เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา ตนได้ประชุมร่วมกับสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ (สลช.)และ สำนักการลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการนักเรียน โดยได้รับทราบรายงานการขับเคลื่อนกิจการลูกเสือไทย พร้อมทั้งมอบนโยบาย ไปว่า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ประเภทต่าง ๆ รวมเกือบ 2 ล้านคน แต่ประชาชนไม่ค่อยรู้ว่าวันนี้เรายังมีลูกเสืออยู่ ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญมากในการฝึกฝนความมีระเบียบวินัย การฝึกทักษะการเอาตัวรอด และการช่วยเหลือคนอื่นในสังคม รวมถึงการบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตนจึงอยากทำให้ลูกเสือเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น หรือทำให้กิจการลูกเสือกลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยใช้ภารกิจของการลูกเสือ โดยเฉพาะการบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สาธารณะ จะทำอย่างไรให้ลูกเสือเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนได้ เช่น กรณีเกิดภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ จะต้องได้เห็นลูกเสือออกมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เป็นต้น
ด้าน ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ มีหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ดูแลเรื่องบทบาทของลูกเสือ ค่ายลูกเสือ การฝึกอบรมลูกเสือและบุคลากรการลูกเสือ การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมลูกเสือ การบริหารจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ของลูกเสือ เป็นต้น สำหรับค่ายลูกเสือในประเทศไทยปัจจุบันมี 81 ค่าย ในจำนวนนี้อยู่ในกำกับดูแลของ สลช. 4 ค่าย ได้แก่ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จ.ชลบุรี ค่ายหลวงบ้านไร่ จ.ราชบุรี ค่ายลูกเสือไทยเฉลิมพระเกียรติ จ.ตรัง และ ค่ายลูกเสือรัตรสาร จ.สงขลา ส่วน 77 แห่ง อยู่ในกำกับดูแลของจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษา
เลขาธิการ สลช. กล่าวว่า ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ ค่ายลูกเสือถูกปล่อยปละละเลยมานาน บางแห่งตั้งอยู่บนพื้นที่ของกรมธนารักษ์ บางแห่งก็อยู่บนพื้นที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่ของคนอื่นไม่ใช่พื้นที่ของ สลช. เอง เพราะฉะนั้นการดูแลก็จะมีข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณ ดังนั้นการที่ รมช.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้ยกระดับค่ายลูกเสือที่ยังพอใช้ได้อยู่ให้กลับมาใช้งานได้ และดูแลพัฒนาค่ายลูกเสือที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง สลช.กำลังดำเนินการโดยตั้งทีมสำรวจลงไปดูว่า แต่ละค่ายมีประวัติศาสตร์อย่างไร ตั้งมากี่ปี เพื่อหาแนวทางเข้าไปดูแล พัฒนา ให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป อย่างไรก็ตามเท่าที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นเกินครึ่งมีสภาพเสื่อมโทรม ไม่ได้รับการดูแล ซึ่งก็คงต้องเสนองบประมาณ พัฒนาค่ายลูกเสือและระดมทรัพยากร โดยแต่ละจังหวัดต้องเสนอแผนพัฒนาค่ายมาให้ สลช.พิจารณาต่อไป




เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์พายุ ‘วิภา’ ที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย และส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาและประชาชนในหลายพื้นที่ ซึ่งศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความห่วงใยต่อครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนของกระทรวงศึกษาธิการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กำชับเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมช่วยเหลือ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ
เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้สั่งการให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตามข้อห่วงใย รมว.ศึกษาธิการ และเตรียมมาตรการรองรับเพื่อความปลอดภัย ให้สถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมความพร้อมรับมือพายุอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญกับการอพยพนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากรไปยังพื้นที่ปลอดภัยหากสถานการณ์เลวร้ายลง และประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น นายอำเภอ และสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) ส่วนในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักขอให้พิจารณาการประกาศหยุดเรียนหรือปรับรูปแบบการเรียนการสอนตามความเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน พร้อมเฝ้าระวังและติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยา
นายยศพล กล่าวว่า นอกจากนี้ สอศ. ได้เตรียมศูนย์อาชีวะช่วยประชาชน (Fix It Center) เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงเรียน สถานศึกษาเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนสามารถกลับมาดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด โดยให้ทุกสถานศึกษาติดตามสถานการณ์ และรายงานกลับมายังส่วนกลาง ซึ่ง พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่ทั้งด้านทรัพยากร เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ หรือบุคลากรเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องนโยบายการลดภาระครูตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ นั้น ในวันนี้ ตนได้มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. ไปจัดทำประกาศ สพฐ. เรื่องรายการที่ครูไม่ต้องรายงาน จำนวน 52 รายการ ซึ่งจะเป็นการลดภาระครูได้อย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้ โดยจะออกประกาศเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนตัวชี้วัดและการประเมินการรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA ) ซึ่งโรงเรียนต้องดำเนินการ ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการปรับลดตัวชี้วัดที่กำหนดไว้จาก 28 ตัวชี้วัด เหลือ 17 ตัวชี้วัดแล้ว แต่ก็มีเสียงสะท้อนค่อนข้างมากว่าภาระมาก จึงได้สั่งการให้มีการประเมิน ITA เฉพาะโรงเรียนคุณภาพ และ โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เหลือประมาณ 1,000 กว่าโรงเท่านั้น และในระยะยาวจะมีการประสานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อลดตัวชี้วัดลงอีก




เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยผู้บริหารศธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้มีการจัดประชุมผู้บริหารและครูทุกสังกัด ที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานในสังกัดศธ. โดยมีนายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวรายงาน
รมว. ศึกษาธิการ กล่าวว่า วันนี้ดีใจ องค์กรหลัก ศธ. มาครบทุกหน่วยงาน เพราะตนเชื่อว่าหากจะทำงานให้สัมฤทธิ์ผลได้ ต้องมี ประสมประสานเชื่อมโยงกันภายในกระทรวง ก่อนที่จะไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงอื่นๆ ทั้งนี้อยากให้ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวศึกษา เพราะเมื่อเป็นพี่เป็นน้องแล้ว จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น
“ส่วนตัวดิฉันเองเป็นฝ่ายการเมืองเรามาแล้วก็ไป แต่ทุกคนเป็นข้าราชการประจำที่จะอยู่กับกระทรวง อยู่กับเด็ก ๆอยู่กับการการศึกษาไทยไปอีกนาน ก็หวังว่าทุกคนจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ดังนั้น จึงไม่อยากที่จะเข้ามากำหนดนโยบาย แต่ต้องฟังจากผู้ที่อยู่ในองค์กร เพื่อให้แผนและนโยบายออกมาจากบุคลากรในองค์กรเองว่าอยากเห็นองค์กรขับเคลื่อนไปในทิศทางใด ซึ่งผู้บริหารกระทรวงก็รับจะนำแต่ละพื้นที่ไปตกผลึก เพราะแต่ละหน่วยงานก็มีปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่แตกต่างกัน แต่โดยส่วนตัวมีเป้าหมายทางการเมืองที่เข้ามา หวังว่าการศึกษาจะช่วยลดความขัดแย้งในสังคมไทย ขอฝากครูและผู้บริหารช่วยส่งเสริมและเพิ่มเติมการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง การเรื่องการลดภาระครู และการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อลดปัญหาด้านเศรษฐกิจ เพราะวิทยฐานะนอกจากจะเป็นตำแหน่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในวิชาชีพแล้ว ยังทำให้มีรายได้เพิ่มช่วยลดค่าของชีพ ซึ่งได้คุยกับเลขาธิการก.ค.ศ. ว่า หลักเกณฑ์ที่ผ่านมาก็เป็นหลักเกณฑ์ที่ดี แต่อาจจะต้องปรับให้ตอบโจทย์ผู้ที่ถูกประเมิน สร้างแรงจูงใจ ให้ทุกคน ในการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพ ทั้งนี้ การศึกษาแต่ละองค์กร ก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่ต้องถูกประเมินไม่เหมือนกัน ทั้งประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ( สกร.) ฯลฯ ดังนั้นจึงให้ ไปดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะแยกหลักเกณฑ์วิทยฐานะในแต่ละรูปแบบ เพื่อที่ครูจะได้โฟกัสในสิ่งที่ต้องไปพัฒนาวิทยฐานะ และพัฒนาเด็กให้ตรงกับเรื่องที่ต้องประเมิน ถ้าเป็นหลักเกณฑ์กลางทั้งหมด มันก็ไม่เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่และถ้าสามารถแยกวิทยฐานะแต่ละประเภทได้ ก็อยากให้มีผู้ประเมินที่เข้าใจบริบทการทำงาน เพื้อให้เกิดความเข้าใจ อย่างเช่นตนเองเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หากต้องประเมินครูประถมก็คิดว่า ทำได้ไม่ดี เพราะถูกฝึกมาคนละอย่าง หากเราไปประเมินในสิ่งที่เราขาดประสบการณ์ก็อาจจะไม่สอดคล้อง จึงขอฝากให้ดำเนินการเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน“ศ.ดร.นฤมล กล่าว

