สอศ.รับลูกแยกวิชาประวัติศาสตร์-หน้าที่พลเมืองเป็นวิชาเฉพาะ ลดภาระครู พร้อมหารือ ก.ค.ศ.เปิดช่องมาตฐานเลื่อนไหลวิทยฐานะกับตำแหน่งวิชาการ

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวถึงนโยบายแยกวิชาประวัติศาสตร์และวิชาหน้าที่พลเมืองเป็นอีกรายวิชาเฉพาะของ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ว่า ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) มีการดำเนินการจัดทำหลักสูตรอยู่แล้วและจะทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นโดยได้มอบหมายให้ ดร.สุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้ช่วยเลขาธิการ กอศ.ที่ดูแลเรื่องการพัฒนาหลักสูตรไปจัดทำรายวิชาให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมืองในบริบทของอาชีวศึกษา อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาอาชีวศึกษาก็มีการจัดกิจกรรมคู่ขนานในวิชาหน้าที่พลเมืองอยู่แล้ว เช่น Fix it จิตอาสา อาชีวะอาสาช่วยประชาชน ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในการให้เด็กมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือสังคม ดังนั้นการที่รมว.ศึกษาธิการมีนโยบายที่ชัดเจนออกมาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สอศ.จะได้ไปทำหลักสูตรขึ้นมารองรับ

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องการลดภาระครู จริง แล้วอาชีวะมีปัญหาขาดแคลนอัตราครูรวมเกือบ 17,000 ตำแหน่ง ซึ่ง สอศ.ได้ขออัตราจาก คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.)และ ของบประมาณรายปีในส่วนของอัตราจ้างงานธุรการในสถานศึกษาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้โดยปีหนึ่งก็ขอไป 800 กว่าอัตรา และส่วนที่เป็นครูอีกประมาณ 1,000 อัตรา ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม สอศ.มีอัตราบุคลากรทางการศึกษาอื่น มาตรา 38 (2) ในตำแหน่งธุรการ เจ้าหน้าที่พัสดุ เจ้าหน้าที่การเงินอยู่ในโรงเรียนอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการเกลี่ยอัตรากำลัง อีกทั้งครูส่วนใหญ่ของเราจะจบทางด้านบริหารธุรกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มีความรู้ที่จะช่วยงานธุรการได้ แต่เมื่อรมว.ศึกษาธิการมีนโยบายลดภาระครูก็จะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในขณะที่เรากำลังเกิดวิกฤติขาดแคลนอัตรากำลังของครูได้เพื่อให้ครูได้ให้เวลากับการสอนเต็มที่ ถือเป็นการแก้วิกฤตเป็นโอกาส

นายยศพล กล่าวว่า ส่วนเรื่องวิทยฐานะจะต้องประสานงานควบคู่กับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา( ..)เนื่องจากในบริบทของอาชีวะเดิมจะสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ( ปวช. ) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)แต่ปัจจุบัน มีถึงระดับปริญญาตรีแล้ว เพราะฉะนั้นอัตรากำลังขาดแต่ในตัวเนื้องานมีการปรับเปลี่ยน เพราะครูอาชีวะมีคุณสมบัติสามารถปรับมาตรฐานตำแหน่งเพื่อให้สอนได้ถึงปริญญาตรี ขณะเดียวกันปริญญาตรีก็สอนได้ทั้งปริญญาตรี ปวส. และปวช.แล้วเอาภาระงานเหล่านี้มาขอความก้าวหน้าได้ เช่น ถ้าสอน ปวช. ปวส. ปริญญาตรี และ เป็นครูที่มีวิทยฐานะอยู่ก็สามารถเอาไปขอเลื่อนฐานะได้ ขณะเดียวกันถ้าสอนปริญญาตรี ปวส. ปวช. อยู่ก็สามารถขอเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ ผศ. รศ. ได้ แต่เรื่องนี้จะต้องประสานกับ ...  โดยต้องเน้นเรื่องของปริมาณและคุณภาพของงานด้วย ทั้งนี้เราพยายามจะปรับมาตรฐานตำแหน่ง มาตรฐานงานวิชาการ มาตรฐานวิทยฐานะเพื่อให้สามารถเลื่อนไหลกันได้ทั้งในส่วนของวิทยฐานะกับตำแหน่งทางวิชาการ

จริง ปัญหาของอาชีวะในเรื่องของวิทยฐานะ ไม่ใช่เรื่องทำแล้วไม่ผ่าน แต่เป็นเพราะไม่ค่อยทำกันมากกว่า เพราะครูอาชีวะจะมุ่งเรื่องงานสอนมากกว่าจนไม่มีเวลาทำผลงาน เนื่องจากอาชีวะขาดแคลนอัตราครูจึงต้องมุ่งเน้นเรื่องการสอนมากขึ้น ตั้งแต่ผมเป็นรองเลขาธิการ กอศ.  ผมก็พยายามกระตุ้นให้ครูอาชีวะใส่ใจกับการขอวิทยฐานะซึ่งก็มีการขยับขอเข้ามาเพิ่มมากขึ้น จนปัจจุบัน เรามีวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษแล้วถึง4 คนและชาวอาชีวะก็มีความตื่นตัวที่จะส่งผลงานขอมีวิทยฐานะเพิ่มขึ้นเนื่องจากในส่วนของอาชีวะค่อนข้างได้เปรียบ เพราะการสอนวิชาชีพจะมีเนื้องานที่สามารถส่งผลงานได้มากเพียงแต่ไม่ค่อยทำส่งจึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้น ให้คนที่มีคุณสมบัติมีงานที่มีคุณภาพเสนอของมาเลขาธิการ กอศ. กล่าวและว่า  ส่วนเรื่องหนี้สินครู สอศ.ก็มีการดำเนินการแก้ปัญหามาโดยตลอด และยิ่งเมื่อ .ดร.นฤมล เข้ามาและมีนโยบายชัดเจนในการแก้ปัญหาหนี้สินครูก็เป็นแนวทางที่ตรงกันซึ่งตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง

อ.แหม่ม ขอเวลา 3 เดือนจะประกาศให้ลงทะเบียนรวมหนี้ครู-ฟันธง วิชาประวัติศาสตร์ต้องแยกออกมาเป็นหนึ่งวิชา

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2568  .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยผู้บริหาร ศธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษา ที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช โดยมีนายวิทยา เขียวรอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้บริการการศึกษา ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) นายณัฐวุฒิ  รัตนอรุณ ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมราชูทิศคณะครู นักเรียน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคกล้าธรรม  ให้การต้อนรับ โดย .ดร.นฤมล กล่าวว่า การลงพื้นที่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชครั้งนี้ เพราะอยากมารับฟังปัญหาและเสียงสะท้อน ถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานตามนโยบาย ศธ. มีปัญหา เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาหารือ วางแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรมต่อไป

ส่วนตัวเชื่อว่าชีวิตไม่มีความบังเอิญ มีอะไรบางอย่างกำหนดให้เราต้องมาเจอกัน ทั้งที่ไม่ได้วางแผนว่าจะมาเป็น รมว. ศึกษาธิการแต่เมื่อได้มาทำงานตรงนี้ ก็คิดว่า จะเข้ามาช่วยสานงานต่อจากที่อดีต รมว. ศึกษาธิการ และสิ่งที่ผู้บริหารศธ. ทำไว้แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็อยากจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้ก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จไปให้ได้การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการมอบนโยบาย แต่เป็นการรับฟังปัญหาและอุปสรรค  รวมถึงเสียงสะท้อนจากผู้เกี่ยวข้อง โดยเรื่องแรก ที่อยากผลักดัน คือ วิชาประวัติศาสตร์และ หน้าที่พลเมือง ที่อยากฝากครูผู้บริหารการศึกษาให้ช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ และขอแยกวิชาประวัติศาสตร์ และ หน้าที่พลเมือง ออกมาเป็นอีกหนึ่งวิชา โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับหลายประเทศที่แยกวิชานี้ออกมา เพื่อปลูกฝังเยาวชนให้เข้าใจหน้าที่ของตัวเองรมว.ศึกษาธิการกล่าว

.ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องที่ยังเป็นความทุกข์ของครูกว่า 5 แสนคน ซึ่งไม่ใช่เรื่องภาระครูแต่ยังเป็นเรื่องความเสี่ยงในการจัดซื้อจัดจ้าง ครูหลายหลายคนถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (...) ชี้มูล ทำให้เกิดปัญหาในชีวิตจากหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นจึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา(...) ช่วยหาคนมาทำหน้าที่นี้แทน เพื่อให้ครูไปโฟกัสกับการทำหน้าที่สอนและมีเวลาทำวิทยฐานะ ซึ่งถือเป็นโอกาส เติบโตในหน้าที่การงาน เพราะวิทยฐานะเป็นเรื่องสำคัญที่อยากให้ปรับให้มีความเหมาะสมกับบริบทขององค์กร แม้ระบบการประเมินในปัจจุบันจะมีข้อดี ที่มีการพิจารณาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีเสียงสะท้อนออกมาว่ามีผู้ผ่านการประเมินน้อยลง ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้การประเมินวิทยฐานะง่ายขึ้น แต่อยากให้ผู้ที่เข้ามาประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษามีความเข้าใจงานด้านการศึกษาอย่างแท้จริง เรื่องนี้ ... ก็รับโจทย์ไปดำเนินการแล้ว

­รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การที่ครูมีวิทยฐานะสูงขึ้นไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจแต่หมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่การลดภาระค่าครองชีพ และแก้ปัญหาหนี้สินครูที่ปัจจุบัน มีอยู่กว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาสมัยรัฐบาลน..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการแก้ปัญหาโดยรวมหนี้ไว้ที่ธนาคารออมสิน แต่ปรากฏว่าครู ก็ไปก่อหนี้เพิ่ม โดยปัจจุบันมีหนี้อยู่ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูกว่า 9 แสนล้านบาท ทำให้เกิดความคิดที่จะตั้ง สหกรณ์กลางสำหรับครู ซึ่งได้หารือเบื้องต้นกับนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์  กระทรวงการเกษตรและสหกรณ์(กษ.) ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการก่อตั้งสหกรณ์กลางให้ครูที่เป็นหนี้จากสถาบันการเงินต่างๆ ที่สมัครใจจะแก้หนี้ โอนหนี้เข้ามาที่สหกรณ์กลาง ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้น 0% และขยับตามขั้นแบบบันได ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 1 % และ2% โดยไปจบที่ไม่เกิน 4.5% ก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระครู ซึ่งปัจจุบันจ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่ 6.5% โดยมีเงื่อนไขล็อกครูจะต้องไม่ไปก่อหนี้ที่ไหนอีก

ในสัปดาห์หน้าจะได้เห็นโมเดลที่เป็นรูปธรรมจากเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และดิฉันจะคุยกับอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อปลดล็อกกฎระเบียบให้สกสค. สามารถจัดตั้งสหกรณ์กลางได้ ส่วนเรื่องแหล่งเงินทุนก็ไม่มีปัญหา เพราะได้เจรจาเป็นการภายในการธนาคารของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะมีเงินทุนก้อนแรก ประมาณ 1 แสนล้านบาท มาช่วยแก้ปัญหาหนี้ครูในระยะแรกไปก่อน จากยอดหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่ในสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั่วประเทศ กว่า 9 แสนล้านบาท และถ้ามีความต้องการจนเต็ม 1 แสนล้านบาทคิดว่าจะไปขอความกรุณาจากรัฐบาล  นำเงินทุนที่ไม่ใช่แบงก์ของรัฐ แต่เป็นเงินจากกองทุนที่มีอยู่ของรัฐบาล เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) มาช่วย แต่ก็ต้องไปดูระเบียบข้อบังคับ ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่.ดร.นฤมล กล่าวและว่า ถ้าเราเริ่มที่แสนล้านบาทได้จะเกิดเป็นแรงกระเพื่อมและทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทอของผู้ที่ก่อหนี้ด้วย โดยภายใน 3 เดือนน่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมและประกาศให้ครูลงทะเบียนได้  ทั้งนี้ คิดว่าน่าจะแค่ระเบียบของกรมส่งเสริมสหกรณ์ แต่ถ้าไม่ได้ก็อาจจะใช้แนวทางอื่น ซึ่งเราก็คิดเผื่อไว้แล้ว แต่ท้ายที่สุดเราจะแก้ปัญหาหนี้สินครูให้ได้ เพราะที่ผ่านมาทุกรัฐบาล ทุกรัฐมนตรีก็พยามแก้มาตลอดแต่ก็ยังไม่ทะลุ มาเราก็พยายามช่วยกันคิดว่าที่ผ่านมาทำแล้วติดปัญหาอย่างไรบ้าง ถ้าเขาทำนแล้วดีก็จะมาต่อยอดให้ทะลุให้ได้      

ไม่ธรรมดา

หยอกหยอก 19 ก.ค.2568*** วันนี้ขอนำเสนอสุภาษิต ที่ว่า “เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น“ หมายถึงการกระทำหรือพฤติกรรมที่พยายามอ้างความดีความชอบหรือผลสำเร็จให้ตัวเองในขณะที่ความผิดพลาดหรือความล้มเหลวถูกโยนให้คนอื่น …เจอคนแบบนี้แล้วเขาบอกว่าให้ออกห่าง ๆ เพราะเราจะซวยไปด้วย *** ขอต้อนรับ รัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการชุดใหม่ที่เข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการทั้ง 3 คน ซึ่ง เสมา 1 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ได้แบ่งงานให้ 2 รัฐมนตรีช่วย(ผศ.ดร.ลินธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ)กำกับดูแล เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียน“พรรคกล้าธรรม” ที่เหมารวมองค์กรหลักทั้ง4แท่งมากำกับดูแลเอง รวมถึง หน่วยงานใหญ่ภายใต้การกำกับของกระทรวงศึกษาธิการที่ดูแล เรื่อง สวัสดิภาพและสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษา อย่าง สกสค. … คนอื่นจะมองว่าน่าเกลียดแต่หยอกหยอก มองดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ ที่ผ่านมาก็มีการแบ่งงานลักษณะนี้ให้เห็น อยู่เนือง ๆ ก็ต้องมาดูว่า อาจารย์แหม่ม เจ้าของรหัส“เสมา1”จะดูเองไหวหรือเปล่า เพราะแต่ละแท่งก็มีความลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนอยู่ไม่น้อย อยู่ที่ว่าอายุรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ครบเทอมหรือไม่ จะมาพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นหรือจะมาตอกย้ำความถดถอยลงไปอีก… แต่หยอกหยอกเชื่อว่า ครูแหม่ม น่าจะเอาอยู่ เพราะก่อนที่พรรคกล้าธรรม รู้ว่าจะต้องมากำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ทำการบ้านมาพอสมควร คงรู้แล้วล่ะว่าใครเป็นใคร คนไหนเป็นอย่างไร เพราะคนชื่อ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” เจ้าของพรรคตัวจริง เป็นคนมองคนทะลุ ทราบมาว่าบางคนไปพูดโน่นนี่นั่นแล้วกลับเข้าตัวเอง…ฮ่าฮ่าฮ่า เอ้าก็ต้องดูกันไปยาวๆ เพราะแค่สัมผัสไม่กี่วันลีลาการพูดรู้เลยว่า พรรคนี้ไม่ธรรมดา..เด้อ *** ดูจากการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ที่มีผู้นำทีม อย่าง “ผู้กองธรรมนัส”นำ 2 กระทรวงภายใต้พรรคกล้าธรรม คือ กระทรวงศึกษาธิการ กับ กระทรวงเกษตรฯ โดยกระทรวงเกษตรฯลงแจกเมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ย ยากำจัดแมลง ฯลฯ ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการเข้าโรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความต้องการ อยากได้อะไรขอมา ซึ่งบรรยากาศสนุกสนานครึกครื้น วัยรุ่นชอบ เด็กกล้าขอ“อาจารย์แหม่ม“โยนลูกให้”ลุงนุ”ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็กล้าให้ จัดไปโดม 1 หลัง สำหรับโรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก สพม. นครศรีธรรมราช ถือเป็นยุทธศาสตร์ของการหาเสียงที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ได้ใจวัยรุ่นที่กำลังจะมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก แถมยังมีประชาชนในพื้นที่หลั่งไหล เข้ามาร่วมงานจำนวนมาก*** ได้มีโอกาสนั่งฟังอาจารย์แหม่มพูดเมื่อวานนี้ถึงนโยบายการบริหารจัดการกระทรวงศึกษาธิการที่พรรคกล้าธรรมเน้น 4 เรื่อง คือ วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ลดภาระครู วิทยฐานะ เพื่อให้ครูมีค่าตอบแทนที่สูงขึ้น และการแก้ปัญหาหนี้สินครู จัดสวัสดิการ เล็งตั้งธนาคารครู ถ้าทำสำเร็จ ถือว่าสุดยอด…เอาใจไปเลย *** อีกเรื่องที่ หยอก หยอก อยากฝากเพราะได้รับข้อมูลมาว่า อยากให้ดูคนที่กำลังจะเกษียณอายุราชการไม่ว่าจะตำแหน่งไหนทุกหน่วยงานทั่วประเทศ ว่า ขออย่าทิ้งภาระหนี้สิน เรื่องร้องเรียน ข้อกล่าวหา ไว้ให้คนที่จะเข้ามาสานต่องาน … ก่อนเกษียณอายุราชการ เคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนก็ดี เพื่อให้คนที่มาทำงานต่อเดินหน้าไปได้ .. รวมถึงการย้ายหรือขึ้นตำแหน่งก็ไม่ควรทิ้งภาระหนี้สินหรือเรื่องข้อกล่าวหาใด ๆ ทิ้งไว้ให้คนใหม่มาแก้ปัญหาเช่นกัน ***อ้อ … เกือบลืม อยากให้สแกนอีกหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัด แต่เป็นหน่วยงานเอกเทศ ที่มีสารพัดปัญหาคั่งค้างอยู่ อย่าให้หยอกหยอกต้องชี้เป้ามีสถานศึกษาไหนบ้าง…เนาะ อันนี้เค้าฝากมาก็บอกต่อเด้อ *** ตบท้ายด้วยลงพื้นที่ รอบนี้เห็นแวว ว่าที่ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คนต่อไปบ้างแล้วนะ..5555

“นฤมล” เล็งตั้ง ธนาคารครู รวมหนี้ปรับโครงสร้าง-ดอกเบี้ยต่ำ ค่าตอบแทนสูง

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ โรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก .ฉวางจ.นครศรีธรรมราช .ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  (ศธ.)นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ.) นายอัครา พรหมเผ่า  รมช.กษ. พร้อมด้วยผู้บริหาร ศธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษา และติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล

โดย .ดร.นฤมล กล่าวว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาพบทุกคน เพื่อรับฟังปัญหา จากบุคลากรและผู้บริหารในระดับพื้นที่ ทั้งนี้ส่วนตัวไม่ได้วางแผนว่าจะมาอยู่ศธ. เพราะเดิมคิดว่า จะได้ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง ก็ทำให้ได้มาเป็น รมว.ศธ. ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นพรมลิขิต และเมื่อเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ศธ. อย่างเป็นทางการ ก็ได้มีการหารือกับผู้บริหารศธ. ทั้ง ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. ว่าที่ร้อยตรีธนุ  วงษ์จินดาเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายยศพล เวณุโกเศศเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ซึ่งหลายคนก็สอบถามว่า จะมอบนโยบายอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ แต่โดยส่วนตัวเห็นว่านโยบายต้องมาจากฝ่ายข้าราชการประจำคือคนในศธ. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคและฝ่ายการเมือง  ที่ต้องผสมผสานกัน ทำให้การจัดการศึกษาดีขึ้น

ดิฉันอยากให้นโยบายมาจากการมีส่วนร่วมเพราะที่ผ่านมาก็ได้มีหลายเรื่องที่ทำไว้ดีแต่หลายเรื่องก็ยังผลักดันไม่สุด เพราะฉะนั้นเรื่องใดที่เป็นอุปสรรคก็มาพูดคุยกัน เพื่อแก้ปัญหา ส่วนตัวมีเป้าหมายทางการเมืองในฐานะที่มองจากข้างนอกที่อยากเข้ามาดำเนินการ คือ ยกระดับวิชาประวัติศาสตร์หน้าที่พลเมืองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำไมถึงเรียกว่าเป็นเป้าหมายทางการเมืองเพราะความขัดแย้งความคิดต่าง ความเห็นต่าง ส่วนหนึ่งมาจากการบ่มเพาะทางการศึกษา เนื้อหาทางประวัติศาสตร์บางส่วนที่หายไปอาจทำให้เยาวชนไม่เข้าใจหน้าที่ของตัวเอง ในฐานะพลเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงอยากแก้ปัญหาในระยะยาวซึ่งคงต้องยกวิชานี้ขึ้นมาเป็นวิชาเฉพาะที่ได้รับการรับรองและยอมรับเพื่อให้เยาวชนเข้าใจในหน้าที่ของตัวเอง เป็นระบอบประชาธิปไตยของไทย ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยของที่ไปลอกประเทศมา  เป็นประชาธิปไตยแบบบ้านเรา เป็นประชาธิปไตยแบบเฉพาะเจาะจงรมว.ศึกษาธิการ กล่าว

.ดร.นฤมล กล่าวว่า  อีกเรื่องที่มีการผลักดันมาตลอดและแต่ยังไปได้ไม่สุดทาง คือการลดภาระครู ซึ่งเชื่อมโยงกับการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ โดยที่ผ่านมา ได้มีการหารือกับ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ และดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (...) เพื่อแก้ปัญหาต่าง ให้ทะลุ เพื่อให้ครูไม่ต้องไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่หน้าที่สอน และจากการรับฟังปัญหา ก็พบว่า เป็นเรื่องจริง ที่ครูต้องไปทำหน้าที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นพัสดุ การเงิน การทำงานเอกสารต่าง ดังนั้น จึงต้องมาช่วยกันดูว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร  นอกจากนี้ยังมีเรื่อง วิทยฐานะ ถึงแม้ว่าระบบปัจจุบัน จะทำให้การพิจารณาวิทยฐานะเร็วขึ้น แต่จำนวนครูและผู้บริหารที่ผ่านการประเมินกลับน้อยลง ทั้งที่วิทยฐานะเชื่อมโยงกับค่าตอบแทน ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการเป็นครู แต่หากได้ยากและมีอุปสรรคก็อาจทำให้ขาดกำลังใจ  ตนเคยพูดเล่นๆ ในพรรคว่า การแก้ปัญหาการศึกษาง่ายนิดเดียว คือ ต้องให้คนคุณภาพมาเป็นครู โดยมีรายได้เป็นตัวตั้ง ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของค่าตอบแทน ซึ่งฝ่ายอัยการศาล ก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปแล้ว ทำให้เด็กเก่ง ไปเรียนนิติศาสตร์กันมากขึ้น ดังนั้น ถ้าอยากให้คนเก่งเป็นครูต้อง ดูเรื่องค่าตอบแทน แต่การไปเพิ่มเงินเดือน ก็จะไปเป็นภาระกับงบประมาณ  ดังนั้นจึงต้องวนกลับมาแก้ปัญหาวิทยฐานะให้ได้ก่อนแม้อัตราเริ่มต้นของเงินเดือนจะอยู่ที่ 18,000 บาท แต่ถ้าได้เงินวิทยฐานะมากขึ้น ก็จะทำให้ครู มีรายได้มากขึ้น

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาหนี้สินครูที่มีอยู่ทั้งหมด 1.4 ล้านล้านบาท ที่ส่วนใหญ่จะเป็นครูเกษียณเงินวิทยฐานะหาย เหลือแต่เงินบำนาญ  เท่ากับรายได้ลดลงทำให้หนี้สินที่มีก่อนเกษียณฯก็ผ่อนไม่ไหว กลายเป็นปัญหาหนี้เสีย  ซึ่งรัฐบาลสมัยหนึ่งเคยมีการรวมหนี้ ไปไว้ที่ธนาคารออมสิน กว่า 4 แสนล้านบาท แต่ครูก็ยังไปก่อหนี้เพิ่มโดยส่วนใหญ่จะไปกู้สหกรณ์อออมทรัพย์ครู ทำให้หนี้สินครูส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู รวมกว่า 9 แสนล้านบาท มีเหลืออยู่ที่ ธนาคารออมสิน 3.5 แสนล้านบาทและยังมีที่กระจายอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย กว่า 6 หมื่นล้านบาท มีที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จากการกู้ซื้อบ้าน อีกกว่า 6 หมื่นล้านบาท และยังมีสถาบันการเงินอื่นๆ อีก  ซึ่งเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินครูนี้ ตนได้เชิญ ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ผู้แทนสถาบันการเงิน ผู้แทนสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มาพูดคุย ว่า จะสามารถทำการรวมหนี้อีกครั้งได้หรือไม่ โดยที่การรวมหนี้ครั้งนี้จะ เป็นการโอนทั้งหนี้ทั้งทุนมาไว้ที่สหกรณ์ใหม่ ที่จะตั้งขึ้น โดยอาจจะเป็นในรูปของสหกรณ์สกสค. ซึ่งต้องไปดูข้อกฎหมาย ว่าต้องปรับแก้ตรงไหนอย่างไร ถ้าเรามีสหกรณ์กลาง ซึ่งที่จริงอยากจะเรียกว่าธนาคารครูที่จะเปิดเป็นทางเลือกให้ครูที่เป็นหนี้ และอยากจะปรับโครงสร้างหนี้ ให้เอาหนี้มารวมที่สหกรณ์กลาง โดยรัฐบาล จะหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำมาให้  ซึ่งถ้าทำได้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของครู ที่ปัจจุบันจ่ายอยู่ที่ร้อยละ 6.5 ได้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ยังเป็นตุ๊กตาที่ต้องหารือเพื่อจะดำเนินการที่เป็นรูปธรรมต่อไป นอกจากนี้ ยังต้องทำเรื่องสวัสดิการครู ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ที่จะต้องจัดทำให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย

“ธรรมนัส”จับ 2 กระทรวง พรรคกล้าธรรม บูรณาการการศึกษากับงานเกษตรดูแลประชาชนทั้งแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ที่ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 4 อำเภอนาบอน จ.นครศรีธรรมราช ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วย ดร.สุเทพ  แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมพิธีเปิดงานโครงการ “คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ” เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 จัดโดยกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยมีนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ) เป็นประธาน พร้อมด้วยนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม รวมถึงเกษตรกร นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมกว่า 1,000 คน
โดย  ร.อ.ธรรมนัส กล่าวภายหลังพิธีเปิดงานว่า วันนี้ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง กษ. กับ ศธ.  ซึ่งที่ผ่านมาตนได้มีโอกาสพูดคุยกับรมว.ศึกษาธิการ  เพื่อประสานความร่วมมือพัฒนาการศึกษาและพัฒนาเกษตรกร กษ.กับ ศธ.ถือเป็นกระทรวงสำคัญสำหรับคนไทย รัฐบาลวางใจมอบหมายให้พรรคกล้าธรรมดูแล 2กระทรวงนี้ก็เป็นนัยยะสำคัญว่าเราจะทำให้ดีที่สุดและต้องทำให้เกิดประโยชน์กับคนไทยทั้งแผ่นดิน
ศ.ดร.นฤมล  กล่าวว่า โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กษ.และ ศธ. โดยในส่วนของศธ.  มีการนำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ มาร่วมออกบูธ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ที่ออกบูธศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน หรือ Fix it center และฝึกอาชีพ 108 อาชีพ รวมถึงการฝึกวิชาชีพระยะสั้น ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีกิจกรรม การหารายได้ระหว่างเรียน และได้ช่วยเหลือ เกษตรกรแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด  เช่น ลำไย ซึ่งสพฐ. ได้ประเมินแล้วว่ามีความต้องการอยู่กว่า 109,000 กิโลกรัม ที่จะช่วยพี่น้องชาวเกษตรกรได้ ถือเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่าง 2 หน่วยงาน  และในอนาคตก็จะมีการทำงานร่วมกับกระทรวงอื่นๆเช่นกัน
ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจบูธกิจกรรมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งการจัดการศึกษารูปแบบทวิศึกษา การจัดการเรียนการสอน Learn to earn ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it center) และฝึกอาชีพ 108 อาชีพ และการฝึกวิชาชีพระยะสั้น

สกร.ยกระดับการแนะแนว หวังให้ประชาชนทุกช่วงวัยเข้าถึงโอกาสในการ “ค้นหา เข้าใจ และวางแผนชีวิต”

นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันโลก ได้เปลี่ยนแปลงไปในทุกมิติ เด็ก เยาวชน ประชาชน จำเป็นต้อปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง และการแนะแนว คือ หัวใจของการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตนมอบหมายให้กองส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ สกร.เร่งขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดและส่งเสริมให้มีระบบการแนะแนว (Coaching) และเป้าหมายชีวิตอย่างเข้มข้น ด้วยการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรการเรียนรู้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลก และสอดคล้องตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ.2566 มาตรา 9 ที่เน้นให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบแนะแนวการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ และการพัฒนาตนเองอย่างมีทิศทางโดยในปี 2567 สกร.ได้จัดทำหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะครูแนะแนวทั่วประเทศ ครอบคลุม 3 มิติ ได้แก่ การแนะแนวการศึกษา อาชีพ และด้านส่วนตัว-สังคม รวมทั้งจัดตั้งศูนย์แนะแนวและให้คำปรึกษาครอบคลุมในสถานศึกษากว่า 928 แห่ง โดยมีบุคลากรผ่านการอบรมอย่างต่อเนื่องรวมจำนวน 8,058 ราย และมีประชาชนเข้ารับบริการแล้วกว่า 270,000 คน ครอบคลุมประเด็น 487,823 เรื่อง ซึ่งแสดงถึงการเป็น “ระบบแนะแนวเพื่อชีวิต” ที่นำไปสู่การตอบโจทย์ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง

อธิบดี สกร.กล่าวด้วยว่า ระบบการแนะแนว ของ สกร.ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนค้นพบตนเอง รู้จักเป้าหมาย และกล้าสร้างเส้นทางชีวิตของตนเองอย่างมั่นคง และการแนะแนวที่มีความหมายต้องเริ่มจากการ ‘เข้าถึงผู้เรียน’ ไม่ใช่รอให้ผู้เรียนเข้ามาหาเรา ครูแนะแนวในยุคใหม่ต้องลงพื้นที่ ทำงานเชิงรุก เข้าใจความหลากหลายของบริบทชีวิตประชาชน แนะแนวทิศทางที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การวางแผนและกำหนดเป้าหมายชีวิตของพวกเขาตามความถนัดและความสนใจ และ ในปี 2568 นี้ สกร.ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญ อาทิ สมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย และ กรมสุขภาพจิต ดำเนินการพัฒนามาตรฐานการให้บริการและจัดทำ “คู่มือแนะแนวและไกด์บุ๊กกรณีศึกษา” สำหรับครูที่ทำหน้าที่แนะแนว และบุคลากรทั่วประเทศ ได้นำไปใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการจัดการเรียนรู้ด้านแนะแนวการศึกษา อาชีพ และการดำเนินชีวิตอย่างเป็นระบบ อีกทั้งคู่มือนี้ยังเหมาะสำหรับทั้งผู้มีพื้นฐานและผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการทำงานด้านแนะแนว ได้เข้าถึงองค์ความรู้ที่ถูกต้อง รวมทั้งการส่งต่อเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสม ครอบคลุมการให้บริการและจัดการเรียนรู้สำหรับประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เยาวชน และแรงงานนอกระบบ

นางสาวเอื้อมพร ศรีภูวงศ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ สกร. กล่าวเสริมว่า สกร.มุ่งมั่นพัฒนาระบบที่เชื่อมโยงคนกับทางเลือกที่เหมาะสม และสร้างกลไกสนับสนุนการพัฒนาชีวิตอย่างยั่งยืน ดังนั้นระบบแนะแนวของ สกร.จึงพัฒนาให้ครอบคลุมทั้งการศึกษาวิชาการ วิชาชีพ และการดำเนินชีวิตอย่างสมดุล เราไม่เพียงพัฒนาคนให้คำปรึกษา แต่พัฒนาทั้งระบบสนับสนุน เครื่องมือ กิจกรรม และเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและภายนอก เพื่อรองรับเป้าหมายการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนไทย การดำเนินงานด้านแนะแนวของ สกร.ในปีนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการปูรากฐาน ระบบสนับสนุนชีวิตที่ไม่เพียงตอบโจทย์การศึกษาและอาชีพ แต่ยังตอบโจทย์ ความหมายของชีวิตที่หลากหลายของประชาชนทุกคน และในระยะถัดไป สกร. มีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มแนะแนวออนไลน์ระดับชาติ ที่เชื่อมโยงศูนย์แนะแนวระดับอำเภอ พร้อมพัฒนามาตรฐานการบริการร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น สมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสุขภาพจิต และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เพื่อยกระดับการแนะแนวให้ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง เพื่อพร้อมก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางระบบแนะแนว สกร. ที่ไม่เพียงแค่ให้ข้อมูล แต่เป็นกลไกสร้างพลังชีวิต และผู้ร่วมทาง ที่ประชาชนไว้ใจได้ในทุกช่วงวัยของการเรียนรู้.

สอศ.จับมือ ก.พ.กรมที่ดิน ส.ป.ก.และกรมธนารักษ์ ผลิตกำลังคนวิศวกรสำรวจ จบแล้วมีมีโอกาสได้บรรจุรับราชการ

วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กรมที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และกรมธนารักษ์ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการผลิตและพัฒนากำลังคนคุณภาพสูงสาขาเทคนิควิศวกรรมสำรวจ ณ วิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ โดยได้ติดตามโครงการผลิตและพัฒนากำลังคนคุณภาพสูงสาขาเทคนิควิศวกรรมสำรวจ สถานศึกษานำร่อง 8 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิค (วท.) ขอนแก่น วท.ดุสิต วท.นครสวรรค์ วท.พิษณุโลก วท.สกลนคร วท.หาดใหญ่ วท.แพร่ และวท.สุรินทร์ เพื่อสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนโครงการไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากสถานศึกษา เพื่อให้นักศึกษามีสมรรถนะและทักษะตรงความต้องการของหน่วยงาน โดยมีครูผู้สอนเฉพาะทาง และอุปกรณ์จากหน่วยงานร่วมสนับสนุนการเรียนการสอน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า จากการติดตามพบว่านักศึกษาให้ความสนใจเรียน และมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น มีความตั้งใจและมีทัศนคติที่ดีต่อสายอาชีพ รวมถึงได้เห็นโอกาสมีงานทำที่มั่นคง ขณะที่ครูมีบทบาทเป็นทั้งผู้สอนและที่ปรึกษาในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นข้าราชการ และหน่วยงานราชการที่เข้าร่วมก็มีส่วนในการให้คำแนะนำ และมั่นใจในสถานศึกษาที่ผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ตามความต้องการของภาครัฐและเป็นต้นแบบในรุ่นต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงให้นักศึกษาอาชีวะจบแล้วมีงานทำ แต่ให้มีงานที่มั่นคง และเติบโตได้ในวิชาชีพ ซึ่งโครงการนี้จะเป็นต้นแบบของความร่วมมือระหว่างอาชีวะกับหน่วยงานภาครัฐในระยะยาว โดยมีแผนจะขยายผลไปยังหน่วยงานรัฐภาครัฐ ผลิตกำลังคนคุณภาพในการพัฒนาประเทศต่อไป

“การดำเนินงานดังกล่าวเหล่านี้ เป็นการยกระดับอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนของภาครัฐ ซึ่งจัดการเรียนการสอนในระบบทวิภาคี 2 ปี แบ่งเป็นการเรียนในวิทยาลัย 1 ปี และฝึกปฏิบัติงานในหน่วยงานราชการจริงอีก 1 ปี พร้อมปรับหลักสูตร เพิ่มเนื้อหาด้านการรังวัด การสำรวจ และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในงานสำรวจ ซึ่งนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาและผ่านเกณฑ์ประเมิน จะได้รับการยกเว้นการสอบภาค ก. และมีสิทธิ์ได้รับการบรรจุราชการในตำแหน่งนายช่างรังวัด และนายช่างสำรวจ รวมจำนวน 225 อัตรา ซึ่งในปี 2568 นี้ มีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการแล้ว 122 คน และจะสำเร็จการศึกษาในปี 2570 ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับการบรรจุราชการทันที”เลขาธิการ กอศ.กล่าว

“ครูแหม่ม”แบ่งงานให้ 2 รมช.ศึกษาธิการแล้ว พรรคกล้าธรรม รวบหน่วยงานหลักคุมเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ลงนามคำสั่งมอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการสั่งและปฏิบัติราชการแทน เพื่อให้การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ได้แบ่งภารกิจให้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ และ นายเทวัญ ลิปตภัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการศธ. แล้ว โดยมอบหมายให้ น.ส.ลิณธิภรณ์ มีอำนาจในการสั่งการ กำกับดูแลหน่วยงาน ดังนี้ 1. กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) 2. สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 3. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประมินคุณคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และ 4. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ส่วนนายเทวัญ มีอำนาจในการสั่งการ กำกับดูแลหน่วยงานดังนี้ 1. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา 2. สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ และ 3. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ทั้งนี้ ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ส่วนสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ตนจะเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลหน่วยงานเหล่านี้เอง อย่างไรก็ตามให้ยกเว้นเรื่องการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้ากระหม่อม เรื่องนโยบาย เรื่องที่จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี เรื่องระเบียบ กฎหมาย ข้อบังคับ หรือคำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี ที่ระบุว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการศธ.โดยตรง เรื่องที่จะต้องนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาและเรื่องที่สมควรให้รัฐมนตรีว่าการศธ.พิจารณาสั่งการ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นภารกิจของศธ. ซึ่งต้องมีการประสานงานหรือดำเนินการ ในส่วนราชการ องค์กรในกำกับและหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การดำเนินงานตามภารกิจของศธ. มีประสิทธิภาพและบรรลุตามนโยบาย ทั้งนี้ เมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการศธ.ได้ปฏิบัติราชการแทนตามที่ได้รับมอบอำนาจแล้ว ให้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการศธ.ทราบโดยเร็ว

สอศ. เดินหน้าความร่วมมือไทย-จีน พัฒนาอาชีวศึกษา เร่งขับเคลื่อน 210 สาขาสู่ความเป็นรูปธรรม พร้อมปั้น “นักสตรีมเมอร์มืออาชีพ” สู่ตลาดอีคอมเมิร์ซโลก

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) เป็นประธานการหารือความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กับ บริษัท นานาชาติถังฟง กรุ๊ป โดยมีนายหลี่จิ้นซง ประธานบริษัท การศึกษานานาชาติถังฟง กรุ๊ป และคณะเข้าหารือ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

นายยศพล เปิดเผยว่า การหารือในครั้งนี้ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนความร่วมมือให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยครอบคลุมการพัฒนาหลักสูตร การเสริมทักษะและสมรรถนะวิชาชีพของผู้เรียน การยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครู และการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาและทักษะอาชีพอย่างยั่งยืน และให้ขยายความร่วมมือจากระดับสถานศึกษาไปสู่ความร่วมมือแบบ “ไตรภาคี” ที่มีสถานประกอบการจีนร่วมสนับสนุน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนอาชีวะไทยได้พัฒนาและเข้าสู่เส้นทางอาชีพในตลาดแรงงานระดับนานาชาติ

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้เตรียมผลักดันโครงการ “ปั้นนักสตรีมเมอร์มืออาชีพ” โดยหวังให้ผู้เรียนสามารถใช้ทักษะดิจิทัลเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ในตลาดอีคอมเมิร์ซโลก โดยให้บูรณาการกิจกรรมดังกล่าวกับการแข่งขันองค์การนักวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย (อวท.) ระดับชาติของ สอศ. ความร่วมมือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือ 210 สาขาระหว่างไทย-จีน ที่มุ่งสร้างกำลังคนอาชีวะไทยให้พร้อมสู่เวทีโลก ด้วยพลังของนวัตกรรมดิจิทัลและความร่วมมือระดับนานาชาติ

 

“ร.อ.ธรรมนัส”เข้าศธ.หารือครูแหม่มร่วม4 ชั่วโมง เดินหน้าเช่าซื้อุปกรณ์แท็บแล็ต-โน๊ตบุ้คแต่ต้องปรับวิธีการใหม่

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม เดินทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพบ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อย่างเป็นทางการ  หลังจากนั้นก็ได้เชิญ หัวหน้าส่วนราชการ อาทิ  ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)นางพวงทอง ศรีวิลัย ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน(สทร.)สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)นายสมคิด จรียานุวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เข้าร่วมหารือ ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส อยู่หารือกับ ศ.ดร.นฤมล ร่วม 4 ชั่วโมง

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า วันนี้มาคุยเรื่องนโยบายพรรค และมารายงานประชุมพรรคที่พัทยาด้วย เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพรรคกล้าธรรมได้มีการประชุมพรรคที่พัทยา หัวหน้าไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะไปต่างประเทศ ไม่ได้คุยเรื่องงานกระทรวงศึกษาธิการ เพราะ ศ.ดร.นฤมล เก่งอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของกระทรวงเกษตรฯที่มีปัญหาลำไยล้นตลาด ก็ขอให้กระทรวงศึกษาธิการซึ่งมีโครงการอาหารกลางวันมาช่วยซื้อผลไม้ที่ล้นตลาด และราคาผลไม้ตกต่ำ ส่วนโครงการจัดซื้ออุปกรณ์ แท็บเล็ต โน๊ตบุ้ค ไม่ได้คุยเพราะเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  เราเป็นคนไม่มีความรู้ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย

ผู้สื่อรายงานว่า สำหรับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา(Anywhere Anytime)นั้น ไม่ยกเลิก แต่ต้องปรับวิธีการใหม่