รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า ขณะนี้ มทร.กรุงเทพได้เปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2568 แล้ว โดยในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการเปิดภาคเรียน คือ ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-11 ก.ค.2568 ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้มีการจัดกิจกรรมรับน้อง เพื่อสานสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้องได้ แต่กิจกรรมดังกล่าวต้องเป็นไปตามประกาศมหาวิทยาลัย เรื่องมาตรการในการจัดกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่และประชุมเชียร์ในมหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2568 อย่างเคร่งครัด โดยการจัดกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ถือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา และมีปณิธานเพื่อถ่ายทอดความสัมพันธ์ของนักศึกษารุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ทำให้เกิดความสามัคคี มีระเบียบวินัย ความภาคภูมิใจในสถาบัน และ เกื้อกูลกันฉันท์พี่น้อง อีกทั้งกิจกรรมรับน้องเน้นสร้างสรรค์ และเสริมสร้างการพัฒนานักศึกษา เป็นไปด้วยด้วยความสมัครใจ ไม่ให้เกิดความรุนแรง หรือล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทั้งร่างกายหรือจิตใจของน้องใหม่ ไม่มีการดื่มสุรา และของมึนเมาทุกชนิดในขณะจัดกิจกรรม ส่วนเวลาของการจัดกิจกรรมรับน้องในแต่ละวันต้องไม่เกิน 21.00 น. และห้ามรับน้องนอกสถานที่เด็ดขาด หากมีนักศึกษาฝ่าฝืนมาตรการ มีการทะเลาะวิวาท และทำให้เกิดความรุนแรงจะมีโทษไล่ออกจากการเป็นนักศึกษาทันที
รศ.ดร.พิชัย กล่าวว่า ตนเน้นย้ำมาตลอดว่าต้องการเห็นมหาวิทยาลัยของเราเป็นมหาวิทยาลัยแห่งความสุข ต้องทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และให้โจทย์ว่าต้องไม่มีการทะเลาะวิวาท หรือ กดขี่ข่มเหง บังคับฝืนใจรุ่นน้อง ต้องไม่ใช้ความรุนแรง ต้องรับน้องอย่างสร้างสรรค์รวมทั้งนักศึกษาทุกคนต้องแต่งกายให้ถูกต้องตามกฏระเบียบ มีการปลูกฝังเรื่องบุคลิกภาพที่ดีของนักศึกษามทร.กรุงเทพ จากเดิมที่เราอาจจะเห็นเด็กช่างบางคนใส่กางเกงยีนส์ ใส่เสื้อช็อปไม่ถูกต้อง ดูแล้วไม่เหมาะสม ขอให้ใส่ชุดนักศึกษาให้ถูกต้อง และห้ามเด็ดขาด “นักเรียน นักเลง“
ด้าน ผศ.ชัยศักดิ์ คล้ายแดง รองอธิการบดี มทร.กรุงเทพ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมรับน้องต้องมีอาจารย์คอยดูแล ที่สำคัญจะมีกลุ่มขับเคลื่อนงานกิจกรรมรับน้องและร้องเพลงเชียร์ โดยความร่วมมือจากอธิการบดี ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย คณบดี รองคณบดี ที่จะมาช่วยกันดูแลกิจกรรมดังกล่าวด้วย ซึ่งมีการเฝ้าระวังจากภายในมหาวิทยาลัย โดยจะมีทีมม้าเร็ว ประกอบด้วยอาจารย์ เจ้าหน้าที่ จากทุกคณะ ที่คอยสอดส่องดูแลการจัดกิจกรรม ขณะเดียวกันมีมาตรการเฝ้าระวังจากภายนอกมหาวิทยาลัย โดยการประสานตำรวจสายสืบ สน.ทุ่งมหาเมฆ มาช่วยสอดส่องดูแลด้วย ส่วนกิจกรรมรับน้องที่เด่นๆในปีนี้ เช่น ทางมหาวิทยาลัยจะมีกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือสังคมโครงการปลูกต้นไม้ในช่วงวันเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 กิจกรรมพารุ่นน้องไปปล่อยเต่า ปลูกปะการัง และเก็บขยะที่บริเวณชายหาดแถวอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นอกจากนี้มีจัดฟรีคอนเสิร์ต ที่จะมีวง Big Ass The Whitest Crow และ Fool Step ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มาจัดแสดงในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ที่ มทร.กรุงเทพ เพื่อเป็นการต้อนรับและรับขวัญน้องใหม่เข้าสู่บ้านหลังใหม่ บ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความรักและความรู้สึกดี ๆ ของรุ่นพี่ รุ่นน้องด้วย
“อย่างไรก็ตามผมฝากน้องใหม่หรือเฟรซชี่ทุกคนที่เข้ามาเรียนใน มทร.กรุงเทพ ขอให้ตั้งใจเรียน นอกจากเรียนวิชาการแล้ว อยากให้เข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างสรรค์ของมหาวิทยาลัยด้วย เพราะเราอยากได้เพชรราชมงคลของมทร.กรุงเทพ ที่สำเร็จการศึกษาออกไปแล้วเป็นคนดีของสังคม เป็นบัณฑิตนักปฏิบัติ เป็นบัณฑิตที่พึงประสงค์ 4 ด้าน คือ ดี เด่น เน้น และ สร้าง ที่ว่าดีคือดีทางด้านคุณธรรม จริยธรรม เด่นทางด้านเทคโนโลยีนวัตกรรม เน้นการสื่อสาร การทำงานเป็นทีมและ การสร้างสิ่งใหม่ ๆ และสุดท้ายสร้างสุขภาวะจิต คือการฝึกสร้างจิตอาสาในการเป็นผู้ให้“ ผศ.ชัยศักดิ์ กล่าว



เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ที่ กระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาฯ (สอวน.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) แถลงความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Asian Science Camp 2025 (ASC2025) ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 และ เทคโนธานี มทส. โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศ.กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา รองประธานมูลนิธิ สอวน. ศ.เกียรติคุณ ดร. ม.ร.ว.ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานฯ รศ.ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดี มทส. และ ศ.ดร.สันติ แม้นศิริ คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ และรองประธานคณะกรรมการดำเนินงาน ร่วมแถลงข่าว
ศ.ดร.นฤมล กล่าวถึงความสำคัญของกิจกรรม ASC2025 ว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพเยาวชนไทยสู่เวทีโลก โดยเฉพาะการเสริมสร้างทักษะในศตวรรษที่ 21 ผ่านเวทีที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แลกเปลี่ยนกับเพื่อนต่างชาติและนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้า เป็นโอกาสที่ดีของเยาวชนไทยจะได้ทำกิจกรรมร่วมกับเยาวชนจากนานาประทศกว่า 22 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนได้มีพื้นฐานและทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เข้มแข็ง ASC2025 จึงเป็นโอกาสอันล้ำค่าสำหรับเยาวชนไทยที่จะได้เรียนรู้ ลงมือทำ และสร้างแรงบันดาลใจจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลก ที่จะทำให้เกิดความอยากศึกษาวิทยาศาสตร์ในเชิงลึกมากขึ้น และยังเป็นเวทีที่ประเทศไทยสามารถแสดงศักยภาพทางวิชาการและความพร้อมในระดับนานาชาติได้อย่างเต็มที่
ด้าน รศ. ดร.อนันต์ กล่าวในฐานะเจ้าภาพหลักร่วมว่า มทส. เป็นมหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนั้นงานด้านวิขาการเราจัดเต็มแน่นอน ทั้งเรื่องของนิทรรศการ เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย และมีอาจารย์เก่ง ๆ มาร่วมงาน เชื่อว่าว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กสนใจการเรียนด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น และ การเป็นเจ้าภาพร่วมของ มทส.ไม่ได้มองแต่งานวิชาการ แต่เราจะโชว์เรื่องของศิลปวัฒนธรรมของจังหวัด ซึ่งเป็น soft power ของประเทศด้วย ดังนั้นงาน ASC2025 นี้ จะทำให้เด็กเยาวชนจากทั้ง 22 ประเทศ ได้ซึมซับทั้งงานวิชาการ และงานศิลปะวัฒนธรรม กลับไป คิดว่าภาพจำนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเด็ก ๆ จะมีภาพความประทับใจจะสามารถไปพูดต่อได้ว่า ประเทศไทยมีทั้งความเก่งของคน เรื่องของวิชาการ ยังมีเรื่องการท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม อาหาร กีฬา อย่างมวยไทย เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นเสน่ห์ของประเทศไทย
ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า เรื่องที่จะต้องทำเร่งด่วน คือ การพัฒนาครู และการดูแลนักเรียนที่ยังต้องดูแลเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวนโยบายการพัฒนาด้านการศึกษาของรัฐมนตรีและรัฐบาลยุคปัจจุบัน จะเน้นการพัฒนาบุคลากรให้มีความยั่งยืน เพราะเครื่องมือมีวันเสื่อมมีวันที่จะทรุดโทรม แม้ว่าจะได้เครื่องมือมา แต่บุคลากรยังไม่มีความพร้อม ไม่มีความรู้ ไม่ได้รับการพัฒนา ก็จะไม่มีประโยชน์ นี่คือหลักการที่คุยกันไว้ ซึ่งคงจะได้หารือกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการต่อไป ส่วนเรื่องการเช่าซื้อแท็บเล็ตที่ดำเนินการกันอยู่ขณะนี้ ก็ต้องดูรายละเอียดอีกครั้งว่าสิ่งที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ตัวชี้วัดของโครงการที่กำหนดไว้อย่างไร อย่างวันนี้เป็นเรื่องการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์ที่จะเข้ามาแข่งขันความสามารถด้านวิทยาศาสตร์กันถึง 22 ประเทศ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จะต้องสนับสนุน ซึ่งเราจะต้องพัฒนาหลักสูตรให้รองรับในโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสเต็มศึกษา เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่สำคัญต้องไม่ทิ้งวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่เน้นเรื่องวิทยาศาสตร์ประยุกต์เท่านั้น ดังนั้นการจัดงานวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ เราจะได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้จากนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก จะทำให้เด็กได้เรียนรู้เชิงลึกมากขึ้น โตขึ้นเขาได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็ได้ เพราะทราบจาก สอวน.ว่าเด็กไทยไปชนะเลิศอันดับ1 ในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระดับนานาชาติได้เหรียญทองจำนวนมาก ซึ่งก็หมายความว่าเด็กไทยไม่แพ้ใครในเวทีโลก ซึ่งจะมีการมอบนโยบายอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการมีหลายสำนักและมีภารกิจที่แตกต่างกัน


เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ จากพรรคกล้าธรรม ได้เดินทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมพระอาจารย์ที่นับถือ มาทำพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญกำลังใจในการเริ่มต้นทำงานใหม่ โดย ศ.ดร.นฤมล ได้เลือกห้องกลางในอาคารราชวัลลภ ซึ่งเป็นห้องทำงานเก่าของนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งพระอาจารย์ได้จับยามสามตาดูแล้วว่าเป็นห้องที่ดีที่สุด อยู่แล้วจะทำงานราบรื่น ไม่มีอุปสรรคในการทำงาน

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จัดงานแถลงข่าว “เปิดตัวครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ประเทศไทย และครูรางวัลคุณากร ประจำปี 2568” โดย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี กล่าวว่า การคัดเลือกครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ดำเนินการตั้งแต่ปี 2558 เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี จึงมีการขอพระราชานุญาตมอบรางวัลเพื่อเป็นการยกย่องครู เพราะครูเป็นกลไกที่สำคัญของเด็กและเยาวชน และยังเป็นรางวัลที่มอบเพื่อเชิดชูครูที่เปลี่ยนแปลงชีวิตลูกศิษย์ เพราะครูไม่เพียงแต่สอนหนังสือเท่านั้น แต่ครูยังเป็นพ่อแม่คนที่สอง ที่คอยช่วยเหลือลูกศิษย์ บางคนดูแลช่วยเหลือลูกศิษย์ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย โดยปัจจุบันมีครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี แล้ว 6 รุ่น รวม 69 คน จาก 14 ประเทศ คือ จากกลุ่มประเทศอาเซียน +1 ( ติมอร์-เลสเต) และ ได้เพิ่มเติมอีก 3 ประเทศ คือ ประเทศบังกลาเทศ ภูฏาน และมองโกเลีย ในปี 2568
ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากครูที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี จำนวน 1 รางวัล ซึ่งจะได้รับพระราชทานเงินรางวัล 10,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมเหรียญทอง เข็มเชิดชูเกียรติทองคำ โล่เกียรติคุณพระราชทาน และเกียรติบัตร แล้ว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครูดีเด่นที่ผ่านการคัดเลือกและกลั่นกรองระดับต่าง ๆ สำหรับประเทศไทยยังมีรางวัลลำดับรองอีก 3 รางวัลซึ่งเป็นรางวัลที่มูลนิธิฯจัดมอบ โดยพระราชานุญาตในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คือ 1 .รางวัลคุณากร คือ รางวัลสำหรับครู ผู้พร้อมด้วยคุณธรรม คุณลักษณ์ คุณค่าความเป็นครู อุทิศตนพัฒนาชีวิตศิษย์ เจริญสู่ความสำเร็จตลอดมา เป็นครูที่มีคะแนนลำดับ ที่ 2 และ ที่ 3 ได้รับเหรียญเงิน เข็มเชิดชูเกียรติพระราชทาน และเกียรติบัตร 2. รางวัลครูยิ่งคุณ คือ รางวัลสำหรับครูผู้เพียรพัฒนางานสอนศิษย์ เจริญด้วยปัญญาและกรุณา สร้างแรงบันดาลใจ เสริมศรัทธาต่อวิชาชีพครูต่อเนื่องยาวนาน เป็นครูที่มีคะแนนลำดับที่ 4-20 ซึ่งจะได้รับเหรียญทองแดง เข็มเชิดชูเกียติพระราชทาน และเกียรติบัตร 3.รางวัลครูขวัญศิษย์ คือรางวัลสำหรับครูผู้มีผลงานที่แสดงความรู้ คุณธรรม ความสามารถประจักษ์ชัด สอนศิษย์ด้วยจิตเปี่ยมเมตตา นำทางชีวิต สร้างคุณค่าสู่สังคม เป็นครูที่มีคะแนนลำดับที่ 21 เป็นต้นไป โดยจะได้รับเข็มเชิดชูเกียรติพระราชทาน และเกียรติบัตร ทั้งนี้ ในปี 2568 มีครูที่ได้รับรางวัลคุณากร รางวัลครูยิ่งคุณ และรางวัลครูขวัญศิษย์ รวม 216 คน โดยทางมูลนิธิฯจะให้ทุนไปทำโครงการตามความฝันเช่นกัน
ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ครูเครือข่ายมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ได้พิสูจน์ถึงชีวิตที่ทุ่มเท เป็นแบบอย่างของความเป็นครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์และมีคุณูปการต่อวงการศึกษา ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นการเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผ่านนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ตรงของครู ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ด้วยการส่งเสริมการเรียนรู้ในพื้นที่ห่างไกลและประชากรในกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ นอกจากนี้บทเรียนและนวัตกรรมการศึกษาที่เกิดขึ้นยังเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาสู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้วยการเสริมสร้างทักษะใหม่ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับเครือข่ายทั้งในประเทศและภูมิภาค และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือเป็นปรับเปลี่ยนการศึกษาให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยปีนี้ ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ประเทศไทย ปี 2568 คนที่ 6 คือ ครูไพรวัลย์ ยาปัญ จากโรงเรียนบ้านกองม่องทะ (สาขาบ้านไล่โว่) อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
ครูไพรวัลย์ กล่าวว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจเริ่มเป็น ‘ครูอาสา’ และร่วมผลักดันให้เกิดการจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านปิล๊อกคี่ โดยได้ตั้งปณิธานไว้ว่า อยากพัฒนาเด็กในถิ่นทุรกันดาร จึงตัดสินใจเดินทางมาที่บ้านกองม่องทะ ซึ่งต้องเดินเท้าเข้าพื้นที่ในขณะนั้น เพื่อเป็นครูอาสา ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชาวบ้านกำลังหมดศรัทธาต่อการศึกษา เพราะครูอยู่ได้ไม่นานก็ย้ายออก ครูมดจึงเข้ามาสอนทุกวิชาและทุกระดับชั้น เป็นเวลา 17 ปี จากการผลักดันให้เกิดการจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านปิล๊อกคี่ จากโรงเรียนชั่วคราวให้เป็นโรงเรียนในสังกัดกองตำรวจตระเวนชายแดนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้นั้น จึงนำมาพัฒนาให้ห้องเรียนสาขาบ้านไล่โว่ เป็นโรงเรียนสาขาบ้านไล่โว่ ทำให้นักเรียนที่จบประถมศึกษาตอนปลายไม่ต้องกลับมาเรียนซ้ำ ซึ่งการปฏิบัติต่อลูกศิษย์ทุกคนอย่างสม่ำเสมอเท่าเทียม โดยจัดการศึกษาเด็กเป็นรายบุคคลทั้งพื้นฐานความรู้ ทักษะชีวิต และความถนัดที่ต่างกัน ใช้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเป็นสื่อการสอน จนเด็กอ่านเขียนภาษาไทยได้ ทำให้นักเรียนสามารถมีผลการทดสอบระดับชาติ O-Net ในวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้น ป.6 ที่สูงกว่าผลทดสอบระดับประเทศได้สำเร็จ รวมถึงริเริ่มกิจกรรม ‘ขายข้ามเขาออนไลน์ By Kongmongta School’ เพื่อบ่มเพาะให้เป็นผู้ประกอบการ และตั้งใจอุทิศตนทำหน้าที่ครูต่อไป ให้ลูกศิษย์ถึงฝั่งที่ฝันให้ได้มากที่สุด
ขณะที่ ครูไพลรัตน์ สำลี ครูวิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ครูรางวัลคุณากร ปี 2568 ครูนักประดิษฐ์นวัตกรรมพลังงานทดแทน รวมทั้งเทคโนโลยีสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เพื่อใช้ประโยชน์ต่อผู้พิการ กล่าวว่า ตนเริ่มต้นชีวิตครูอัตราจ้างที่วิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งพนักงานราชการ ประเภทครูผู้สอน สังกัดวิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย เป็นระยะเวลากว่า 26 ปี และอยากที่จะส่งต่อความรู้ ให้การช่วยเหลือลูกศิษย์ให้ได้รับโอกาสและพัฒนาตนเอง รวมถึงลูกศิษย์ที่ขาดโอกาสเป็นผู้พิการให้ได้รับการช่วยเหลือให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นพร้อมกับมีรายได้ เป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เพราะลูกศิษย์คือเครือข่ายที่ดี ที่เอามันสมองของผมไปกระจายความรู้
ส่วน ครูทอน บัวเรือง ครูโรงเรียนบ้านดงน้ำเดื่อ จ.เพชรบูรณ์ ครูรางวัลคุณากร ปี 2568 ครูผู้ไม่หยุดความเป็นครูแม้จะเลยวัยเกษียณ ยังคงถ่ายทอดความรู้จนลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ กล่าวว่า คุณภาพการสอนของครูสามารถเปลี่ยนชีวิตลูกศิษย์ได้ แม้ลูกศิษย์ที่เรียนรู้ช้าหรือมีข้อจำกัดทางทรัพยากรระหว่างโรงเรียนในเมืองกับชนบท ครูต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง พยายามเชื่อมโยงบทเรียนเข้ากับชีวิตของนักเรียน ทำให้การเรียนมีความหมายและนำไปใช้ได้จริง โดยปรับวิธีการสอนอยู่เสมอ สังเกตการตอบสนองของนักเรียน วิเคราะห์ข้อดีข้อจำกัด และพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่หากครูมีใจรักและมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ความสำเร็จของลูกศิษย์ คือ ดอกไม้ที่หอมหวานที่สุดในสวนแห่งชีวิตครู และการศึกษาที่มีคุณภาพไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในเมือง ทุกพื้นที่ควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน
ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว)อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา บรรยายพิเศษว่า หลักสูตรของประเทศไทยรวมถึงหลักสูตรทั่วโลกจะเน้นกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากล และประเทศไทยก็มีการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาประเทศด้านการศึกษา ขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการ ก็ให้เน้นย้ำเรื่องของกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เช่นกัน แต่ในทางปฏิบัติคนไทยยังเข้าไม่ถึงกระบวนการนี้ การเรียนการสอนจึงเป็นการสอนไปตามรายวิชา ทำให้เด็กยังไม่บรรลุตามเป้าหมาย ขณะที่ในชีวิตจริงของมนุษย์หรือคนทุกคนจะต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps จะเป็นการเรียนรู้ผ่านกระบวนการและหลักการ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำกระบวนการและหลักการไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ทุกวิถีชีวิต และพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้งไม่มีวันลืม
ดร.เอกราช ดีนาง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปฏิบัติราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญ คือ การพัฒนาหลักสูตร Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพัฒนารูปแบบการ จัดการเรียนการสอนนำไปสู่การให้เด็กมีกระบวนการคิดขั้นสูง และท้ายที่สุดเด็กจะสามารถสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง หลังจากพัฒนาหลักสูตรสำเร็จแล้วจะเป็นการจัดอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อนำรูปแบบ Active Learning ไปใช้ในการปฏิบัติในชั้นเรียน จากนั้นจะเป็นการคัดเลือกครูต้นแบบเพื่อถอดบทเรียนการเรียนรู้และนำไปสู่การสร้างต้นแบบของการเรียนรู้และขยายผลต่อไป เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายดำเนิน เพียรค้า ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)นครราชสีมา เขต 3 ปฏิบัติหน้าที่ ผอ. สพป.นครราชสีมา เขต 1 กล่าวว่า ศึกษานิเทศก์เป็นบุคคลที่จะเป็นสื่อกลางในการนำนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยการจัดการศึกษาแบบ Active Learning ไปสู่ความสำเร็จ ศึกษานิเทศก์ต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพราะการทำ 1 อําเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ มีหลักการว่าจะต้องทำให้โรงเรียนแห่งโอกาสทางการศึกษา และความเท่าเทียมของนักเรียน ที่ต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ สามารถรับประกันได้ว่าเด็กที่จบจากโรงเรียนในโครงการ 1อำเภอ 1โรงเรียนคุณภาพ ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีทักษะชีวิต สามารถดำรงชีพได้ในอนาคตเทียบเท่ากับโรงเรียนในอำเภอหรือในจังหวัด เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรกระบวนการเรียนการสอนจะสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างดี ครูสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่นักเรียน นักเรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ซึ่งการจัดการศึกษาโดยรูปแบบ Active Learning เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเด็กจะได้ปฏิบัติจริง เรียนรู้จริง และมีองค์ความรู้สามารถเอาตัวรอดได้ เพราะฉะนั้นเชื่อว่า Active Learning ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงได้จริง
ว่าที่ร้อยเอก ดร.ทิณกรณ์ ภูโทถ้ำ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)นครราชสีมา กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดอบรม คือ ต้องการให้ศึกษานิเทศก์มีความเข้าใจการจัดการศึกษาแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps โดยมีจุดประสงค์สำคัญ คือ ให้ผู้เรียนเป็นนวัตกร ที่สามารถสร้างผลผลิตที่เกิดจากการเรียนการสอนในห้องเรียนแล้วไปต่อยอดสร้างนวัตกรรม จนเกิดเป็น Startup ต่อไป อย่างไรก็ตามความมุ่งหวังของ สพฐ.และเขตพื้นที่การศึกษา คือ ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนคุณภาพ โดยการเปลี่ยนแปลง คือ ต้องพลิกจากสิ่งที่ทำมาแต่เดิม ต้องส่งผลต่อผู้เรียนในเรื่องของคุณภาพ ความเท่าเทียม โอกาส และการเปลี่ยนสังคมให้ไปสู่สังคมที่มีความพร้อมที่จะอยู่ในโลกของเศรษฐกิจยุคใหม่ ซึ่ง Active Learningตอบโจทย์ได้ เพราะ Active Learning มุ่งหวังให้นักเรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง เช่น ผลการสอบพิซาของเด็กไทยยังไม่ค่อยน่าพึงพอใจ เพราะเรายังไม่ได้ฝึกให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ขั้นสูง แต่ปีที่ผ่านมาเราเริ่มเน้นการเรียนแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps มากขึ้น เชื่อว่าการสอบพิซาปีนี้ซึ่งเน้นเรื่องการคิดวิเคราะห์ สิ่งที่เราเน้นย้ำจะเกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้นอยากให้ติดตามผลการสอบพิซาปีนี้ด้วย


