“ตรีนุช”มอบนโยบายอาชีวะอุดรฯตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ20ปี

เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2564 ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษา(วอศ.)อุดรธานี เปิดเผยว่า น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ และ น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรมว.ศึกษาธิการ ได้ลงพื้นที่จังหวัดสกลนคร อุดรธานี ซึ่งตนได้นำเสนอผลการจัดการอาชีวศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ของ วอศ.อุดรธานีตามนโยบายการจัดการศึกษา 7 วาระเร่งด่วน (Quick Win) ของกระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย

1) การพัฒนาศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center of Vocational Manpower Management : CVM) สาขาการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
2) การพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศ Excellent Center สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล
3) การจัดหลักสูตรทวิวุฒิ ระหว่างไทย-จีน ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว จำนวน 2 รุ่น
4) การจัดหลักสูตรมาตรฐานนานาชาติของเพียร์สัน BTEC แห่งสหราชอาณาจักร ที่ผ่านการรับรอง จำนวน 3 หลักสูตร คือหลักสูตร E-Sport หลักสูตรAccounting Business และ หลักสูตร Information of Technology
5) การเตรียมความพร้อมเพื่อรับการประเมินและรับรองคุณภาพสถานศึกษาด้านการอาชีวศึกษา ระดับภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (APACC) นอกจากนี้ ยังได้รับชมการสาธิตการให้บริการของ นักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจการบิน สาขาวิชาการการท่องเที่ยวและโรงแรม

ผอ.วอศ.อุดรธานี กล่าวต่อไปว่าทั้งนี้ ภายหลังการนำเสนอรายงาน รมว.ศึกษาธิการและเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ได้ให้ข้อคิด คำแนะนำและมอบนโยบายที่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้วิทยาลัยได้ดำเนินการไปสู่ความสำเร็จ สู่ความเป็นเลิศอย่างแท้จริงด้วย

“ตรีนุช”ปลื้ม”สกลนครโมเดล”โชว์ศักยภาพอาชีวะ พร้อมดันขยายผลสาขาอิเล็กทรอนิกส์การแพทย์

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสกลนครโมเดล พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์บ่มเพาะการเป็นผู้ประกอบการอาชีวศึกษา และเยี่ยมชมห้องเรียนนวัตกรรม ผลงานนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานของนักศึกษา พร้อมทั้งมอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลในจังหวัดสกลนคร 18 แห่ง  

โดย น..ตรีนุช กล่าวว่า  การที่วิทยาลัยเทคนิคสกลนครได้มีการพัฒนารูปแบบการพัฒนาสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ สกลนครโมเดล “Sakonnakhon Model” เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาให้มีประสิทธิภาพสู่มาตรฐานสากล และพัฒนาผู้เรียนให้เป็นกำลังคนอาชีวศึกษาคุณภาพสูงตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงาน มีทักษะด้านวิชาชีพ ทักษะด้านการสื่อสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ทักษะดิจิทัลเทคโนโลยี ทักษะความคิดสร้างสรรค์ การสร้างนวัตกรรม และทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นและมีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพในยุคปัจจุบัน  โดยการขับเคลื่อนภายใต้นโยบายรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ 12 ข้อ ในรูปแบบ 5 Modern ประกอบด้วย 5 ทันสมัย 5 ทักษะ 5 มาตรฐาน วิทยาลัยใกล้บ้าน  

สำหรับ 5 ทันสมัย คือ 1.หลักสูตรทันสมัย 2.ห้องเรียนทันสมัย 3.สื่อ/เครื่องมือและครุภัณฑ์ทันสมัย 4.เทคโนโลยีทันสมัย และ 5.เครือข่ายความร่วมมือทันสมัย จากนโยบายที่ 1 การปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นโยบายที่ 6 การจัดสรรและการกระจายทรัพยากรให้ทั่วถึง นโยบายที่ 10 นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการจัดการศึกษาทุกระดับการศึกษา และนโยบายที่ 11 การเพิ่มโอกาสและการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา ส่วน 5 ทักษะ(Skill) คือ 1.ทักษะวิชาชีพ/อาชีพ 2.ทักษะการสื่อสาร 3.ทักษะดิจิทัล/เทคโนโลยี4.ทักษะความคิดสร้างสรรค์ 5.ทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งมาจากนโยบายที่ 3 ปฏิรูปการเรียนรู้ด้วยดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้วยดิจิทัลแห่งชาติ (NDLP) นโยบายที่ 5 จัดทดสอบวัดความรู้และทักษะที่จำเป็นในการศึกษาต่อ และนโยบายที่ 9 การศึกษาเพื่ออาชีพและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แล  5 มาตรฐาน (Standard) คือ 1.มาตรฐานแรงงาน 2.มาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพ 3.มาตรฐานอาชีวศึกษา 4.มาตรฐานอาเซียน และ 5.มาตรฐานสากล มาจากนโยบายที่ 7 การนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NOF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) และนโยบายที่9 การศึกษาเพื่ออาชีพและสร้างขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทราบว่า วิทยาลัยเทคนิคสกลนครได้นำมาตรฐานในระดับต่าง มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษา เช่น มาตรฐานฝีมือแรงงาน มาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพ มาตรฐานการอาชีวศึกษา มาตรฐานสากล เพียสัน B-TEC ประเทศอังกฤษ และกำลังเตรียมความรับการประเมินและรับรองคุณภาพสถานศึกษาด้านการอาชีวศึกษาระดับภาคพื้นเอเชียแปชิฟิก (APACC) ในปีการศึกษา 2565-2567 อีกด้วย นับเป็นความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้นสู่ระดับสากลอย่างแท้จริง โดยแนวทางดังกล่าวนี้สามารถนำมาใช้เป็นต้นแบบในการขับเคลื่อนและพัฒนามาตรฐานการศึกษาให้สูงขึ้นและควรแก่การนำไปเผยแพร่ขยายผลสู่สถานศึกษาอื่นและนำไปปรับประยุกต์ใช้ต่อไปรมว.ศึกษาธิการกล่าวและว่า อย่างไรก็ตามขอชื่นชมในความเสียสละและการทำความดีเพื่อส่วนรวมของผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนนักศึกษา ของวิทยาลัยเทคนิคสกลนคร ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจ ระดมสรรพกำลังต่าง โดยความร่วมมือกับหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการช่วยเหลือสนับสนุนโรงพยาบาลต่าง โดยการจัดตั้งศูนย์ซ่อม สร้างเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต้านภัย COVID-19 ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์ในการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ทางการแพทย์ เตียงผู้ป่วยที่ชำรุด และพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีในการสนับสนุนการให้บริการทางสาธารณสุขของบุคลากรทางการแพทย์ เช่น หุ่นยนต์ส่งอาหาร ยา เวชภัณฑ์ รถยนต์ไฟฟ้าขนย้ายผู้ป่วย เตียงผู้ป่วยอัตโนมัติ ห้องควบคุมความดันลบ เป็นต้น

..ตรีนุช กล่าวด้วยว่า วันนี้ทำให้เห็นถึงศักยภาพของอาชีวศึกษาที่จะเป็นโมเดลในการใช้นวัตกรรมทั้งด้านเทคโนโลยีและภาษามาสร้างคนให้เหมาะสมกับงานเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ในอนาคตและยังตอบโจทย์รัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาในการสร้างคนให้เหมาะกับงานและการสร้างนวัตกรรมโดยใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล และภาษา ในการเรียนรู้สร้างการตื่นตัวให้กับการศึกษาโดยเชื่อมโยงกับงานอาชีพพัฒนาเยาวชนให้เหมาะกับตลาดและสร้างนวัตกรรมในสาขาอิเล็กทรอนิกส์การแพทย์ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในพื้นที่ ถือว่าสกลนครโมเดลเป็นจุดเริ่มต้นเป็นการมองที่ตอบโจทย์อนาคตอย่างครบวงจร ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาไปขยายผลในพื้นที่ต่างๆซึ่งเชื่อมั่นว่าอาชีวศึกษามีศักยภาพที่จะสามารถทำได้

ด้านดร.สุเทพ กล่าวว่า วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร มีสาขาวิชาที่โดนเด่นคือ สาขาอิเล็กทรอนิกส์การแพทย์ ซึ่งทางวิทยาลัยทำความร่วมมือกับโรงพยาบาลศูนย์สกลนครโดยนำอุปกรณ์ทางการแพทย์ มาร่วมกันพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้ผู้เรียนสามารถซ่อมแซมอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ ซึ่งสาขานี้ได้รับการยอมรับอย่างดีจากโรงพยาบาลเพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของวงการแพทย์ได้อย่างดี  สอศ.จึงวางแผนจะขยายสาขานี้ไปทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งอาจจะไปที่วิทยาลัยที่มีความพร้อม อยู่ใกล้โรงพยาบาลศูนย์เป็นหลักและมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลได้

นอกจากนี้มีอีกสาขาหนึ่งที่จะตอบโจทย์ความต้องการในอนาคต คือสาขาการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันเราได้เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  โดย สอศ.เปิดสาขาการจัดการดูแลผู้สูงอายุ ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ เป็นที่แรก และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความต้องการของตลาด หากเป็นความต้องการของตลาด ก็จะขยายผลเปิดสอนในสถานศึกษาตามภูมิภาคต่างๆ ต่อไปเลขาธิการ กอศ.กล่าว

“ตรีนุช”ยันคิกออฟฉีดวัคซีนโควิดเด็ก 4 ต.ค. “ลุงตู่”ลงด้วยที่ รร.พิบูลอุปถัมภ์ ห้วยขวาง

เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงความคืบหน้า การฉีดวัคซียไฟเซอร์เด็กอายุ12-18ปี ว่า หลังจากกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ได้จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้ กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ลอตแรกจำนวน 1.84 ล้านโดส โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข อยู่ระหว่างการกระจายวัคซีนไปยังสาธารณสุขอำเภอต่าง ๆ เพื่อให้ โรงเรียนที่มีความพร้อมจัดเด็กเข้าไปฉีดวัคซีน ซึ่ง ศธ.จะคิกออฟ ในวันที่4 ต.คนี้

ผู้สื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีจะลงไปให้กำลังใจเด็กหรือไม่ น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ขอเช็คดูก่อนว่าจะลงพื้นที่ไหน ซึ่งเบื้องต้นน่าจะอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการน่าจะจัดให้ นายกรัฐมนตรีไปดูที่โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ เขตห้วยขวาง เวลา 08.00 น.

 

 

 

นายกฯพอใจจ่ายเงินเยียวยา 2 พัน ทะลุ 93% เฉพาะ ศธ.จ่ายเงินไปแล้ว 97.75%

เมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามความคืบหน้าการจ่ายเงินเยียวยาตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือ บรรเทาผลกระทบของประชาชน ในโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จำนวน 2,000 บาท ให้แก่นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ปกครอง ทั้งในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และนอกสังกัด ศธ.ทุกคน ทั่วประเทศ จำนวน 10,952,960 คน รวมเป็นเงินประมาณ 21,905,920,000 บาท ซึ่งขณะนี้ในภาพรวมมีการจ่ายเงินเยียวยาไปแล้ว จำนวน 10,258,424 คน รวมเป็นเงิน 20,516,848,000 บาท คิดเป็น 93.66% ของนักเรียนที่มีสิทธิทั้งหมด โดยจำแนกเป็นหน่วยงานในสังกัด ศธ. จ่ายเงินเยียวยาแล้ว จำนวน 9,569,466 คน เป็นเงินประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท และคิดเป็น 97.75% จากนักเรียนที่มีสิทธิทั้งหมด 9,709,019 คน สำหรับหน่วยงานนอกสังกัด ศธ.ได้จ่ายเงินเยียวยาไปแล้ว จำนวน 688,958 คน เป็นเงินประมาณ 1.3 พันล้านบาท และคิดเป็น 59.24% จากนักเรียนที่มีสิทธิทั้งหมด 1,162,941 คน ซึ่งนายกฯได้ชื่นชมที่ทุกฝ่ายร่วมมือกันทำงานอย่างเต็มที่

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามตนได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน ทุกสังกัด เร่งรัดดำเนินการจ่ายเงิน 2,000 บาท ให้เงินถึงมือนักเรียน นักศึกษา หรือ ผู้ปกครองโดยเร็ว ทั้งนี้ ยืนยันว่านักเรียนที่มีสิทธิทุกคนจะได้รับเงิน และหากมีปัญหาให้ติดต่อที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.)ในพื้นที่ และเพื่อให้การดำเนินโครงการฯและการเบิกจ่ายเงินเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการและมติคณะรัฐมนตรี ตนจึงได้เสนอขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงศึกษาธิการ จากเดือนสิงหาคม-กันยายน 2564 เป็นเดือน สิงหาคม-ธันวาคม 2564 .

ก.พ.อ.ให้ทบทวนตำแหน่ง 43 รศ.- ผศ. ของ มรภ.สารคาม ฐานปลอมแปลงเอกสารตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และปลอมลายเซ็นต์

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ได้มีการพิจารณาผลการตรวจสอบกระบวนการได้มาซึ่งตำแหน่งทางวิชาการ ทั้งตำแหน่งรองศาสตราจารย์ (รศ.) และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) ของคณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) มหาสารคาม และมีมติตามมาตรา 14 (6) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมขอให้สภามรภ.มหาสารคาม ทบทวนการแต่งตั้งบุคลากรของมหาวิทยาลัยให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ จำนวน 43 ราย แบ่งเป็นตำแหน่ง รศ. 14 ราย และ ผศ. 29 ราย โดย ก.พ.อ. มีความเห็นว่ามีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ดำเนินการตรวจสอบการได้มาซึ่งตำแหน่งทางวิชาการดังกล่าว และพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และมีการปลอมแปลงลายเซ็นต์กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้สภา มรภ.มหาสารคามเร่งพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และรายงานผลให้ ก.พ.อ. ทราบภายใน 45 วัน นับแต่วันที่สภามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามทราบเหตุดังกล่าวด้วย

รมว.อว. กล่าวต่อว่า หากสภาฯ มิได้ดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้าหรือไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ก.พ.อ. จะขอให้สำนักงานปลัด อว. เสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการการอุดมศึกษาพิจารณาให้ข้อเสนอแนะ เพื่อ รมว.อว. จะได้ใช้อำนาจตามมาตรา 51 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ.การอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 ต่อไป และที่สำคัญ ก.พ.อ. ขอให้สภา มรภ.มหาสารคาม พิจารณาด้วยว่ากรณีดังกล่าวมีผู้บริหารหรือบุคลากรของมหาวิทยาลัยกระทำความผิดทางวินัยด้วยหรือไม่ ถ้าพบว่ามีให้ดำเนินการทางวินัย และแจ้งผลการพิจารณาในส่วนนี้ให้ ก.พ.อ. ทราบภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งมตินี้ด้วยเช่นกัน

ดร.เอนก กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ก.พ.อ. ขอให้สภา มรภ.มหาสารคาม ปรับปรุงระบบการดำเนินการขอดำรงตำแหน่งทางวิชาการของข้าราชการพลเรือนรวมถึงการขอดำรงตำแหน่งทางวิชาการของพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาที่อยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาที่อยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. กำหนด โดยเคร่งครัดตามความมาตรา 14 (6) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งมีระบบตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริต และการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งมตินี้ และรายงานให้ ก.พ.อ. ทราบ

“ก.พ.อ. ขอให้สำนักงานปลัด อว. พิจารณาร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณีที่มีการปลอมแปลงเอกสารในการดำเนินการขอตำแหน่งทางวิชาการของ มรภ.มหาสารคาม ตามพยานหลักฐานที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ รวบรวมได้ เพื่อให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินการต่อไป” รมว.อว. กล่าวและว่า นอกจากนี้ การประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ครั้งที่ 9/2564 มีมติในกรณีเกิดขึ้นที่คล้ายคลึงกับ มรภ.มหาสารคาม คือ การทุจริตการขอตำแหน่งวิชาการของ มหาวิทยาลัยพิษณุโลก โดยให้สภามหาวิทยาลัย ถอดถอนตำแหน่ง 50 ราย เป็น ผศ. 42 ราย และ รศ. 8 ราย และ สป.อว. จะไม่นำความกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯ ศ. 1 ราย โดยให้สภามหาวิทยาลัยพิษณุโลกไปตรวจสอบและทบทวนใหม่ ซึ่งตนจะให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับ มรภ.มหาสารคาม พร้อมกันนี้ ตนยังได้สั่งการให้ อว. ทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึงทุกสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้ระวังและป้องกันการเกิดทุจริตการขอตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบการศึกษาและธรรมาภิบาลของมหาวิทยาลัย.

กศน.รับฟังความคิดเห็นการพัฒนาหลักสูตรตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่21 

จากการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของกลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) ระหว่างวันที่ 27-28 ก.ย. นายภูมิพัทธ  เรืองแหล่ รองเลขาธิการ กศน. กล่าวตอนหนึ่งว่า  การรับฟังความคิดเห็น มุมมอง ภาพอนาคตการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และความคิดเห็น มุมมอง เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรฯจากผู้ทรงคุณวุฒิในภาคส่วนต่างๆในวันนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนสำหรับการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา ปรับปรุงการเรียนการสอนของผู้เรียน กศน.เพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาการเรียนรู้และคุณภาพชีวิตให้กับคนทุกช่วงวัย โดยข้อมูลต่างๆที่ได้มีการศึกษาและยกร่างกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ กศน.ในครั้งนี้ ในภาพรวมนับว่ามีความครอบคลุม ถือว่าเดินมาถูกทาง ให้เดินหน้าการพัฒนาหลักสูตรต่อไป เพื่อให้การจัดการศึกษาสามารถพัฒนาประชาชนได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมประเทศและสังคมโลก ซึ่งในการปรับเปลี่ยนจากหลักสูตรมาตรฐานเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ เราต้องกำหนดเป้าหมายมุ่งไปที่สมรรถนะของผู้เรียนเป็นสำคัญ ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยกลุ่มเป้าหมายคือใคร ต้องการอะไรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ ต้องตอบโจทย์เหล่านั้นด้วย

“การพัฒนาหลักสูตร กศน.ต้องดูหลักสูตรของหน่วยงานอื่น เพราะต้องเทียบเคียงกันว่าจะต้องทำอะไรได้ รวมถึงการศึกษาข้อมูลประชากรเพิ่มเติมจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เกี่ยวกับช่วงอายุต่าง ๆ ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย จึงจะสามารถออกแบบการจัดการศึกษาให้มีความสอดคล้องจำนวนผู้เรียน ตามดัชนี 3 ตัวของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (ระบบนิเวศของการจัดการเรียนรู้ , การเรียนรู้ของบุคคล, ดัชนีการเรียนรู้) และข้อมูลการออกกลางคันของนักเรียนในระบบ เป็นต้น โดยข้อเสนอแนะจากเวทีความคิดเห็นในครั้งนี้ ทางคณะทำงานก็จะนำไปปรับเพื่อให้ความครอบคลุมในการพัฒนาหลักสูตรมากขึ้น ผมขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมเสวนาให้ข้อคิดเห็นที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานต่อไปในอนาคต” รองเลขาธิการ กศน.กล่าว

ด้านคณะผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัย ได้ชื่นชมคณะทำงานของ สำนักงาน กศน.ที่ได้ศึกษาและเรียบเรียงข้อมูลการขับเคลื่อนการต่างๆได้ครอบคลุมและชัดเจนเป็นอย่างดี และได้ให้ข้อคิดเห็นว่า “ การจัดทำหลักสูตรฐานสมรรถนะ ต้องสามารถแยกได้ว่าผู้เรียนจะมีสมรรถนะอะไรที่เหมือนกันและต่างกัน ต้องมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะเนื่องจากกลุ่มเป้าหมายมีความหลากหลาย การจัดทำหลักสูตรต้องสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายได้ ควรวิเคราะห์ว่าการจัดศึกษาของ กศน. นั้นมีอะไรที่เป็นจุดเด่นและต้องพิจารณาว่าสมรรถนะใดที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง อีกทั้งต้องมีการศึกษากฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกฎหมายใหม่และกฎหมายเดิม ให้สามารถเทียบเคียงกับหลักสูตรพื้นฐานได้ ต้องมีมาตรฐาน แต่สามารถยืดหยุ่นได้ และการแนะแนวนั้น ไม่ใช่เป็นการแนะแนวแค่การเรียนตามหลักสูตร ควรสามารถแนะแนวต่อการประกอบอาชีพได้ การวัดและประเมินผล ต้องสามารถวัดและประเมินผลสมรรถนะได้ และต้องเตรียมบุคลากรให้พร้อมต่อการพัฒนาหลักสูตรในครั้งนี้”

สำหรับคณะผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน ให้ข้อคิดเห็นสรุปได้ว่า “ การยกร่างกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ กศน. นี้ ถือว่าข้อมูลที่ศึกษามามีความสอดคล้องกับบริบทการจัดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แต่อยากให้มีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดลงของจำนวนผู้เรียน เพราะอาจจะส่งผลต่อการพัฒนาหลักสูตรในครั้งนี้ ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่เก็บจากการตกหล่นจากในระบบอย่างเดียว เราต้องรู้ว่าใครคือลูกค้า ลูกค้าต้องการอะไร และกศน. จะตอบสนองลูกค้าอย่างไร การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องให้ผู้เรียนมีจุดหมายใช้ชีวิตให้มีประโยชน์ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ซึ่งเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ต้องมีความยืดหยุ่น ลดกรอบ ลดเกณฑ์ การจัดการเรียนรู้ก็ต้องไม่ใช่จัดการเรียนรู้แบบผู้ใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว การกำหนดสมรรถนะต้องมีความมุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถใช้ชีวิตเป็น ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทความเป็นครู ให้อยู่ในรูปแบบ Coaching ให้กับผู้เรียน และต้องมีพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง สำนักงาน กศน. ต้องมีแหล่งเรียนรู้ที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้พร้อมต่อการพัฒนาหลักสูตรในครั้งนี้ รวมถึงสนับสนุนทรัพยากรต่าง ๆให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย

นางเอื้อมพร สุเมธาวัฒนะ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กล่าวว่า  สำนักงาน กศน.ได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 มากว่า 12 ปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประเทศมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรหลักสูตรขั้นพื้นฐานของ กศน. ใหม่ โดยเริ่มดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว และได้ยกร่างสมรรถนะของผู้เรียนการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็น 4 สมรรถนะ คือ การคิดเป็น การจัดการตนเอง การสื่อสารและความเป็นพลเมือง ทั้งนี้ร่างกรอบสมรรถนะดังกล่าว กศน.ยังต้องรับฟังความคิดเห็นของบุคคลกลุ่มต่าง ๆ อีก เพราะผู้เรียน กศน.มีหลายกลุ่ม เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน ทหารกองประจำการ ผู้พิการ เด็กชาวเขา ชาวเล เป็นต้น ซึ่งจะต้องมีการทบทวน ตรวจสอบในวงกว้าง รวมถึงรวบรวมสาระสำคัญต่าง ๆ ที่จะนำมาเป็นข้อมูลในการยกร่างกรอบหลักสูตรให้มีความสมบูรณ์สามารถตอบโจทย์ของผู้ใช้บริการ ให้สามารถต่อยอดการพัฒนาตนเอง การพัฒนาชีวิต และอาชีพได้เต็มตามศักยภาพ ตามความถนัด และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมของประเทศและสังคมโลกต่อไป

ก.ค.ศ.ไฟเขียวปรับวิธีสอบครูผู้ช่วย 64 ใช้ระบบอยู่ที่ไหนสอบที่นั่น

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี 2564 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน  11,703 อัตรา ซึ่งได้มีการเปิดรับสมัครไปตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้สนใจเข้ามาสมัครมากกว่า 1.7 แสนคน แต่ต้องเลื่อนการจัดสอบออกไปจากกำหนดการเดิม เนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ส่วนราชการไม่สามารถดำเนินการจัดสอบได้ ซึ่งทาง ศธ.มีความเป็นห่วงเรื่องของอัตรากำลัง เกรงว่าจะขาดแคลนบุคลากรที่ทำหน้าที่จัดการเรียนการสอน จึงมอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ.ไปวิเคราะห์รูปแบบ หาแนวทางการดำเนินการสอบแข่งขันฯ  ซึ่งวันนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้เสนอแนวทางการจัดสอบโดยปรับวิธีสอบเพื่อลดการเดินทาง และเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าสอบ รวมถึงเป็นไปตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. คือ ให้ผู้มีสิทธิสอบ ภาค ก และ ภาค ข ตามที่ได้ประกาศรายชื่อไว้แล้ว  แจ้งความประสงค์ในการเข้าสอบในจังหวัดที่ตนเองพักอาศัยในปัจจุบัน หรือ ใช้ระบบอยู่ที่ไหนสอบที่นั่น ไม่ต้องไปสอบในที่ที่สมัครไว้ โดยน่าจะต้องมีการลงทะเบียนว่าจะสอบที่ไหน ส่วนจัดสอบเมื่อใดนั้น สพฐ.จะกำหนดรายละเอียดการจัดสอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่ประชุมได้กำชับให้ดำเนินการโดยเร็วที่สุด

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบ ก.ค.ศ. เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษจากสภาพการทำงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ….  โดยมีสาระสำคัญ คือ 1. กำหนดเหตุพิเศษ จากปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ อดทนสูง ขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง มีความยากลำบาก ตรากตรำ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือการบริหารจัดการสถานศึกษา มีความเคร่งเครียด กดดัน หรือต้องดูแลกลุ่มผู้เรียนพักนอนในสถานศึกษาหรือผู้เรียนกลุ่มชาติพันธุ์ (กำหนดจากปัจจัยที่ 1 สภาพการปฏิบัติงาน) ทั้งนี้ นักเรียนพักนอน หมายถึง ผู้เรียนที่ศึกษาและต้องพักนอนอยู่ในสถานศึกษา เนื่องจากไม่สามารถเดินทางไป – กลับระหว่างสถานศึกษาและบ้านพักได้ภายในวันเดียวกัน เนื่องจากความยากลำบากในการเดินทาง โดยความเห็นชอบของส่วนราชการต้นสังกัดและโดยอนุมัติของ ก.ค.ศ. และกลุ่มชาติพันธุ์ หมายถึง กลุ่มชาติพันธุ์ตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด 2. ผู้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอน และสายงานผู้บริหารสถานศึกษา ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา ดังนี้ (1) สถานศึกษาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการครูฯ พ.ศ. 2547   (2) โรงเรียนสาขา/ห้องเรียนสาขาที่ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนด และ (3) สถานที่จัดการเรียนการสอนที่ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนด โดยอนุมัติของ ก.ค.ศ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ กศจ. ที่ได้รับมอบหมาย โดยสถานศึกษาต้องมีพื้นที่ตั้งเป็นเกาะ หรือบนภูเขาสูง หรือหุบเขา หรือเชิงเขา ที่ไม่สามารถเดินทางด้วยพาหนะใด ๆ ได้สะดวกตลอดปี หรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ หรือพื้นที่อื่นตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด  3. อัตราเงินเพิ่ม 3,000 บาท/เดือน โดยให้จ่ายเป็นรายเดือนในลักษณะจ่ายควบกับเงินเดือน และไม่นำไปรวมคำนวณบำเหน็จบำนาญ กรณีปฏิบัติงานไม่เต็มเดือน ให้ได้รับเงินเพิ่มตามส่วนของจำนวนวันที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้จะนำ (ร่าง) ระเบียบ ก.ค.ศ.ดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อพิจารณาต่อไป

ศธ.ได้รับจัดสรรวัคซีนโควิดฉีดเด็กล็อตแรก1.84ล้านโดส ดีเดย์4ต.ค.นี้ คาดนายกฯไปให้กำลังใจ

เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2564 ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยว่า หลังจากกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ได้รับวัคซีน Pfizer จำนวน 2 ล้านโดส เมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นล็อตแรกจากทั้งหมดที่รัฐบาลจัดซื้อมา 30 ล้านโดส ซึ่งทาง Pfizer จะจัดส่งในเดือนตุลาคมอีก 6 ล้านโดส  และครบทั้ง 30 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งล็อตแรกกระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรวัคซีนให้ ศธ.เพื่อนำไปฉีดให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 12-18 ปี จำนวน 1.84 ล้านโดส โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กระจายไปยังอำเภอต่าง ๆ จากเดิมจะกระจายให้จังหวัดเพื่อให้ศึกษาธิการจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษาไปจัดสรรให้สถานศึกษา หรือสถานที่ ที่เหมาะสมในพื้นที่นั้น ๆดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก

“วันนี้ผมได้ประชุมผ่านระบบ zoom กับศึกษาธิการจังหวัด เพื่อวางแผนในการจัดเด็กเข้ามาฉีดวัคซีน โดยล็อตแรกแบ่งฉีดวัคซีน 50% ก่อน โดยให้ไปดูโรงเรียนที่เด็กและผู้ปกครองมีความพร้อมที่จะเริ่มฉีดวัคซีนในวันที่ 4 ต.ค.นี้ ส่วนล็อตที่สองทราบว่าวัคซีนจะเข้ามาอีกในวันที่ 13 ต.ค.และคาดว่าเด็กจะฉีดครบ2เข็มราวปลายเดือนพ.ย.ทั้งนี้ในวันที่ 4 ต.ค.ซึ่งเป็นวันฉีดวัคซีนวันแรกของเด็ก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะลงไปให้กำลังใจเด็กฉีดวัคซีนด้วย

“ตรีนุช”ตรวจน้ำท่วมสิงห์บุรี มอบกล่องยังชีพถึงบันไดบ้าน พร้อมสั่งจัดงบฯรอซ่อมแซมโรงเรียนถูกน้ำท่วม

 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 ..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ ..อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรมว.ศึกษาธิการ  และ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลประศุก อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ พร้อมทั้งมอบกล่องยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย ใน อบต.ประศุก อบต.ทับยา และอบต.น้ำตาล จากนั้นได้เปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการ รวมใจช่วยภัย น้ำท่วมพร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมสร้าง Fix it Center ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งมีนักศึกษาจิตอาสา มาให้บริการซ่อมรถยนต์ รถจักรยานยนต์เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน งานเชื่อม มุ้งลวด  และซ่อมคอมพิวเตอร์ โดยเปิดให้บริการตั้งแต่วันนี้(29 กันยายน) จนกว่าน้ำจะลด ในเวลา08.30-16.30 . ที่หน้า อบต.ประศุก ซึ่งประชาชนสามารถรับบริการได้ ด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียว

โดย ..ตรีนุช กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีความห่วงใย ด้านความเป็นอยู่ของชุมชน และนักเรียน นักศึกษา ในทุกสถานศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งโครงการ Fix it Center นับเป็นโครงการที่ดี มีประโยชน์ต่อชุมชน ช่วยบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย และยังส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา นำความรู้ความชำนาญด้านงานช่างมาให้บริการ ซึ่งเป็นการพัฒนาความรู้ความสามารถของนักเรียน นักศึกษาจากประสบการณ์จริง ได้ซ่อมของจริงที่ชำรุดเสียหายจากน้ำท่วมจริงได้เรียนรู้จักการเป็นจิตอาสา และการปฏิบัติงานนี้ก็นับเป็นเวลาเรียนของนักเรียนนักศึกษาด้วย

 

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ต้องขอชื่นชม คณะผู้บริหาร ครู นักเรียน นักศึกษานักเรียน นักศึกษา และอาจารย์ จากวิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรี วิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรีแห่งที่ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสิงห์บุรี วิทยาลัยการอาชีพอินทร์บุรี วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการสิงห์บุรี และวิทยาลัยเทคโนโลยีบริหารธุรกิจสิงห์บุรี ที่รวมนักเรียน นักศึกษาในสาขาวิชาต่างๆ เป็นทีม Fix It Center หมุนเวียนออกมาให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยให้บริการซ่อมเครื่องมือ เครื่องจักรกลทางการเกษตร รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน และตั้งโรงครัวทำข้าวกล่องแจก ซึ่งทั้งหมดเป็นการให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทำให้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ มีอายุการใช้งานที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น อันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ชุมชน และถึงแม้ขณะนี้จะเป็นช่วงปิดภาคเรียนของสถานศึกษานักศึกษาก็ได้ออกมาให้ความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นจิตอาสา อย่างไรก็ตามการดำเนินการต่าง สถานศึกษาจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของนักเรียน นักศึกษา ครู เป็นสำคัญ และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังมีการแพร่ระบาดอยู่อย่างต่อเนื่องในขณะนี้ด้วย

ส่วนโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนั้น ก่อนหน้านี้ดิฉันได้กำชับหน่วยงานต้นสังกัดให้นำงบประมาณบางส่วนไปดำเนินการซ่อมแซมแล้ว เพื่อที่จะสามารถเปิดเรียนได้ตามปกติเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย รวมถึงมีการจัดสรรงบฯสำรองไว้ที่เขตพื้นที่การศึกษา เขตละ 3แสนบาทเพื่อดูแลความเดือดร้อนเบื้องต้นด้วย..ตรีนุชกล่าว

ด้าน ดร.สุเทพ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อม Fix It Center เพื่อรองรับหากสถานการณ์น้ำท่วมกระจายวงกว้างออกไปอีก ว่า  รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้สอศ.สั่งการให้ทุกสถานศึกษาที่มี Fix It Centerเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ให้สามารถออกหน่วยได้ทันทีที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม และหลังน้ำลดก็จะลงไปอีกครั้ง

 

เตรียมชงบอร์ด ก.ค.ศ. พิจารณาแนวทางสอบครูผู้ช่วย ปี 64 ช่วงสถานการณ์โควิด

..ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ทำการเปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี 2564 ไปตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมาโดยมีผู้สนใจเข้ามาสมัครมากกว่า 1.7 แสนราย แต่ด้วยสถานการณ์ความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ต้องเลื่อนการสอบออกไปอย่างไม่มีกำหนดส่วนราชการไม่สามารถดำเนินการจัดสอบแข่งขันได้ตามกำหนดการเดิม ส่งให้เกิดผลกระทบตามมาในหลายด้าน ทั้งด้านคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาในเรื่องของการขาดแคลนบุคลากรครูในการเข้าไปจัดการเรียนการสอนทดแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ คุณภาพของผู้เรียน และการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของประเทศ ดังนั้น เพื่อให้การสอบแข่งขันฯ สามารถดำเนินการได้ในสภาวการณ์นี้  ตนได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และได้มอบหมายให้สำนักงาน ...   ซึ่งเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการฯ สอบครูผู้ช่วยวิเคราะห์รูปแบบ หาแนวทาง และความเป็นไปได้ในการดำเนินการสอบแข่งขันฯได้โดยเร็วและมีประสิทธิภาพ ในสภาวการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19

ทราบว่าสำนักงาน ... ได้ดำเนินการหารูปแบบและแนวทางไว้เรียบร้อยแล้ว และเตรียมนำแนวทางดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุม ... ในวันที่ 30 กันยายน ที่จะถึงนี้ เพื่อให้ที่ประชุม ... ได้พิจารณาและหาข้อสรุปร่วมกัน  หากมีมติเห็นชอบแนวทางตามที่สำนักงาน ... เสนอ ก็จะได้แจ้งให้ส่วนราชการเร่งดำเนินงานตามแนวทางและแนวปฏิบัติโดยด่วนต่อไป อย่างไรก็ตามดิฉันขอเรียนว่า ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหาและพยายามหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวขอย่าได้กังวล และขอฝากกำลังใจไปถึงน้อง ว่าที่ครูรุ่นใหม่ทุกคน ที่กำลังเตรียมตัวและรอคอยที่จะเข้ารับการสอบบรรจุในตำแหน่งครูผู้ช่วยในครั้งนี้ ขอให้เตรียมความพร้อมและมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเข้ามาสู่ระบบการศึกษาให้ได้ เพื่อนำความรู้ความสามารถที่มีมาเป็นกำลังสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ ในการช่วยกันขับเคลื่อนการจัดการศึกษาของประเทศเราให้มีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นรมว.ศึกษาธิการกล่าว