“เทวัญ”สั่งสแกนค่ายลูกเสือ ฟื้นชีวิตกิจการลูกเสือไทย

­เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา ตนได้ประชุมร่วมกับสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ (สลช.)และ สำนักการลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการนักเรียน โดยได้รับทราบรายงานการขับเคลื่อนกิจการลูกเสือไทย พร้อมทั้งมอบนโยบาย ไปว่า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ประเภทต่าง ๆ รวมเกือบ 2 ล้านคน แต่ประชาชนไม่ค่อยรู้ว่าวันนี้เรายังมีลูกเสืออยู่ ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญมากในการฝึกฝนความมีระเบียบวินัย การฝึกทักษะการเอาตัวรอด และการช่วยเหลือคนอื่นในสังคม รวมถึงการบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตนจึงอยากทำให้ลูกเสือเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น หรือทำให้กิจการลูกเสือกลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยใช้ภารกิจของการลูกเสือ โดยเฉพาะการบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สาธารณะ จะทำอย่างไรให้ลูกเสือเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนได้ เช่น กรณีเกิดภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ จะต้องได้เห็นลูกเสือออกมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เป็นต้น

ด้าน ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ มีหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายของคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ดูแลเรื่องบทบาทของลูกเสือ ค่ายลูกเสือ การฝึกอบรมลูกเสือและบุคลากรการลูกเสือ การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมลูกเสือ การบริหารจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ของลูกเสือ เป็นต้น สำหรับค่ายลูกเสือในประเทศไทยปัจจุบันมี 81 ค่าย ในจำนวนนี้อยู่ในกำกับดูแลของ สลช. 4 ค่าย ได้แก่ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จ.ชลบุรี ค่ายหลวงบ้านไร่ จ.ราชบุรี ค่ายลูกเสือไทยเฉลิมพระเกียรติ จ.ตรัง และ ค่ายลูกเสือรัตรสาร จ.สงขลา ส่วน 77 แห่ง อยู่ในกำกับดูแลของจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษา

เลขาธิการ สลช. กล่าวว่า ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ ค่ายลูกเสือถูกปล่อยปละละเลยมานาน บางแห่งตั้งอยู่บนพื้นที่ของกรมธนารักษ์ บางแห่งก็อยู่บนพื้นที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่ของคนอื่นไม่ใช่พื้นที่ของ สลช. เอง เพราะฉะนั้นการดูแลก็จะมีข้อจำกัดในการจัดสรรงบประมาณ ดังนั้นการที่ รมช.ศึกษาธิการ มีนโยบายให้ยกระดับค่ายลูกเสือที่ยังพอใช้ได้อยู่ให้กลับมาใช้งานได้ และดูแลพัฒนาค่ายลูกเสือที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง สลช.กำลังดำเนินการโดยตั้งทีมสำรวจลงไปดูว่า แต่ละค่ายมีประวัติศาสตร์อย่างไร ตั้งมากี่ปี เพื่อหาแนวทางเข้าไปดูแล พัฒนา ให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป อย่างไรก็ตามเท่าที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นเกินครึ่งมีสภาพเสื่อมโทรม ไม่ได้รับการดูแล ซึ่งก็คงต้องเสนองบประมาณ พัฒนาค่ายลูกเสือและระดมทรัพยากร โดยแต่ละจังหวัดต้องเสนอแผนพัฒนาค่ายมาให้ สลช.พิจารณาต่อไป

 

ศธ.สั่งปิดโรงเรียนชายแดนสุรินทร์ หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา กำชับ สพฐ. ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมเปิดศูนย์พักพิง วางแผนหลบภัยดูแลนักเรียน

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะกันระหว่างกำลังความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ใกล้พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเช้าวันเดียวกัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ และได้มีคำสั่ง ปิดโรงเรียนทุกแห่งในบริเวณที่เกิดเหตุการปะทะเป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่

“ดิฉันได้กำชับให้โรงเรียนในเขตชายแดนจัดเตรียมแผนรับมืออย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเตรียมหลุมหลบภัย หรือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียน รวมถึงสั่งการให้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อรองรับนักเรียนและครอบครัวที่อาจต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง” ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะประเมินสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง และจะพิจารณาเปิดเรียนตามปกติเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในระยะยาว

“ยศพล” สั่งสถานศึกษาเฝ้าระวังรับมือพายุวิภา พร้อมเตรียม “Fix It Center” ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์พายุ ‘วิภา’ ที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย และส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาและประชาชนในหลายพื้นที่ ซึ่งศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงความห่วงใยต่อครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนของกระทรวงศึกษาธิการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กำชับเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมช่วยเหลือ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้สั่งการให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตามข้อห่วงใย รมว.ศึกษาธิการ และเตรียมมาตรการรองรับเพื่อความปลอดภัย ให้สถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมความพร้อมรับมือพายุอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญกับการอพยพนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากรไปยังพื้นที่ปลอดภัยหากสถานการณ์เลวร้ายลง และประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น นายอำเภอ และสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) ส่วนในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักขอให้พิจารณาการประกาศหยุดเรียนหรือปรับรูปแบบการเรียนการสอนตามความเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน พร้อมเฝ้าระวังและติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยา

นายยศพล กล่าวว่า นอกจากนี้ สอศ. ได้เตรียมศูนย์อาชีวะช่วยประชาชน (Fix It Center) เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงเรียน สถานศึกษาเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนสามารถกลับมาดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด โดยให้ทุกสถานศึกษาติดตามสถานการณ์ และรายงานกลับมายังส่วนกลาง ซึ่ง พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่ทั้งด้านทรัพยากร เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ หรือบุคลากรเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน

สพฐ. รับโจทย์ อาจารย์แหม่มลดภาระครู 52รายการครูไม่ต้องรายงาน พร้อม ลดตัวชี้วัดITA

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.) ครั้งที่ 27/2568  ว่า ที่ประชุมได้ติดตาม การรายงานเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของพายุโซนร้อนกำลังแรง “วิภา” โดยได้กำชับให้ทุกเขตพื้นที่การศึกษาและทุกโรงเรียนที่คาดว่าพายุจะผ่านได้เฝ้าติดตามสถานการณ์ จัดทำแผนเผชิญเหตุ และเตรียมความพร้อม ดูแล ช่วยเหลือนักเรียน/ครู/โรงเรียน ตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันอุทกภัยของ สพฐ.  พร้อมทั้งให้ตัดแต่งต้นไม้รอบ ๆ โรงเรียนเพื่อไม่ให้ต้านลม และหากเกิดน้ำท่วมก็ต้องรีบประสานการไฟฟ้าตัดระบบไฟทันที และหากน้ำเข้าบริเวณโรงเรียนก็ให้สั่งปิดโรงเรียนทันที ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนครูและบุคลากร รวมถึงที่พักพิงหากจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้าย และถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้วย เมื่อน้ำลดทางเขตพื้นที่ก็ต้องลงสำรวจความเสียหายและดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย และสถานศึกษาในพื้นที่เพื่อให้กลับสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็วที่สุด เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องนโยบายการลดภาระครูตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ  นั้น ในวันนี้ ตนได้มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. ไปจัดทำประกาศ สพฐ. เรื่องรายการที่ครูไม่ต้องรายงาน จำนวน 52 รายการ ซึ่งจะเป็นการลดภาระครูได้อย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้ โดยจะออกประกาศเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ภายในสัปดาห์นี้  ส่วนตัวชี้วัดและการประเมินการรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA ) ซึ่งโรงเรียนต้องดำเนินการ ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการปรับลดตัวชี้วัดที่กำหนดไว้จาก 28 ตัวชี้วัด เหลือ 17 ตัวชี้วัดแล้ว แต่ก็มีเสียงสะท้อนค่อนข้างมากว่าภาระมาก จึงได้สั่งการให้มีการประเมิน ITA เฉพาะโรงเรียนคุณภาพ และ โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เหลือประมาณ 1,000 กว่าโรงเท่านั้น และในระยะยาวจะมีการประสานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อลดตัวชี้วัดลงอีก

“นอกจากนี้การลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษาในส่วนของโครงการต่าง  ๆ ผมได้มอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาว่ามีโครงการใดที่จะปรับลดลงได้ ซึ่งเบื้องต้นสามารถปรับลดลงได้บ้างแล้ว คือ โครงการในภาพรวมของ สพฐ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ จำนวน 114 โครงการ สามารถลดภาระตามแนวทาง 6ล ของสพฐ.ด้  80 โครงการ และยกเลิกการรายงาน ได้ 52 โครงการ”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

อังคารหน้า ลุ้นซี11ศธ.เข้าครม.

เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)กล่าวถึงการเสนอแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ แทนว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)(ระดับ11) ที่จะเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายน 2568 นี้ ว่า ถ้าเป็นไปได้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันอังคารหน้าก็อยากจะเสนอชื่อแต่งตั้งเลขาธิการ กพฐ.เลย เพื่อจะได้แต่งตั้งระดับ10 ให้ทำงานต่อเนื่อง เพราะตอนนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้เสนอชื่อแต่งตั้งไปแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่มีใครอยู่ในใจและไม่มีตั๋วช้าง อาจจะดูความอาวุโสและประสบการณ์ควบคู่กันไป และต้องสอบถามผู้ที่รับผิดชอบและท่านอื่น ๆ ด้วย

นอกจากนี้ ศ.ดร.นฤมล ยังได้กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้ ว่า นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ฝากทุกกระทรวง ให้ช่วยเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งตนได้ส่งตัวเลขการใช้จ่ายของกระทรวงศึกษาธิการให้ที่ประชุมดูแล้ว ส่วนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา(Anywhere Anytime)จะดำเนินการต่ออย่างไร ต้องหารือกับ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)

“นฤมล” ส่งแรงใจให้ตัวแทนนักเรียนไทยสู้ศึกคณิตศาสตร์โลก PMWC 2025 ขอบคุณทุกฝ่ายสนันสนุนเด็ก ๆ สร้างชื่อเสียงบทเวทีนานาชาติ

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ที่ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  เป็นประธานและให้โอวาทคณะผู้แทนนักเรียนไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์โลก ระดับประถมศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2568 ในรายการ Po Leung Kuk 25th Primary Mathematics World Contest (PMWC 2025) จำนวน 12 คน และมอบเหรียญรางวัลพร้อมเกียรติบัตรให้แก่นักเรียนจากรายการแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติอื่น ๆ จำนวน 81 คน รวมทั้งสิ้น 93 คน โดยมีว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เข้าร่วม

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ขอชื่นชมสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ที่สนับสนุนโรงเรียนต่าง ๆ ให้พัฒนาการศึกษา เพิ่มศักยภาพของนักเรียนไทย ให้สามารถเข้าแข่งขันในระดับนานาชาติได้ ที่สำคัญกว่านั้นต้องขอบคุณคุณครูในทุกโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนมัธยมวัดนายโรง ที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นศูนย์สอบที่ได้มาตรฐาน ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ขอขอบคุณผู้ปกครองที่เป็นกำลังเสริม ให้เด็ก ๆ สนใจวิชาต่าง ๆ ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ดนตรีและศิลปะ และขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทั้งหมดและผู้สนับสนุนทุกท่าน ที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดการสนับสนุนเด็ก ๆ ให้สามารถใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่จนแข่งขันได้รับรางวัลในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ขอฝากทุกภาคส่วน ทั้ง สพฐ. สช. และสื่อมวลชน ในการประชาสัมพันธ์ผลงานความสำเร็จของน้อง ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เพื่อน ๆ นักเรียน ในการสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยต่อไป

“การได้รับรางวัลจากการแข่งขันเป็นอีกความสำเร็จหนึ่ง แต่ไม่ใช่ที่สุด การค้นหาตัวเองจนกว่าจะพบวิชาชีพที่ชอบและถนัดอาจจะใช้เวลา เพราะฉะนั้น เราต้องตั้งใจในการเรียนและการศึกษาหาความรู้ให้เต็มที่ ตามที่ผู้ปกครองและครูสนับสนุน แต่อนาคตส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจระหว่างทาง และไม่ว่านักเรียนจะเก่งทางด้านใดหรืออยากเรียนต่อในสาขาวิชาใด หากทุกคนมีความตั้งใจดีและมีจิตบริสุทธิ์ เชื่อว่าก็จะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจแน่นอน และขอให้น้อง ๆ ที่กำลังจะไปแข่งขันที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามทั้ง 12 คน ทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่และประสบความสำเร็จ ได้รับรางวัล และนำชื่อเสียงกลับมาให้แก่ตนเองและประเทศ”ศ.ดร.นฤมล กล่าว

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ  กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ มุ่งสร้างโอกาสให้เด็กนักเรียนทุกคน ได้ค้นพบความชอบและความถนัด และจัดหาเวทีทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติให้นักเรียนไทยได้แสดงความสามารถ ด้วยเชื่อมั่นว่าการศึกษาไทยเด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยในปีการศึกษา 2567 – 2568 มีนักเรียนไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติด้านคณิตศาสตร์คอมพิวเตอร์การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมการประกวดดนตรีและศิลปะ สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 73 รายการ ซึ่งเป็นยืนยันถึงความสามารถของเด็กไทยที่เทียบเท่าระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังมีนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติที่ ระหว่างวันที่ 14 – 19 สิงหาคม 2568 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนมัธยมวัดนายโรงและโรงเรียนชลประทานวิทยา ที่ร่วมเป็นเจ้าภาพหลัก จัดสอบและประสานความร่วมมือกับองค์การนานาชาติ ตลอดจนผู้ปกครอง ครู และผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนและดูแลนักเรียนให้เตรียมความพร้อมในการแข่งขันครั้งนี้

“อาจารย์แหม่ม” ยังยิ้มได้ ไม่ตกใจประเด็นดราม่ากางเกงยีนส์ ไม่ทำให้เสียกำลังใจ เดินหน้าลงพื้นที่รับฟังปัญหาต่อไป

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ตอบคำถามประเด็นดราม่าใส่กางเกงยีนส์ลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 18 – 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ว่า  ไม่มีอะไรเลย เราไปลงพื้นที่กันครั้งแรกกับทางกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งก็ไม่ได้สั่งการอะไร โดยไปลงพื้นที่ในวันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม ซึ่งวันศุกร์ก็ไม่ได้มีดราม่าอะไร แต่พอวันเสาร์-อาทิตย์ เราก็แต่งตัวลงพื้นที่แบบวันเสาร์-อาทิตย์ ตามปกติเหมือนกับไป ครม.สัญจร ถ้าเป็นช่วงวันหยุดในการลงพื้นที่ก็จะใส่ให้มันคล่องตัว เพราะว่าต้องขึ้นรถ ขึ้นเครื่อง และมีการเดินหลายจุดด้วย แต่หลังจากมีประเด็นดราม่า ตนก็ได้หารือกับเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แล้วว่าครั้งต่อไปในการลงพื้นที่ถ้าเป็นวันหยุดราชการ ก็ให้ข้าราชการทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ ครู นักเรียน แต่งกายชุดสุภาพได้ตามอัธยาศัย หรือ ชุดไปรเวทได้ ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเกร็ง เพราะว่าการไปลงพื้นที่ไม่ได้ไปแบบราชการ ตนอยากจะไปทราบปัญหาในพื้นที่ อาจจะฟังจากเด็ก ๆ ว่าเด็ก ๆ อยากจะให้ทางกระทรวงศึกษาฯสนับสนุนอะไร อย่างไรบ้าง ซึ่งจากที่เราได้ไปรับฟังจากหลาย ๆ โรงเรียน นักเรียนก็ขออุปกรณ์กีฬา ขอเครื่องมือเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรม เพราะว่าเป็นอาชีพที่เขาสนใจ และอยากจะไปนั่งล้อมวงคุยกับครู ว่าเขามีปัญหาอะไร อย่างไร แต่เนื่องจากไม่ได้สั่งการอะไร ทางผู้บริหารทั้งหลายก็คงจะจัดเต็มเหมือนที่ผ่านมาว่ามีผู้บริหารจากกระทรวงลงมา เค้าก็เลยแต่งกายกันเต็มยศ ซึ่งตนก็ยังตกใจว่าทำไมวันหยุดเขาแต่งกายกันเต็มยศ

“จากที่มีดราม่าก็ไม่ได้ตกใจ และไม่ทำให้เสียกำลังใจในการทำงาน ก็ฝากสื่อมวลชนทำความเข้าใจ ว่า เราน่าจะมาโฟกัสที่เนื้องาน เรื่องของการพัฒนาการศึกษาไทย การแต่งกายในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแต่งได้ตามอัธยาศัย แต่เห็นมีบางทีก็ไปดราม่าว่าเป็นอภิสิทธิ์ชน แต่งได้คนเดียว ไม่ใช่ค่ะทุกคนแต่งได้หมด ซึ่งดิฉันก็ได้กำชับไปแล้วว่าขอให้ทุกคนแต่งได้ตามสบาย” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

 

ก.ค.ศ.รับโจทย์”เสมา1”แยกประเมินวิทยฐานะครู พร้อมได้เฮ!31ก.ค.นี้ส่ง600อัตรา38ค(2)ให้โรงเรียนจุฬาภรณ์ฯ11แห่ง

เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2568 ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)เปิดเผยกรณี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)มีแนวนโยบายการลดภาระครู และการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อลดปัญหาด้านเศรษฐกิจ เพราะวิทยฐานะนอกจากจะเป็นตำแหน่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในวิชาชีพแล้ว ยังทำให้มีรายได้เพิ่มช่วยลดค่าของชีพ แต่อาจจะต้องปรับหลักเกณฑ์การประเมินให้ตอบโจทย์ผู้ที่ถูกประเมิน เพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้ทุกคน ให้มีความก้าวหน้าในอาชีพ โดยให้แยกการประเมินให้ชัดเจนแต่ละระดับ ว่า จากแนวความคิดของ รมว.ศึกษาธิการ ดังกล่าว สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้นำมาเข้าที่ประชุมผู้บริหารและได้ข้อสรุปว่า เมื่อก่อนในระบบประเมินวิทยฐานะดิจิทัล(DPA)ของสำนักงาน ก.ค.ศ.กรรมการประเมินจะมาจากการรับสมัครตามคุณสมบัติแล้วมาวางในระบบ ซึ่งระบบจะวนสุ่มให้กรรมการเข้าไปประเมินมาอ่านผลงาน ดังนั้นในการประเมินครั้งต่อไปจะให้ส่วนราชการเสนอชื่อกรรมการประเมินมา เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ก็เสนอรายชื่อกรรมการประเมินทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ก็เสนอรายชื่อกรรมการประเมินมา ที่ สำนักงาน ก.ค.ศ.เพื่อมาลงถังใครถังมัน กรรมการประเมินระดับประถมศึกษาก็อ่านเฉพาะระดับประถมศึกษา กรรมการประเมินระดับมัธยมศึกษาก็อ่านเฉพาะระดับมัธยมศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้กรรมการที่เลือกมาต้องเข้าใจการทำงานของแต่ละระดับด้วย

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับอัตราครูเกินเกณฑ์ กว่า 600 อัตรา เป็นมติ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้จัดสรรในตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2)บรรจุในโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ทั้ง 11 แห่ง ก่อน แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการบรรจุอัตราดังกล่าว ก.ค.ศ.จึงได้มาดำเนินการโดยขณะนี้ผ่านอนุกรรมการวิสามัญที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว และจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ. )ในวันที่ 31 กรกฎาคม นี้ ที่มี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน เพื่อให้มีมติเห็นชอบ ให้จัดสรรอัตราตำแหน่งดังกล่าวนี้ต่อไป

ปลัด ศธ.แจ้งผู้บริหาร ครู นักเรียน …รมต. ลงพื้นที่วันหยุด ไม่เน้นพิธีรีตรอง ใส่ไปรเวทได้ ไม่ต้องแต่งชุดเต็มยศรอต้อนรับ อยากรับฟังปัญหามากกว่า

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงการแต่งกายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการว่า เนื่องจากการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานีระหว่างวันที่ 18 – 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกตั้งแต่ ศ.ดร.นฤมล มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ยังไม่ได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจในเรื่องการแต่งกายของคณะครูและนักเรียนที่มาร่วมกิจกรรมในวันหยุดราชการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาด้วยชุดสุภาพ เพราะเห็นว่ามีผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชามาร่วมลงพื้นที่ด้วย

“ศ.ดร.นฤมล ได้กำชับมาว่าการลงพื้นที่ในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ถือว่าไม่ได้เป็นวันทำงานปกติ ดังนั้นคณะครู อาจารย์|และนักเรียน รวมถึงข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการ สามารถใส่ชุดไปรเวทมาร่วมงานได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องแบบหรือชุดนักเรียนตามที่ใส่ในวันทำงานปกติ ซึ่งระหว่างการลงพื้นที่ก่อนที่จะมีกระแสข่าวดังกล่าวออกไป ศ.ดร.นฤมล ก็ได้สอบถามมาแล้วว่า ทำไมเด็ก ๆ ถึงต้องใส่ชุดนักเรียนมาร่วม และก็ได้เน้นย้ำว่า การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีมีเป้าหมายเพื่อรับฟังปัญหาจากพื้นที่จริง ดังนั้น ไม่ต้องการให้มีพิธีรีตอง ไม่ต้องเป็นพิธีการ และจะต้องไม่เป็นการสร้างภาระให้แก่ครูและนักเรียน ซึ่งจะได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป “ ปลัด ศธ. กล่าว

 

“นฤมล” เตรียมแยกเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะให้สอดคล้องบริบทการทำงาน

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยผู้บริหารศธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้มีการจัดประชุมผู้บริหารและครูทุกสังกัด ที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานในสังกัดศธ. โดยมีนายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวรายงาน

รมว. ศึกษาธิการ กล่าวว่า วันนี้ดีใจ องค์กรหลัก ศธ. มาครบทุกหน่วยงาน เพราะตนเชื่อว่าหากจะทำงานให้สัมฤทธิ์ผลได้ ต้องมี ประสมประสานเชื่อมโยงกันภายในกระทรวง ก่อนที่จะไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงอื่นๆ ทั้งนี้อยากให้ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวศึกษา เพราะเมื่อเป็นพี่เป็นน้องแล้ว จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น
ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรก อยากมาฟังเรื่องที่เป็นความทุกข์ร้อน ของพี่น้องครูและนักเรียนในพื้นที่ ว่าต้องการให้ผู้บริหารกระทรวงเข้ามาช่วยสนับสนุนขับเคลื่อนในเรื่องใดได้อีก เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับทุกคน
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า จากการรับฟังปัญหาพบว่า มีทั้งเรื่องการจัดสรรอัตรากำลังคน การจัดสรรงบประมาณ ที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่ง เรื่องอัตรากำลัง ไม่ได้เบ็ดเสร็จที่ศธ. เพราะต้องไปขึ้นอยู่กับ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน( ก.พ.) และแผนยุทธศาสตร์รัฐบาลว่าจะเอาอย่างไร อย่างไรก็ตาม ศธ.ก็พยายามต่อสู้ เพื่อให้ได้อัตรากำลังเพิ่ม รวมทั้งอัตรากำลังของสายสนับสนุน เพื่อให้ครูใช้เวลาหลักในการดูแลนักเรียน หัวใจครูควรจะอยู่กับนักเรียนและงานวิชาการ ที่จะเพิ่มวิทยฐานะ ความรู้ความเชี่ยวชาญให้ตัวเอง และพัฒนาโรงเรียน ไม่ใช่ไปทำงานสนับสนุนงานอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เพิ่มภาระ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงและจากการรับฟังปัญหา ก็พบว่ามีครูในโรงเรียนต่างๆ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูล ทำให้เกิดปัญหาในชีวิต เรื่องนี้ก็ต้องแก้ไขจัดคนให้ครบ ถ้าเรื่องใดทำได้ในกระทรวง ก็ทำก่อน แต่ถ้าต้องไปขออัตรากำลังเพิ่ม ก็ต้องสู้ ตนในฐานะฝ่ายการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ ก็ต้องคุยกับนายกรัฐมนตรี คุยกับสำนักงาน ก.พ. ว่าจำเป็นต้องขยับ จะเพิ่มให้เท่าไร ปีละเล็ก ๆน้อย ๆเท่าไรก็ได้ แต่ขอให้ได้เพิ่ม ส่วนภายในกระทรวงก็ทำเตรียมไว้แล้ว โดยในวันที่ 31 กรกฎาคม นี้ ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ. )จะเกลี่ยครูเกินเกณฑ์ กว่า 600 อัตรา มาจัดสรรเป็นอัตราสายสนับสนุน เริ่มต้นที่โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ทั้ง 11 แห่ง ก่อน ลำดับถัดไปก็จะมีอีกกว่า 2,000 อัตรา ซึ่งก็ต้องมาดูว่าควรจะจัดสรรไปที่ไหน อย่างไรบ้าง ที่จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระครูได้ สำหรับเรื่องการจัดสรรงบประมาณที่ไม่เพียงพอ ก็สู้กันอยู่ในสภาฯ ขอร้องกันว่าอย่าให้ตัดงบศธ. เพราะถูกตัดทุกปี และหวังว่าปีนี้จะได้เพิ่ม

“ส่วนตัวดิฉันเองเป็นฝ่ายการเมืองเรามาแล้วก็ไป แต่ทุกคนเป็นข้าราชการประจำที่จะอยู่กับกระทรวง อยู่กับเด็ก ๆอยู่กับการการศึกษาไทยไปอีกนาน ก็หวังว่าทุกคนจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ดังนั้น จึงไม่อยากที่จะเข้ามากำหนดนโยบาย แต่ต้องฟังจากผู้ที่อยู่ในองค์กร เพื่อให้แผนและนโยบายออกมาจากบุคลากรในองค์กรเองว่าอยากเห็นองค์กรขับเคลื่อนไปในทิศทางใด ซึ่งผู้บริหารกระทรวงก็รับจะนำแต่ละพื้นที่ไปตกผลึก เพราะแต่ละหน่วยงานก็มีปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่แตกต่างกัน แต่โดยส่วนตัวมีเป้าหมายทางการเมืองที่เข้ามา หวังว่าการศึกษาจะช่วยลดความขัดแย้งในสังคมไทย ขอฝากครูและผู้บริหารช่วยส่งเสริมและเพิ่มเติมการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง การเรื่องการลดภาระครู และการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อลดปัญหาด้านเศรษฐกิจ เพราะวิทยฐานะนอกจากจะเป็นตำแหน่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในวิชาชีพแล้ว ยังทำให้มีรายได้เพิ่มช่วยลดค่าของชีพ ซึ่งได้คุยกับเลขาธิการก.ค.ศ. ว่า หลักเกณฑ์ที่ผ่านมาก็เป็นหลักเกณฑ์ที่ดี แต่อาจจะต้องปรับให้ตอบโจทย์ผู้ที่ถูกประเมิน สร้างแรงจูงใจ ให้ทุกคน ในการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพ ทั้งนี้ การศึกษาแต่ละองค์กร ก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่ต้องถูกประเมินไม่เหมือนกัน ทั้งประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ( สกร.) ฯลฯ ดังนั้นจึงให้ ไปดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะแยกหลักเกณฑ์วิทยฐานะในแต่ละรูปแบบ เพื่อที่ครูจะได้โฟกัสในสิ่งที่ต้องไปพัฒนาวิทยฐานะ และพัฒนาเด็กให้ตรงกับเรื่องที่ต้องประเมิน ถ้าเป็นหลักเกณฑ์กลางทั้งหมด มันก็ไม่เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่และถ้าสามารถแยกวิทยฐานะแต่ละประเภทได้ ก็อยากให้มีผู้ประเมินที่เข้าใจบริบทการทำงาน เพื้อให้เกิดความเข้าใจ อย่างเช่นตนเองเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หากต้องประเมินครูประถมก็คิดว่า ทำได้ไม่ดี เพราะถูกฝึกมาคนละอย่าง หากเราไปประเมินในสิ่งที่เราขาดประสบการณ์ก็อาจจะไม่สอดคล้อง จึงขอฝากให้ดำเนินการเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน“ศ.ดร.นฤมล กล่าว