มทร.กรุงเทพรับน้องสานสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้อง  ย้ำรับสร้างสรรค์ ไม่บังคับจิตใจ ห้ามรับนอกสถานที่เด็ดขาด ฝ่าฝืนไล่ออกทันที

รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า ขณะนี้ มทร.กรุงเทพได้เปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2568 แล้ว โดยในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการเปิดภาคเรียน คือ ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-11 ก.ค.2568 ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้มีการจัดกิจกรรมรับน้อง เพื่อสานสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้องได้ แต่กิจกรรมดังกล่าวต้องเป็นไปตามประกาศมหาวิทยาลัย เรื่องมาตรการในการจัดกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่และประชุมเชียร์ในมหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2568 อย่างเคร่งครัด โดยการจัดกิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ถือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา และมีปณิธานเพื่อถ่ายทอดความสัมพันธ์ของนักศึกษารุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ทำให้เกิดความสามัคคี มีระเบียบวินัย ความภาคภูมิใจในสถาบัน และ เกื้อกูลกันฉันท์พี่น้อง อีกทั้งกิจกรรมรับน้องเน้นสร้างสรรค์ และเสริมสร้างการพัฒนานักศึกษา เป็นไปด้วยด้วยความสมัครใจ ไม่ให้เกิดความรุนแรง หรือล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทั้งร่างกายหรือจิตใจของน้องใหม่ ไม่มีการดื่มสุรา และของมึนเมาทุกชนิดในขณะจัดกิจกรรม ส่วนเวลาของการจัดกิจกรรมรับน้องในแต่ละวันต้องไม่เกิน 21.00 น. และห้ามรับน้องนอกสถานที่เด็ดขาด หากมีนักศึกษาฝ่าฝืนมาตรการ มีการทะเลาะวิวาท และทำให้เกิดความรุนแรงจะมีโทษไล่ออกจากการเป็นนักศึกษาทันที

รศ.ดร.พิชัย กล่าวว่า ตนเน้นย้ำมาตลอดว่าต้องการเห็นมหาวิทยาลัยของเราเป็นมหาวิทยาลัยแห่งความสุข ต้องทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  และให้โจทย์ว่าต้องไม่มีการทะเลาะวิวาท หรือ กดขี่ข่มเหง บังคับฝืนใจรุ่นน้อง ต้องไม่ใช้ความรุนแรง ต้องรับน้องอย่างสร้างสรรค์รวมทั้งนักศึกษาทุกคนต้องแต่งกายให้ถูกต้องตามกฏระเบียบ มีการปลูกฝังเรื่องบุคลิกภาพที่ดีของนักศึกษามทร.กรุงเทพ จากเดิมที่เราอาจจะเห็นเด็กช่างบางคนใส่กางเกงยีนส์ ใส่เสื้อช็อปไม่ถูกต้อง ดูแล้วไม่เหมาะสม ขอให้ใส่ชุดนักศึกษาให้ถูกต้อง และห้ามเด็ดขาด “นักเรียน นักเลง“

ด้าน ผศ.ชัยศักดิ์ คล้ายแดง รองอธิการบดี มทร.กรุงเทพ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมรับน้องต้องมีอาจารย์คอยดูแล ที่สำคัญจะมีกลุ่มขับเคลื่อนงานกิจกรรมรับน้องและร้องเพลงเชียร์ โดยความร่วมมือจากอธิการบดี ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย คณบดี รองคณบดี ที่จะมาช่วยกันดูแลกิจกรรมดังกล่าวด้วย ซึ่งมีการเฝ้าระวังจากภายในมหาวิทยาลัย โดยจะมีทีมม้าเร็ว ประกอบด้วยอาจารย์ เจ้าหน้าที่ จากทุกคณะ ที่คอยสอดส่องดูแลการจัดกิจกรรม ขณะเดียวกันมีมาตรการเฝ้าระวังจากภายนอกมหาวิทยาลัย โดยการประสานตำรวจสายสืบ สน.ทุ่งมหาเมฆ มาช่วยสอดส่องดูแลด้วย ส่วนกิจกรรมรับน้องที่เด่นๆในปีนี้ เช่น ทางมหาวิทยาลัยจะมีกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือสังคมโครงการปลูกต้นไม้ในช่วงวันเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 กิจกรรมพารุ่นน้องไปปล่อยเต่า ปลูกปะการัง และเก็บขยะที่บริเวณชายหาดแถวอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นอกจากนี้มีจัดฟรีคอนเสิร์ต ที่จะมีวง Big Ass The Whitest Crow และ Fool Step ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่  มาจัดแสดงในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ที่ มทร.กรุงเทพ เพื่อเป็นการต้อนรับและรับขวัญน้องใหม่เข้าสู่บ้านหลังใหม่ บ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความรักและความรู้สึกดี ๆ ของรุ่นพี่ รุ่นน้องด้วย

“อย่างไรก็ตามผมฝากน้องใหม่หรือเฟรซชี่ทุกคนที่เข้ามาเรียนใน มทร.กรุงเทพ ขอให้ตั้งใจเรียน นอกจากเรียนวิชาการแล้ว อยากให้เข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างสรรค์ของมหาวิทยาลัยด้วย เพราะเราอยากได้เพชรราชมงคลของมทร.กรุงเทพ ที่สำเร็จการศึกษาออกไปแล้วเป็นคนดีของสังคม เป็นบัณฑิตนักปฏิบัติ เป็นบัณฑิตที่พึงประสงค์  4  ด้าน คือ ดี เด่น เน้น และ สร้าง ที่ว่าดีคือดีทางด้านคุณธรรม จริยธรรม เด่นทางด้านเทคโนโลยีนวัตกรรม เน้นการสื่อสาร การทำงานเป็นทีมและ การสร้างสิ่งใหม่ ๆ และสุดท้ายสร้างสุขภาวะจิต คือการฝึกสร้างจิตอาสาในการเป็นผู้ให้“ ผศ.ชัยศักดิ์ กล่าว

“ครูแหม่ม”หนุนยกระดับการศึกษาวิทย์ฯพื้นฐาน สอวน.- มทส.พร้อมจัด “Asian Science Camp 2025” นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลร่วมบรรยายสร้างแรงบันดาลใจดึงเยาวชน 22 ประเทศเรียนวิทยาศาสตร์

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568  ที่ กระทรวงศึกษาธิการ  มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาฯ (สอวน.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) แถลงความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Asian Science Camp 2025 (ASC2025) ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2568 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 และ เทคโนธานี มทส. โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศ.กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา รองประธานมูลนิธิ สอวน. ศ.เกียรติคุณ ดร. ม.ร.ว.ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานฯ รศ.ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดี มทส.  และ ศ.ดร.สันติ แม้นศิริ คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์  และรองประธานคณะกรรมการดำเนินงาน ร่วมแถลงข่าว

ศ.ดร.นฤมล กล่าวถึงความสำคัญของกิจกรรม ASC2025 ว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพเยาวชนไทยสู่เวทีโลก โดยเฉพาะการเสริมสร้างทักษะในศตวรรษที่ 21 ผ่านเวทีที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แลกเปลี่ยนกับเพื่อนต่างชาติและนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้า  เป็นโอกาสที่ดีของเยาวชนไทยจะได้ทำกิจกรรมร่วมกับเยาวชนจากนานาประทศกว่า 22 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนได้มีพื้นฐานและทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เข้มแข็ง ASC2025 จึงเป็นโอกาสอันล้ำค่าสำหรับเยาวชนไทยที่จะได้เรียนรู้ ลงมือทำ และสร้างแรงบันดาลใจจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ระดับโลก ที่จะทำให้เกิดความอยากศึกษาวิทยาศาสตร์ในเชิงลึกมากขึ้น  และยังเป็นเวทีที่ประเทศไทยสามารถแสดงศักยภาพทางวิชาการและความพร้อมในระดับนานาชาติได้อย่างเต็มที่

“โครงการนี้เป็นโครงการสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย และภูมิภาค  เพราะการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานของประเทศไทยเกิดขึ้นได้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์รวมถึงพระราชวงศ์หลายท่าน และศธ.ก็ทำงานถวายงานอย่างต่อเนื่อง  ก็หวังว่าการศึกษาวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานจะกลับมาได้รับความสำคัญอีกครั้ง ซึ่งจะมีการหารือกับเลขาธิการ กพฐ.อีกครั้งถึงการยกระดับการศึกษาวิทยาศาสตร์พื้นฐานอย่างไร  มิฉะนั้นหากสิ่งนี้หายไป ห้วงระยะเวลายาว ๆ เราก็จะอ่อนแอลง เพราะคนใหม่ ๆ ไม่ได้รับการพัฒนา เพราะฉะนั้น ศธ.พร้อมสนับสนุนการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ทุกโครงการ” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ศ.กิตติคุณ นายแพทย์จรัส กล่าวว่า “Asian Science Camp เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ.2007) ที่กรุงไทเป ไต้หวัน  มีประเทศเจ้าภาพหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกปีรวม 14 ครั้ง เช่น อินโดนีเชีย ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ เป็นต้น โดยงานดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อต้องการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้กับเยาวชนในแถบเอเชียแปซิฟิก ที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์  โดยประเทศไทยเคยรับเป็นเจ้าภาพจัด Asian Science Camp 2015 หรือเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา  และในปีนี้   ประเทศไทยได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดงาน ASC2025 อีกครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมทั้งด้านประสบการณ์จัดงานวิชาการระดับนานาชาติ และยังแสดงให้เห็นศักยภาพภาพทางวิชาการของเหล่าเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดทั้งคณาจารย์ และนักวิจัยที่ได้สร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการจัดงานครั้งนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568

ศ.เกียรติคุณ ดร. ม.ร.ว.ชิษณุสรร  กล่าวว่า ภายในงาน ASC2025 มีเยาวชนจาก 22 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กว่า 235 คน โดยมีผู้แทนเยาวชนไทยที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมจำนวน 68 คน และในงานยังมีการบรรยาย ร่วมอภิปราย  และพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล 3 ท่าน ได้แก่ 1. Prof. Dr. Sir Gregory Paul Winter  ผู้ได้รับรางวัล Nobel Prize in Chemistry ปี 2018 จากผลงานการพัฒนาเทคนิค Phage Display เพื่อสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นรากฐานของยาชีวภาพที่ใช้รักษาโรคต่างๆ รวมถึง Adalimumab หรือ Humira 2. Prof. Dr. Drew Weissman เจ้าของรางวัล Nobel Prize in Physiology or Medicine ปี 2023 จากการค้นพบการดัดแปลงนิวคลีโอไซด์ใน mRNA ซึ่งช่วยลดการอักเสบและทำให้เทคโนโลยีวัคซีน mRNA เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 3. Prof. Dr. Takaaki Kajita  ผู้ได้รับ Nobel Prize in Physics ปี 2015 จากการค้นพบการแกว่งของนิวทริโน (Neutrino Oscillations) โดยใช้เครื่องตรวจจับ Super-Kamiokande ซึ่งพิสูจน์ว่านิวทริโนมีมวล และเปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานของฟิสิกส์อนุภาค  นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Plenary Speakers อีก 5 ท่าน ซึ่งล้วนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถ่ายทอดประสบการณ์จากนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ รุ่นกลางชาวไทยที่มีชื่อเสียงในระดับแนวหน้าจากสถาบันชั้นนำ การจัดแสดงโปสเตอร์นิทรรศการแสดงผลงานของนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เป็นการเปิดพื้นที่ให้เยาวชนผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้พูดคุย สอบถาม แลกเปลี่ยน ถ่ายทอดประสบการณ์ และได้รับแรงบันดาลใจจากนักวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างสรรค์เครือข่ายทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เข้มแข็งในอนาคต

ด้าน รศ. ดร.อนันต์ กล่าวในฐานะเจ้าภาพหลักร่วมว่า มทส. เป็นมหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนั้นงานด้านวิขาการเราจัดเต็มแน่นอน ทั้งเรื่องของนิทรรศการ เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย และมีอาจารย์เก่ง ๆ มาร่วมงาน เชื่อว่าว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กสนใจการเรียนด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น และ การเป็นเจ้าภาพร่วมของ มทส.ไม่ได้มองแต่งานวิชาการ แต่เราจะโชว์เรื่องของศิลปวัฒนธรรมของจังหวัด ซึ่งเป็น soft power ของประเทศด้วย ดังนั้นงาน ASC2025 นี้ จะทำให้เด็กเยาวชนจากทั้ง 22 ประเทศ ได้ซึมซับทั้งงานวิชาการ และงานศิลปะวัฒนธรรม กลับไป คิดว่าภาพจำนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเด็ก ๆ จะมีภาพความประทับใจจะสามารถไปพูดต่อได้ว่า ประเทศไทยมีทั้งความเก่งของคน เรื่องของวิชาการ ยังมีเรื่องการท่องเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม อาหาร กีฬา อย่างมวยไทย เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นเสน่ห์ของประเทศไทย

“ศ.ดร.นฤมลรหัสเสมา1”เผยเรื่องเร่งด่วนอันดับแรกคือการพัฒนาครูควบคู่ดูแลนักเรียน สร้างขวัญกำลังใจ

เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ให้สัมภาษณ์ ระหว่างการร่วมแถลงข่าวมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาฯ(สอวน.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.)ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดงานค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชนภูมิภาคเอเชีย : Asian Science Camp 2025 ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2568  ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 และ เทคโนธานี มทส.ที่อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ โดย ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงนโยบายการจัดการศึกษาของรัฐบาลชุดใหม่ จะดำเนินการอย่างไร

ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า เรื่องที่จะต้องทำเร่งด่วน คือ การพัฒนาครู และการดูแลนักเรียนที่ยังต้องดูแลเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวนโยบายการพัฒนาด้านการศึกษาของรัฐมนตรีและรัฐบาลยุคปัจจุบัน จะเน้นการพัฒนาบุคลากรให้มีความยั่งยืน เพราะเครื่องมือมีวันเสื่อมมีวันที่จะทรุดโทรม แม้ว่าจะได้เครื่องมือมา แต่บุคลากรยังไม่มีความพร้อม ไม่มีความรู้ ไม่ได้รับการพัฒนา ก็จะไม่มีประโยชน์ นี่คือหลักการที่คุยกันไว้ ซึ่งคงจะได้หารือกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการต่อไป ส่วนเรื่องการเช่าซื้อแท็บเล็ตที่ดำเนินการกันอยู่ขณะนี้ ก็ต้องดูรายละเอียดอีกครั้งว่าสิ่งที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ตัวชี้วัดของโครงการที่กำหนดไว้อย่างไร อย่างวันนี้เป็นเรื่องการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์ที่จะเข้ามาแข่งขันความสามารถด้านวิทยาศาสตร์กันถึง 22 ประเทศ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จะต้องสนับสนุน ซึ่งเราจะต้องพัฒนาหลักสูตรให้รองรับในโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสเต็มศึกษา เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่สำคัญต้องไม่ทิ้งวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่เน้นเรื่องวิทยาศาสตร์ประยุกต์เท่านั้น ดังนั้นการจัดงานวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ เราจะได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้จากนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก จะทำให้เด็กได้เรียนรู้เชิงลึกมากขึ้น โตขึ้นเขาได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็ได้ เพราะทราบจาก สอวน.ว่าเด็กไทยไปชนะเลิศอันดับ1 ในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระดับนานาชาติได้เหรียญทองจำนวนมาก ซึ่งก็หมายความว่าเด็กไทยไม่แพ้ใครในเวทีโลก ซึ่งจะมีการมอบนโยบายอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการมีหลายสำนักและมีภารกิจที่แตกต่างกัน

“ในฐานะที่รัฐมนตรี อยู่ในแวดวงการศึกษามาก่อนเข้าใจว่าที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ตัวฮาร์ดแวร์แต่เป็นตัวซอฟต์แวร์ ดังนั้นบุคลากรจะต้องมีความพร้อมและเราต้องสนับสนุนบุคลากรให้เต็มที่ ไม่ใช่แค่เรื่องของสถานที่เท่านั้น แต่ต้องมีเรื่องของงบประมาณในการสนับสนุนบุคลากรให้เขาได้ทำการวิจัยในการจัดอบรมพัฒนาต่อยอด ซึ่งเราจะสนับสนุนทุกด้านเพื่อให้บุคลากรมีความเข้มแข็งเราไม่อยากเน้นเฉพาะตัวนักเรียนแต่เราต้องเน้นตัวครูบุคลากรควบคู่กันไปด้วย ถ้าเราอยากให้การศึกษาไทยเปลี่ยนแปลงไปได้ยั่งยืนในอนาคต”ศ.ดร.นฤมล กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ขอเน้นว่า เครื่องมือควรมาทีหลังเพราะเป็นตัวเสริม ดังนั้นสิ่งแรกที่จะต้องดำเนินการคือการพัฒนาบุคลากรให้มีความเข้มแข็ง เพราะที่ผ่านมาเราพูดแต่ว่าการศึกษาเน้นเด็กเป็นศูนย์กลางแต่อาจจะลืมเรื่องของครู เรื่องความเป็นอยู่ เรื่องสวัสดิการครู ให้เขามีขวัญกำลังใจไปพร้อมกับการสร้างอนาคตของเขาด้วย

คุรุสภาเปิดรับสมัครการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ปี 68 จำนวน 66 กลุ่มวิชา

ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการอำนวยการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู กลุ่มวิชา ระบบกระดาษ ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยจะเปิดรับสมัครผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 16 – 25 กรกฎาคม 2568 และกำหนดจัดการทดสอบ วันที่ 30 สิงหาคม 2568  เวลา 13.00 – 16.00 น. ขอย้ำก่อนการสมัครเข้ารับการทดสอบฯ ขอให้ผู้สมัครทุกคนเข้าตรวจสอบสิทธิสมัครเข้ารับการทดสอบฯ ก่อน เพื่อจะได้ไม่เสียสิทธิและเสียเวลาในการสมัครฯ ซึ่งคุรุสภาจะเปิดให้ตรวจสอบสิทธิฯ ตั้งแต่วันที่ 4-18 กรกฎาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์ https://kspsubjects2568.thaijobjob.com

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่อไปว่า สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบสิทธิ ให้กรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชน แล้วระบบจะแจ้งผลการตรวจสอบว่าเป็นผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการทดสอบฯ หรือเป็นผู้ไม่มีสิทธิสมัครเข้ารับการทดสอบฯ หากมีสิทธิสมัครเข้ารับการทดสอบฯ แต่ข้อมูลไม่ถูกต้องสามารถแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองได้เฉพาะคำนำหน้านาม ชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล สัญชาติ  หากมีสิทธิสมัครเข้ารับการทดสอบฯ แต่ระบบแจ้งว่าไม่มีสิทธิสมัครเข้ารับการทดสอบฯ สามารถยื่นคำร้องขอมีสิทธิสมัครเข้ารับการทดสอบในวันที่ 6 – 18 กรกฎาคม 2568 และตรวจสอบผลการยื่นคำร้องหลังจากวันที่ยื่น 3 วันทำการ โดยเมื่อรับทราบผลแล้วให้ดำเนินการ ดังนี้ กรณีเป็นผู้ศึกษาในหลักสูตรปริญญาทางการศึกษา หรือเทียบเท่าที่คุรุสภารับรองต้องติดต่อสถาบันอุดมศึกษาที่ตนเองศึกษา กรณีเป็นผู้ผ่านการรับรองความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพให้ติดต่อกับสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา หลังจากตรวจสอบสิทธิแล้ว จะเริ่มรับสมัครทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูฯ 66 กลุ่มวิชา ในวันที่ 16 – 25 กรกฎาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ https://kspsubjects2568.thaijobjob.com

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวอีกว่า เมื่อสมัครแล้วสามารถชำระค่าสมัครโดยนำรหัสคิวอาร์โค้ดที่ได้รับจากระบบรับสมัครสแกนชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารทุกแห่ง ก่อนเวลา 08.00 น. ของวันถัดไป หากไม่ชำระเงินตามเวลาที่กำหนดผู้สมัครจะต้องเลือกจังหวัดที่จะเข้ารับการทดสอบใหม่แล้วชำระเงินอีกครั้ง ทั้งนี้ผู้สมัครสามารถแก้ไขข้อมูลของตนเองได้อีกครั้งวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2568 และเข้ารับการทดสอบวันที่ 30 สิงหาคม 2568 จากนั้นประกาศรายชื่อผู้ผ่านเกณฑ์การทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ฯ วันที่ 17 ตุลาคม 2568ผ่านเว็บไซต์ https://www.ksp.or.th และ https://kspsubjects2568.thaijobjob.com อย่างไรก็ตามคุรุสภาได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้ารับการทดสอบทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยจัดแบบทดสอบทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และทุกสนามสอบจะใช้การทดสอบแบบกระดาษ เพื่อรองรับผู้เข้ารับการทดสอบได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้สมัครสามารถเลือกสถานที่เข้ารับการทดสอบได้ 1 จังหวัด เลือกกลุ่มวิชาที่ประสงค์จะทดสอบได้ 1 กลุ่มวิชา และเลือกแบบทดสอบได้ 1ภาษา โดยจังหวัดที่จัดการทดสอบฉบับภาษาไทยได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก กรุงเทพมหานคร  ขอนแก่น อุบลราชธานี ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ส่วนจังหวัดที่จัดการทดสอบฉบับภาษาอังกฤษ ได้แก่ เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น และสงขลา

“สำหรับการชำระค่าสมัครเข้ารับการทดสอบชาวไทย หรือบุคคลที่มีบัตรประจำตัวบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หรือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน คนละ 500 บาท ส่วนชาวต่างประเทศ คนละ 1,000 บาท ชำระเงินได้ระหว่างวันที่ 16-25 กรกฎาคม 2568 โดยนำรหัส QR Codeที่ได้รับจากระบบรับสมัครสอบสแกนชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารทุกแห่ง หากไม่สามารถชำระเงินได้ให้ดำเนินการตามขั้นตอนที่แจ้งในคู่มือ หรือ สอบถามศูนย์บริการข้อมูล โทร.0-2257-7159 ต่อ 3 หรือ ไลน์ไอดี @Thaijobjob เท่านั้น ทั้งนี้ผู้ที่สมัครและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว สามารถแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของตนเองได้ ระหว่างวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2568 ยกเว้นข้อมูลเลขประจำตัวประชาชนและวันเดือนปีเกิดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ จากนั้นตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบฯ และพิมพ์บัตรประจำตัวได้ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2568เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ https://kspsubjects2568.thaijobjob.com อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวข้องกับการทดสอบติดต่อได้ที่ โทร. 0-2304-9899  Call Center โทร. 0-2257-7159 กด 3 หรือไลน์ไอดี @Thaijobjob ในวันราชการ” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว

“คุรุสภา”สั่งเชือด ครูอัตราจ้างเสพยาบ้า-ครอบครองปืนเถื่อน สั่งพักใช้ใบประกอบวิชาชีพ พร้อมลงโทษทางจรรยาบรรณขั้นเด็ดขาด

เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2568 ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภาตาม เปิดเผยว่า ที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชน กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับ ครูอัตราจ้าง สังกัดโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดหนองบัวลำภู ข้อหา มีสารเสพติดยาบ้า จำนวน 12 เม็ด และอาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำนวน 2 กระบอก ไว้ในครอบครอง จึงได้ควบคุมตัวบุคคลดังกล่าวไปดำเนินการตามกฎหมาย นั้น สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว พบว่า บุคคลที่ตกเป็นข่าวเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูจริง และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นต้น วันออกใบอนุญาต 6 กันยายน 2563 วันหมดอายุใบอนุญาต 5 กันยายน 2569 และล่าสุดทางโรงเรียนได้มีคำสั่งยกเลิกสัญญาจ้างแล้ว และในส่วนของการดำเนินการทางจรรยาบรรณของวิชาชีพ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้รับเรื่องเข้าสู่การพิจารณาทางจรรยาบรรณของวิชาชีพแล้ว ซึ่งการ กระทำผิดดังกล่าวนั้นเป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง ซึ่งจะนำเสนอต่อคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน และดำเนินการพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูไว้ก่อนโดยไม่ต้องรอผลการสอบสวน  โดยหากการสอบสวนแล้วเสร็จ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพจะพิจารณาวินิจฉัยกำหนดระดับความผิดทางจรรยาบรรณ ซึ่งกรณีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง ถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ

“หลังจากพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯ แล้ว คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ จะเร่งดำเนินการสอบสวนการประพฤติผิดตามข้อบังคับคุรุสภา และหากมีความผิดจริง บุคคลดังกล่าวก็จะถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯทันที และขอเน้นย้ำว่าในปัจจุบันคุรุสภาเอาจริง ไม่มีการเจรจา และไม่มีการประนีประนอมต่อผู้กระทำผิด เพราะผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาทุกคน จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี และไม่ประพฤติตนไปในทางที่เสื่อมเสีย กรณีที่ครูไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นเรื่องร้ายแรงที่ต้องเร่งดำเนินการทันที เพราะโรงเรียนจะต้องเป็นสถานที่ปลอดภัยของนักเรียน และครูทุกคนจะต้องเป็นที่เคารพและศรัทธาของลูกศิษย์” เลขาธิการคุรุสภากล่าว

“นฤมล”นิมนต์พระอาจารย์ดูห้องทำงาน เลือกนั่งห้องกลางอาคารราชวัลลภ

เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ จากพรรคกล้าธรรม ได้เดินทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมพระอาจารย์ที่นับถือ มาทำพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญกำลังใจในการเริ่มต้นทำงานใหม่ โดย ศ.ดร.นฤมล ได้เลือกห้องกลางในอาคารราชวัลลภ ซึ่งเป็นห้องทำงานเก่าของนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งพระอาจารย์ได้จับยามสามตาดูแล้วว่าเป็นห้องที่ดีที่สุด อยู่แล้วจะทำงานราบรื่น ไม่มีอุปสรรคในการทำงาน

ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า วันนี้ รมว.ศึกษาธิการ เข้ามาดูห้องทำงาน ยังไม่มีการสั่งการหรือให้นโยบายใด ๆ เนื่องจากต้องถวายสัตย์ปฏิญาณก่อน แต่ได้แจ้งเบื้องต้นว่า จะเข้ามากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง และพบปะผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการในวันที่ 8 กรกฎาคม

ศธ.กระทรวงปราบเซียน

หยอก หยอก วันที่ 1 กรกฏาคม 2568 *** ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ … คนพูดดีด้วยแต่ในใจไม่บริสุทธิ์ *** สุภาษิตนี้ยังใช้ได้อยู่ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะบางคนในกระทรวงศึกษาธิการ *** ลงตัวซะทีกับ ครม.อิ๊ง 2 ที่โผเผเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก็ขอแสดงความยินดีกับ 3 รัฐมนตรี จาก 3 พรรคที่จะมากุมบังเหียนวังจันทร์เกษม  นำทีมโดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ จากพรรคกล้าธรรม ในรหัส เสมา 1  และ ผศ.ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ จากพรรคเพื่อไทย กับ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ จาก พรรคชาติพัฒนากล้า ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ …  ก็ได้แต่ฝากความหวังว่า รัฐมนตรีทั้ง 3 จะมาพัฒนาการศึกษาด้วยใจบริสุทธิ์ *** ปรับโหมดมาที่เรื่องค้างจากที่ หยอก หยอก เกริ่นไว้เมื่อครั้งที่แล้วถึงการบริหารงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ที่มีแต่เรื่องร้องเรียนถึงการแต่งตั้งโยกย้าย การสอบขึ้นตำแหน่งต่าง ๆ ที่หลายคนคาใจ ทั้งในส่วนกลาง และในพื้นที่  โดยเฉพาะสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.)ที่ขณะนี้มีการร้องเรียนเรื่องการสอบและการย้ายผู้บริหาร ที่มีเรื่องถึงศาล เรื่องการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อพัฒนาการศึกษา ซึ่งล่าสุด หยอก หยอก ได้รับข้อมูลถึงการจัดสรรเงินอุดหนุน อาหารกลางวัน อุปกรณ์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่จัดไม่ครบตามจำนวนนักเรียน เช่น นักเรียน หรือผู้รับบริการในศูนย์การศึกษาพิเศษ มีจำนวน 1,000 กว่าคน แต่ได้รับเงินอุดหนุนเพียง 600 กว่าคน เป็นต้น ก็ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าสื่ออุปกรณ์พัฒนาผู้เรียน อาหารกลางวันที่จัดให้เด็ก ๆ จะเพียงพอได้ยังไง … เรื่องนี้หยอก หยอก ก็แค่เป็นสื่อกลางรับเรื่องมาบอก เพื่อให้รัฐมนตรีที่จะมากำกับดูแลช่วยเข้ามาดูหน่อย *** ส่วนการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ ของ สศศ.กว่า 400 อัตรา ที่โป๊ะแตกเรื่องคะแนนวิทยาศาสตร์ในการสอบภาค ค ที่คนทำงาน 3-4 ปี ได้คะแนนเกือบเต็ม ขณะที่คนทำงานเป็น 10 ปีได้คะแนนน้อยกว่า แว่วว่า มีผู้เสียหายไปยื่นฟ้องที่ศาลปกครองกลางแล้ว และศาลก็รับเรื่องไว้พิจารณา ออกหมายเลขคดีดำเรียบร้อยแล้ว … ก็ว่ากันไป …ลุ้น ๆ *** สอบถาม ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ก็ได้แต่บอกว่า ตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว โดยมอบให้ ภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. อดีต ผอ.สศศ. เป็นประธาน … งานนี้ เลขาฯธนุ ไม่ได้ขีดเส้นว่าจะต้องสืบให้เสร็จภายในเมื่อไหร่ เพราะไม่อยากกดดันกรรมการสืบข้อเท็จจริง แต่กำชับว่า “โดยเร็ว”  แบบนี้เขาเรียกว่า “ยื้อ”หรือเปล่า.. ก็อยู่ที่กรรมการแล้วหละว่าจะเข้าใจ คำว่า “โดยเร็ว”แค่ไหน … แต่มีพรายแอบกระซิบมาว่า เรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องเยอะ ทั้งอดีตและปัจจุบัน ไม่รู้ว่าจะสืบเสร็จก่อน หรือ เลขาฯธนุจะเกษียณฯก่อน …ฮะฮ่า  *** ขอแถมอีกสักเรื่อง … โครงการ “ปรับบ้านเป็นโรงเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู” ซึ่งเป็นโครงการที่ดีเป็นแนวคิดที่ส่งเสริมให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีบทบาทในการจัดการเรียนรู้ให้กับลูกหลานที่บ้าน  เน้นการปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้เอื้อต่อการเรียนรู้ และให้พ่อแม่เป็นผู้ดูแลและให้คำแนะนำในการเรียนรู้แทนครูในโรงเรียน โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมาก … น่าเสียดาย อยู่ ๆ กูถูกตัดงบฯไปซะงั้น…อนิจจัง ***แว่วมาว่า ชูศักดิ์ ศิรินิล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สั่งให้ชะลอไว้ก่อน สำหรับ “โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ ทุกเวลา Anywhere Anytime”ของ สพฐ. เพื่อให้รัฐมนตรีคนใหม่มาทำต่อ ก็ไม่รู้จะเดินหน้าต่ออย่างไร แต่ที่แน่ ๆ อย่างน้อยโครงการนี้ก็เป็นประโยชน์สำหรับครูและนักเรียนที่ต้องเรียนรู้เทคโนโลยี ส่วนจะมาทำกันอย่างไร หยอก หยอก ไม่ยุ่ง แต่ขอให้มีความชัดเจนโปร่งใส เครื่องมืออุปกรณ์ใช้งานได้ อย่าให้ทิ้งเป็นขยะเหมือนอดีตที่ผ่านมา *** หน่วยงานนี้ก็พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก จริง ๆ เลย … องค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ที่โรงพิมพ์คู่พิพาทกัดไม่ปล่อย มีเรื่องฟ้องร้องหลายศาลทั้งศาลทุจริตและศาลปกครองที่ต้องหาข้อมูลแก้ต่างในศาลถึงการจัดพิมพ์ตำราเรียนที่ไม่โปร่งใส…เอ้า…ก็หาหลักฐานมาแก้ข้อกล่าวหาให้ได้เด้อ ….ว่าแต่ “ดร.แหม่ม”จะสะสางสารพัดปัญหาในกระทรวงศึกษาธิการได้แค่ไหน…***

เปิดตัว ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี คนที่ 6 ของไทย พร้อม 2 ครูรางวัลคุณากร  ปี 68

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จัดงานแถลงข่าว “เปิดตัวครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ประเทศไทย และครูรางวัลคุณากร ประจำปี 2568” โดย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี กล่าวว่า  การคัดเลือกครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ดำเนินการตั้งแต่ปี 2558 เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ที่ทรงงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี จึงมีการขอพระราชานุญาตมอบรางวัลเพื่อเป็นการยกย่องครู เพราะครูเป็นกลไกที่สำคัญของเด็กและเยาวชน และยังเป็นรางวัลที่มอบเพื่อเชิดชูครูที่เปลี่ยนแปลงชีวิตลูกศิษย์ เพราะครูไม่เพียงแต่สอนหนังสือเท่านั้น แต่ครูยังเป็นพ่อแม่คนที่สอง ที่คอยช่วยเหลือลูกศิษย์ บางคนดูแลช่วยเหลือลูกศิษย์ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย โดยปัจจุบันมีครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี แล้ว 6 รุ่น รวม 69 คน จาก 14 ประเทศ คือ จากกลุ่มประเทศอาเซียน +1 ( ติมอร์-เลสเต)  และ ได้เพิ่มเติมอีก 3 ประเทศ คือ ประเทศบังกลาเทศ ภูฏาน และมองโกเลีย ในปี 2568

ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากครูที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี จำนวน 1 รางวัล ซึ่งจะได้รับพระราชทานเงินรางวัล  10,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมเหรียญทอง เข็มเชิดชูเกียรติทองคำ โล่เกียรติคุณพระราชทาน และเกียรติบัตร แล้ว  เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครูดีเด่นที่ผ่านการคัดเลือกและกลั่นกรองระดับต่าง ๆ สำหรับประเทศไทยยังมีรางวัลลำดับรองอีก 3 รางวัลซึ่งเป็นรางวัลที่มูลนิธิฯจัดมอบ โดยพระราชานุญาตในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  คือ 1 .รางวัลคุณากร คือ รางวัลสำหรับครู ผู้พร้อมด้วยคุณธรรม คุณลักษณ์ คุณค่าความเป็นครู อุทิศตนพัฒนาชีวิตศิษย์ เจริญสู่ความสำเร็จตลอดมา  เป็นครูที่มีคะแนนลำดับ ที่ 2 และ ที่ 3  ได้รับเหรียญเงิน เข็มเชิดชูเกียรติพระราชทาน และเกียรติบัตร  2. รางวัลครูยิ่งคุณ คือ รางวัลสำหรับครูผู้เพียรพัฒนางานสอนศิษย์ เจริญด้วยปัญญาและกรุณา สร้างแรงบันดาลใจ เสริมศรัทธาต่อวิชาชีพครูต่อเนื่องยาวนาน เป็นครูที่มีคะแนนลำดับที่ 4-20 ซึ่งจะได้รับเหรียญทองแดง เข็มเชิดชูเกียติพระราชทาน และเกียรติบัตร 3.รางวัลครูขวัญศิษย์ คือรางวัลสำหรับครูผู้มีผลงานที่แสดงความรู้ คุณธรรม ความสามารถประจักษ์ชัด สอนศิษย์ด้วยจิตเปี่ยมเมตตา นำทางชีวิต สร้างคุณค่าสู่สังคม เป็นครูที่มีคะแนนลำดับที่ 21 เป็นต้นไป โดยจะได้รับเข็มเชิดชูเกียรติพระราชทาน และเกียรติบัตร ทั้งนี้ ในปี 2568 มีครูที่ได้รับรางวัลคุณากร รางวัลครูยิ่งคุณ และรางวัลครูขวัญศิษย์ รวม 216 คน โดยทางมูลนิธิฯจะให้ทุนไปทำโครงการตามความฝันเช่นกัน

ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ครูเครือข่ายมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ได้พิสูจน์ถึงชีวิตที่ทุ่มเท เป็นแบบอย่างของความเป็นครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์และมีคุณูปการต่อวงการศึกษา ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่เน้นการเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผ่านนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ตรงของครู ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ด้วยการส่งเสริมการเรียนรู้ในพื้นที่ห่างไกลและประชากรในกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ นอกจากนี้บทเรียนและนวัตกรรมการศึกษาที่เกิดขึ้นยังเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาสู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้วยการเสริมสร้างทักษะใหม่ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับเครือข่ายทั้งในประเทศและภูมิภาค และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือเป็นปรับเปลี่ยนการศึกษาให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยปีนี้ ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ประเทศไทย ปี 2568 คนที่ 6 คือ ครูไพรวัลย์ ยาปัญ จากโรงเรียนบ้านกองม่องทะ (สาขาบ้านไล่โว่) อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี

ครูไพรวัลย์ กล่าวว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจเริ่มเป็น ‘ครูอาสา’ และร่วมผลักดันให้เกิดการจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านปิล๊อกคี่ โดยได้ตั้งปณิธานไว้ว่า อยากพัฒนาเด็กในถิ่นทุรกันดาร จึงตัดสินใจเดินทางมาที่บ้านกองม่องทะ ซึ่งต้องเดินเท้าเข้าพื้นที่ในขณะนั้น เพื่อเป็นครูอาสา ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชาวบ้านกำลังหมดศรัทธาต่อการศึกษา เพราะครูอยู่ได้ไม่นานก็ย้ายออก ครูมดจึงเข้ามาสอนทุกวิชาและทุกระดับชั้น เป็นเวลา 17 ปี จากการผลักดันให้เกิดการจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านปิล๊อกคี่ จากโรงเรียนชั่วคราวให้เป็นโรงเรียนในสังกัดกองตำรวจตระเวนชายแดนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้นั้น จึงนำมาพัฒนาให้ห้องเรียนสาขาบ้านไล่โว่ เป็นโรงเรียนสาขาบ้านไล่โว่  ทำให้นักเรียนที่จบประถมศึกษาตอนปลายไม่ต้องกลับมาเรียนซ้ำ ซึ่งการปฏิบัติต่อลูกศิษย์ทุกคนอย่างสม่ำเสมอเท่าเทียม โดยจัดการศึกษาเด็กเป็นรายบุคคลทั้งพื้นฐานความรู้ ทักษะชีวิต และความถนัดที่ต่างกัน ใช้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเป็นสื่อการสอน จนเด็กอ่านเขียนภาษาไทยได้ ทำให้นักเรียนสามารถมีผลการทดสอบระดับชาติ O-Net ในวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้น ป.6 ที่สูงกว่าผลทดสอบระดับประเทศได้สำเร็จ รวมถึงริเริ่มกิจกรรม ‘ขายข้ามเขาออนไลน์ By Kongmongta School’ เพื่อบ่มเพาะให้เป็นผู้ประกอบการ และตั้งใจอุทิศตนทำหน้าที่ครูต่อไป ให้ลูกศิษย์ถึงฝั่งที่ฝันให้ได้มากที่สุด

ขณะที่ ครูไพลรัตน์ สำลี ครูวิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย  ครูรางวัลคุณากร ปี 2568 ครูนักประดิษฐ์นวัตกรรมพลังงานทดแทน รวมทั้งเทคโนโลยีสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เพื่อใช้ประโยชน์ต่อผู้พิการ กล่าวว่า ตนเริ่มต้นชีวิตครูอัตราจ้างที่วิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งพนักงานราชการ ประเภทครูผู้สอน สังกัดวิทยาลัยการอาชีพศรีสัชนาลัย เป็นระยะเวลากว่า 26 ปี และอยากที่จะส่งต่อความรู้ ให้การช่วยเหลือลูกศิษย์ให้ได้รับโอกาสและพัฒนาตนเอง รวมถึงลูกศิษย์ที่ขาดโอกาสเป็นผู้พิการให้ได้รับการช่วยเหลือให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นพร้อมกับมีรายได้ เป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เพราะลูกศิษย์คือเครือข่ายที่ดี ที่เอามันสมองของผมไปกระจายความรู้

ส่วน ครูทอน บัวเรือง ครูโรงเรียนบ้านดงน้ำเดื่อ จ.เพชรบูรณ์  ครูรางวัลคุณากร ปี 2568 ครูผู้ไม่หยุดความเป็นครูแม้จะเลยวัยเกษียณ ยังคงถ่ายทอดความรู้จนลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ กล่าวว่า คุณภาพการสอนของครูสามารถเปลี่ยนชีวิตลูกศิษย์ได้ แม้ลูกศิษย์ที่เรียนรู้ช้าหรือมีข้อจำกัดทางทรัพยากรระหว่างโรงเรียนในเมืองกับชนบท ครูต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง พยายามเชื่อมโยงบทเรียนเข้ากับชีวิตของนักเรียน ทำให้การเรียนมีความหมายและนำไปใช้ได้จริง โดยปรับวิธีการสอนอยู่เสมอ สังเกตการตอบสนองของนักเรียน วิเคราะห์ข้อดีข้อจำกัด และพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่หากครูมีใจรักและมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ความสำเร็จของลูกศิษย์ คือ ดอกไม้ที่หอมหวานที่สุดในสวนแห่งชีวิตครู และการศึกษาที่มีคุณภาพไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในเมือง ทุกพื้นที่ควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน

 

 

สพฐ.จับมือ มรภ.อุดรธานี อบรมศึกษานิเทศก์ ผู้นำการเปลี่ยนแปลง พลิกโฉมคุณภาพการศึกษาสู่สากล

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2568 ที่โรงแรมโคราชรีสอร์ท จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการศึกษานิเทศก์ ตามโครงการพัฒนาครูต้นแบบในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ระหว่างวันที่ 28-29 มิถุยายน 2568 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพศึกษานิเทศก์ในการ “พลิกโฉมคุณภาพการศึกษาโดยพัฒนาครูให้มีศักยภาพสอดคล้องกับศตวรรษที่ 21” ด้วยการร่วมพัฒนากระบวนการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ไปสู่การสร้างผู้เรียนให้เป็นนวัตกร ตามโครงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาด้วยรูปแบบ Active Learning สำหรับครู และบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (1 อําเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ) ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา

ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว)อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา บรรยายพิเศษว่า  หลักสูตรของประเทศไทยรวมถึงหลักสูตรทั่วโลกจะเน้นกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากล และประเทศไทยก็มีการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาประเทศด้านการศึกษา ขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการ ก็ให้เน้นย้ำเรื่องของกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS  5  Steps เช่นกัน แต่ในทางปฏิบัติคนไทยยังเข้าไม่ถึงกระบวนการนี้ การเรียนการสอนจึงเป็นการสอนไปตามรายวิชา ทำให้เด็กยังไม่บรรลุตามเป้าหมาย ขณะที่ในชีวิตจริงของมนุษย์หรือคนทุกคนจะต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS  5  Steps จะเป็นการเรียนรู้ผ่านกระบวนการและหลักการ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำกระบวนการและหลักการไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ทุกวิถีชีวิต และพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้งไม่มีวันลืม

ดร.เอกราช ดีนาง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปฏิบัติราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญ คือ การพัฒนาหลักสูตร Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนพัฒนารูปแบบการ จัดการเรียนการสอนนำไปสู่การให้เด็กมีกระบวนการคิดขั้นสูง และท้ายที่สุดเด็กจะสามารถสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง หลังจากพัฒนาหลักสูตรสำเร็จแล้วจะเป็นการจัดอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อนำรูปแบบ Active Learning ไปใช้ในการปฏิบัติในชั้นเรียน จากนั้นจะเป็นการคัดเลือกครูต้นแบบเพื่อถอดบทเรียนการเรียนรู้และนำไปสู่การสร้างต้นแบบของการเรียนรู้และขยายผลต่อไป เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดร.เอกราช กล่าวต่อไปว่า กลุ่มเป้าหมายการพัฒนาครูต้นแบบในโครงการจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มที่สำคัญ คือ 1.ครู และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งจะเป็นผู้นำแนวคิดในเรื่องของ Active Learning ไปใช้ในห้องเรียน  และอีกกลุ่มที่สำคัญมากคือ  ศึกษานิเทศก์ ซึ่งจะเป็นผู้นำกลไกเชิงกระบวนการและนโยบายต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้นศึกษานิเทศก์จะต้องเป็นผู้ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ไปเป็นวิธีปฏิบัติและเป็นโค้ชในการให้คำปรึกษา อำนวยการเรียนรู้ให้ครู นำเรื่องของ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Stepsไปใช้ในห้องเรียน เพื่อยกระดับผู้เรียนให้เป็นนวัตกรการเรียนรู้ได้ในที่สุด

นายดำเนิน เพียรค้า ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)นครราชสีมา เขต 3 ปฏิบัติหน้าที่ ผอ. สพป.นครราชสีมา เขต 1 กล่าวว่า ศึกษานิเทศก์เป็นบุคคลที่จะเป็นสื่อกลางในการนำนโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยการจัดการศึกษาแบบ Active Learning ไปสู่ความสำเร็จ ศึกษานิเทศก์ต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพราะการทำ 1 อําเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ มีหลักการว่าจะต้องทำให้โรงเรียนแห่งโอกาสทางการศึกษา และความเท่าเทียมของนักเรียน ที่ต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ สามารถรับประกันได้ว่าเด็กที่จบจากโรงเรียนในโครงการ 1อำเภอ 1โรงเรียนคุณภาพ ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีทักษะชีวิต สามารถดำรงชีพได้ในอนาคตเทียบเท่ากับโรงเรียนในอำเภอหรือในจังหวัด เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรกระบวนการเรียนการสอนจะสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างดี ครูสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่นักเรียน  นักเรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ซึ่งการจัดการศึกษาโดยรูปแบบ Active Learning เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเด็กจะได้ปฏิบัติจริง เรียนรู้จริง และมีองค์ความรู้สามารถเอาตัวรอดได้ เพราะฉะนั้นเชื่อว่า Active Learning ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงได้จริง

ว่าที่ร้อยเอก ดร.ทิณกรณ์ ภูโทถ้ำ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)นครราชสีมา กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดอบรม คือ ต้องการให้ศึกษานิเทศก์มีความเข้าใจการจัดการศึกษาแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps โดยมีจุดประสงค์สำคัญ คือ ให้ผู้เรียนเป็นนวัตกร ที่สามารถสร้างผลผลิตที่เกิดจากการเรียนการสอนในห้องเรียนแล้วไปต่อยอดสร้างนวัตกรรม จนเกิดเป็น Startup ต่อไป อย่างไรก็ตามความมุ่งหวังของ สพฐ.และเขตพื้นที่การศึกษา คือ ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนคุณภาพ โดยการเปลี่ยนแปลง คือ ต้องพลิกจากสิ่งที่ทำมาแต่เดิม ต้องส่งผลต่อผู้เรียนในเรื่องของคุณภาพ ความเท่าเทียม โอกาส และการเปลี่ยนสังคมให้ไปสู่สังคมที่มีความพร้อมที่จะอยู่ในโลกของเศรษฐกิจยุคใหม่ ซึ่ง Active Learningตอบโจทย์ได้ เพราะ Active Learning มุ่งหวังให้นักเรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง เช่น ผลการสอบพิซาของเด็กไทยยังไม่ค่อยน่าพึงพอใจ เพราะเรายังไม่ได้ฝึกให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ขั้นสูง แต่ปีที่ผ่านมาเราเริ่มเน้นการเรียนแบบ Active Learning ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps มากขึ้น เชื่อว่าการสอบพิซาปีนี้ซึ่งเน้นเรื่องการคิดวิเคราะห์  สิ่งที่เราเน้นย้ำจะเกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้นอยากให้ติดตามผลการสอบพิซาปีนี้ด้วย

สกร.เปิดรับสมัครสอบเทียบครั้งที่ 3 ฟรี 26 มิ.ย. – 7 ก.ค. สอบ 2-3 ส.ค.68

นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เปิดเผยว่า วันที่ 26 มิถุนายน ถึง วันที่ 7 กรกฎาคม นี้ สกร. จะเปิดรับสมัครและรับขึ้นทะเบียนสอบเทียบวัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้วยระบบดิจิทัล ครั้งที่ 3 โดยรองรับทั้งผู้สอบเก่าและใหม่ ผู้สนใจต้องลงทะเบียนเพื่อจองสิทธิแบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ http://ekas.dole.go.th และต้องมายืนยันเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ขอสอบ พร้อมสมัครสอบรายวิชาได้ที่ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองทุกจังหวัด และศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับเขตลองเตย กรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 77 แห่งทั่วประเทศ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบฯตามรอบของการสอบ วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 จากนั้น สกร. และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) จะร่วมดำเนินการสอบเทียบ วันที่ 2 – 3 สิงหาคม 2568 และประกาศรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบ วันที่ 18 สิงหาคม 2568ซึ่งการจัดทดสอบครั้งที่ 3 นี้ ไม่คิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับผู้สอบ และจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารการจัดสอบสำหรับศูนย์สอบ และสถานศึกษาที่ทำหน้าที่เทียบระดับเช่นเดียวกับการจัดทดสอบ 2 ครั้งที่ผ่านมา

ผลการสอบเทียบฯ โดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เป็นผู้ออกข้อสอบ ใช้ข้อสอบประมวลความรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ) ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งมีขอบข่ายเนื้อหาใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ นั้น ในการสอบครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 มีผู้สอบผ่านทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ในการสอบครั้งเดียว รวมจำนวน 13 คน มีผู้สอบผ่าน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ในการสอบรวม 2 ครั้งอีกจำนวนหนึ่ง และยังมีผู้สอบไม่ผ่านบางกลุ่มสาระการเรียนรู้ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้สามารถมาลงทะเบียนเพื่อสอบเก็บวิชาที่ยังไม่ผ่านในการสอบครั้งที่ 3 ได้ ทั้งนี้ ในการสอบครั้งที่ 2 ผู้ลงทะเบียนสอบมากกว่าครึ่ง เป็นผู้ที่ลงทะเบียนสอบมาแล้วในครั้งแรกแต่ยังสอบไม่ผ่าน และคาดว่าในรอบที่ 3 นี้ จะมีผู้ลงทะเบียนสอบไม่ต่ำกว่า 2,000คน อธิบดี สกร. กล่าว

นายธนากร กล่าวต่อไปว่า การสอบเทียบวัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 3 ถือเป็นการสิ้นสุดการนำร่องสอบเทียบฯ เฟสแรก ของปีงบประมาณ 2568 ซึ่ง สกร.จะนำผลการดำเนินงานจัดการสอบเทียบทั้งหมดมาวิเคราะห์ ทบทวน เพื่อปรับปรุงแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2569 โดยเบื้องต้นการทดสอบ ครั้งที่ 4 ยังคงใช้ระบบดิจิทัล (Digital Testing) ของ สทศ. และในส่วนของข้อสอบจะมีจัดทำเพิ่มเติมใหม่เรื่อยๆ ให้รองรับการจัดสอบในระยะยาวต่อไป.