สพฐ.ช่วยเกษตรกร ลำไยล้นตลาด จัดลงโครงการอาหารกลางวัน แจงเปลี่ยนตำแหน่งครูสายผู้สอนเป็นสายสนับสนุนในตำแหน่งที่ไม่มีคนครอง พร้อมชงเพิ่มเงินเดือนธุรการ

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรีธนุ  วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมหารือเรื่องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไย ที่กำลังประสบปัญหาลำไยล้นตลาด ซึ่ง สพฐ.ได้รับการประสานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอความร่วมมือ เนื่องจาก สพฐ.มีโครงการอาหารกลางวัน ที่มีการจัดเมนูอาหารกลางวัน Thai Scholl Lunch โดยกำหนดว่า ทุกมื้อจะต้องมีผลไม้ ดังนั้น จึงคิดว่าจะเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรในส่วนนี้ได้ โดยเบื้องต้น คาดว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนเกษตรกรได้กว่า 80,000 กิโลกรัม เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ เป็นการสร้างรายได้ให้เกษตรกรและเป็นการการช่วยกระจายสินค้าในประเทศ และในอนาคตหากมีสินค้าการเกษตรอื่น ๆ หรือ ผลไม้ เช่น เงาะ มังคุด สับปะรด ที่ล้นตลาด สพฐ. ก็ยินดีเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังหารือเรื่อง การลดภาระครู  ซึ่งเป็นนโยบายที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการให้ความสำคัญ โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. ไปกำหนดรายการ เพื่อออกเป็นประกาศ สพฐ. ว่า เรื่องใดบ้างที่ครูไม่จำเป็นต้องปฏิบัติ เพื่อให้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีแต่พูดว่าให้ลดภาระครู แต่ไม่มีความชัดเจนใด ๆ แต่จากนี้ไปจะออกเป็นประกาศที่ชัดเจน ส่วนการเกลี่ยอัตรากำลังครูเกินเกณฑ์ ไปเป็นสายสนับสนุน แหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2)นั้น เนื่องจากแต่ละปี สพฐ. มีอัตราเกษียณกว่า 10,000 อัตรา ซึ่งบางตำแหน่งอยู่ในโรงเรียนที่ไม่สามารถคืนเป็นครูผู้สอนได้ ก็จะนำมาเปลี่ยนเป็นสายสนับสนุน ส่วนโรงเรียนที่ครูเกินเกณฑ์อยู่ก็ต้องมีระเบียบหลักเกณฑ์ที่จะดำเนินการ แต่หากเกิดเกณฑ์แล้วไม่มีคนครองตำแหน่งอยู่ก็จะขอเปลี่ยนมาเป็นสายสนับสนุน เพื่อลดภาระครูในส่วนของงานพัสดุการเงินธุรการเพื่อให้ครูมีเวลาสอนเต็มที่

“ทั้งนี้ขอยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าว จะไม่ไปเกลี่ยตำแหน่งครูที่มีตัวตนอยู่ เพื่อไปสร้างภาระให้กับครู ทุกอย่างมีขั้นตอน มีระเบียบอยากให้ทุกคนได้เข้าใจ อย่างเช่น ธุรการ ขณะนี้มีสองกลุ่ม คือ กลุ่มเงินเดือน 9000 บาท ซึ่งจะทำงานประจำโรงเรียน 1 โรง  ส่วนธุรการ 15,000 บาท ก็ขอความร่วมมือให้ดูแล 2 โรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เป็นภาระในการเดินทาง นอกจากนี้ขอแจ้งเป็นข่าวดีว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้ทำหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กรมบัญชีกลาง หรือ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เพื่อขอปรับอัตราค่าจ้าง ธุรการจากเงินเดือน  9,000 บาท เป็น 13,000 บาท และ 15,000 บาท เป็น 18,500 บาท  รวมถึงเสนอเปลี่ยนตำแหน่งธุรการอัตราเงินเดือน 15,000 บาท  เป็นนักจัดการทั่วไปเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น” ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประขุมยังรายงาน ความคืบหน้าการการสอบคัดเลือกบุคลากรฯ ตำแหน่งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา รวมถึงครูผู้ช่วย โดยตำแหน่งรอง ผอ.สพท. ผู้สมัคร 1,304 คน มีตำแหน่งว่าง 13 อัตรา ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้สมัคร 598 คน มีตำแหน่งว่าง 594 อัตรา ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้สมัคร 3,767 คน มีตำแหน่ง ว่าง 569 อัตรา และตำแหน่งครูผู้ช่วย ผู้สมัคร 77,053 คน มีตำแหน่งว่าง 1,297 อัตรา โดยการดำเนินการทั้งหมด สพฐ.ได้จ้างให้สถาบันอุดมศึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานที่เป็นกลางที่สุดเป็นผู้ดำเนินการจัดสอบ

 

 

ฟังทางนี้!“เลขาธิการก.ค.ศ.”แจงละเอียดยิบ ลดภาระครูไม่ได้เปลี่ยนครูสายผู้สอนมาเป็นบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา38 ค.(2)

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ สำนักงาน ก.ค.ศ. หารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาลดภาระครู โดยเฉพาะภาระที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน เช่น งานพัสดุ การเงิน ธุรการ  เนื่องจากภาระงานเหล่านี้ส่งผลให้ประสิทธิภาพการเรียนการสอนของครูลดลง  และมอบหมายให้ สำนักงาน ก.ค.ศ.ดูเรื่องวิทยฐานะของข้าราชการครู ทั้งหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ต้องทบทวนให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ มีความยืดหยุ่น และสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของแต่ละส่วนราชการ นั้น ทั้ง 2 เรื่องถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสำคัญเพื่อให้ครูมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน ซึ่ง สำนักงาน ก.ค.ศ.จะเร่งดำเนินการเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ครูต่อไป

เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อไปว่า เบื้องต้นในส่วนของการลดภาระครูตนจะหารือ กับ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) โดยจะขออัตรากำลังครูซึ่งเป็นอัตราว่างที่เกินเกณฑ์ ของ สพฐ.มาเปลี่ยนเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) หรือ บุคลากรสายสนับสนุน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ภาระงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอนแทนครู โดยจะขอให้ สพฐ.ทำการสำรวจอัตราว่างในโรงเรียนทั่วประเทศมาก่อน แล้วจะนำเสนอ รมว.ศึกษาธิการ แล้วเข้าสู่การพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง แล้วค่อยมาพิจารณาจัดสรรให้แก่โรงเรียนที่ไม่มีอัตราตำแหน่ง แต่ต้องการบุคลากรสายสนับสนุน โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 40 คน ซึ่งมีประมาณ 5,000 โรงเรียนก่อน

“แนวทางนี้ไม่ใช่เปลี่ยนตำแหน่งครูที่ทำการสอนอยู่แล้วให้มาเป็นบุคลากรทางการศึกษาอื่น มาตรา 38 ค.(2) แต่เป็นการเกลี่ยอัตราว่างที่เกินเกณฑ์ ซึ่งไม่สามารถบรรจุเป็นครูสายงานสอนได้มาเป็นบุคลากรสายสนับสนุนให้แก่โรงเรียนที่ไม่มีอัตราตำแหน่งแต่ต้องการคน  เพื่อเป็นการลดภาระงานครู โดยไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการ ที่จะเป็นภาระกับงบประมาณของประเทศในอนาคต กรอบอัตรากำลังก็ยังคงเท่าเดิมไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนตำแหน่งให้มาทำงานได้” ดร.ธนูกล่าวและว่า อย่างไรก็ตามแนวทางนี้ยังไม่ใช่ข้อสรุป เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น จะต้องหารือกับ สพฐ.ก่อน และต้องเสนอ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาด้วย

“ครูหญิง”เล็งคุมอาชีวะรองรับตลาดแรงงานเชื่อมโยง ก.แรงงาน ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเพื่อไทย

เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2568 ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศึกษาธิการ) เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ) มีภารกิจยังไม่ได้มาทำงาน จึงยังไม่ได้แบ่งงานให้กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง 2 คน รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม งานในกระทรวงศึกษาธิการมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ ก็คงแบ่งงานตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ส่วนตัวมีความสนใจงานด้านการอาชีวศึกษา เพราะเป็นหน่วยงานที่ผลิตกำลังคนเพื่อรองรับตลาดแรงงานของประเทศ เชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทยที่ดูแลกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะสามารถต่อยอดและบูรณาการกันได้ในหลาย ๆ เรื่อง และเห็นผลได้เร็ว

“เราต้องการทำงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเพื่อมาแก้ไขปัญหาการศึกษาของประเทศ โดยเบื้องต้นจะเชิญหน่วยงานหลักมาสอบถามพูดคุย ว่าได้ทำอะไรไปบ้าง มีอะไรที่ต้องเพิ่มเติม ส่งเสริม ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นโยบายใดที่รัฐมนตรีคนเก่าทำดีอยู่แล้วเราก็ต้องสานต่อ เราไม่ได้มารื้ออะไร และก็ไม่ได้หนักใจ เพราะผู้บริหารทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รวมถึงข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการด้วย ส่วนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime)ซึ่งทราบว่างบประมาณ ปี 2568 จำนวนไม่มากนัก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ขอให้ ศ.ดร.นฤมล รมว.ศึกษาธิการ ให้คำตอบน่าจะได้ความชัดเจนมากกว่า”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

“ธนุ”ขานรับ Active Learning: GPAS 5 Steps เป็นรูปแบบหนึ่งที่ครูต้องพัฒนาเพราะเป็นการคิดขั้นสูงที่เด็กจะต้องปรับปรุง

เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเป็นประธานในพิธีการอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาด้วยรูปแบบ Active Learning สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ) ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา สร้างต้นแบบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในจังหวัดร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ และยโสธร โดยมีครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมอบรม ทั้งสิ้น 830 คน แยกเป็นระดับประถมศึกษา 330 คน และระดับมัธยมศึกษา 500 คน ระหว่างวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2568 ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)ร้อยเอ็ด ทั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)กับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ว่า การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning: GPAS 5 Steps เป็นการสอนให้เกิดความคิดขั้นสูงที่จะนำไปต่อยอดเรื่องของความฉลาดคิด เป็นการเตรียมคน เพราะครูจะต้องได้รับการพัฒนาให้เด็กมีกระบวนการคิดขั้นสูง เนื่องจากที่ผ่านมาการประเมินภายนอกและการประเมินภายใน และการทดสอบ เราพบว่าสิ่งที่เด็กก็ต้องปรับปรุงคือความคิดขั้นสูง และการเรียนรู้แบบ Active Learning ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ครูนำไปใช้สอนเด็กให้เกิดความคิดขั้นสูง เพราะว่าเป็นการเรียนรู้ร่วมกันเด็กได้ค้นหาความรู้ ได้คิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่จะพัฒนาครูเพื่อตอบโจทย์กระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการพัฒนาครู อย่างไรก็ตาม ที่ดีที่สุดคือต้องมีการบูรณาการหลายรูปแบบ Active Learning ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่ครูจะต้องเรียนรู้

ดร.รัตติกร ทองเนตร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร กล่าวระหว่างเป็นประธานอบรมเชิงปฏิบัติการฯ ที่โรงเรียนเบญจลักษ์พิทยา อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ว่า การเรียนการสอนยุคปัจจุบันเราต้องจัดการเรียนการสอนรูปแบบ Active Learning เราจะไม่มีการสอนรูปแบบ Passive Learning อีกแล้ว เพราะต่อไปเราจะให้ลูก ๆ นักเรียนเป็นพระเอกนางเอก ให้เขาได้แสดงบทบาทของเขาอย่างเต็มที่ให้เขาได้คิด วางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยครูเป็นผู้คอยแนะนำกำกับช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเราก็ได้จัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning มานานพอสมควร และวันนี้ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่จะมาเสริมเติมเต็มจากวิทยากรผู้ทรงคุณผู้มากด้วยความรู้ความสามารถ ซึ่งเป้าหมายหลักในวันนี้ก็จะเป็นโรงเรียนในหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนคุณภาพ ระดับมัธยมศึกษา และประถมศึกษา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปการเรียนรู้ในระดับห้องเรียน ให้ครูมีแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่การสร้างและการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นนวัตกร นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ หรือที่เรียกว่า ซอฟพาวเวอร์ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งดิฉันมั่นใจว่าคุณครูที่มาอบรมในครั้งนี้ จะเป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้การขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาดำเนินไปได้อย่างดีมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ เทคนิคที่เราจะได้รับจากวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิ จะสร้างความตระหนักให้เรารู้ความสำคัญของการเรียนการสอนรูปแบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ให้ครูผู้สอนมีความรู้เพิ่มเติม มีทักษะอย่างเพียงพอที่จะผลักดันการปฏิรูปการศึกษาในระดับห้องเรียนของเราให้มีประสิทธิภาพ ปรับกระบวนการเรียน เปลี่ยนกระบวนการสอน ให้ผู้เรียนเกิด Active Learning เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ทั้งนี้สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาตลอดมา ซึ่งจากผลการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานรอบ 6 เดือนแรกได้คะแนนเต็ม 100 และในครั้งต่อไปเราก็มีความคาดหวังว่าเราจะได้คะแนนเต็ม 100 เหมือนเดิม

ผอ.สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร กล่าวต่อไปว่า โรงเรียนในสพม.ศรีสะเกษ ยโสธร มีทั้งสิ้น 83 โรงเรียน ได้ปรับกระบวนการเรียนรู้ในการพัฒนาครูในหลายเรื่อง หลายโครงการ  หลายกิจกรรม เพราะเราให้ความสำคัญในการพัฒนาครู ถ้าครูได้พัฒนา นำสิ่งที่ได้รับตรงนี้ ไปถ่ายทอดให้กับนักเรียน นักเรียนก็จะได้รับความรู้ที่ถูกทาง และนำความรู้ที่ได้รับให้เกิดประโยชน์สามารถสร้างนวัตกรรม กลายเป็นนวัตกรได้ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร ที่ว่า “องค์กรคุณภาพ สร้างคนดี มีความสุข ด้วยนวัตกรรม”ดร.รัตติกร กล่าว

นางวิมลวรรณ เปี่ยมจาด ผู้อำนวยการกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร กล่าวว่า สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร ได้ขับเคลื่อนโครงการ “พัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ด้วยรูปแบบ Active Learning” สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมายแรกคือกลุ่มโรงเรียน  “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญ คือ การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ในระดับห้องเรียน ให้ครูเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้แบบเดิม มาเป็นผู้ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์ และสร้างนวัตกรรมของตนเองได้ผ่านการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น โดยเนื้อหาและกิจกรรมการพัฒนาครูในครั้งนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนในยุคดิจิทัล การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning : GPAS 5 Steps และทักษะการคิดขั้นสูงเชิงระบบ การสร้างและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา กระบวนการชุมชนการเรียนรุ้ทางวิชาชีพ (PLC) ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงพัฒนาครูผู้สอนเท่านั้น แต่ได้มีการพัฒนาให้กับศึกษานิเทศก์เพื่อทำหน้าที่เป็นโค้ช และพี่เลี้ยง ในการชี้แนะ ส่งเสริม สนับสนุน ตลอดจนสร้างเครือข่ายและชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ  จะเห็นว่าเป็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่มุ่งเน้นให้เกิดกระบวนการทำงานร่วมกันของผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วยการให้ความช่วยเหลือ แนะนำ ส่งเสริมให้เกิดการปรับปรุงการสอน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ  พัฒนาทักษะคิดขั้นสูง ความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นและทำงานเป็นทีมได้ สามารถบูรณาการความรู้สู่การแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรม

ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศึกษาในวุฒิสภา บรรยายพิเศษตอนหนึ่ง ว่า ระบบเดิมที่เน้นฟัง อ่าน ท่อง เพื่อสอบ เป็นแค่การกระตุ้นความจำระยะสั้น แม้ว่าการท่องจำจะทำให้สอบผ่าน แต่เด็กก็ลืมภายในไม่กี่สัปดาห์ และสุดท้ายสมองไม่เกิดการพัฒนา ก็เสียเวลา เสียทรัพยากร และที่เจ็บที่สุดคือเราเสีย “เด็กไทย” ไปกับระบบที่ไม่ได้เปลี่ยนพวกเขาให้ดีขึ้น แต่ GPAS 5 Steps คือจุดเปลี่ยนที่ใช้การคิดขั้นสูงเชิงระบบ ฝึกให้เด็กได้คิด วิเคราะห์ สร้างและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นการจำในสมองระยะยาว ไม่ใช่ท่องจำแล้วทำข้อสอบผ่าน และนี่ก็คือแนวทางที่นักการศึกษาทั่วโลกยืนยันมาเป็นร้อยปีว่า การเรียนรู้ที่แท้จริง ต้องมาจากการลงมือทำ และถ้าเรายังไม่เปลี่ยนวันนี้ ความสูญเปล่าทางการศึกษาจะยิ่งแย่กว่าเดิมแน่นอน

สอศ.รอคำตอบส่งมอบ อควาเรียมหอยสังข์ ให้ อบจ.สงขลา ดำเนินการต่อ

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)  เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ(ป.ป.ช.) มีมติเห็นชอบให้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สงขลา ดำเนินโครงการก่อสร้างและปรับปรุง ศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา หรือ อควาเรียมหอยสังข์  บนพื้นที่ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์  จ.สงขลา ให้เป็นศูนย์ประชุมสัมมนาและศูนย์แสดงสินค้าครบวงจร และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เร่งรัดการส่งคืนที่ราชพัสดุให้กับกรมธนารักษ์ เพื่อให้ อบจ.สงขลา สามารถดำเนินการขอใช้พื้นที่ได้โดยเร็ว นั้น ที่ผ่านมาได้มีการประสานพูดคุยกันอยู่ และ สอศ.ก็ได้ทำเรื่องหารือไปยัง ป.ป.ช. และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้ว  ซึ่งอยู่ระหว่างรอหนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการ แต่ สอศ.ก็ต้องรวบรวมข้อมูล เพื่อเสนอให้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)  พิจารณา เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบต่อไป

“การดำเนินการเรื่องนี้มีมติ ครม.รองรับ หากจะมีการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ที่ผ่านมา สอศ. ได้มีการพูดคุยกับ อบจ.สงขลา มาโดยตลอด และได้ข้อตกลงเบื้องต้น ในการให้ อบจ.สงขลา นำไปดูแล โดย สอศ.ขอให้ อควาเรียมฯ เป็นศูนย์เรียนรู้  เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่หากยังมีปัญหาเรื่อง ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดอยู่ ก็ต้องไปดูข้อกฎหมาย ระเบียบ และ ข้อปฏิบัติว่า ในระหว่างที่รอการชี้มูลอยู่ สอศ.จะสามารถทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นจึงต้องรอหนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการจากทั้ง ป.ป.ช.และกฤษฎีกา ว่าจะมีทางออกไปในทิศทางใด”เลขาธิการ กอศ.กล่าวและว่า ขณะเดียวกัน การโอนพื้นที่ให้ อบจ.สงขลา จะต้องหารือกรมธนารักษ์ด้วย เนื่องจากเป็นที่ราชพัสดุ  แต่ทั้งหมดนี้ก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด  อย่างไรก็ตามคิดว่า สุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะคลี่คลายไปในทางที่ดี เพราะได้มีการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหามาโดยตลอด

 

 

3 รมต.ศธ. สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง เข้าทำงานอย่างเป็นทางการ “เสมา 1″สยบข่าวลือ คนของใคร ข้าราชการทุกคนคือข้าราชการของในหลวง ขอให้สบายใจได้

เมื่อเวลา 08.19 น. วันที่ 8 กรกฎาคม  ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มีการจัดพิธีต้อนรับ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการศึกษาธิการ พร้อมด้วย  ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์  และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง ได้แก่   “พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์ สยามิศรจักรีสัฏฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์“ ศาลพระภูมิ ศาลปู่เจียม ที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และ สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พร้อมทำพิธีบวงสรวงในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

จากนั้นเข้าห้องทำงานรัฐมนตรีและพบปะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ที่ ห้องประชุมราชวัลลภ โดยมี ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)  นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)  รวมถึงผู้บริหาร ข้าราชการและบุคลากร ศธ.ให้การต้อนรับ โดย ดร.สุเทพ กล่าวต้อนรับ ว่า ในนามข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ขอแสดงความยินดีและขอต้อนรับ รมว.ศึกษาธิการ และ รมช.ศึกษาธิการ ทั้ง 2 คน ที่มาเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการศึกษา ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาไทยในภาวะที่โลกในช่วงการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่า ความรู้ และประสบการณ์ของรัฐมนตรีทั้ง 3 คน จะสามารถบูรณาการการศึกษาของไทยให้พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว พวกเราชาวกระทรวงศึกษาธิการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเติมเต็มนโยบายของรัฐมนตรี ให้เป็นรูปธรรมมากที่สุดเพื่อพัฒนาการศึกษาให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศต่อไป

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ไม่ต้องการให้ใช้คำว่ามอบนโยบาย แต่วันนี้เรามาคุยกันในสิ่งที่ผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ โดยรัฐมนตรีทั้ง 3 คนที่เข้ามาบริหารงานใหม่ ตั้งใจที่จะพัฒนาต่อยอด ผลักดันและช่วยให้งานที่คงค้างอยู่สำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ทั้งนี้ เรื่องต่าง ๆ ที่รัฐมนตรีท่านก่อน ๆ ได้วางเอาไว้ อะไรที่เป็นเรื่องดี ก็จะนำมาสานต่อ ไม่มีการนำเอาเรื่องการเมืองมาเป็นตัวหลักในการดำเนินงาน ขอให้ทุกท่านสบายใจได้ว่างานต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนอยู่จะไม่เกิดปัญหาสะดุดแน่นอน และไม่ถือว่าใครเป็นคนของใคร ทุกท่านที่อยู่ที่นี่คือ ข้าราชการของในหลวง คือ ข้ารับใช้แผ่นดิน เป็นคนของกระทรวงศึกษาธิการ ฝ่ายการเมืองเข้ามาเป็นวาระมาแล้วก็ไป ท่านก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายขชองฝ่ายการเมืองตนเข้าใจดี เพราะฉะนั้นเรา 3 คนเข้ามากระทรวงศึกษาธิการก็จะทำงานร่วมกับข้าราชการประจำ เป็นครอบครัวเดียวกัน จึงไม่ต้องการให้เกิดความกังวลใด ๆ

“ก่อนหน้านี้อาจารย์ได้พบกับผู้บริหารนอกรอบหลาย ๆ คนไปแล้ว ซึ่งได้มีการพูดคุยกันเรื่องสวัสดิการของครู และการสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรครู เช่น การลดภาระงานต่าง ๆ ให้กับครู รวมไปถึงเรื่องวิทยฐานะ และระบบการโยกย้ายว่า จะทำอย่างไรให้หลักเกณฑ์เป็นธรรมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจต่อบุคลากรครูในการทำหน้าที่ เพราะนอกจากส่วนของนักเรียนแล้ว บุคลากรครูกว่า 500,000 คน ถ้ารวมกับอาชีวะด้วยก็เกือบ 600,000 คน ว่า จะทำอย่างไรให้บุคลากรมีความสุขด้วย จะทำให้คุณภาพของเด็กและคุณภาพการศึกษาไทยดีขึ้นด้วย  รวมไปถึงการส่งเสริมเรื่องวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ซึ่งได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์พื้นฐานก่อนไปสู่วิทยาศาสตร์ประยุกต์  การยกระดับการเรียนการสอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย และหน้าที่พลเมือง ที่ต้องให้เห็นเป็นรูปธรรม  ซึ่งตนต้องการวางรากฐานตรงนี้เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังเข้าใจในรากเหง้าและหน้าที่ของตัวเองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข “รมว.ศึกษาธิการ

ด้าน ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับ รมว.ศึกษาธิการ หลาย ๆ เรื่องมองเห็นปัญหาตรงกัน และมองว่าในหลาย ๆ ปัญหาสามารถนำเทคโนโลยีมาแก้ไขและช่วยลดภาระของครูได้ รวมไปถึงการปรับภาพลักษณ์ของอาชีวศึกษา ที่ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศที่ไม่ควรละเลย  ภาพของอาชีวะไม่ใช่แค่เรื่องนักเรียนนักเลง  ตีกัน แต่ต้องทำให้เห็นว่าเรียนอาชีวะแล้วสามารถช่วยพัฒนาประเทศ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของอาชีวศึกษา  ให้เห็นว่าเป็นการศึกษาเพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศที่กำลังเติบโตได้  ไม่ใช่เรียนไปเพื่อไปตีกัน

ด้าน นายเทวัญ กล่าวว่า  สิ่งที่ต้องการเห็นคือ ภาพการศึกษาของเด็กไทยเป็นไปด้วยดี เพราะเชื่อว่า ถ้าประชาชนหรือเด็กนักเรียนได้รับการศึกษาที่ดี เราก็จะได้บุคลากรที่ดี นำไปสู่เศรษฐกิจของประเทศและการขับเคลื่อนของประเทศเป็นไปด้วยดีเช่นกัน เพราะฉะนั้นการศึกษาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นกระบวนการที่นำไปสู่ความเจริญของประเทศ

“ครูแหม่ม”นำ 2 รมช.ศธ. ร่วมงานสถาปนา สพฐ 22 ปี ฝากการบ้านข้อใหญ่ ลดภาระครู ดูแลสวัสดิการ ให้ครูมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย พร้อมฟื้นวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีงานวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ครบรอบ 22 ปี โดย มี ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และผู้บริหารของ สพฐ. รวมถึงข้าราชการและบุคลากรของ สพฐ. เข้าร่วมพิธี ณ อาคารสามัญ 99 สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ

โดย ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตนเองถือเป็นผลผลิตของ สพฐ. เพราะจบจากโรงเรียนในสังกัด สพฐ.เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ก่อนจะเป็น สพฐ. แลเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็เป็นผลผลิตของ สพฐ. เช่นกัน เพราะฉะนั้นเวลาคนมาบอกว่า การศึกษาไทย ไม่ได้เรื่อง ใช้ไม่ได้ โดยส่วนตัวไม่เคยเชื่ออย่างที่พูดกัน เพราะเราได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่า เรียนจบโรงเรียน สพฐ. สอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้ แล้วก็สอบชิงทุนไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ประเทศ โดยสอบได้คะแนนสูงกว่านักเรียนต่างชาติ สามารถเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลกได้ เพราะฉะนั้นจึงเชื่อเสมอว่าการศึกษาไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ถามว่ายังมีจุดที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามี ซึ่งทุกคนก็มีอยากทำให้การศึกษาไทยดีขึ้น แต่ก็ทราบว่ามีอุปสรรค และ ข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหรือทรัพยากรที่เราจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกัน และในการทำงานส่วนตัวไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่อยากให้การบริหารงานเป็นแบบนายกับลูกน้อง อยากให้เป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน เข้าอกเข้าใจกันจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขอชื่นชมผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมถึงรัฐมนตรีที่ผ่านมาทุกท่านไม่ว่าจะเป็น รมว.ศึกษาธิการ หรือ รมช.ศึกษาธิการ เพราะถือว่าเป็นผู้มีคุณาปการในการช่วยพัฒนาการศึกษาไทยมาถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นไม่ว่ารัฐมนตรีท่านก่อน ๆ ได้มอบนโยบายไว้  แล้วทำสิ่งที่ดีให้กระทรวงศึกษาธิการ ก็จะดำเนินโยบายเหล่านั้นต่อ แต่ก็มีสิ่งที่อยากเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะ สพฐ. เรื่องแรก คือ เรื่องภาระงานของครู ซึ่งจะลงในทางปฏิบัติมากขึ้นว่าจะลดภาระงานการเงิน งานพัสดุให้แก่ครูได้อย่างไร เพื่อให้ครูได้มีเวลาพัฒนางานของตัวเองแล้วมุ่งไปที่งานสอนได้มากขึ้น งานที่สองที่อยากดูแลเพิ่มเติม คือ สวัสดิการของครู ซึ่งต้องฝากให้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุลากรทางการศึกษา(สกสค.)เข้ามาช่วยดูแล้ว เพื่อให้ครูมีสวัสดิการที่เหมาะสม ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังการทำภารกิจหลักของตนเอง นอกจากนี้ก็มีเรื่องวิทยฐานะที่จะต้องหารือกับ ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เพิ่มเติมต่อไป

“ ส่วนเรื่องของนโยบายอื่น ๆ ได้คุยกับ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ บ้างแล้วว่า ไม่อยากทำอะไรที่ออกจากส่วนกลางโดยที่ครูไม่ได้มีส่วนร่วม  เพราะมีครูที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายกระทรวงร่วม 5 แสนคน ก็อยากให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกคนด้วย จึงฝากให้ปลัด ศธ. และ เลขาธิการ กพฐ. ทำงานร่วมกันเพื่อให้ครูมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและรับฟังพื้นที่ รวมถึงผู้แทนองค์กรต่าง ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการการศึกษา สส.ในสภาฯ ที่มีข้อเสนอด้านการศึกษามากมายแล้วค่อยมาตกผลึกว่าจะทำอะไรในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง ระยะยาว เนื่องจากดิฉันเป็นนักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ข้าราชการต้องอยู่กับภาคการศึกษาไทยอีกนาน” ศ.ดร.นฤมล กล่าวละว่า ตนได้รับฝากให้มาดูแลเรื่องวิชาประวัติศาสตร์ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งทราบว่าเมื่อปี 2566 มีการออกประกาศของกระทรวงศึกษาธิการไปแล้ว แต่อยากให้มีการเพิ่มเติมวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ที่ชัดเจนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นความสำคัญว่า เราจะต้องรู้ที่มาที่ไปของประเทศ ที่มาที่ไปของระบอบการปกครองของเรา รวมถึงรู้หน้าที่ว่าภายระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ทุกคนต้องมีหน้าที่อย่างไร จะได้สามารถทำหน้าที่ของตนเอง เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยมีการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่ดียิ่งขึ้นไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า สุดท้ายเรื่องของหลักสูตรแกนกลางที่ สพฐ.ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นไปได้อยากให้ดูบริบทของพื้นที่ด้วยว่า ความต้องการความรู้พื้นฐานของแต่ละพื้นที่เป็นอย่างไร อย่างเช่นบางพื้นที่เป็นที่พี้นที่เกษตรกรรม ก็อยากต้องมีความรู้ด้านการเกษตร ความรู้เรื่องดิน การพัฒนาดิน ซึ่งในหลวง ร.9 ทรงทำเรื่องดิน มีความรู้เรื่องดินมากมาย ถ้าเราจะบูรณาการกับกระทรวงเกษตรฯ เขาก็มีหมอดินอาสาทั่วประเทศที่พร้อมจะมาเป็นครูให้ได้ ซึ่งจะทำให้เด็ก ๆ มีความรู้ในการเรื่องการพัฒนาดิน พัฒนาพื้นที่เกษตรได้

 

 

มทร.กรุงเทพ จับมือ WUST ยกระดับศักยภาพ สู่การเป็นศูนย์กลางพัฒนาทักษะกำลังคนด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรม รองรับอุตสาหกรรมโลกอนาคต

รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ (RMUTK) เปิดเผยว่า จากการประชุม ISPEM 2025 (The Fifth International Conference on Intelligent Systems in Production Engineering and Maintenance) ที่เมืองวรอตซวัฟ( Wrocław) ประเทศโปแลนด์ ระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2025 ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่รวบรวมนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และผู้นำภาคอุตสาหกรรมในสาขาวิศวกรรมการผลิต การบำรุงรักษา และระบบอัจฉริยะ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ผลงานวิจัย นวัตกรรม และสร้างความร่วมมือของเครือข่ายพันธมิตรทางวิชาการและอุตสาหกรรมในระดับนานาชาติ นั้น มทร.กรุงเทพ ได้มีโอกาสร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของมหาวิทยาลัยในการขับเคลื่อนนโยบายด้านความเป็นนานาชาติ (Internationalization) และการบูรณาการงานวิจัย นวัตกรรม และกำลังคน เพื่อรองรับอุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 ตลอดจนยกระดับภาพลักษณ์และบทบาทของมหาวิทยาลัยไทยบนเวทีโลก


อธิการบดี มทร.กรุงเทพ กล่าวต่อไปว่า ในการประชุมดังกล่าว คณะผู้บริหาร มทร.กรุงเทพ ซึ่งประกอบด้วย รศ.ดร.สุเทพ บุตรดี ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ ผศ.ดร.พัชณี ศรีคำสุข รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน ผศ.ดร.กมลพงค์ แจ่มกมล หัวหน้าบัณฑิตวิทยาลัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ และผศ.ดร.ศุภวัฒน์ ชูวารี รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักบริการวิชาการและงานบริการอุตสาหกรรม ได้ร่วมประชุมหารือถึงบทบาทของ มทร.กรุงเทพ ในการขับเคลื่อนนโยบายการสร้างความร่วมมือด้านการศึกษา วิจัย และนวัตกรรมระดับนานาชาติอย่างเป็นรูปธรรมกับคณะวิชาต่างๆ ของ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวรอตซวัฟ (WUST)


รศ.ดร.พิชัย กล่าวว่า นอกจากนี้คณะผู้บริหาร มทร.กรุงเทพ ได้หารือกับ ศูนย์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Center of National and International Relations) ของ WUST เพื่อวางแนวทางในการสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนและกิจกรรมพัฒนาบุคลากรทั้งระดับนักศึกษาและอาจารย์ของทั้งสองมหาวิทยาลัยด้วย โดยการหารือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยยกระดับศักยภาพของ มทร.กรุงเทพ ในการเป็นศูนย์กลางพัฒนาทักษะกำลังคนด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมโลกในอนาคต โดย WUST ในฐานะเจ้าภาพ ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของ มทร.กรุงเทพ ในการเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะร่วมกันพัฒนาความร่วมมือในระยะยาว ทั้งในด้านโครงการวิจัยร่วม การแลกเปลี่ยนนักศึกษา-อาจารย์ การพัฒนาหลักสูตรนานาชาติ รวมถึงความร่วมมือในกรอบทุน Erasmus+ เพื่อสร้างโอกาสทางวิชาการใหม่ๆ ให้แก่นักศึกษาไทยและโปแลนด์ในอนาคตต่อไป


ในการนี้ Prof. Arkadiusz Wójs อธิการบดี มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวรอตซวัฟ (WUST) ได้จัดมีพิธีมอบ รางวัล International Cooperation Award ให้แก่ “แขกเกียรติยศ” รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมทร.กรุงเทพ (RMUTK) ในฐานะที่ มทร.กรุงเทพ มีบทบาทโดดเด่นในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติกับ WUST มาโดยตลอดตั้งแต่การลงนามความร่วมมือ(MOU) ในปี พ.ศ. 2566-ปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อการเชื่อมโยงนโยบายมหาวิทยาลัยกับแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศ (Internationalization Policy) เพื่อยกระดับขีดความสามารถทั้งด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี และกำลังคนให้ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลก

“ครูแหม่ม” พร้อมยืนเคียงข้างครูกาญจนบุรี หลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทุจริตอาหารกลางวัน ย้ำถ้าไม่ทำผิดพร้อมให้ความช่วยเหลือ เตรียมหารือผู้บริหา่ร ศธ.เดินหน้าลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวการสอน

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2568  ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีข้าราชการที่ได้แต่งตั้งให้เจ้าหน้าที่งานการเงินของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร้องขอความเป็นธรรม ภายหลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดร่วมกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน จากการลงนามในเอกสารเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน  ว่า ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัดแล้ว ซึ่ง จากรายงานทราบว่า  ขณะนี้ เขตพื้นที่ฯยังไม่มีคำสั่งลงโทษทางวินัยแต่อย่างใด แต่ สพฐ.ได้จัดนิติกรจากส่วนกลางเพื่อสนับสนุนการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครูสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. พ.ศ.2561 ได้อย่างเต็มที่

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการพร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หากไม่มีส่วนรู้เห็น และไม่ได้ร่วมกระทำความผิด พร้อมอยู่เคียงข้างและสนับสนุนในทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถใช้สิทธิและเข้าถึงความเป็นธรรมได้อย่างมั่นใจ  เพราะ ครู คือ บุคคลสำคัญเป็นต้นแบบหรือแบบพิมพ์ที่ใช้หล่อหลอมนักเรียนให้เป็นคนดี และมีคุณภาพของสังคม หน้าที่หลักครู คือ การถ่ายทอดความรู้และอบรมสั่งสอนนักเรียนให้เป็นคนดี มีความรู้ มีความสามารถ และมีคุณธรรม ทั้งนี้ ตนเองจะหารือกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทบทวนบทบาทภาระงานของครูที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะงานด้านการเงินและพัสดุ ซึ่งมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงเชิงกฎหมายสูง เพื่อลดภาระให้กับครู ให้ครูทำหน้าที่อย่างเหมาะสมกับวิชาชีพครูมากยิ่งขึ้น

 

“ธนุ”จัดทีมนิติกรช่วยครู หลังถูกป.ป.ช.ชี้มูลเอี่ยวทุจริตค่าอาหารกลางวัน

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)เปิดเผยว่า จากกรณีข้าราชการครูที่ได้รับแต่ตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่งานการเงินของโรงเรียนแห่งหนึ่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)กาญจนบุรี เขต 4 ได้ร้องขอความเป็นธรรมภายหลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (...) ชี้มูลความผิดร่วมกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน จากการลงนามในเอกสารเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัด และยืนยันว่า ขณะนี้ เขตพื้นที่ฯยังไม่มีคำสั่งลงโทษทางวินัยแต่อย่างใด

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับการดำเนินการในขั้นต่อไป สพฐ. ได้จัดเตรียมนิติกรจากส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครูสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ ... ตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติ ... .. 2561 ได้อย่างเต็มที่  อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้เป็นการสะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องทบทวนบทบาทภาระงานของครูในภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะงานด้านการเงินและพัสดุซึ่งมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงเชิงกฎหมายสูง  ซึ่งขณะนี้ สพฐ. อยู่ระหว่างปรับปรุงระบบสนับสนุนภายในโรงเรียน เพื่อให้โครงสร้างงานสนับสนุนมีความเหมาะสมกับวิชาชีพครูมากยิ่งขึ้น

ผมย้ำเสมอว่าต้องลดภาระครู ให้ครูได้สอนเด็กเต็มที่ เต็มเวลา แต่ทุกวันนี้ครูยังได้รับมอบหมายงานอื่นที่ไม่ใช่งานสอน ทำให้ครูต้องออกจากห้องเรียน ซึ่งกรณีนี้ก็เช่นกัน  ข้าราชการครูที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตจะต้องไม่เผชิญกระบวนการตามลำพังสพฐ. พร้อมอยู่เคียงข้างและสนับสนุนในทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถใช้สิทธิและเข้าถึงความเป็นธรรมได้อย่างมั่นใจครับเลขาธิการ กพฐ. กล่าว