“วิษณุ”เปรยถ้าพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติไม่คลอดรัฐบาลชุดนี้ก็ให้รอรัฐบาล”ประยุทธ์3”

ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกรณี การพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…. ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ แต่ลงมติไม่ได้ เนื่องจากสมาชิกไม่ครบองค์ประชุม ทำให้ต้องค้างพิจารณาไปสมัยประชุมหน้า ว่า   แม้ว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับนี้ จะถูกเลื่อนลงมติไป แต่เชื่อว่าไม่มีผลกระทบกับการศึกษา การอย่างไรก็ตาม ในการลงมติเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องของการนับองค์ประชุม จึงพักองค์ประชุมไว้ก่อนแล้วค่อยไปลงมติในการประชุมรัฐสภาสมัยหน้า คือเดือนพฤศจิกายน ซึ่งตนเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน เพราะในห้วงระยะเวลา 1 เดือน เราก็สามารถตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติได้แล้ว แต่ไม่เป็นไร เพราะหากเปิดสมัยประชุมสมัยหน้า แล้วสภาฯมีมติรับหลักการ ก็จะตั้ง กมธ.มาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติได้  ก็สามารถเข้าสู่การพิจารณาในวาระ2 และวาระ3 ได้เร็วขึ้น และตนเชื่อว่าในการประชุมสมัยหน้า พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็จะเรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…ฉบับนี้ จะคลอดทันรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ พูดเชิงตลก ๆ ว่า ไม่รู้ ต้องถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือไม่ก็ไปคลอดในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ 3

ศธ.-สธ.-สภาผู้ปกครองและครูฯ ชวนเด็กฉีดวัคซีนโควิด ชี้มีความปลอดภัยสูง

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564  กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข  ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19  กระทรวงศึกษาธิการ และ สภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดรายการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงศึกษาธิการ (ศบค.ศธ.) พบสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย  “ 3 ภาคีร่วมใจเพื่อเปิดภาคเรียนปลอดภัยกับวัคซีนเด็ก ” โดยถ่ายทอดสดทาง  Facebook: OBEC Channel https://www.facebook.com/obectvonline/   , YouTube: https://youtube.com/c/OBECTVONLINE  Website: www.obectv.tv  และ เพจ Facebook ของ สช.(Opecoffice) https://m.facebook.com/opecoffice/  

โดย ดร.นายอัมพร  พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า  ปัจจุบันมีโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เปิดเรียนแบบออนไซต์ 4,667 โรง จากโรงเรียนทั้งหมดกว่า 29,000 โรง  น.ส.ตรีนุช  เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ จึงได้มีการเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 วันที่ 1 พฤศจิกายน โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนให้นักเรียนได้วันที่ 4 ตุลาคม ขณะที่ครูฉีดไปแล้วกว่า 70% และจะครบ100% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ สพฐ. ได้เตรียมการเป็นระยะ จากข้อมูลมีนักเรียนอายุ 12 – 17 ปี 11 เดือน ประมาณ 4.5 ล้านคน แบ่งเป็นสังกัด สพฐ.  2.9 ล้านคน ได้สื่อสารให้โรงเรียนประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับผู้ปกครองเห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีน เพื่อประกอบการตัดสินใจในการยื่นความประสงค์ยินยอม หรือไม่ยินยอมให้บุตรหลานฉีดวัคซีน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า  โรงเรียนจะรวบรวมรายชื่อคนที่สมัครใจส่งไปที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ก่อนแจ้งไปที่ศึกษาธิการนจังหวัด (ศธจ.)และส่งต่อไปสาธารณสุขจังหวัด เพื่อนำจำนวนนักเรียนขอโควตาวัคซีน เพื่อจัดสรรต่อไป โดยจะใช้โรงเรียนเป็นฐานในการฉีด ทั้งนี้ เมื่อฉีดเข็ม 1 แล้วจะเว้น 3 สัปดาห์  จึงจะฉีดเข็ม 2 หากนักเรียนและครูได้รับการฉีดวัคซีนกว่า 80% ก็จะสามารถเปิดเรียนออนไซต์ได้ ส่วนการเฝ้าระวังหลังการฉีดวัคซีน สพท. จะร่วมกับ สธ. เฝ้าระวังดูแลนักเรียนกรณีมีอาการไม่พึ่งประสงค์ ทั้งนี้แม้จะเปิดเรียนไม่ได้หมายความว่า เด็กทุกคนต้องมาโรงเรียน หากผู้ปกครองยังไม่มั่นใจ ก็สามารถให้ลูกเรียนออนไลน์ต่อไปได้ อีกทั้งการมาเรียนก็ไม่ได้มีรูปแบบเดียว ขึ้นอยู่กับทางโรงเรียนกำหนด เช่น สลับวันมาเรียนวันเว้นวัน เป็นต้น ตรงนี้เป็นการดำเนินการเพื่อให้โรงเรียนกลับมาเรียนออนไซต์โดยเร็วที่สุด

นายนิวัตร นาคะเวช นายกสภาผู้ปกครองฯ กล่าวว่า การเรียนออนไลน์พบว่ามีปัญหาค่อนข้างมาก เด็กไม่มีสมาธิในการเรียน ระบบอินเตอร์เน็ตไม่เสถียร ทำให้การจัดการเรียนการสอนไม่เกิดคุณภาพ และจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เห็นว่า การอยู่ที่โรงเรียนปลอดภัยกว่าการเรียนอยู่บ้าน ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างเห็นด้วย และเสนอว่าโรงเรียนควรตั้ง ศบค.ในโรงเรียน เพื่อให้เป็นความร่วมมือระหว่างชุมชนกับโรงเรียน ให้เกิดเครือข่ายเข้ามาร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจ ทำให้เกิดการแก้ปัญหาร่วมกันในภาพรวม และถ้าเป็นไปได้ หากฉีดเด็ก และครูแล้ว ถ้าเป็นไปได้ อยากให้สำรวจด้วยว่า ผู้ปกครองได้รับการฉีดแล้วหรือยังหากยังและเป็นไปได้ควรฉีดให้ผู้ปกครองและให้แจกชุดตรวจโควิด Antigen Test Kits หรือ ATK สำหรับตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้ปกครองและเด็ก ที่สำคัญก่อนเปิดเทอมควรมีหลักสูตร ความปลอดภัยในช่วงโควิดเพื่อสร้างความเข้าใจ

นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า  ศธ.และ สธ.ได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการกำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด19 ในโรงเรียน ที่เรียกว่า Sandbox Safety Zone in School หรือ SSS โดยนำร่องในโรงเรียนประจำ ซึ่งได้ผลดี ครูในโรงเรียนได้รับวัคซีนร้อยละ 80 ขึ้นไป โรงเรียนมีการจัดพื้นที่ปลอดภัย มีจัดกิจกรรมเป็นกลุ่มเล็กๆ แยกกัน มีการคัดกรองที่ได้ผล ทำให้พบผู้ติดเชื้อ และแยกกัก ส่งตัวรักษา และควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นความสำเร็จของกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นตัวอย่างให้สถานประกอบการประเภทอื่นๆ นำไปใช้เป็นตัวอย่าง ส่วนการนำร่องในโรงเรียนไปกลับนั้น โรงเรียนต้องเน้นกิจกรรมที่ลดความเสี่ยงให้มากที่สุด โดยจะมีการประเมินร่วมกันระหว่างคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กับสถานศึกษาอีกครั้ง เพื่อให้การจัดการศึกษาปลอดภัยที่สุด

นพ.สราวุฒิ  กล่าวว่า สำหรับวัคซีนที่จะให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปนั้น ขณะนี้ทั่วโลกอนุมัติให้ใช้วัคซีนชนิด mRNA และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ของไทย อนุมัติให้ฉีดได้ จะเป็นวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งจะเข้ามาในประเทศไทยและเริ่มฉีดต้นเดือนตุลาคม ซึ่งยืนยันว่ามีเพียงพอที่จะฉีดให้กับเด็ก โดยเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปในกลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัว เพราะเด็กลุ่มนี้หากติดเชื้อโควิดจะมีความรุนแรงมากกว่าเด็กปกติ  โดยพบว่า กลุ่มเด็ก อายุ 12-19 ปี มีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ใหญ่ และเสียชีวิต ร้อยละ 0.03 แม้จะเป็นจำนวนน้อย แต่ส่วนใหญ่เด็กที่เสียชีวิต จะมีโรคประจำตัวด้วย จึงจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับเด็กที่มีโรคประจำตัวให้ได้มากที่สุด

“ส่วนเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนนั้น คณะผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข อย. และราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ เห็นตรงกันว่า มีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ในส่วนของวัคซีนไฟเซอร์นั้น ทั่วโลกมีข้อมูลพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในเด็กผู้ชาย และพบในโดส ที่ 2 มากกว่าโดสที่ 1 สำหรับประเทศไทยพบเพียง 1 คน เท่านั้นและมีอาการไม่มาก ขณะนี้รักษาหายเป็นปกติแล้ว ส่วนวัคซีนเชื้อตาย ได้แก่ วัคซีนซิโนฟาร์ม ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นำมาฉีดให้กับเด็กนักเรียน นั้น เป็นขั้นตอนการศึกษาวิจัย ส่วนการนำไปฉีดในเด็กทั่วไปนั้น ขณะนี้ อย. ไทย ยังไม่อนุมัติ เนื่องจากยังไม่มีผลการทดลองระยะ3 ที่แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยในเด็ก  จึงต้องรอข้อมูลส่วนนี้ ก่อน ถึงจะนำมาใช้กับเด็กทั่วไป” นพ.สราวุฒิ

นพ.สราวุฒิ กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลพบว่า ครูในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้ม และพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือ พื้นที่สีแดง ยังไม่ได้รับวัคซีน ประมาณ 2-4 แสนคนนั้น ขณะนี้ ศธ. และ สธ. กำลังประสานเพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้ครูจนครบก่อนเปิดภาคเรียนเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและผู้ปกครอง ส่วนผู้ปกครองในพื้นที่สีแดงเข้มและสีแดง ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ขอให้ไปติดต่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพื่อขอรับวัคซีน

ส่วนที่ผู้ปกครองสอบถามว่า เด็กอายุ 18 ปี ที่รับวัคซีนเข็มที่ 1 จากหน่วยฉีดวัคซีนอื่นๆ จะมารับวัคซีนเข็ม 2 ที่จะมีการฉีดในโรงเรียนได้หรือไม่นั้น นพ.สราวุฒิ กล่าวว่า เด็กฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ที่จุดฉีดใด จะได้รับนัดหมายจากจุดฉีดนั้น ส่วนการฉีดวัคซีนในโรงเรียน จะเป็นข้อมูลที่โรงเรียนรวบรวมและนัดหมายการฉีด เป็นคนละส่วนกัน ส่วนผลระยะยาวของวัคซีน mRNA นั้น ทั่วโลกและไทย พบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ดังกล่าวข้างต้น และในไทยก็พบจำนวนน้อย เพียง 1 คนและรักษาหาย ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากการฉีดวัคซีน มีมากกว่าไม่รับวัคซีน เพื่อที่เด็กจะได้กลับมาเรียนในโรงเรียนได้ตามปกติ เพราะการเรียนออนไลน์อย่างเดียวส่งผลกระทบมากมาย เด็กกลุ่มเปราะบาง ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดต่างๆ  หลายกลุ่ม เข้าไม่ถึงการเรียนออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราเชื่อว่า การที่เด็กได้แสดงออก ได้พบกัน ได้เรียน มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน จะมีส่วนสร้างเด็กไทยให้มีคุณภาพในอนาคต

 

เมื่อกฎหมายการศึกษาชาติโดนคว่ำ

*** หยอก หยอก วันที่ 20 กันยายน 2564 *** ปิดไปแล้วสำหรับการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยส่งท้าย เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมีการพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…. ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ แต่ลงมติไม่ได้ เนื่องจากสมาชิกไม่ครบองค์ประชุม ทำให้ต้องค้างพิจารณาไปสมัยประชุมหน้า  … น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ โดยสรุปได้ว่า เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนา “นักเรียนทุกช่วงวัย” ให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ พร้อมรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงทางสังคม สามารถนำองค์ความรู้ในชั้นเรียนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบเชิงรุก เน้นให้นักเรียนเกิดการตั้งคำถาม และหาคำตอบได้ด้วยตนเอง และปรับวิธีการบริหารงานในสถานศึกษา โดยการกระจายอำนาจให้โรงเรียนตัดสินใจ ลดภาระงานอื่นของครู ให้มีหน้าที่สอนเป็นหลัก *** ที่น่าสนใจ คือ กฎหมายฉบับนี้ มีสมาชิกรัฐสภาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีผู้อภิปรายถึงกว่า 60 คน ใช้เวลาร่วม 8 ชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ล่มแบบไม่เป็นท่า เพราะสมาชิกรัฐสภาแสดงตนเพียง 365 คน ซึ่งไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ 730 คน ประธานรัฐสภาจึงไม่ได้ให้ลงมติ  ซึ่งเท่ากับว่า ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับนี้ จะต้องไปลงมติสมัยประชุมหน้าในเดือนพฤศจิกายน *** หลายคนคงสงสัยว่า แล้วร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีอะไรในก่อไผ่ ทั้ง ๆ ที่มี สว.นับ 10 คน ที่มาจากคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา(กอปศ.) ที่มี ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธาน *** ไทม์ไลน์มาแบบนี้เห็นทีกฎหมายฉบับนี้ส่อแววแท้งสูง… อาจไม่ได้คลอดในรัฐบาลนี้เป็นแน่ เพราะเข้าสภาฯวาระแรกยังตก คงไม่รอด ยังไม่ถึงวาระ 2-3 เลย *** เสียดายงบประมาณที่ กอปศ.อุตส่าห์ลงพื้นที่ทำประชาพิจารณ์มาถึง 2 ปี แต่ไม่ผ่าน ล้มไม่เป็นท่า  หรือ มีใครไปแก้ร่างฯเดิมของ กอปศ. … ตรงนี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้นถึงจะรู้ว่ากฎหมายลูกตัวไหนเป็นตัวเจ้าปัญหา *** ปรับโหมดมาที่อักษรย่อ ”อ” ที่หยอก หยอก เขียนถึงเมื่อครั้งที่แล้ว ทำเอา “อรพินทร์ เพชรทัต” เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ออกมาเปรยว่า ”อยากดัง” นะ แต่ไม่ใช่แบบนี้ หยอก หยอก บอกได้เลยว่า อักษรย่อ “อ” ไม่ใช่ “อรพินทร์” นะจ๊ะ ขอบอก ขอบอก *** ช่วงนี้เห็นหน้าเศร้า ๆ ของ “ครูเหน่ง” ก็รู้แหละว่างานเยอะสารพัดปัญหาต้องมาให้แก้ แต่เมื่อขึ้นหลังเสือแล้วก็ต้องไปให้สุด ถ้าพลาดเมื่อไหร่ก็น่าจะรู้ชะตากรรม …ก็ให้กำลังใจกันไป ***

ก.ค.ศ.ไฟเขียว ย้าย/แต่งตั้ง ผอ.-รอง ผอ.สพท.

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 9/2564 ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และมีมติที่สำคัญ  ดังนี้

  1. อนุมัติขยายเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)ปัจจุบันต่อไปอีก 1 ปี กรณีครบระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง 4 ปี จำนวน 9 ราย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.)เสนอ
  2. อนุมัติย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สพท. ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ใน สพท.แห่งใหม่ กรณีการย้ายเพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการ จำนวน 4 ราย ทั้งนี้ให้มีผลการย้ายและแต่งตั้ง ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.64 ตามที่ สพฐ.เสนอ
  3. อนุมัติบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ได้รับการคัดเลือกและผ่านการพัฒนาก่อนแต่งตั้งฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สพท. ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) จำนวน 2 ราย โดยคงให้ได้รับวิทยฐานะตามที่ได้รับอยู่เดิม ทั้งนี้ให้มีผลการแต่งตั้งตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. 64 ตามที่ สพฐ.เสนอ
  4. อนุมัติย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สพท.ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ใน สพท.แห่งใหม่ กรณีการย้ายเพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการ จำนวน 43 ราย ทั้งนี้ให้มีผลการย้ายและแต่งตั้งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ตามที่ สพฐ.เสนอ
  5.  อนุมัติบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ได้รับการคัดเลือกและผ่านการพัฒนาก่อนแต่งตั้งฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สพท. ใน สพป. จำนวน 37 ราย โดยคงให้ได้รับวิทยฐานะตามที่ได้รับอยู่เดิม ทั้งนี้ให้มีผลการแต่งตั้งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ตามที่ สพฐ.เสนอ
  6. อนุมัติย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สพท. ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสพท.แห่งเดิมและ สพท.แห่งใหม่ กรณีการย้ายเพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการ จำนวน 102 ราย ทั้งนี้ให้มีผลการย้ายและแต่งตั้งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ตามที่ สพฐ.เสนอ
  7. อนุมัติบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกและผ่านการพัฒนาก่อนแต่งตั้งฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สพท. ใน สพป. จำนวน 92 ราย โดยคงให้ได้รับ วิทยฐานะตามที่ได้รับอยู่เดิม ทั้งนี้ให้มีผลการแต่งตั้งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ตามที่ สพฐ.เสนอ

 

นักเรียน สพฐ.ได้ฉีดไฟเซอร์ตามกำหนดแน่นอน ย้ำไม่ฉีดก็ไม่บังคับ เรียนออนไซต์ได้ โรงเรียนมีมาตรการดูแล

เมื่อวันที่ 20 กันยาน 2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนให้นักเรียนอายุ 12-18 ปี ว่า เวลานี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)รอแต่การตอบรับจากผู้ปกครอง ว่าจะอนุญาตให้นักเรียนฉีดหรือไม่ โดยตอนนี้อยู่ในช่วงการรณรงค์ สร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองให้เข้าใจว่าการฉีดวัคซีนดีอย่างไร ปลอดภัยอย่างไร และจะเริ่มเปิดให้ยื่นความประสงค์ต่อสถานศึกษา ในวันที่ 21-24 กันยายนนี้ จากนั้นสถานศึกษาจะส่งข้อมูลให้ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ก่อนส่งให้ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) เพื่อจัดส่งให้สาธารณสุขจังหวัดดำเนินการจัดสรรวัคซีนต่อไป โดยวัคซีนที่จะจัดฉีดให้นักเรียนจะเป็นไฟเซอร์แน่นอน เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ให้การรับรอง

ผู้สื่อข่าวถามถึง กรณีผู้ปกครองไม่ยินยอมให้ลูกหลานฉีดวัคซีน  และเมื่อเปิดเทอมแล้วเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจะสามารถเรียนร่วมกับเด็กที่ฉีดวัคซีนได้หรือไม่  เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า การให้เด็กเรียนออนไซต์ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งเป้าว่า ทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจึงจะมาเรียนออนไซต์ได้  แต่เวลามาโรงเรียนอาจต้องมีมาตรการดูแลที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่ฉีดวัคซีนแล้วหากผู้ปกครองยังไม่มั่นใจ อยากให้เรียนออนไลน์เช่นเดิมก็สามารถทำได้

“ช่วงนี้กระทรวงสารธารณสุขกำลังทำแผนการเปิดเรียนให้อยู่ว่าเปิดอย่างไรถึงจะปลอดภัย เช่น นักเรียนไป-กลับอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยต้องทำอย่างไร พื้นที่ไม่ปลอดภัยต้องทำอย่างไร  เด็กต่อห้องควรมีกี่คน โดย สพฐ.มีหน้าที่ปฏิบัติตามแผนของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด  และจากการหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขก็มีความเห็นตรงกันว่าในแต่ละจังหวัดก็ไม่ควรใช้มาตรการเดียวกันทุกโรงเรียน แต่ควรยึดพื้นที่ตำบล อำเภอ เป็นฐานในการเปิดเทอม ที่สำคัญต้องมีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะด้วย”ดร.อัมพรกล่าว

ด้าน ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เท่าที่ทราบมีผู้ปกครองกว่า 90% ที่ยินดีให้ลูกฉีดวัคซีน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ได้แจ้งว่า วัคซีนจะเข้ามาวันที่ 28 กันยายนนี้ ดังนั้นคาดว่านักเรียนกลุ่มเป้าหมาย อายุ 12-18 ปี จะได้รับการฉีดวัคซีนตามวันและเวลาที่กำหนดแน่นอน

สอศ. ขับเคลื่อนพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ 42 สาขาวิชา เชื่อมโยงกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2564  ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เปิดเผยว่า จากนโยบายเร่งด่วน (Quick win) ของน.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ที่มุ่งหวังให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ผลิตและพัฒนากําลังคนให้มี ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศตามนโยบาย ประเทศไทย 4.0 ตามความเหมาะสมกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเชิงพื้นที่ เพิ่มศักยภาพและความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ ซึ่ง สอศ. ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการอาชีวศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะ และศักภาพสูง โดยแนวทางหนึ่งคือการขับเคลื่อนในการพัฒนาหลักสูตร จึงได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ ซึ่งจะทําให้ผู้สําเร็จการศึกษามีงานทํา เป็นกลไกการขับเคลื่อน เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ต่อไป

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า สอศ.ได้กำหนดจัดประชุมไว้เบื้องต้น 2 ครั้ง ในช่วงเดือนกันยายนผ่านระบบออนไลน์ ครั้งที่ 1 ระหว่าง วันที่ 18-21 ก.ย.64 ในการจัดทําหลักสูตรฐานสมรรถนะที่สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ ที่มีความเป็นเลิศ ตามโครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) จํานวน 42 สาขาวิชา 120 สถานศึกษา

พร้อมกันนี้ ได้กำหนดการประชุมครั้งที่ 2 ในการดำเนินการบรรณาธิการกิจหลักสูตรฐานสมรรถนะที่สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ(NQF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ ระหว่างวันที่ 25 – 28 ก.ย.64

สำหรับ หลักสูตร 42 สาขาวิชา ได้แก่ 1.สาขาวิชาเทคนิคเครื่องกล, 2.สาขางานเทคนิคช่อมตัวถังและสีรถยนต์, 3. สาขาวิชาเทคนิคการผลิต, 4.สาขาวิชาเทคโนโลยีโทรคมนาคม, 5. สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์, 6. สาขาวิชาช่างอุตสาหกรรมฐานวิทยาศาสตร์, 7. สาขาวิชาการท่องเที่ยว, 8. สาขาวิชาพาณิชยกรรมและบริการฐานวิทยาศาสตร์, 9. สาขาวิชาการโรงแรม, 10. สาขาวิชาการจัดประชุมและนิทรรศการ, 11.สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตรฐานวิทยาศาสตร์, 12. สาขาวิชาพืชศาสตร์, 13 สาขาวิชาสัตวศาสตร์, 14. สาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ, 15 สาขาวิชาช่างกลเกษตร, 16. สาขาวิชาอุตสาหกรรมเกษตร, 17. สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหารฐานวิทยาศาสตร์, 18.สาขาวิชาอาหารและโกชนาการ. 19. สาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์, 20. สาขาวิชาวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์, 21. สาขาวิชาแมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ 22. สาขาวิชาเทคนิคซ่อมบำรุงเรือ, 23. สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน, 29. สาขาวิชาเทคนิคเครื่องกลเรือ, 25. สาขาวิชาช่างอากาศยาน, 26. สาขาวิชาเทคนิคควบคุมและซ่อมบำรุงระบบขนส่งทางราง, 27. สาขาวิชาปิโตรเคมี 28. สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรม, 29. สาขาวิชาเทคโนโลยีเครื่องมือวัดและควบคุมงานปิโตรเลียม, 30. สาขาวิชาไฟฟ้า, 31. สาขาวิชาอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า, 32. สาขาวิชาเทคนิคพลังงาน, 33. สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล, 34.สาขาวิชาคอมพิวเตอร์กราฟฟิก 35. สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ, 36. สาขาวิชาช่างก่อสร้าง, 37. สาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งทอ, 38. สาขาวิชาเครื่องประดับอัญมณี, 39. สาขาวิชาธุรกิจค้าปลีก, 40. สาขาวิชาเทคนิคเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ, 41. สาขาวิชาเทคนิคโลหะ, และ 42. สาขาวิชาเทคโนโลยีความงาม

สอศ.ปลื้ม ปชช.สนใจหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ ลงทะเบียนเรียนกว่า8หมื่นคน

วันนี้ (17 ก.ย.64) นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เป็นประธานในพิธีปิดโครงการอบรมหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 – 17 กันยายน 2564 ถ่ายทอดสดผ่าน Youtube : BC-BAT (บีซี แบท) Channel โดยนายมณฑล  เปิดเผยว่า โครงการอบรมหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ เป็นกิจกรรมที่ขับเคลื่อนงานพัฒนาทักษะอาชีพให้กับครู นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาในทุกสังกัด ตลอดจนประชาชนที่สนใจ ให้มีความรู้และทักษะอาชีพตามความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและธุรกิจในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดอาชีพและสร้างรายได้ ในสภาวะการณ์ปัจจุบัน โดยจัดกิจกรรมในรูปแบบ ยูทูปไลฟ์ จำนวน 10 หลักสูตร หลักสูตรละ 3 ชั่วโมง รวม 30 ชั่วโมง

ด้าน ดร.นิติ นาชิต ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ รักษาการในตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาธุรกิจและบริการ กล่าวว่า นักเรียน นักศึกษา ในหลายสังกัด รวมถึงครู บุคลากร และประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ลงทะเบียนรวม 10 หลักสูตร  จำนวนทั้งสิ้น 81,054 คน ผู้ลงทะเบียนรับเกียรติบัตร รวม 10 หลักสูตร  จำนวนทั้งสิ้น 49,020 คน และจำนวนผู้เข้าชมผ่าน Youtube Live  :  BC-BAT Channel ตลอด 9 วัน จำนวนทั้งสิ้น 163,686 คน

 

สกศ.ขับเคลื่อนมาตรฐานคุณวุฒิอาชีพด้านสื่อสารและดิจิทัล

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564 ดร.อำนาจ  วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า วันนี้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้จัดการประชุมวิพากษ์หลักสูตรกับมาตรฐานอาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติในสาขาอาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์  ร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน  และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(องค์การมหาชน) รวมถึงผู้บริหารและครูวิทยาลัยพณิชยการธนบุรี ซึ่งเป็นวิทยาลัยนำร่องใช้หลักสูตรอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นต้นแบบของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่ยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ และสอดคล้องตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ โดยการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้ร่วมกับเครือข่ายขับเคลื่อนงานกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ โดยการพัฒนาหลักสูตรตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการจัดการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือปฏิบัติการ ให้สอดคล้องและยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพตามหลักการของกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ สำหรับการประชุมวิพากษ์หลักสูตรกับมาตรฐานอาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติในสาขาอาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์ ครั้งนี้ถือเป็นสาขาอาชีพที่ 7 ที่ได้ดำเนินการพัฒนาให้เชื่อมโยงหลักสูตรกับมาตรฐานอาชีพให้มีความสมบูรณ์ตามโครงสร้างรายวิชาในหลักสูตรระดับ ปวส. สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล ใน 3 สาขางาน ได้แก่  1.สาขางานโมบายแอปพลิเคชันทางธุรกิจ 2.สาขางานดิจิทัลมีเดีย และ 3.สาขางานธุรกิจดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

การประชุมวันนี้จะเป็นการรับฟังความก้าวหน้าการเชื่อมโยงหลักสูตร การเทียบเคียงโครงสร้างและคำอธิบายรายวิชาในหลักสูตรกับไน่วยสมรรถนะในมาตรฐานอาชีพ รวมถึงรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนองค์กรหลัก เพื่อเตรียมใช้เป็นหลักสูตรต้นแบบแก่สถานศึกษาอื่น  ขณะเดียวกันก็เตรียมขอขึ้นทะเบียนหลักสูตรตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ และใช้จัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2565ต่อไปดร.อำนาจกล่าว

“ครูเหน่ง”เข้มเรื่องโปร่งใส กำชับองค์กรหลักห้ามมีทุจริต จับได้ไม่ไว้หน้า ลงโทษสถานหนัก

เสมา 1 ส่งหนังสือบันทึกข้อความถึง ปลัดศธ.-เลขาธิการสกศ.-เลขาธิการกพฐ.-เลขาธิการ กอศ. ทำงานโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่น ไว้วางใจ ดันนโยบบาย“TRUST”ให้เกิดผล สอดส่องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นไม่ทุจริต พบกระทำความผิดพิจารณาโทษอย่างเด็ดขาดสถานหนัก

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ตนได้ลงนามในบันทึกข้อความแจ้งแนวปฏิบัติการบริหารงานบุคคล เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ไว้วางใจ ของหน่วยงาน ส่งไปยังปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และเลขาธิการสภาการศึกษา คณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เพื่อทราบและถือปฏิบัติ โดยบันทึกข้อความดังกล่าวมีสาระสำคัญ มีดังนี้ เมื่อครั้งมาดำรงตำแหน่ง รมว.ศธ. ตนได้ประกาศนโยบาย “TRUST”  หรือ “ความเชื่อมั่น ไว้วางใจ” โดยให้ความสำคัญในการบริหารงานให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ที่ทำให้ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง ผู้เรียน และประชาชนกลับมาให้ความไว้วางใจในการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งมีรูปแบบการทำงานที่สร้างความไว้วางใจในการทำงานที่มุ่งเน้นความโปร่งใส (T : Transparency) นั้น เพื่อให้การผลักดันแนวนโยบายดังกล่าว บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและป้องกันปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงข้าราชการ ในกระทรวงศึกษาธิการ จึงขอให้หัวหน้าหน่วยราชการกำชับให้ทุกส่วนราชการยึดถือแนวนโยบายเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต และการไม่เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการครู และบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งภาพรวมในกระทรวงศึกษาธิการของเรา และเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ มิให้เกิดขึ้น

“ พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ทุกส่วนราชการสอดส่องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นไม่ว่าจะเป็น ผู้บริหาร ข้าราชการครู ข้าราชการพลเรือน พนักงานราชการ ลูกจ้าง หรือพนักงานจ้างเหมาบริการ และหากพบว่ามีการกระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่ หรือ เรียกรับผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ทั้งในรูปตัวเงินหรือสิทธิหรือประโยชน์อื่นใด จะดำเนินการทางวินัยทั้งผู้กระทำผิด และผู้บังคับบัญชาฐานปล่อยปละละเลย ไม่สนองนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงศึกษาธิการ โดยพิจารณาโทษอย่างเด็ดขาดสถานหนัก เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น รวมทั้งพิจารณาโทษผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลและปล่อยประละเลยให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ หรือ ทุจริตต่อหน้าที่ราชการอันสร้างความเสื่อมเสียดังกล่าวด้วย” รมว.ศธ. กล่าว.

“ตรีนุช”เตรียมตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้รองรับพ.ร.บ.ใหม่

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 258 จ(4)ได้กำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาโดยปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัดและปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ให้สอดคล้องกันทั้งในระดับชาติ และระดับพื้นที่ ประกอบ กับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 ถึง 2580 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ได้กำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายให้คนไทยเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพพร้อมสำหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21 และสังคมไทยที่มีสภาพ แวดล้อมที่เอื้อและสนับสนุนต่อการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต กอปร กับคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติการศึกษาเห็นชาติพ.ศ…. เข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภาซึ่งได้กำหนดให้มีสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ เป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการ ตามกฏหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินหรือรัฐวิสาหกิจตามกฏหมาย  ว่าด้วย วิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น

ฉะนั้น เพื่อเป็นการเตรียมการรองรับการประกาศใช้กฎหมายและไม่ทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว อันจะเป็นการทำให้การปฎิบัติหน้าที่เกี่ยวกับหลักสูตรและการเรียนรู้มีความต่อเนื่องไม่สะดุดหรือได้รับผลกระทบ สามารถจัดตั้งหน่วยงานให้ตรงตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายทุกประการ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการพ.ศ. 2546 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ จึงได้เตรียมการจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ พ.ศ.2564 โดยให้มีการตั้งสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ และให้ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เป็นผู้อำนวยการสำนักงานฯมีหน้าที่รับผิดชอบในงานเลขานุการของคณะกรรมการ และประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการในการรวบรวมศึกษาวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ในการจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการฯมอบหมาย ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใช้พ.ร.บ.ใหม่ในราชกิจจานุเบกษา

สำหรับรายชื่อ คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับมอบหมาย เป็นรองประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บัญชาการตำรวจตะเวนชายแดน และผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่งตั้ง จำนวน 6 คน