นร.หลักสูตรนานาชาติได้เฮ!“ครูโอ๊ะ”บอกข่าวดี คกก.โรคติดต่อกรุงเทพฯ ไฟเขียวให้จัดสอบSAT ได้แล้ว

ตามที่กลุ่มผู้ปกครอง และนักเรียน ที่ได้รับผลกระทบจากการการยกเลิกการสอบวัดความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ( SAT) เข้าพบดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) เพื่อสอบถามความชัดเจน เรื่องศูนย์สอบวัดความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ (กรณีการใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียนในระบบประเภทนานาชาติ)ตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 6 แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งผลให้ สช. สั่งระงับศูนย์สอบเลื่อนการจัดสอบ SAT ใน วันที่ 28 สิงหาคม 2564 ออกไปก่อน ทําให้ศูนย์สอบหลายโรงเรียน เลื่อนการจัดสอบไปเป็นวันที่ 25 กันยายน 2564 และมีบางโรงเรียน ยกเลิกการจัดสอบไป ทําให้กลุ่มนักเรียนในหลักสูตรนานาชาติไม่มีโอกาสในการสอบ เพื่อใช้ยื่นสมัครสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในหลักสูตรนานาชาติในรอบ portfolio ซึ่งเหลือเพียงการสอบในรอบวันที่ 25 กันยายน  และ 2 ตุลาคม 2564นี้ เท่านั้น

ล่าสุด  ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) ว่า ในการประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา  มีมติเห็นชอบในหลักการให้โรงเรียนในระบบ ประเภทนานาชาติ ใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียนจัดสอบ SAT ตามความประสงค์ของโรงเรียนได้แล้ว

“ครูเหน่ง”เอาจริง!เริ่มวางแผนแก้ไขปัญหาหนี้สินครูทั้งระบบให้อยู่ได้คลายความเครียด

เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้จัดทำแผนแก้ปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งระบบ โดยระยะแรกจะดำเนินการ 3 แผนงาน ดังนี้ แผนงานที่ 1.โครงการแก้ปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยใช้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูต้นแบบเป็นฐาน เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูร่วมกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูต้นแบบ จำนวน 12 แห่ง 4 ภาค ๆ ละ 3 แห่ง ทำงานร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทุกแห่ง และส่วนราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในพื้นที่จังหวัด ภายในเดือนตุลาคมนี้ และขยายผลการดำเนินไปยังสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั่วประเทศที่มีความพร้อม ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564เป็นต้นไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า  รูปแบบการดำเนินงานในโครงการดังกล่าว ได้มีการถอดบทเรียนจากสหกรณ์ตัวอย่าง 2 แห่ง คือ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูสมุทรปราการ จำกัด และสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกำแพงเพชร จำกัด ซึ่งพบว่าการดำเนินการของสหกรณ์ทั้งสองแห่งมีแนวทางการแก้ไขปัญหา ดังนี้ 1. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่เกิน 3% 2.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สหกรณ์และสถาบันการเงินให้สอดคล้องกับสินเชื่อที่มีอัตราความเสี่ยงต่ำ 4.5-5%  3. จัดสรรผลกำไรมาเพิ่มเงินเฉลี่ยคืนเงินกู้ให้มากขึ้น ไม่น้อยกว่า 30% ของผลกำไร 4. การบริหารความเสี่ยง การลดค่าธรรมเนียมและการค้ำประกันที่ไม่จำเป็น 5. ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูยกเลิกการฟ้องคดี รวมหนี้จากทุกสถาบันการเงินมาไว้ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ในอัตรา 2.5 % การปรับโครงสร้างหนี้ครูก่อนเกษียณ อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และลดดอกเบี้ยเงินกู้แก่ครูที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ 0.25-0.50.% ปรับลดการส่งค่าหุ้นรายเดือน 6. จัดทำฐานข้อมูลสมาชิกและการเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับสถาบันการเงิน และต้นสังกัด 7. ร่วมมือกับส่วนราชการต้นสังกัดหัก ณ ที่จ่าย ควบคุมยอดหนี้ไม่ให้เกินความสามารถในการชำระหนี้ของสมาชิกสหกรณ์  จะต้องมีเงินเดือนเหลือไม่น้อยกว่า 30%  8. ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการสร้างระบบพัฒนาและดูแลสมาชิก ให้ความรู้เสริมสร้างวินัยและ การวางแผนทางด้านการเงิน การสร้างอาชีพเสริม ลดรายจ่าย เพิ่มการออม และไม่ก่อหนี้เพิ่ม

น.ส.ตรีนุช กล่าวอีกว่า แผนที่ 2 คณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ อยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาครูรายที่ถูกฟ้อง พร้อมแนวทางการแก้ปัญหาของผู้ค้ำประกัน และการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 โดยให้มีการดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกันในระดับพื้นที่จังหวัดในการปรับโครงสร้างหนี้ ระหว่างสหกรณ์ออมทรัพย์ครู สถาบันการเงิน และส่วนราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการระดับจังหวัด ขณะที่ แผนงานที่ 3.คือการการจัดอบรมพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มอายุราชการ 1- 5 ปี ให้มีความรู้ทางด้านการวางแผนและการสร้างวินัยทางการเงินและการออม โดยมีเป้าหมายอบรม 1 แสนคนต่อปี โดยเริ่มอบรมรุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 1-15  ตุลาคม 2564  ผ่านระบบออนไลน์ผ่านศูนย์ Deep กระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ตาม  ข้อมูลภาพรวมปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา พบว่า ครูฯทั่วประเทศประมาณ 9 แสนคน หรือ  80% มีหนี้รวมกัน 1.4 ล้านล้านบาท โดยเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด คือ สหกรณ์ออมทรัพย์ครู วงเงิน 8.9 แสนล้านบาท คิดเป็น 64 %รองลงมาคือ ธนาคารออมสิน วงเงิน 3.49 แสนล้านบาท คิดเป็น 25 %

ไปอีกคน ‘ณรงค์’ทิ้งเก้าอี้ รองเลขาฯ สกสค. 

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2564  นายธนพร สมศรี เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า นายณรงค์ แผ้วพลสง รองเลขาธิการ สกสค. ได้ยื่นจดหมายขอลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า ต้องกลับไปดูแลธุรกิจครอบครัว ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 อย่างหนัก ทั้งนี้ นายณรงค์ ได้เข้ามาหารือตนเป็นการส่วนตัวแล้วตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา และประเมินสถานการณ์ แต่หลังจากหารือกับทางครอบครัวแล้ว อยากให้กลับไปช่วยดูแลธุรกิจ เพราะหากนายณรงค์ไม่กลับไปช่วยดูแลด้วยตัวเองอาจถึงขั้นปิดกิจการได้ ซึ่งส่วนตัวเข้าใจเหตุผล อีกทั้งนายณรงค์เอง ก็ทำงานให้กับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มาเป็นเวลานานแล้ว ตนจึงไม่คัดค้าน โดยการลาออกจะมีผลในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ ซึ่งยังพอมีเวลาให้นายณรงค์สะสางงานที่คั่งค้างอยู่

“การที่นายประเสริฐ บุญเรือง ลาออกจากตำแหน่งและต่อมานายณรงค์ ก็ลาออกด้วยนั้น ยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งกันแน่นอน แต่ละคนมีเหตุผลและความจำเป็นส่วนตัว ผมเชิญทั้ง 2 คนมาช่วยตั้งหลักทำงานให้ สกสค. ซึ่งตอนนี้งานต่าง ๆ ก็เดินไปได้มาก การสะสางทุจริตต่าง ๆ ก็เกือบเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความกังวล เพราะอะไรก็ไม่เท่ากับความรักที่มีต่อกัน และในอนาคตหากผมปัญหาอะไร ก็สามารถหารือทั้ง 2 คนได้ตลอด ”นายธนพรกล่าวและว่า  อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้แต่งตั้ง นายพิพัฒน์ พุ่งยี่สุ่น เป็นที่ปรึกษาเลขาธิการ สกสค. ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ในช่วงที่นายณรงค์ เป็นเลขาธิการ กอศ. และเคยเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) คิดว่ามีประสบการณ์เพียงพอที่จะเข้ามาดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพครู

สอศ. จัด“สุดยอดนวัตกรรมหุ่นยนต์อาชีวศึกษา”ออนไลน์ผ่านระบบซูม

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า “สุดยอดนวัตกรรมหุ่นยนต์อาชีวศึกษา” และการคัดเลือกหุ่นยนต์อาชีวศึกษา (ABU) ระดับชาติ เป็นกิจกรรมที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาให้การส่งเสริม สนับสนุน ด้านการประดิษฐ์ คิดค้นและพัฒนาหุ่นยนต์มาอย่างต่อเนื่อง ในการพัฒนาหุ่นยนต์ให้ไปสู่การใช้งานได้จริง ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ด้านการแพทย์ โดยเฉพาะกับช่วงที่ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19 ) หรือหุ่นยนต์ที่ช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต ด้านต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนเกิดแรงบันดาลใจ และเสริมสร้างให้นักเรียน นักศึกษารุ่นใหม่ หันมาสนใจศาสตร์ด้านนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม การคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ ในปี 2564 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้กำหนดจัดงาน Online “สุดยอดนวัตกรรมหุ่นยนต์อาชีวศึกษา” และการคัดเลือกหุ่นยนต์อาชีวศึกษา (ABU) ระดับชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2564 ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2564

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่าภายในงาน “สุดยอดนวัตกรรมหุ่นยนต์อาชีวศึกษา” และการคัดเลือกหุ่นยนต์อาชีวศึกษา (ABU) ระดับชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2564 ประกอบด้วยกิจกรรมการคัดเลือกหุ่นยนต์ 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1.หุ่นยนต์อาชีวศึกษา( ABU) โดยมีทีมที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ จำนวน 6 ทีม ได้แก่ 1. ทีมขุนด่านปราการชล วิทยาลัยเทคนิคนครนายก 2.ทีมองครักษ์โรบอท วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ จังหวัดนครนายก 3.ทีมยูคาลิปตัส วิทยาลัยการอาชีพกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี 4.ทีมหลานหลวงพ่อคูณ (เสาร์5) วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธจังหวัด นครราชสีมา 5.ทีมศรีนนท์ วิทยาลัยเทคนิคนนทบุรี 6.ใบตองกุง วิทยาลัยการอาชีพหนองกุงศรี จังหวัด กาฬสินธุ์ ซึ่งผ่านการคัดเลือกรอบแรกมาจากทีมทั่วประเทศ 90 ทีม ซึ่งทีมที่ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับ1 จะได้เข้าร่วมการแข่งขันหุ่นยนต์ในระดับนานาชาติ Asia – Pacific Robot Contest 2021 Jimo , Chaina แบบออนไลน์ ผ่านโปรแกรม Zoom Meeting ในเดือนธันวาคม 2564

ประเภทที่ 2.หุ่นยนต์บริการทางการแพทย์อาชีวศึกษา มีทีมส่งผลงานเข้าร่วมการคัดเลือกจำนวน 39 ทีม และเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ จำนวน 6 ทีม ได้แก่ 1.ทีมเมืองร้อยเกาะ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี 2.ทีมข้าวหอมมะลิ 101 วิทยาลัยเทคนิคร้อยเอ็ด 3.ทีมกรุงเก่า 001 วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา 4.ทีมปางสีดา Robots วิทยาลัยเทคนิคสระแก้ว 5.ทีมมะขามหวานโรบอท วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ และ 6. ทีมKKWiND the Conqueror วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

และประเภทที่ 3.หุ่นยนต์อัตโนมัติในงานอุตสาหกรรมอาชีวศึกษา มีทีมส่งผลงานเข้าร่วมการคัดจำนวน 29 ทีม และผ่านเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้ง จำนวน 6 ทีม ได้แก่ 1ทีม.โอ่งมังกร วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี 2.ทีมฉลามวิทย์ Robot วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) 3. ทีมMechatron วิทยาลัยเทคนิคลำปาง 4.ทีมเมืองร้อยเกาะ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี 5. ทีมPLB (กล้วยตาก) วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก และ6.ทีมPhimai AGV วิทยาลัยเทคนิคพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ทั้งนี้สามารถรับชมการคัดเลือกได้ในวันที่ 27 กันยายน 2564 ผ่านช่องทาง https://www.youtube.com/watch?v=AZpbOlYfvOk

รายชื่อทีมหุ่นยนต์อาชีวศึกษา : https://docs.google.com/document/d/1QydS-Naz9tMcnnvJ7pZEyJLtTK8UxKxn/edit?usp=sharing&ouid=115771515536205028216&rtpof=true&sd=true

เตรียมเปิดสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ แบ่ง 3 ระยะเพื่อความปลอดภัย


เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2564 : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ และ โฆษกกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงแนวทางและหลักเกณฑ์การเปิดสถานที่ทำการของสถาบันอุดมศึกษา โดยเตรียมเปิดมหาวิทยาลัยทั่วประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2564 ว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 เริ่มคลี่คลายดีขึ้น รัฐบาลได้กำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อที่จะสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้ โดยมีมาตรการดูแลที่เหมาะสม รวมถึงการใช้อาคารสถานที่ของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรมหรือการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยให้มีการประเมินร่วมกันกับทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยดำเนินการเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เดือน พ.ย. 64 อนุญาตเฉพาะคณาจารย์ บุคลากร นักวิจัย และนิสิตนักศึกษาที่เข้ามาปฏิบัติงานจัดการเรียนการสอน หรือทำกิจกรรมในพื้นที่สถาบันอุดมศึกษา ส่วนระยะที่ 2 เดือน ธ.ค. 64 กำหนดจำนวนผู้ที่เข้ามาในพื้นที่สถาบันอุดมศึกษา โดยคำนึงถึงการป้องกันการติดเชื้อและภูมิคุ้มกันของผู้ปฏิบัติ เช่น มีผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 90 ของบุคคลทั้งหมดที่เข้ามาในสถาบันอุดมศึกษา และระยะที่ 3 เดือน ม.ค. 65 กำหนดจำนวนของผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่สถาบันอุดมศึกษา โดยระยะที่ 1 กำหนดไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ในสถานการปกติ ระยะที่ 2 ไม่เกินร้อยละ 50 ของจำนวนผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ในสถานการปกติ และระยะที่ 3 ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของของภาครัฐหรือพื้นที่ในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม ในเรื่องดังกล่าว รมว.อว. ได้ประชุมหารือร่วมกับตัวแทนอธิการบดี ทั้ง 4 ทปอ. ผ่านระบบออนไลน์แล้ว พร้อมมอบนโยบายเน้นย้ำให้ใช้มาตรการเฝ้าระวังสูงสุด โดยต้นเดือน พ.ย. 64 สถาบันอุดมศึกษาสามารถเปิดได้ และอธิการบดีแต่ละพื้นที่สามารถพิจารณาได้ตามความเหมาะสม


โฆษก อว. กล่าวว่า ส่วนการเข้ามาปฏิบัติงาน จัดการเรียนการสอน หรือทำกิจกรรมกลุ่ม ได้มีการจำแนกตามพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ไม่เกินกลุ่มละ 25 คน พื้นที่ควบคุมสูงสุด ไม่เกินกลุ่มละ 50 คน พื้นที่ควบคุม ไม่เกินกลุ่ม 100 คน พื้นที่เฝ้าระวังสูง ไม่เกินกลุ่มละ 200 คน และพื้นที่เฝ้าระวัง ไม่เกินกลุ่มละ 500 คน ทั้งนี้ สถาบันอุดมศึกษาสามารถกำหนดเกณฑ์เพิ่มเติมหรือลดหย่อนเกณฑ์บางอย่างได้ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ที่เข้ามาในพื้นที่ของสถาบันอุดมศึกษาเป็นสำคัญ

“การตัดสินใจเปิดสถาบันอุดมศึกษา อยู่ที่การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมและให้มีการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน การเสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีสร้างสรรค์ การเรียนรู้ทั้งแบบออนไซด์และออนไลน์ ส่วนการจัดการเรียนการสอนจะต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก ปรับรูปแบบกิจกรรมมุ่งสู่วิถีชีวิตแนวใหม่” ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ กล่าว

คุรุสภาจับมือ4 องค์กรวางระบบจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาความลุ่มลึกทางวิชาชีพผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา

ดร.ดิศกุล  เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินงานระบบการบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาความลุ่มลึกทางวิชาชีพของ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ระหว่างสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ร่วมกับ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ บริษัท วิสดอมไวด์ จำกัด และบริษัท เอดู พาร์ค จำกัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยแอปพลิเคชัน Zoom Cloud Meetings  โดย

ดร.ดิศกุล  กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว มีวัตถุประสงค์  เพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาความลุ่มลึกทางวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน  โดยได้กำหนดแผนการดําเนินงานระบบการบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาความลุ่มลึกทางวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา เป็น 2 ระยะ คือ แผนระยะยาว เป็นแผนการจัดการความรู้ ระยะ 5 ปี (2564 – 2568) เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินการของระบบ   การบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาความลุ่มลึกทางวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และมีการทบทวนเพื่อให้สอดคล้องรองรับกับบริบทและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงทุกปี ดังนี้ ปี 2564 สร้างระบบบริหารจัดการด้านการจัดการความรู้ และสร้างองค์ความรู้ ปี 2565 พัฒนาระบบบริหารจัดการด้านการจัดการความรู้ ช่วยในการจัดเก็บและแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึง ปี 2566 – 2567 พัฒนาระบบบริหารจัดการด้านการจัดการความรู้ และนํากระบวนการจัดการความรู้มาสนับสนุนการต่อยอดองค์ความรู้จนไปสู่การสร้างนวัตกรรม และปี 2568 สร้างวัฒนธรรม ระบบนิเวศนวัตกรรม และเครือข่ายความร่วมมือด้านนวัตกรรมที่พร้อมจะเติบโตและก้าวไป

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ส่วน แผนระยะสั้น ปี 2564-2565  เป็นการสร้างองค์ความรู้ สร้างและพัฒนาระบบบริหารจัดการด้านการจัดการความรู้ช่วยในการจัดเก็บและแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึง โดยแผนระยะสั้นนี้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาดำเนินงานโดยการสังเคราะห์       องค์ความรู้จากฐานข้อมูลรางวัลของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และยังได้รับความร่วมมือจากสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ จำนวน 10 แห่ง จากทุกภูมิภาคในการนำองค์ความรู้จากแนวปฏิบัติที่ดีด้านการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนการพัฒนาสมรรถนะครู และบุคลากรทางการศึกษาไปใช้ในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาด้วย

“ระบบการจัดการความรู้ ด้านการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) คือ กระบวนการคิด  เพื่อทำความเข้าใจกับปัญหา และเป็นการสร้างวัฒนธรรมความรู้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ แนวทาง หรือวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศเพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพสามารถเพิ่มและพัฒนาสมรรถนะตนเอง โดยกระบวนการถ่ายทอด สนับสนุน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันผ่านองค์ความรู้ที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ เป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ทำให้แวดวงวิชาชีพทางการศึกษาเกิดสังคมแห่งการเรียนรู้นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คุณภาพการศึกษาในศตวรรษที่ 21 อย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ที่แท้จริง”ดร.ดิศกุลกล่าว

น.ส.พรสุรีย์ กอนันทา ผู้จัดการฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา โครงการ Chevron Enjoy Science ได้ปรับปรุงและพัฒนาโมเดลการเรียนการสอนในสาขาสะเต็ม ผ่านการบริหารจัดการสื่อการเรียนการสอน การอมรมครู และการพัฒนาหลักสูตรเพื่อยกระดับการเรียนการสอนสะเต็มศึกษา พร้อมร่วมกับพันธมิตรภาครัฐสร้างเสริมสังคมแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้ของครูผู้สอน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยการเรียนรู้ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทย โครงการ Chevron Enjoy Science ได้รวบรวมองค์ความรู้ที่ตกผลึกจากบทสรุปการดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 รวมถึงถอดบทเรียน     ข้อค้นพบและผลการวิจัยต่างๆจากการปฏิบัติจริงของครูที่ปรับเปลี่ยนวิธีการสอน เพื่อให้คุรุสภาและพันธมิตรโครงการใช้ต่อยอดทั่วประเทศผ่าน Knowledge Management platform ซึ่งจะช่วยให้ครูใช้สื่อและอุปกรณ์และใช้วิธีจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม มีส่วนทำให้โรงเรียนและครูสามารถยกระดับการเรียนการสอนให้ดีขึ้นได้ ถือเป็นการติดอาวุธสำคัญในการพัฒนาวิชาชีพครู

ดร.พรพรรณ  ไวทยางกูร ผู้อำนวยการศูนย์ SEMEO STEM-ED กล่าวว่า “การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่องค์ความรู้เพื่อพัฒนาความลุ่มลึกนี้ เป็นจุดสำคัญต่อการสร้างองค์ความรู้ของวงการศึกษา จะเกิดระบบบริหารองค์ความรู้ในรูปแบบของ “แพลทฟอร์ม” เพื่อจัดเก็บองค์ความรู้และให้คณะครูและผู้บริหารหรือหน่วยงานทางการศึกษาได้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้อย่างทั่วถึง เกิดเป็นสังคมที่สร้างองค์ความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ตรงกับพันธกิจของศูนย์ SEAMEO STEM-ED ในการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ในประเทศและในระดับภูมิภาค ด้วยงานวิจัยที่เกี่ยวกับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์”

นายวิวัฒน์ คติธรรมนิตย์ ผู้อำนวยการบริษัท วิสดอมไวด์ จำกัด กล่าวว่า บทบาทหน้าที่สำคัญของ      วิสดอมไวด์ ร่วมจัดทำแพลตฟอร์มออนไลน์ จัดหาช่องทางในการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานระบบการบริหารจัดการองค์ความรู้ ดำเนินการศึกษาและเผยแพร่องค์ความรู้  เพื่อพัฒนาความลุ่มลึกทางวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพแก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา

คุณจินตนา  พรรักษมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอดู พาร์ค จำกัด กล่าวว่า Edu Park ร่วมถ่ายทอดประสบกาณณ์เรียนรู้ Hands-On Experience ด้วยสื่ออุปกรณ์สุดสร้างสรรค์ พร้อมแนวทางในการดำเนินกิจกรรม และเนื้อหาที่เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์จากต่างประเทศ เพื่อให้คุณครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงองค์ความรู้นี้ได้อย่างทั่วถึง ตามปณิธานที่เรามุ่งมั่นในการส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียน และการยกระดับคุณภาพของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อการศึกษาในประเทศมีศักยภาพทัดเทียมในระดับสากลต่อไป

ศธ.กางปฏิทินสำรวจฉีดไฟเซอร์กลุ่ม 12-18 ปี ย้ำพักอาศัยจริงจังหวัดไหนฉีดที่จังหวัดนั้น

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  กล่าวว่า ตามที่จะมีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุ 12-18 ปี ทุกคน ทุกสังกัด กว่า 4.5 ล้านคน ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และ กรุงเทพมหานคร ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 นั้น ในการจัดเตรียมรายชื่อนักเรียนและจำนวนนักเรียนขอให้สถานศึกษาดำเนินการ ดังนี้  1.สรุปรายชื่อนักเรียนที่ผู้ปกครองประสงค์ให้ฉีดวัคซีน โดยระบุรายละเอียด ชื่อ-นามสกุล /เลขประจำตัวบัตรประชาชน 13 หลัก /วัน-เดือน-ปีเกิด / ฉีด – ไม่ฉีด พร้อมกับสรุปยอดรวมจำนวนนักเรียนที่ประสงค์จะฉีดวัคซีน ต่อศึกษาธิการจังหวัด 2.ในกรณีสถานศึกษามีนักเรียนในสังกัดที่ประสงค์จะฉีดวัคซีน แต่นักเรียนรายนั้นไม่ได้พักอยู่ในจังหวัดที่ตั้งของสถานศึกษา เช่น สถานศึกษาอยู่ในกรุงเทพฯ แต่นักเรียนไปพักอาศัยอยู่จังหวัดไหน ให้สถานศึกษาจัดทำรายชื่อนักเรียนรายนั้นแยกต่างหากเสนอต่อศึกษาธิการจังหวัด ภายในวันที่ 26 กันยายน 2564 โดยระบุข้อมูลดังนี้ 1. ชื่อ – นามสกุล 2.เลขบัตรประชาชน 13 หลัก  3.วัน-เดือน-ปีเกิด และ 4.อำเภอและจังหวัดที่เด็กไปพักอาศัย

“จากนั้นให้ศึกษาธิการจังหวัด เสนอคณะกรรมการจัดเตรียมรายชื่อนักเรียนกลุ่มนี้ เพื่อสรุปรายชื่อนักเรียนและจำนวนนักเรียน และรายชื่อแยกรายจังหวัด ส่งมายังสำนักบูรณาการกิจการการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ภายในวันที่ 28 กันยายน  แล้วสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สรุปจำนวนนักเรียนที่พักอาศัยในจังหวัดที่ไม่ได้เป็นที่ตั้งของสถานศึกษาต้นสังกัด รวม 77 จังหวัด ในวันที่ 29 กันยายน และนำเสนอต่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในวันที่ 30 กันยายน  เพื่อให้กรมควบคุมโรค สธ.จัดสรรยอดวัคซีนเพิ่มรายจังหวัด และให้สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้กำหนดวัน เวลา และสถานที่สำหรับการฉีดวัคซีนของนักเรียนกลุ่มดังกล่าว เพื่อให้นักเรียนได้ฉีดวัคซีนในจังหวัดที่ตนเองพักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระการรับ-ส่งของผู้ปกครอง ในการเดินทางไปฉีดวัคซีน”รมว.ศึกษาธิการกล่าว

 

คาดว่าเร็วๆนี้จะแต่งตั้งนายกสภาสถาบันอาชีวศึกษา23แห่งหลังดองเค็ม9สถาบันมาเกือบ4ปี

เมื่อวันที่ 23ก.ย.2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยความคืบหน้าการสรรหานายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษา ว่า ตามที่ได้มีประกาศคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการได้มาของนายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษา การเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษา เนื่องจากนายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษา 14 แห่ง ได้แก่ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 4 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 4 สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคเหนือ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง และสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ดำรงตำแหน่งครบตามวาระตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ขณะนี้การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ได้รับการเสนอชื่อของแต่ละสถาบันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และจะมีการประชุมบอร์ด กอศ.ในสัปดาห์หน้า เพื่อสรรหาผู้มีความเหมาะสมสถาบันละ 2 รายชื่อ เสนอต่อรมว.ศึกษาธิการ พิจารณาคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษาแต่ละสถาบันต่อไป

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับสถาบันการอาชีวศึกษา 9 แห่ง ได้แก่ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 2  สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 5 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 3 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 1 และสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2 ซึ่งได้มีการสรรหาและเสนอรายชื่อให้ รมว.ศึกษาธิการ คัดเลือก เป็นนายกสภาสถาบันละ 2 รายชื่อไปแล้ว ซึ่งเป็นการสรรหาจากบอร์ด กอศ.ชุดเดิมที่หมดวาระไปแล้ว  รมว.ศึกษาธิการ จึงได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) หารือข้อกฎหมายกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า  จะสามารถดำเนินการต่อไปได้หรือต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ ซึ่ง ทางกฤษฎีกาได้ตอบกลับมาแล้วว่าให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้นในส่วนของ 9 สถาบันดังกล่าวจะไม่มีการสรรหาใหม่ รมว.ศึกษาธิการสามารถพิจารณาคัดเลือกจากรายชื่อที่ได้เสนอไปก่อนหน้านี้ได้เลย  ยกเว้นคนที่เสียชีวิตซึ่งจะต้องมีการสรรเสนอขึ้นไปใหม่ ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่า รมว.ศึกษาธิการ อาจจะพิจารณาแต่งตั้งนายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษาพร้อมกันทั้ง 23 สถาบัน ซึ่งจะเป็นผลดีคือครบวาระพร้อมกัน

“สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่า เลขาธิการ กอศ.ไม่สนใจสถาบันการอาชีวศึกษา เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมา สอศ.ให้ความสำคัญสถาบันอาชีวะอยู่แล้ว  เพียงแต่สถาบันต้องการให้กระจายอำนาจการบริหารจัดการไปที่สถาบัน ซึ่ง สอศ.ได้กระจายอำนาจไปแล้ว แต่บางเรื่องไม่สามารถกระจายอำนาจได้ เนื่องจากกฎหมายไม่ให้ช่องในการกระจายอำนาจ เช่น การบริหารบุคคลจะต้องเป็นไปตามกฎหมายของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ซึ่งเป็นอำนาจคู่ระหว่างผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา คือ เลขาธิการ กอศ. กับ องค์คณะ คือ ก.ค.ศ.สอศ. ซึ่งสถาบันไม่มีองค์คณะนี้”เลขาธิการ กอศ.กล่าว

 

 

“ตรีนุช’หารือความร่วมมือการศึกษาไทย-กัมพูชา

“ตรีนุช” หารือที่ปรึกษาสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ถึงความร่วมมือการศึกษาไทย-กัมพูชา ย้ำไทยให้ความสำคัญกับสิทธิในการได้รับการศึกษา-เด็กทุกคนได้รับวัคซีนทั่วถึง

เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยการหารือ ร่วมกับดร.ซก ซกกรัดทะยา (Dr. SOK SOKRETHYA) ที่ปรึกษาส่วนตัวสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา ทำหน้าที่ผู้แทนนายกรัฐมนตรี ราชอาณาจักรกัมพูชา ในโอกาสที่มาเยือนประเทศไทย ว่า ได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอาชีวศึกษา ซึ่งที่ผ่านมามีโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านการศึกษา ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระราชทานเงินเพื่อก่อสร้างวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล ที่จังหวัดกำปงธม (Kampong Thom) และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนและครูจากจังหวัดกำปงธม และจังหวัดกำปงสปือ (Kampong Speu) เพื่อมาศึกษาต่อที่ประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงน้ำพระราชหฤทัยที่จะตอบแทนไมตรีจิตของชาวกัมพูชา ด้วยการให้ของขวัญที่ยั่งยืนแก่ชาวกัมพูชา นั่นคือการศึกษา และยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรที่ดีต่อกันของประชาชนทั้ง 2ประเทศ

รมว.ศึกษาธฺการ กล่าวต่อไปว่า ศธ. ให้ความสำคัญกับสิทธิในการได้รับการศึกษาของนักเรียนทุกคน โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเด็กไทยเท่านั้น เพราะสิทธิดังกล่าวถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งประเทศไทยได้ให้การรับรองตามกฎหมายผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ที่ขยายโอกาสทางการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาของไทยได้ ซึ่งเดิมจำกัดไว้ให้เฉพาะบางกลุ่ม นอกจากการดูแลด้านการศึกษาแล้ว ด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ ศธ. ได้เฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องของวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่จะมีการฉีดให้ทั้งครูและนักเรียนอย่างครอบคลุม ซึ่งรวมถึงนักเรียนชาวกัมพูชาและนักเรียนต่างชาติอื่น ๆ ที่ศึกษาอยู่ในประเทศไทยด้วย

ดร.ซก ซกกรัดทะยา กล่าวว่า ขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้ให้การดูแลนักเรียนชาวกัมพูชาที่ศึกษาอยู่ในประเทศไทย ทั้งแบบประจำ และไป-กลับ เป็นอย่างดีทั้งด้านคุณภาพการศึกษาและสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมทั้งพูดคุยถึงแนวทางความเป็นไปได้ที่จะแสวงหาความร่วมมือผ่านโครงการด้านการศึกษาระหว่างไทย-กัมพูชาในอนาคต

“วิษณุ”นำทัพพลิกโฉมการศึกษาประเทศด้วยการเรียนรู้แบบ Active Learning

เมื่อเวลา 14.00   น. วันที่ 21 กันยายน 2564 ที่หอประชุมคุรุสภา ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมวิชาการและประกาศนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง “ประกาศเดินหน้าพลิกโฉมสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียน ก้าวข้ามสภาวะวิกฤต COVID-19 แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps” ผ่านระบบZOOM และ OBEC Channel ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) โดยมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วม

ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวว่า การประกาศนโยบายกระทรวงศึกษาธิการครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนการเรียนการสอนจาก Passive Learning ไปสู่ Active Learning ซึ่งจะทำให้เด็กที่เรียนด้วย Active Learning มีความรู้จริง รู้ลึก และรู้นาน เพราะลงมือทำเอง ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องสร้างตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงอุดมศึกษาให้ได้ ถือเป็นNew Normal ชนิดหนึ่งด้านการศึกษา  กระทรวงศึกษาธิการและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาก็ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และถือเป็นขั้นตอนการปฏิรูปที่สำคัญที่ต้องเร่งผลักดันให้ได้  ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะพูดถึงแต่เรื่อง Active Learning เสมอ

รองนายกฯ กล่าวว่า การผลักดันเรื่องนี้เป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ ที่สำคัญสอดคล้องกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ อีกทั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ปรับการเรียนการสอนอิงมาตรฐานไปสู่การพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นหวังว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป คือ จะได้เห็นการต่อยอดขยายผลไปทั่วราชอาณาจักร สามารถดำเนินการเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

“การเรียนด้วย Active Learning ทำให้เด็กมีโอกาสเรียนด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้รู้สึก รู้จริง รู้นานและไม่ค่อยลืม ขณะที่ครูก็จะเปลี่ยนจากผู้สอนหรือผู้บอกมาเป็นโค้ช คอยแนะนำ แต่เด็กต้องลงมือทำเอง เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อเถอะใช้ Active Learning แล้วเด็กจะเก่งขึ้นแน่นอน”รองนายกฯกล่าว

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้จัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning มาระยะหนึ่งแล้ว โดยนำร่องในภาคกลาง 80 โรงเรียน และภาคเหนือ 30 โรงเรียน ตอนนี้ก็มีแผนที่จะขยายผลให้ครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศ เพราะจุดเด่นของกระบวนการเรียนรู้ด้วย Active Learning คือ การที่ผู้เรียนได้นำกระบวนการสร้างความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในชีวิตประจำวันและการเรียนรู้ในสถานศึกษาโดยผู้เรียนสามารถสร้างนวัตกรรมได้ตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา และต่อยอดในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายอย่างต่อเนื่อง

ด้าน ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา กล่าวว่า  การเรียนการสอนแบบ Active Learning  เป็นการเรียนโดยให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริง แต่การนำไปสู่การสร้างความรู้หรือสร้างผลผลิตที่เป็นนวัตกรรมได้ต้องออกแบบโดยใช้กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ ที่เรียกว่า GPAS 5 Steps  ดังนั้นการประกาศนโยบายกระทรวงครั้งนี้จึงเป็นการพัฒนาทั้งความคิด คุณธรรม ค่านิยม ทักษะ หลอมรวมถักทอเป็นเนื้อเดียวกันในตัวเด็ก เพราะฉะนั้นผลผลิตที่ออกมาจากตัวเด็กก็จะเป็นชิ้นงานที่สร้างสรรค์สะท้อนให้เห็นความคิดของเด็ก  และการเรียนรู้ด้วย  Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps จะช่วยร่นระยะเวลาในการเรียนรู้ของเด็กได้ถึง 20 ปี ไม่ต้องรอให้เรียนจบแล้วค่อยไปพัฒนา แต่เด็กสามารถเรียนไปพร้อมกับการปฏิบัติได้เลยตั้งแต่อนุบาล