ ดังนั้น  Active Learning จึงเป็นรูปแบบการเรียนรู้ภายใต้หลักสูตรฐานสมรรถนะเพื่อให้เด็กเกิดสมรรถนะตามหลักสูตรกำหนดไว้

ทีมขุนด่านปราการชล วท.นครนายก คว้าตั๋วเป็นตัวแทนประเทศไทยแข่งหุ่นยนต์ระดับนานาชาติที่จีนผ่านระบบออนไลน์

​เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้จัดการคัดเลือกหุ่นยนต์อาชีวศึกษา (ABU Asia Pacific Robot Contest) ประจำปี 2564 ผลปรากฏว่า “ทีมขุนด่านปราการชล” วิทยาลัยเทคนิคนครนายก ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันทั้ง 2 รอบ โดยรอบแรก ได้คะแนน 80 คะแนน ใช้เวลา 1.59 นาที และรอบที่สอง ได้คะแนน 74 คะแนน จากคะแนนเต็ม 80 คะแนน ใช้เวลา 3 นาที ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันหุ่นยนต์ในระดับนานาชาติ (Asia – Pacific Robot Contest 2021 Jimo, Chaina) ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงเดือนธันวาคม 2564 ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นการแสดงศักยภาพในการประดิษฐ์คิดค้นหุ่นยนต์ของนักเรียน นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 2 – 3 และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ชั้นปีที่ 1 – 2 แผนกวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง จำนวน 9 คน เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันภายใต้เกม “ดวลธนูสะท้านฟ้า ท้าผู้กล้าสู่แดนมังกร (Throwing Arrows into Pots)” ซึ่งมีกติกาการคัดเลือกกำหนดให้แต่ละทีมมีหุ่นยนต์ 2 ตัว ได้แก่ หุ่นยนต์ขว้าง (TR : Throwing Robot) เป็นหุ่นยนต์แบบบังคับด้วยมือหรืออัตโนมัติ ที่สามารถเคลื่อนที่และขว้างลูกธนูลงใน Pot ได้ และหุ่นยนต์ผู้ช่วย (AR : Arrowkid Robot) เป็นหุ่นยนต์แบบบังคับ ด้วยมือหรืออัตโนมัติ มีหน้าที่ช่วยหุ่นยนต์ TR ในการทำคะแนน เมื่อเริ่มการแข่งขัน หุ่นยนต์ TR จะขว้างหรือปล่อยลูกธนูไปยัง Pot ครั้งละ 1 ดอก จนครบทุก Pot ส่วน AR จะช่วยหยิบลูกธนูที่ตกส่งให้กับหุ่นยนต์ TR ภายในเวลา 3 นาที ส่วนการคิดคะแนนจะคิดเมื่อมีลูกธนูอยู่ใน Pot เดียวของแต่ละจุดทำคะแนน ทีมจะได้ 1 คะแนน แต่หากมีลูกธนูอยู่ใน Pot ทั้งสองของแต่ละจุดทำคะแนนจะเรียกว่า “twining” จะได้ 8 คะแนน ซึ่งคะแนนสูงสุดที่สามารถทำได้คือ 80 คะแนน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า สำหรับการงานมหกรรมหุ่นยนต์อาชีวศึกษา ครั้งนี้ มีทั้งหมด 3 กติกา ได้แก่ 1. หุ่นยนต์ ABU อาชีวศึกษา 2. หุ่นยนต์อาชีวศึกษาบริการทางการแพทย์ และ3. หุ่นยนต์อัตโนมัติอาชีวศึกษาในงานอุตสาหกรรม โดยทีมขุนด่านปราการชล ได้เข้าแข่งขันในกติกา หุ่นยนต์ ABU อาชีวศึกษา ซึ่งมีทีมหุ่นยนต์สมัครเข้าแข่งขัน 90 ทีม ผ่านการคัดเลือก 6 ทีม เพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในระดับประเทศ ได้แก่ ทีมขุนด่านปราการชล วิทยาลัยเทคนิคนครนายก ทีมองค์รักษ์โรบอท วิทยาลัยการอาชีพองค์รักษ์ ทีมยูคาลิปตัส วิทยาลัยการอาชีพกบินทร์บุรี ทีมหลานหลวงพ่อคูณ (เสาร์ 5) วิทยาลัยหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ทีมศรีนนท์ วิทยาลัยเทคนิคนนทบุรี และทีมใบตองกุง วิทยาลัยการอาชีพหนองกุงศรี ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้สนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษา ได้พัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สู่การเป็นนักประดิษฐ์ คิดค้น และสามารถนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในการ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงส่งเสริมให้มีความรู้ ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมก้าวสู่โลกอาชีพในอนาคต

สำหรับผลการคัดเลือกหุ่นยนต์ อีก 2 ประเภท คือหุ่นยนต์อาชีวศึกษาบริการทางการแพทย์ และ หุ่นยนต์อัตโนมัติอาชีวศึกษาในงานอุตสาหกรรม สอศ.อยู่ระหว่างการดำเนินการโดยจะประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 กันยายนนี้

ศธ.เผยยอดเด็กฉีดวัคซีนทะลุ5ล้าน แต่ยอมฉีดตัวเลข ณ.วันที่27ก.ย.3.6 ล้าน อีกล้านกว่ารายยังไม่ตัดสินใจ

เมื่อวันที่ 28 กันยายน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนให้นักเรียนอายุ12-18 ปี  ว่า ขณะนี้ ตนได้รับรายงานเบื้องต้นว่ามีนักเรียน นักศึกษา ทั้งในและนอกสังกัด ศธ. สนใจฉีดวัคซีน ประมาณ 71% และจะทราบจำนวนที่แน่นอนในวันที่ 30 กันยายนนี้ โดยภาพรวมทุกจังหวัดมีคนสนใจประมาณ 75-80% แต่บางจังหวัดเด็กสนใจฉีดมาก คือ จังหวัดภูเก็ต มีเด็กสนใจฉีดวัคซีนถึง 100% และมีไม่ถึง 10 จังหวัด ที่เด็กสนใจที่จะฉีดวัคซีนต่ำกว่า 50% ซึ่งตนได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ไปดูว่าสาเหตุที่มีผู้ประสงค์ฉีดวัคซีนน้อยมาจากอะไร และเร่งทำความเข้าใจต่อไป

“สาเหตุที่บางจังหวัดมีคนสนใจน้อย อาจมาจาก ศธ.มีเวลาสร้างความเข้าใจน้อย เพราะมีเวลาแค่ 1 สัปดาห์เท่านั้นในการสร้างความเข้าใจ อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนจะใช้โรงเรียนเป็นฐาน โดยเน้นว่าเด็กอยู่ที่ไหน ต้องได้ฉีดที่นั่น ทั้งนี้ ศธ.มีแผนสำรองรับมือเช่นกัน หากเริ่มฉีดวัคซีนวันที่ 4 ตุลาคม แล้วมีผู้ปกครองที่ไม่ประสงค์ให้ลูกฉีดวัคซีนเกิดเปลี่ยนใจ จะมีการวางแผนกันอย่างไร เป็นต้น”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ด้านดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้ ตัวเลขนักเรียนทุกสังกัดทั้งในและนอกศธ.ที่จะได้ฉีดวัคซีนมีทั้งหมด 5,048,081 คน จากข้อมูล ณ วันที่ 27 กันยายน พบว่ามีนักเรียน นักศึกษา ที่ประสงค์รับวัคซีน 3,618,166 คน  คิดเป็นร้อยละ 71.67  ซึ่งตรงกับเป้าหมายของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) แต่ทั้งนี้ ยอดนักเรียน นักศึกษาที่ประสงค์ฉีด เป็นเพียงยอดเบื้องต้นเท่านั้น เพราะมีบางจังหวัดที่ยังไม่รายงานเข้ามา เช่นจังหวัดมหาสารคาม  แต่เบื้องต้น ศธ.จะส่งยอดนักเรียนที่ประสงค์ฉีดวัคซีนไปให้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดำเนินการจัดสรรวัคซีนให้นักเรียนก่อน ซึ่งวัคซีนที่เตรียมไว้เพียงพอต่อการฉีดให้นักเรียน นักศึกษาแน่นอน

ปลัดศธ.กล่าวว่า สำหรับนักเรียนที่เรียนนอกพื้นที่ และกลับไปยังภูมิลำเนาขอให้แจ้งพื้นที่ หรือ ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด เพื่อจะได้รวบรวมรายชื่อส่งกรมควบคุมโรค เพื่อให้กรมควบคุมโรคจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติมให้ ส่วนจะฉีดในจังหวัดไหนนั้น สาธารณสุขจังหวัดจะเป็นผู้กำหนดและติดต่อให้เด็กมาฉีดในโรงพยาบาลต่อไป ส่วนนักเรียนที่ผู้ปกครองไม่ประสงค์ให้ฉีดวัคซีนกว่า 1 ล้านคนนั้น หากประสงค์จะฉีดวัคซีนทีหลัง ศธ.ก็จะประสานกรมควบคุมโรคในการจัดสรรควัคซีนให้อีกครั้ง

แปลก!!! เป้าหมายเดียวกันแต่เคาะระฆังคนละครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศนโยบาย เรื่อง “เดินหน้าพลิกโฉมสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียน ก้าวข้ามสภาวะวิกฤต COVID-19 แบบ Active Learning ด้วยระบบการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps”เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 โดยมี ศ.เกียรติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งผ่านไปเพียง 3 วัน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา ได้มีการจัดเวทีระดมสมอง เพื่อการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นฐาน เสวนา ครั้งที่ 1 เรื่อง “ปรับหลักสูตรการศึกษาอย่างไร ให้ตอบโจทย์สังคมไทยในสังคมโลก”ผ่านช่อง OBEC Chanel ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) โดย น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวเปิดงาน ว่า นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ตนได้แถลง 12 นโยบายการจัดการศึกษา และ 7 วาระเร่งด่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งนโยบายการจัดการศึกษาข้อที่ 1 คือ การปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ให้ทันสมัย และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกระดับให้มีความรู้ ทักษะและลักษณะที่เหมาะสมกับสังคมไทย และวาระเร่งด่วนที่ 2 คือการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะที่มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายโดยยึดความสามารถของผู้เรียนเป็นหลัก และพัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะที่ต้องการ

“ที่ผ่านมาคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรได้จัดทำกรอบแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะร่วมกับคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและเปิดรับสมัครให้โรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาสมัครใจทดลองใช้กรอบหลักสูตรใหม่ ซึ่งมีโรงเรียนที่สมัครเข้าร่วมทดลองทั้งสิ้น 267 โรงใน 8 จังหวัด โดยครอบคลุมทั้งโรงเรียนสังกัดสพฐ. โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาหลักสูตรครั้งนี้ จึงได้กำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนใน 3 ทาง ได้แก่ การจัดเวทีระดมความคิดเห็น 7 ครั้ง การรวบรวมแนวคิดและข้อเสนอแนะจากผู้ร่วมทดลองหลักสูตร และรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามทางเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของกระทรวงศึกษาธิการ โดยเวทีระดมสมองครั้งนี้เป็นเวทีแรกในการเปิดรับฟังความเห็นเพื่อพัฒนาหลักสูตร ดิฉันตระหนักดีว่าหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานคือภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการ เราจะร่วมกันเปลี่ยนผ่านจากหลักสูตรเดิมที่เต็มไปด้วยตัวชี้วัดไปสู่การมุ่งพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน เปลี่ยนห้องเรียนเป็นห้องเรียนรู้ที่ผู้เรียนเข้าใจ ทำเป็น เห็นผล และเด็กทุกคนมีโอกาสค้นพบเป้าหมายของตนเอง”น.ส.ตรีนุช กล่าว


ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า หลักสูตรดังกล่าวเป็นนโยบายของ รมว.ศึกษาธิการ เป็นสิ่งที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ และกำหนดในยุทธศาสตร์ชาติที่สังคมไทยในปัจจุบันต้องการสร้างเด็กไทยให้มีคุณลักษณะที่ตอบโจทย์หรือความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นคนไทยที่มีสมรรถนะสูง ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องปรับหลักสูตรเพื่อพัฒนาหรือสร้างเด็กให้เป็นคนไทยที่มีคุณลักษณะที่ต้องการ โดยขณะนี้หลายฝ่ายมีความคาดหวังที่จะเห็นหลักสูตรเกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะหากช้าไปกว่านี้จะทำให้โอกาสของคนไทยช้าไปด้วย

ขณะที่ ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานคณะกรรมการจัดทำและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไล่ทามไลน์ยาว ที่มาของหลักสูตรฐานสมรรถนะในประเทศ ว่า เมื่อปี 2562 ต่อ 2563 คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา(กอปศ.)โดย รศ.ดร.ทิศนา แขมณี ได้นำเสนอการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ จากนั้น วันที่ 7 มกราคม 2563 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ประกาศใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในปีการศึกษา 2565 โดยนำร่องในพื้นที่นวัตกรรม 6 จังหวัด และในเดือนตุลาคม 2563 นายณัฏฐพล ได้ขอทบทวนแนวทางการจัดทำหลักสูตรเนื่องจากยังมีผู้ไม่เข้าใจบางประการทำให้การจัดทำหลักสูตรชะงักไป


กระทั่งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาได้ประกาศแผนการปฏิรูปฉบับปรับปรุงในราชกิจจานุเบกษา และได้ประกาศว่ามีกิจกรรมปฏิรูปประเทศ 5 ด้าน ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลก หมายความว่าเรื่องนี้มาจากรัฐธรรมนูญ และอยู่ในแผนปฏิรูปประเทศด้วย ถือว่าเป็นกฎหมาย ดังนั้นเมื่อ น.ส.ตรีนุช เข้ามาเป็นรมว.ศึกษาธิการ จึงได้ลงนามในคำสั่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปรับปรุงหลักสูตร โดยตนได้รับเป็นประธาน วันที่ 13 สิงหาคม 2564 ตนได้นำความคืบหน้าและแผนการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้เสนอต่อคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ซึ่งเป็นองค์คณะที่ให้ความเห็นชอบการใช้หลักสูตร และกพฐ.ก็ได้เห็นชอบแผนตามที่เสนอ พร้อมกับเห็นชอบการปรับเพิ่มสมรรถนะจาก 5 เป็น 6 สมรรถนะด้วย และในเดือนสิงหาคมก็มีการทบทวนโรงเรียนที่จะนำร่องใช้หลักสูตรซึ่งก็มีโรงเรียนสมัครเข้าร่วม 265 โรงใน 8 จังหวัดพื้นที่นวัตกรรม อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญ ในระหว่างเดือนกันยายน 2564-กุมภาพันธ์ 2565 จะมีการรับฟังความคิดเห็น 3 ทาง คือ โรงเรียนที่นำหลักสูตรไปทดลอง เวทีรับฟังความเห็น และเว็บไซต์ และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 คณะกรรมการอำนวยการฯได้เห็นชอบร่างกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะช่วงชั้นที่ 1

ดร.สิริกร กล่าวต่อไปว่า เดือนพฤศจิกายน 2564 –มกราคม 2565 จะเปิดรับสมัครโรงเรียนที่มีความพร้อมใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ และจะประกาศรายชื่อโรงเรียนในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เดือนมีนาคม 2565 จะสรุปผลวิจัยรับฟังความเห็นเพื่อนำไปปรับปรุงหลักสูตร เดือนพฤษภาคม 2565 ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนที่มีความพร้อมระดับประถมศึกษา เดือนพฤษภาคม 2566 ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะในโรงเรียนที่มีความพร้อมระดับมัธยมศึกษาและประถมศึกษาที่เหลือ เดือนพฤษภาคม 2567 ก็จะใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะทุกโรงเรียน เพราะฉะนั้นจะใช้เวลา 3 ปี โดยขณะนี้ร่างกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะระดับประถมศึกษา ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงวิพากษ์หลักสูตรและนำข้อมูลของประเทศที่ประสบความสำเร็จมาปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย

“ในต้นเดือนตุลาคมนี้จะขอให้น.ส.ตรีนุช เคาะเปิดหลักสูตรไปนำร่อง และภายในเดือนพฤศจิกายนจะพร้อมให้ น.ส.ตรีนุช ลงนามการใช้หลักสูตรในเดือนพฤษภาคมปีหน้า ซึ่งปกติจะต้องประกาศล่วงหน้าเพื่อให้คนทำหนังสือเรียนทำได้ทัน แต่สำหรับพื้นที่สีแดงซึ่งไม่ค่อยสะดวกใจในเดือนพฤษภาคมปีหน้าก็จะยังเดินคู่ขนานกันไปก่อน” ดร.สิริกรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เท่าที่ทราบ คือ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ฉบับปรับปรุง) ด้านการศึกษาซึ่งมีนัยสำคัญคือ “ให้ปรับการเรียนการสอนตามหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-based Curriculum) ในปัจจุบัน ไปสู่การเรียนรู้ที่พัฒนาสมรรถนะผู้เรียน (Competency-based Learning) เป็นสำคัญ ทั้งนี้การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะแบบผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้แบบถักทอความรู้ ทักษะและคุณลักษณะผู้เรียนเข้าด้วยกันด้วยการลงมือการปฏิบัติจริง (Active Learning) มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและเรียนรู้อย่างมีความสุขและพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” ซึ่งตรงกับคำพูดที่ ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม กล่าวไว้ในวันเปิดงานพลิกโฉมสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียน ก้าวข้ามสภาวะวิกฤต COVID-19 แบบ Active Learning ด้วยระบบการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps” เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงการปรับหลักสูตรฐานสมรรถนะเลย

 ศธ.ออกประกาศหลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนที่มีความพร้อมและผ่านเกณฑ์การประะเมิน

เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตนได้ลงนามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 20 กันยายน 2564 เรื่อง หลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 32) เพื่อให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ใช้ประกอบในการพิจารณาการขออนุญาตใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียน และสถาบันการศึกษาในการจัดการเรียนการสอน การสอน การฝึกอบรม หรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก โดยกำหนดให้มีระยะเวลาดำเนินงาน 2 ระยะ คือ ระยะแรก สำหรับโรงเรียนพักนอน ซึ่งดำเนินการตามโครงการ Sandbox: Safety zone in School มาตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2564 และระยะที่สอง สำหรับโรงเรียนประเภทไป-กลับ ที่มีความพร้อมและผ่านเกณฑ์การประะเมิน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564

“อย่างไรก็ตาม การจะเปิดโรงเรียนได้ ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินหลายด้าน เช่น ด้านกายภาพ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการประเมินความพร้อมสู่การปฏิบัติ สำหรับสถานศึกษา ครู-บุคลากรต้องฉีดวัคซีนครบโดสไม่น้อยกว่า 85% ในขณะที่นักเรียน-ผู้ปกครอง ควรได้รับวัคซีนตามมาตรการที่กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขกำหนด ทั้งนี้ ในระหว่างการเปิดภาคเรียนไปแล้ว ต้องปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และสามารถจัดการเรียนการสอนแบบ Onsite หรือ Online หรือแบบผสมผสาน (Hybrid) ก็ได้ โดยแต่ละห้องเรียนไม่เกิน 25 คน เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร”ปลัดศธ.กล่าว

“ตรีนุช” ปลื้ม ครูขานรับระบบการประเมินวิทยฐานะฯ ใหม่(PA) ลดภาระงานครู ดีเกินคาด

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564  น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มีนโยบาย ในการปรับระบบและวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันและเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล 4.0 โดยได้ปรับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินพร้อมกัน ทั้ง สายงาน ได้แก่ สายงานการสอน สายงานบริหารสถานศึกษา สายงานนิเทศการศึกษาและสายงานบริหารการศึกษา และได้ประกาศใช้ไปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 เนื่องจากหลักเกณฑ์การประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเดิม ได้ใช้มาเป็นระยะเวลานาน ไม่สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นการประเมินผลงานย้อนหลัง จึงเป็นการเพิ่มภาระในการสะสมผลงาน เพิ่มภาระงานมากขึ้น และดึงครูออกนอกห้องเรียน ส่งผลให้การจัดการศึกษา ในห้องเรียนขาดความต่อเนื่อง ประกอบกับการประเมินดังกล่าว เกิดค่าใช้จ่ายในการประเมินที่สูง และมีกระบวนการดำเนินการหลายขั้นตอน

รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่ นี้ ศธ.ให้ความสำคัญว่าหลักเกณฑ์การประเมินดังกล่าวจะต้องส่งผลไปถึงผู้เรียนและมุ่งเน้นการพัฒนาวิชาชีพมากกว่าการจัดทำผลงานทางวิชาการ และควรมีการบูรณาการการทำงานที่เชื่อมโยงกัน โดยต้องมีการประเมินที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน  เป็นธรรม และนำระบบออนไลน์มาใช้ในการประเมินวิทยฐานะ เช่น การยื่นคำขอ และการส่งผลงานทางวิชาการ  โดยเน้นระบบการบันทึกข้อมูลที่ลดการใช้กระดาษ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้สังเคราะห์ความคิดเห็น จากนักวิชาการและผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องมากำหนดเป็นกรอบแนวคิดสำคัญในการดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่นี้  จะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน สถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับครู ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา ให้ได้มีการพัฒนาตนเอง          ให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามระดับวิทยฐานะ และทำให้กระบวนการพัฒนาผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้     การจัดการศึกษา มีแนวทางในการพัฒนาที่ชัดเจน สามารถนำมากำหนดแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษา    หรือแผนพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน และที่สำคัญเป็นการลดกระบวนการและขั้นตอนโดยนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (ระบบ Digital Performance Appraisal : DPA) เพื่อเป็นการลดภาระในการจัดทำเอกสารและงบประมาณการประเมิน รวมถึงเกิดการเชื่อมโยง บูรณาการในระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ ไปในคราวเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ลดความซ้ำซ้อนในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและสะท้อนนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล

ดิฉันมีแนวคิดในการที่จะปรับหลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่ ซึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำ เพราะต้องการเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยตรง เน้นการพัฒนาวิชาชีพมากกว่าการจัดทำผลงานทางวิชาการ และสิ่งที่สำคัญการประเมินต้องไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน เกิดความเป็นธรรม ลดภาระเอกสาร และค่าใช้จ่ายให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งหลังจากการประกาศเกณฑ์ ใหม่ (PA) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 ก็ได้มีการสร้างการรับรู้ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 5  กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. จัดกิจกรรมการชี้แจงเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่ฯ (PA) ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ให้ความสนใจเข้าร่วมรับชมและรับฟังมากกว่า 400,000 คน และได้มีการสำรวจความคิดเห็นจากกิจกรรมดังกล่าว พบว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่ฯ (PA) ได้ถึง 91% และเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ก็ได้มีการจัดประชุมชี้แจงสร้างความเข้าใจให้กับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ ก่อนที่จะนำไปปฏิบัติจริง ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ซึ่งพบว่า ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มีความมั่นใจว่าเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการเรียนรู้ของสถานศึกษาได้ 96% ซึ่งดิฉันถือว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเปลี่ยนแปลงระบบการประเมินวิทยฐานะใหม่ ที่ผู้ปฏิบัติจริงมีความคิดเห็นและมีความมั่นใจที่สอดคล้องกับทิศทางนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และดิฉันมีความมั่นใจว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวะสามารถพลิกโฉมวิชาชีพครูและนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศได้อย่างแน่นอนและหลังจากนี้จะได้รายงานให้ ครม. เพื่อทราบต่อไปน.ส.ตรีนุช กล่าว

กมธ.การทหารฯถกร่วมศธ.ยกมาตรฐานการศึกษา จชต.

วานนี้ ( 27 ก.ย.64) ที่กระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานกมธ.การทหารฯ ได้เดินทางมาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่อง การจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับนางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) โดย

น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ที่สนใจ เป็นห่วง และให้ความสนใจการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นพื้นที่เปราะบาง การแก้ไขปัญหาดำเนินการเฉพาะนักการศึกษาอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยฝ่ายความมั่นคงมาช่วยเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งหลังจากนี้จะมีการทำงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และประสานความร่วมมือกันต่อไป

ด้าน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ประธานกมธ.การทหารฯ กล่าวว่า กมธ.การทหารฯ เล็งเห็นว่าปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาความไม่สงบให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยที่ผ่านมากมธ.การทหารฯ ได้ตั้งคณะอนุ กมธ. ขึ้น เพื่อขับเคลื่อนงานให้ครอบคลุมปัญหาความมั่นคงในทุกรูปแบบและทุกมิติ ซึ่งผลจากการศึกษาของคณะอนุ กมธ.พิจารณาศึกษาการป้องกันและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นว่าการยกระดับมาตรฐานการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะส่งผลดีต่อความมั่นคงในระยะยาว ขณะเดียวกันกิจกรรมการศึกษาเพื่อความมั่นคง เพื่อแก้ไขปัญหาการบ่มเพาะเด็ก โดยปลูกฟังให้มีทัศนคติและสร้างความคิดที่ถูกต้องแก่เด็กและเยาวชน ก็เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น กมธ.การทหารฯจึงมาแลกเปลี่ยนและรับข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จาก ศธ.เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการแก้ไขปัญหา

ขณะที่ คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า แนวโน้มของการศึกษามีหลายมิติมากทั้งภาษา วิทยาศาสตร์ ศาสนา อาชีพ และอื่นๆ ซึ่งเรื่องความมั่นคง กับเยาวชนและการศึกษาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทำให้คิดถึงหลักการทรงงาน ตามแนวพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และอีกพระราชดำรัสหนึ่งของพระองค์ท่าน คือ “นักเรียนเรียนหนังสือแล้วจบต้องมีงานทำ ต้องทำงานเป็น” ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจ เข้าถึง และจะพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ คงต้องสร้างอาชีพ สร้างโรงงาน เช่น โรงงานอาหารฮาลาล เพื่อให้คนในพื้นที่มาอาชีพ ตั้งแต่ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เป็นวัตถุดิบป้อนโรงงาน เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าหลังจากได้คุยกันจะมาทางออกอื่นๆอีกมาก ทั้งนี้ ศธ.จะนำข้อเสนอแนะจาก กมธ.การทหารฯมาพัฒนาการเรียนการสอนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด.

 

“ตรีนุช” ห่วงสถานศึกษา ประชาชนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม มอบอาชีวะนำทีม Fix it จิตอาสาช่วยชุมชน

จากผลของพายุโซนร้อนเตี้ยนหมู่ที่ทำให้เกิดอุทกภัยใน 26 จังหวัด รวม 84 อำเภอ219 ตำบล 908 หมู่บ้าน 5 เขตเทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ 18,753 ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 14 จังหวัด ยังคงมีน้ำท่วมในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่พิจิตร ชัยภูมิ นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา สุโขทัย ชัยนาท นครสวรรค์ สิงห์บุรีขอนแก่น ลำปาง ลำพูน และอุบลราชธานี นั้น

..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้มอบหมายให้ต้นสังกัดของสถานศึกษาทั่วประเทศวางแผนป้องกันภัยจากน้ำท่วม เฝ้าระวัง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และหากเกิดอุทกภัยขึ้นแล้วให้สถานศึกษาได้รายงานความเสียหายมายังต้นสังกัด เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหา ซ่อมแซมอาคารสถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ และช่วยเหลือสถานศึกษาต่อไป  และหลังจากน้ำลดแล้วตนจะมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน หรือ Fix it Center ลงพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อช่วยเหลือสถานศึกษา และประชาชนผู้ประสบอุทกภัยหลังภาวะน้ำลด ทั้งนี้ ที่ผ่านมาศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน ซึ่งนักเรียน นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในสาขาวิชาต่างๆ จากสถานศึกษาในสังกัด สอศ.ได้นำวิชาความรู้ความสามารถทางวิชาชีพออกให้บริการและประชาชน ชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามการดำเนินการต่าง สถานศึกษาจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของนักเรียน นักศึกษา ครู เป็นสำคัญและต้องคำนึงถึงความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังมีการแพร่ระบาดอยู่อย่างต่อเนื่องในขณะนี้ด้วย และทั้งนี้ตนจะลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือสถานศึกษาที่ประสบอุทกภัยต่อไปด้วย

ด้าน ดร.สุเทพ  แก่งสันเทียะ  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)กล่าวว่าสอศ.ได้รับมอบหมายจากรมว.ศึกษาธิการ ซึ่งมีความเป็นห่วงต่อสถานศึกษา นักเรียนนักศึกษา และประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากอุทกภัย นั้น โดยขณะนี้ สอศ. ได้ขอให้สถานศึกษาทุกแห่งที่ประสบภัย ได้สำรวจความเสียหายและรายงานแจ้งให้ สอศ. พร้อมทั้งให้สถานศึกษาในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่ได้รับผลกระทบ ได้จัดเตรียมความพร้อมศูนย์ Fix it Center จิตอาสา ได้วางแผนเตรียมให้ความช่วยเหลือไว้ 2 กรอบ คือ กรอบที่ 1ในสถานการณ์เผชิญเหตุอุทกภัย  โดยศูนย์ Fix it Center จิตอาสาจะให้บริการด้านการขนย้ายสิ่งของ การตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ที่น้ำยังไม่ท่วมถึง และการจัดเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อาหารกล่องน้ำดื่มเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน  และในกรอบที่ 2 ศูนย์ Fix it Center จิตอาสาจะดำเนินการให้บริการ ซ่อมเครื่องใช้อุปกรณ์สิ่งของภายในบ้าน  ซ่อมรถจักรยานยนต์ รถยนต์ เครื่องจักรกลเครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์ทางการเกษตร ฯลฯ

ทีมอาชีวะไทยคว้ารางวัลรองชนะเลิศ แข่งขันหุ่นยนต์ออนไลน์ ม.กุ้ยโจว

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยการศึกษากุ้ยโจว จัดงาน 2021 China-ASEAN Education Cooperation Week (CAECW) โดยมีกิจกรรม China – ASEAN (International) RoboMaster Robot Championship ซึ่งเป็นการแข่งขันหุ่นยนต์อัตโนมัติ ที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สั่งงานทางออนไลน์ โดยในการแข่งขัน ผู้เล่นจะลงโปรแกรมในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อบังคับให้หุ่นยนต์วิ่งไปเก็บอุปกรณ์ และยิงสัญลักษณ์ โดยใช้หุ่นยนต์ของทางเจ้าภาพ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้ส่งทีมจากวิทยาลัยเทคนิคบางแสน ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มีนักเรียน นักศึกษาที่มีพื้นฐานภาษาจีนเป็นอย่างดี เข้าร่วมการแข่งขัน มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 12 ทีม จาก 5 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศไทย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยวิทยาลัยเทคนิคบางแสนได้รางวัลรองชนะเลิศ

เลขาธิการกอศ. กล่าวต่อไปว่า สอศ. ต้องการพัฒนาให้นักเรียน นักศึกษาสามารถใช้ทักษะของตนเองให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นแรงงานคุณภาพสูง พร้อมสำหรับตลาดแรงงานทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับโลก จึงได้สนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษาจากสถานศึกษา   ในสังกัดเดินทางไปศึกษา และเยี่ยมชมสถาบันในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งระยะสั้น และระยะยาว เพื่อศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากกลับมาประเทศไทยแล้วพบว่า นักเรียน นักศึกษาได้แสดงความสามารถและศักยภาพทางด้านภาษาจีน ความรู้และทักษะ รวมถึงคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น ความรับผิดชอบ ความอดทน และความตรงต่อเวลา นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษายังได้ร่วมกับสถาบันการศึกษา ในสาธารณรัฐประชาชนจีน พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนอีกด้วย อาทิเช่น หลักสูตรรถไฟความเร็วสูง หลักสูตรอีคอมเมิร์ซ ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบุคลากร และเศรษฐกิจของประเทศไทย

ญาติครู บุคลากรเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่สงบชายแดนใต้มีความหวัง ศธ.กำลังเร่งจ่ายเงินเยียวยารายละ 4 ล้าน

เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า มีครูถูกผู้ก่อเหตุรุนแรงทำร้ายจนเสียชีวิตคนแรก เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2547 และจนถึงวันที่ 31 ก.ค.2556 ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา คือ อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย มีครูเสียชีวิตรวม 162 ราย ซึ่งมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2556 ได้เห็นชอบสนับสนุนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้เสียชีวิตย้อนหลังไปถึง วันที่ 1 ม.ค. 2547 โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดสรรงบประมาณเยียวยารายละไม่เกิน 4 ล้านบาท โดยให้หักลบจากเงินเยียวยาที่เคยได้รับไปแล้ว 5 แสนบาท เหลือ 3.5 ล้านบาท ในกลุ่มที่เคยได้รับเงินเยียวยาไปแล้ว พร้อมทั้งให้ ศธ.จัดสวัสดิการด้านอื่นๆ ให้ได้มาตรฐานใกล้เคียงกับส่วนราชการต่างๆด้วย ดังนั้น เพื่อให้การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและรวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2564 ตนจึงได้ลงนามในประกาศ ศธ.เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

“ จากการติดตามความคืบหน้าการจ่ายเงินเยียวยา พบว่า ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2564 ถึงปัจจุบัน มีผู้ได้รับผลกระทบยื่นคำขอรับเงินช่วยเหลือต่อสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ที่อยู่ในภูมิลำเนาของผู้เสียหาย จำนวน 67 ราย จากผู้เสียชีวิตทั้งหมด 162 ราย ซึ่ง ศธจ.ได้ตรวจสอบสิทธิทายาทผู้มีสิทธิทุกรายและเสนอเรื่องให้คณะอนุกรรมการประจำจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของผู้ได้รับความเสียหาย พบว่า คณะอนุกรรมการฯ รับรองจำนวน 62 ราย ประกอบด้วย ปัตตานี 30 ราย นราธิวาส 16 ราย ยะลา 15 ราย และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา 1 ราย ซึ่งทางศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ได้ตรวจสอบในรอบที่ 1 และเสนอให้คณะกรรมการบริหารฯ อนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาแล้ว จำนวน 14 ราย และ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับความสียหายและผู้ได้รับผลกระทบที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาในรอบแรก จำนวน 14 รายไปแล้ว ”รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้เยียวยาไปบ้างแล้ว และยังมีงบฯที่ ศธ.ต้องใช้ช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมประมาณ 463 ล้านบาท ทั้งนี้ การจ่ายเงินเยียวยา รอบที่ 1 จำนวน 14 ราย จะดำเนินการให้เสร็จภายในเดือนตุลาคม 2564 ส่วนที่ยื่นคำขอมา 48 ราย ศปบ.จชต.จะเร่งตรวจสอบข้อมูลเพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารฯ พิจารณาในเดือนตุลาคมนี้เช่นกัน จากนั้นจะประชุมคณะกรรมการบริหารฯ พิจารณาทุกเดือนจนกว่าจะครบทุกราย