“เสมา1”ไม่เต้นตามกระแสเรียกร้องย้าย ผอ.สพป.ขอนแก่นเขต3 ออกนอกพื้นที่ ขอคนร้องให้ลงชื่อ-นามสกุลชัดเจน

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยกรณี มีคำแถลงการณ์ และบัตรสนเท่ห์ว่อนในโซเชียล เรียกร้องให้ย้ายผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)ขอนแก่น เขต 3 ออกนอกพื้นที่ โดยได้กล่าวหาว่ามีการทุจริตในหลายประเด็น ว่า เรื่องนี้ทราบว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้ตั้งกรรมการลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่แล้ว ซึ่งก็ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายในการดำเนินการต่างๆ อย่างไรก็ตาม ตนอยากบอกว่าหากใครจะร้องเรียน หรือเรียกร้องอะไรก็ขอให้ลงชื่อ นามสกุลให้ชัดเจน ไม่ใช่เป็นบัตรสนเท่ห์ ไม่ใช่ใครออกมาร้องแล้วก็จะย้ายคนนั้น ซึ่งเราก็ต้องให้โอกาสเขาได้ชี้แจงด้วย

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า เมื่อวานนี้กลุ่มดังกล่าวได้มายื่นหนังสือที่ สพฐ.แล้ว แต่เป็นคำแถลงการณ์ เป็นบัตรสนเท่ห์ ไม่มีชื่อคนร้องเรียนที่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม ตนได้ให้คณะกรรมการลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่แล้ว เพื่อให้ความเป็นธรรมกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ว่ามีเรื่องร้องเรียนมาเราจะต้องย้าย ผอ.เขตพื้นที่ทันที เราต้องให้ความเป็นธรรมเขาด้วย แต่ถ้าตรวจสอบแล้วผิดจริงก็ต้องย้ายแน่นอน ถ้าไม่ผิดก็ต้องให้โอกาสเขาได้ทำงาน อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นปัญหาในเชิงการบริหารงานในพื้นที่ มีปัญหาเรื่องผอ.กลุ่มงานต่าง ๆ หรืออาจมีบุคคลคนภายนอก หรือการเมือง เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

“นายกอิ๊ง”รับปากช่วยลูกจ้างสพฐ.ตั้งวอร์รูมประชุมร่วม พร้อมเร่งประสาน “เสมา1”ช่วยแก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายวรวิทย์ อัคราภิชาต แกนนำกลุ่มภาคกลาง ผู้แทนลูกจ้างในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่พวกตนได้รอพบ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่กระทรวงศึกษาธิการ แต่ไม่ได้พบ จึงได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อมายื่นหนังสือข้อเรียกร้อง ต่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมี นายสมพาศ นิลพันธ์ ตัวแทนนายกรัฐมนตรี มารับหนังสือ และรับปากว่าจะนำเรียนความเดือดร้อนให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วนและจะเร่งประสานมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบปัญหาเบื้องต้นแล้ว และจะตั้งวอร์รูมประชุมร่วมกันกับทางสมาพันธ์ฯ เพื่อให้เกิดความมั่นคงในอาชีพ เนื่องจากหน่วยงานอื่นทำงานเกิน 5ปีก็ได้สิทธิประโยชน์ แต่ลูกจ้าง สพฐ.ทำงานมา 15 ปี ยังไม่ได้สิทธิประโยชน์อะไรเลย

นายวรวิทย์ กล่าวต่อไปว่า เหตุผลที่สมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทยและกลุ่มลูกจ้างสังกัด สพฐ. ต้องออกมาเคลื่อนไหว เพราะพวกเราเดือดร้อนจริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องประกันสังคม  พวกเราทุกคนทำงานมามีอายุงาน 15  ปีแล้ว ได้รับการสมทบประกันสังคมตั้งแต่ ปี 2552 เพราะพวกเราเข้าโครงการตั้งแต่โครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ไทยเข้มแข็ง(SP 2) คืนครูให้นักเรียน  อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้ว สพฐ.ได้เชิญผู้แทนและประธานสมาพันธ์ทุกภาคเข้าหารือแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันแล้ว โดยมีดร.อุดม พรมพันธ์ใจ ผู้แทน รมว.ศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. นายศุภสิน ภูศรีโสม ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ และนายนิยม ไผ่โสภา ผอ.สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน เข้าร่วมหารือ

นายวรวิทย์ กล่าวว่า จากการเจรจา ทาง สพฐ. และ ผู้แทน รมว.ศึกษาธิการ ได้ขอให้บอกถึงผลกระทบจากการเป็นลูกจ้างชั่วคราวมาเป็นจ้างเหมาบริการ ซึ่งตนได้ชี้แจงไปหมดแล้ว และสุดท้ายก็มีข้อตกลง 3 ข้อ คือ 1 ให้เอาประกันสังคมกลับคืนมา แล้วเปลี่ยนกลับไปจ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราวเหมือนเดิมและส่งเงินสมทบประกันสังคมต่อ   2 ขอปรับเงินเดือนตามนโยบายรัฐบาลจาก 15,000 บาท เป็น 16,500 บาท และ 3 ขอให้ สพฐ.จัดสรรอัตรากำลังในการสอบกรณีพิเศษสำหรับลูกจ้าง สพฐ.  เพราะอายุงาน 10 ปี 15 ปี ควรจะมีกรณีพิเศษของการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งพนักงานราชการ ขอให้มีการสอบแข่งขันกันเองในอัตราละ 5% ต่อปีต่อสำนักงานเขตพื้นที่ ซึ่ง นายอุดม ซึ่งเป็นผู้แทน รมว.ศึกษาธิการ ก็พูดว่า ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อยังไม่เห็นว่า รมว.ศึกษาธิการจะทำข้อไหนให้ไม่ได้เลย แต่ขอเวลาให้ สพฐ.กลั่นกรองข้อมูลให้ครบถ้วนและเสนอ รมว.ศึกษาธิการ เพื่อนำเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อของบฯกลาง มาดูแลเรื่องประกันสังคม เรื่องการเลื่อนเงินเดือน เพราะ สพฐ.ทำรายละเอียด ค่าใช้จ่ายไปแล้วว่า ต้องใช้เงินสมทบประกันสังคมประมาณ 400 ล้านบาท  สำหรับขึ้นเงินเดือนประมาณ 8,000 ล้านบาท

“ทราบมาว่า ตัวเลขเสนอให้รมว.ศึกษาธิการ ตั้งแต่หลังวันที่ 2 ตุลาคม แล้ว ดังนั้นถ้าอ้างว่าข้อมูลยังไม่เรียบร้อย ก็อยากถามว่า เป็นไปได้หรือ เพราะผ่านมา 3 สัปดาห์ 3 ประชุม ครม.แล้ว และตอนนี้ก็มาอ้างว่า กระทรวงอื่นก็มีลูกจ้างอีก ผมก็มองว่า พวกผมเป็นฝ่ายสนับสนุนการศึกษา สร้างบุคลากรให้เป็นคนเก่ง คนดี แต่ตอนนี้พวกผม 7 หมื่นกว่าคนกำลังเดือดร้อน ไม่ใช่เดือดร้อนเฉพาะตัวแต่ลามไปถึงครอบครัว สิทธิประโยชน์ก็ไม่ได้ ทำไมไม่พิจารณาให้ ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ถ้าเขาเดือดร้อนก็ต้องมาแจ้งความเดือดร้อน และยิ่งผู้แทนรัฐมนตรีพูดว่า ผมเป็นพ่อ ลูกเดือดร้อนจะไม่ดูแลได้อย่างไร และยังพูดด้วยว่า จะนำเรียนรัฐมนตรีโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านเลขาหรือใครทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นคำมั่นที่พวกผมขอขอบคุณที่ดูแล  และได้บอกไปว่า จะทวงถามความคืบหน้า แต่ปรากฏว่าหลังจากวันประชุมร่วมกันก็ไม่เคยติดต่อได้เลย แต่พวกผมก็เฝ้าติดตามการประชุม ครม. 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีเรื่องนี้เข้าเลย  เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้ไม่ได้คำตอบ ก็จะยกระดับการชุมชน เพราะตอนนี้พี่น้อง 77 จังหวัดรอสัญญาณจากผู้แทนที่มาวันนี้  ถ้ารัฐมนตรีไม่ให้ความสำคัญเราจะแจ้งให้มีการยกระดับการชุมชน  และสุดท้าย ขอบอกว่าวันนี้พวกเราเดือดร้อน ถ้าไม่เดือดร้อนเราไม่มา เพราะตอนนี้เตรียมเปิดเทอมแล้ว”นายวรวิทย์กล่าว

เสมา 1 มอบรางวัลแข่งขัน “อาชีวะ ท้า แต่ง แซด กับไฮลักซ์ รีโว่-ดีแซด อิดิชั่น ปี 2” ทีม Unlimit Thanvit วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี)คว้ารางวัลชนะเลิศ 

 

วันที่ 28 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมอบรางวัลการแข่งขันออกแบบและตกแต่งรถยนต์ “อาชีวะ ท้า แต่ง แซด กับไฮลักซ์ รีโว่-ดีแซด อิดิชั่น ปี 2” โดยมี นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) คุณณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหาร สอศ. คณะผู้บริหารโตโยต้า นักเรียน นักศึกษา และผู้เกี่ยวข้องร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ Toyota Alive บางนา

พล.ต.อ. เพิ่มพูน ได้กล่าวชื่นชมพร้อมแสดงความยินดีกับผู้ชนะและผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกทีม ทุกคน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของกิจกรรมนี้ที่ไม่เพียงแต่เป็นเวทีแสดงความสามารถด้านการออกแบบและตกแต่งรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมทักษะการทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นการสร้างการเรียนรู้อย่างมีความสุข มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงกับโลกการทำงานจริง และผู้บริหาร สอศ. ที่ช่วยสร้างกำลังใจให้น้องๆ อาชีวะในการดำเนินการ พร้อมกล่าวขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมนี้เป็นอย่างดี ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของความร่วมมือระหว่างการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมที่เป็นกลไกและก้าวสำคัญในการพัฒนาอาชีวศึกษาที่มีคุณภาพ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีความร่วมมือที่ดีเช่นนี้ต่อไปในอนาคต

นายยศพล กล่าวว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ตกเป็นของ ทีม Unlimit Thanvit วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) ที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 รับทุนการศึกษา 100,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศจาก รมว.ศึกษาธิการ  จากความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและตกแต่งรถยนต์ไฮลักซ์ รีโว่-ดีแซด อิดิชั่น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของนักศึกษาอาชีวศึกษาไทยได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากนี้ยังมีทีมอื่นๆ ที่ได้รับรางวัล ได้แก่:
• รองชนะเลิศอันดับ 1: ทีม PTC Neonz วิทยาลัยเทคนิคแพร่ รับทุนการศึกษา 50,000 บาท
• รองชนะเลิศอันดับ 2: ทีม ฉลาม แซด วิทยาลัยเทคนิคป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง รับทุนการศึกษา 30,000 บาท
• รางวัลชมเชย (2 รางวัล): ทีม Z นาคาทับทิมแดง จากวิทยาลัยเทคนิคเซกา จังหวัดบึงกาฬ และ ทีม SICEC Design วิทยาลัยการอาชีพสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี รับทุนการศึกษาทีมละ 10,000 บาท
สำหรับรางวัลขวัญใจมหาชน: รับทุนการศึกษา 10,000 บาท ซึ่งจะประกาศผลโหวตทาง Facebook : Hilux Revo Thailand ในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้

สำหรับการแข่งขัน “อาชีวะ ท้า แต่ง แซด กับ ไฮลักซ์ รีโว่-ดีแซด อิดิชั่น ปี 2” แบ่งออกเป็น 2 รอบ คือ รอบคัดเลือกและรอบชิงชนะเลิศ ทีมที่ผ่านเข้ารอบคัดเลือกจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งเงินทุนแต่งรถยนต์ และการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญ โดยมีสถานศึกษาสังกัด สอศ. ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั่วประเทศ ส่งผลงานเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 45 ทีม สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและการได้เรียนรู้ของนักศึกษาอาชีวศึกษาในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง

ศธ.ประกาศความพร้อมรับเปิดเทอม Welcome back to school ปลอดโรค ปลอดภัย “เรียนดี มีความสุข”

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567  พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2/2567 ว่า ขอให้คำนึงถึงผู้เรียน ครู บุคลากรในสถานศึกษาทุกคนเป็นสำคัญ ต้องร่วมกันสร้างความปลอดภัย สร้างความสุขในการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาประชาชนไทยในทุกช่วงวัย โดยเน้นย้ำว่าทุกสถานศึกษาต้อง “ปลอดโรค ปลอดภัย เรียนดี มีความสุข”

“ปลอดโรค” การเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียน ศธ. มีความห่วงใยในสวัสดิภาพและความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทุกคน ขอให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผน เตรียมการในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ซึ่งขณะนี้ยังมีฝนตกหนักและน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ในขณะที่บางจังหวัดอุณหภูมิเริ่มลดลง ขอให้สำรวจความพร้อมเรื่องเครื่องนุ่งห่ม อาทิ เสื้อกันหนาว ผ้าห่ม หรือความพร้อมของห้องเรียนเพื่อเตรียมการรับมือ และการหามาตรการช่วยเหลือต่อไป รวมถึงโรคระบาดตามฤดูกาล หรือการเจ็บป่วยจากสภาพภูมิอากาศ สิ่งที่สำคัญคือต้องให้ความรู้และการฝึกซ้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินให้แก่นักเรียน โดยเฉพาะในด้านการปฏิบัติตัวเมื่อต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงหรือการระบาดของโรค เพื่อให้นักเรียนมีความรู้และมีความพร้อมในการดูแลตนเอง ในส่วนของสถานศึกษาต้องเตรียมแผนรับมือในการดูแล ปฐมพยาบาล สังเกตอาการของนักเรียนอย่างใกล้ชิด

“ปลอดภัย” ศธ. ได้กำหนดมาตรการสำคัญในการรับมือกับการเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยสถานศึกษาทุกแห่งต้องมีมาตรการและแนวทางการรักษาความปลอดภัยของนักเรียนในสถานศึกษาทุกรูปแบบ อาทิ มาตรการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอุบัติเหตุจากอาคารเรียน อุบัติเหตุจากการเดินทางไป – กลับ ระหว่างบ้านและสถานศึกษา อุบัติเหตุจากการพานักเรียนไปศึกษานอกสถานศึกษา และมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคม โดยใช้มาตรการ 3 ป. ด้านการป้องกัน การปลูกฝังและการปราบปรามเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำ และให้ทุกโรงเรียนตรวจสอบสภาพความพร้อมของอาคารเรียน สภาพความพร้อมของอุปกรณ์การเรียน ระบบระบายน้ำ รวมถึงห้องสุขา และจัดเตรียมพื้นที่ให้มีความปลอดภัยมากที่สุด พร้อมจัดให้มีแผนการป้องกันและการเคลื่อนย้ายกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

“เรียนดี” ขอให้ทุกโรงเรียนมุ่งให้ความรู้ในเรื่องของการส่งเสริมการเรียนรู้ การจัดการพื้นที่เรียนรู้ให้เหมาะสม มีการจัดทำแผนการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น และมีกิจกรรมเสริมสร้างทักษะเพื่อรองรับการเรียนรู้ในยุคใหม่ ส่งเสริมทักษะทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม และความสามารถทางกีฬา ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เด็กนักเรียนมีความสุขและสนุกสนานในการเรียน อีกทั้งยังมีการพัฒนาสื่อการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลและความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือเราจะร่วมมือกันลดภาระครู นักเรียน และผู้ปกครอง และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ

“มีความสุข” ขอให้ทุกโรงเรียนสร้างความสุขในการเรียน ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการศึกษาและพัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต นักเรียนที่มีความสุขจะมีแรงจูงใจในการเรียนรู้และสามารถรับมือกับความท้าทายได้ดีขึ้น มีการปรับปรุง ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนให้มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ โดยเน้นการเรียนรู้ที่สนุกสนาน เช่น การจัดกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วม การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ รวมถึงการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของนักเรียน รมว.ศธ. เชื่อว่า การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียน จะช่วยสร้างอนาคตที่สดใสและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

“การเปิดเทอมในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญ ที่กระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นในการดูแลนักเรียนและบุคลากรในสถานศึกษา พร้อมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ปกครองและนักเรียนว่าการเรียนรู้จะดำเนินไปอย่างปลอดโรค ปลอดภัย เรียนดี มีความสุข “Welcome Back to School” ขอให้นักเรียนทุกคนมีความตั้งใจในการเรียนรู้ และเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต”

ลูกจ้าง สพฐ.เดือดร้อนหนัก ยังรอคำตอบจาก เสมา 1

เวลา 10.00 น. วันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายวรวิทย์ อัคราภิชาต แกนนำกลุ่มภาคกลาง ผู้แทนลูกจ้างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ที่เดินทางมายังกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอเข้าพบ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน  ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรณีสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แจ้งเรื่องการจัดสรรอัตราการปฏิบัติงาน ให้ราชการ ปีงบประมาณ 2568 โดยปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างเป็นจ้างเหมาบริการและตัดเงินสมทบประกันสังคม ส่งผลให้ลูกจ้าง สพฐ. กว่า 7 หมื่นคนทั่วประเทศ  ได้รับผลกระทบ ถึงสิทธิประโยชน์ ที่พึงได้รับ  กล่าวว่า ทีมงานของพล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้ประสานให้ตนได้โทรศัพท์พูดคุยกับ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ในเบื้องต้น โดยได้ขอให้ รมว.ศึกษาธิการ นำปัญหาและข้อเรียกร้องของกลุ่มธุรการเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เพื่อของบประมาณมาดูแลเยียวยากลุ่มธุรการที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งก็ยังไม่ได้รับคำตอบ บอกเพียงว่า ได้ทำให้แล้ว ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี

“ได้ยินคำตอบแบบนั้น ผมในฐานะตัวแทนพวกเราดีใจมาก และอยากให้ยืนยันว่าภายใน 2 สัปดาห์ จะเสนอเรื่องนี้เข้าครม. แต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา  ทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เสนอรายละเอียด งบประมาณ อัตรากำลังให้รมว.ศึกษาธิการ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมได้ขอให้ รมว.ศึกษาธิการ โฟนอิน เข้ามาพูดคุยกับพวกเรา แต่ท่านก็ไม่ยอม ดังนั้น เท่ากับว่า ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ว่าจะได้ประกันสังคมคืน และยืนยันว่าจะต้องได้พบกับ รมว.ศึกษาธิการ  เพราะขณะนี้พวกเราได้รับความเดือดร้อนมาก เราทำงานมา 15 ปี ไม่มีหน่วยงานไหนเยียวยา ดูแลสิทธิประโยชน์ ให้เลย “นายวรวิทย์ กล่าว

นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)  กล่าวว่า  สพฐ.ทำหนังสือต่าง ๆ ตามขั้นตอนไปหมดแล้ว แต่ ขอดูรายละเอียดอีก โดยที่ยังไม่นำเสนอคณะรัฐมนตรี  เนื่องจากท่านเห็นว่าลูกจ้างไม่ได้มีแต่กระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น ยังมีกระทรวงอื่น ๆ อีก และวันนี้ รมว.ศึกษาธิการก็ได้ขอเอกสารและลายเซ็นของลูกจ้างที่มายื่นเรื่องวันนี้ด้วย ไม่ว่าจะเฉพาะตัวแทน แกนนำ หรือจะเอามาทั้งหมดก็ได้ เพราะจะได้เป็นหลักฐานแนบไปเสนอครม.ด้วยว่า เพื่อยืนยันว่าลูกจ้าง สพฐ. มีความเดือดร้อนจริง ๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สพฐ.ได้ทำหนังสือหารือไปยัง กรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นผู้ออกระเบียบในการจ้างผู้ปฏิบัติงานและจัดสรรเงินงบประมาณ โดยขอหารือใน 4 ประเด็น คือ 1. การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการดังกล่าวถือเป็นการจ้างลูกจ้างชั่วคราวหรือการจ้างเหมาบริการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และการจ้างเอกชนดำเนินงาน ซึ่งส่วนราชการต้องดำเนินการเป็นไปตามนัยของหนังสือที่อ้างถึง 2. การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการดังกล่าว สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ในฐานะผู้ว่าจ้างสามารถจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคมได้หรือไม่ 3. หาก สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในฐานะผู้ว่าจ้าง ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคม ตามข้อ 2 สพฐ. สามารถขอเงินเพิ่มเพื่อจ่ายเงินในส่วนของผู้ว่าจ้างได้หรือไม่ และ 4.สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในฐานะผู้ว่าจ้าง ต้องจ่ายอัตราค่าแรงขั้นต่ำและอัตราเงินเดือนให้กับผู้ปฏิบัติงานให้ราชการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ได้เห็นชอบรายงานผลการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 (เรื่อง การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2567 ได้หรือไม่ โดยขอให้กรมบัญชีกลางตอบข้อหารือดังกล่าวภายในวันที่ 4 ตุลาคม 2567  ซึ่งทางกรมบัญชีกลางได้ ตอบกลับมาว่า ต้องดำเนินการตามระเบียบ และให้ สพฐ.ไปบริหารจัดการงบประมาณเอง ทาง สพฐ.จึงได้ทำรายงานเสนอ รมว.ศึกษาธิการแล้ว แต่ รมว.ศึกษาธิการเห็นว่า มีลูกจ้างอยู่ทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก จะเสนอแค่ของกระทรวงศึกษาธิการ คงไม่ได้ จึงรอดูของหน่วยงานอื่นก่อนว่าได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่

ด่วน!ม็อบธุรการบุก ศธ.ขอพบ “เพิ่มพูน” ยื่น3 ข้อเรียกร้อง โละจ้างเหมา เพิ่มเงินเดือน ประกันสังคม ขณะที่ “เพิ่มพูน”ป่วย เข้าโรงพยาบาล แต่พร้อมเจรจา

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567  ที่บริเวณด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเจ้าหน้าที่ธุรการ นำโดยสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย กว่า 100 คน เดินทางมาขอเข้าพบ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน  ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แจ้งเรื่องการจัดสรรอัตราการปฏิบัติงาน ให้ราชการ ปีงบประมาณ 2568 โดยปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างเป็นจ้างเหมาบริการและตัดเงินสมสบประกันสังคม ส่งผลให้ลูกจ้าง กว่า 7 หมื่นคนทั่วประเทศ  ได้รับผลกระทบ ถึงสิทธิประโยชน์ ที่พึงได้รับ อาทิ การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การรับเงินสงเคราะห์ เป็นต้น ซึ่งเป็นสวัสดิการเดียวที่ลูกจ้างนี้มีเพื่อใช้จ่ายในครอบครัว ในวันเกษียณอายุราชการและยาวเจ็บป่วย  หากแต่โดนตัดสิทธิเหล่านี้ไป ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่แก่ลูกจ้าง ผู้ปฏิบัติงานราชการให้สพฐ. โดยมีนายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( กพฐ.) นายประวิตร เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน การศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.

ทำให้วันนี้ สมาพันธ์ฯ มารวมตัวเพื่อขอพบ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง ดังนี้ 1.ขอเปลี่ยนจากการจ้างเหมาบริการ เป็นวิธีการจ้างลูกจ้างชั่วคราว พร้อมเงินสมทบประกันสังคมทุกตำแหน่ง 2.ขอปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนตามนโยบายรัฐบาล ที่ปรับฐานเงินเดือน ตามคุณวุฒิปริญญาตรี ปีที่1 มีผลวันที่1พฤษภาคม 2567 เงินเดือน 16,500 บาท ปีที่2 มีผลวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เงินเดือน 18,150 บาท คุณวุฒิต่ำกว่า ป.ตรี ปีที่ 1 วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เงินเดือน 10,340 บาท วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เงินเดือน 11,380 บาท และ3. ขอปรับตำแหน่งความมั่นคงในอาชีพลูกต้าง สพฐ. ทุกตำแหน่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ป่วยได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าสมาพันธ์ฯอยากพบก็ให้ส่งตัวแทนไปหาที่โรงพยาบาลตำรวจ ดังนั้น ทางสมาพันธ์ฯจึงได้ส่งตัวแทนจำนวน 8 คน ไปที่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง

บอร์ด กพฐ. ยกเครื่องหลักสูตรใหม่ ต่อยอดหลักสูตรแกนกลางจากกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ ใช้ชื่อใหม่ “หลักสูตรพัฒนาสมรรถนะตามช่วงวัย” เน้นใช้สื่อ AI พัฒนาครู ย้ำหลักการไม่เพิ่มภาระครู


วันที่ 26 ตุลาคม 2567 คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) จัดการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วาระพิเศษ โดยมี ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานในการประชุม  ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ

ศ.ดร.บัณฑิต กล่าวว่า วันนี้ กพฐ. ได้หารือร่วมกันว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ให้เด็กและเยาวชนมีสมรรถนะทัดเทียมนานาชาติ เป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 โดยสิ่งที่พิจารณาในวันนี้ เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการพัฒนาผู้เรียน คือ เรื่องหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งคณะกรรมการมีข้อสรุปว่า ให้มีการพัฒนาหลักสูตรใหม่ โดยในเบื้องต้นจะใช้ชื่อว่า “หลักสูตรพัฒนาสมรรถนะตามช่วงวัย” เป็นการพัฒนาต่อยอดจาก (ร่าง) กรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเดิม ซึ่งเป็นกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่ได้ยกร่างไว้ ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ได้ประกาศใช้ ในครั้งนี้ กพฐ. ได้มอบหมายให้คณะทำงาน สพฐ.นำร่างกรอบหลักสูตรดังกล่าวมาพัฒนาต่อยอดและให้นำสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัลหรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI มาใช้ในการพัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยให้ครูสามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ไม่สร้างภาระให้แก่ครู

“สำหรับการนำหลักสูตรใหม่ไปใช้จัดการเรียนการสอนในโรงเรียน ทาง กพฐ. ได้พิจารณาว่าจะเริ่มใช้หลักสูตรใหม่นี้ในปีการศึกษา 2568 ในสถานศึกษาที่มีความพร้อมและสมัครใจ โดยใช้ในระดับปฐมวัยและระดับประถมศึกษาตอนต้นก่อน และมีแผนขยายผลการใช้ให้ครอบคลุมระดับประถมศึกษาตอนปลายและระดับมัธยมศึกษาต่อไป ในปีการศึกษา 2569 นอกจากนี้ ได้มอบหมาย คณะทำงาน สพฐ. จัดทำแผนการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล รวมถึงการจัดเก็บบันทึกผลการดำเนินงานต่างๆ เพื่อเสนอ กพฐ. ในการประชุมครั้งถัดไป” ประธาน กพฐ. กล่าว

ทั้งนี้ กพฐ. ได้มอบแนวทางและให้หลักการของหลักสูตรใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” ที่พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เน้นย้ำให้เป็นการจัดการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศและการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere Anytime คือ ให้หลักสูตรใหม่มุ่งพัฒนาสมรรถนะตามพัฒนาการของผู้เรียน 5 ช่วงวัย ดังนี้
– ระดับปฐมวัย มีพัฒนาการสมวัย
– ประถมศึกษาตอนต้น มีพื้นฐานการเรียนรู้ที่ดี
– ประถมศึกษาตอนปลาย มีพื้นฐานการดำเนินชีวิตที่ดี
– มัธยมศึกษาตอนต้น ค้นพบความสนใจ ความชอบและความถนัด
– มัธยมศึกษาตอนปลาย เส้นทางสู่อาชีพ
รวมถึง การจัดโครงสร้างเวลาเรียนที่ยืดหยุ่นตามบริบทหรือความต้องการของสถานศึกษา เน้นการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ รายงานผลการเรียนด้วยระดับคุณภาพที่อธิบายความสามารถของผู้เรียน และจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (ACTIVE LEARNING) ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ทันสมัย เช่น AI, แหล่งเรียนรู้, สื่อทันสมัย เพื่อต่อยอดพัฒนาการของผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ สามารถเลือกเรียนสิ่งที่ชอบ และประกอบอาชีพที่ใช่ในอนาคตต่อไป

“ก.ค.ศ.”เล็งเปิดระบบTRS ย้ายครูทุกกรณี ขานรับนโยบาย “ครูอุ้ม”ปิดช่องทางรับเงินโยกย้าย

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 รศ.ดร. ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เร่งพัฒนาระบบการย้ายข้าราชการครูรูปแบบใหม่ หรือ Teacher Rotation System (TRS)  ภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบที่เอื้อให้ครูได้มีโอกาสย้ายด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม นั้น ขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาระบบ โดยต่อยอดมาจากระบบจับคู่ครูคืนถิ่น (Teacher Matching System: TMS) ที่ได้เปิดให้ครูยื่นคำร้องขอย้ายไปแล้ว 2 รอบ ซึ่งครูที่ได้เข้ามาใช้งานระบบและยื่นคำร้องขอย้ายเห็นว่าระบบนี้ช่วยลดภาระด้านเอกสารการย้าย และอำนวยความสะดวกในการดำเนินการย้ายได้เป็นอย่างดี

รศ.ดร. ประวิต กล่าวต่อไปว่า “ระบบ TRS เป็นการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาอำนวยความสะดวกในการดำเนินการย้ายให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู โดยบังคับใช้กับทุกส่วนราชการ และเป็นการย้ายไปดำรงตำแหน่งเดิม ในสถานศึกษาสังกัดส่วนราชการเดิม ซึ่งระบบนี้จะครอบคลุมการย้ายทั้ง 3 กรณี คือ การย้ายกรณีปกติ การย้ายกรณีพิเศษ และการย้ายเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ซึ่งที่ผ่านมาทราบดีว่าในช่วงการย้ายจะมีปัญหาเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ การทุจริตในการดำเนินการ ระบบ TRS จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น ถือเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจที่ รมว.ศึกษาธิการ ต้องการสร้างความโปร่งใสให้กับระบบการย้ายข้าราชการครูฯ อย่างจริงจัง และจะขยายระบบให้ครอบคลุมการย้ายทุกตำแหน่ง เพราะนอกจากจะเพิ่มความสะดวกให้กับครูแล้ว ระบบการย้ายครูรูปแบบใหม่นี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของครูให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พัก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของครูมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ การได้ทำงานใกล้บ้านยังจะช่วยให้ครูมีเวลาในการดูแลครอบครัวมากขึ้น ส่งผลดีต่อสภาพจิตใจและขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน และสามารถพัฒนาการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง

“ขณะนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้จัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ (ว 6/2567) ที่จะนำมาใช้กับระบบ TRS เรียบร้อยแล้ว เมื่อจัดทำระบบระบบเสร็จสิ้นแล้ว ครูสามารถเข้ามายื่นคำร้องขอย้ายได้ โดยเราตั้งเป้าเปิดใช้งานระบบในวันที่ 1 มกราคม 2568 นี้ เพื่อเป็นของขวัญวันปีใหม่ให้กับครูทั้งประเทศ ถือเป็นการพลิกโฉมการบริหารงานบุคคลฯ ครั้งสำคัญที่พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ขับเคลื่อนนโยบายครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนถิ่นได้อย่างแท้จริง

“เสมา1”เปิดตัวระบบ NSOT Service บริหารกิจการลูกเสือ “สลช.ยุคใหม่”ทำดี ทำได้ ทำทันที พร้อมออกกฏกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบลูกเสือตามบริบทพื้นที่ แต่คงใส่ชุดลูกเสือในโอกาสสำคัญ ๆ

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ(สลช.)เปิดแถลงข่าว โดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ในฐานะ ประธานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ “เปิดตัวระบบบริหารกิจการลูกเสือและโปรแกรมการฝึกอบรมลูกเสือในสถานศึกษา(NSOT Service)” ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” มุ่งเน้นการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศและการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยลดภาระครู นักเรียน และผู้ปกครอง โดย พลตำรวจเอกเพิ่มพูน กล่าวว่า การเปิดตัวระบบบริหารกิจการลูกเสือครั้งนี้ ได้มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกระดับ ตั้งแต่ส่วนกลางไปจนถึงสถานศึกษา นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแนวคิด “ลูกเสือทันสมัย Transform” ภายใต้สโลแกน “ทำดี ทำได้ ทำทันที” โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยในการเรียนรู้และลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน เพื่อการให้บริการและปฏิบัติงาน ถูกต้อง รวดเร็ว ประโยชน์ ประหยัด ทั้งในส่วนกลาง สำนักงานลูกเสือจังหวัด สำนักงานลูกเสือเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา รวมทั้งผู้บังคับบัญชาลูกเสือ บุคลากรทางการลูกเสือ ที่จะได้รับบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้จัดทำโปรแกรมฝึกอบรมลูกเสือในสถานศึกษา เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้ลูกเสือสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยนำไปบูรณาการในวิชาหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในสถานศึกษาได้  โดยเบื้องต้นได้ดำเนินการเปิดให้บริการ 4 ระบบ ได้แก่ 1. ระบบขอจัดตั้งกลุ่มหรือกองลูกเสือ สำหรับสถานศึกษาที่ต้องการจัดตั้งกลุ่มลูกเสือ 2. ระบบขอตำแหน่งทางลูกเสือ สำหรับผู้บังคับบัญชาลูกเสือที่ต้องการตำแหน่งใหม่ 3. ระบบขอมีคุณวุฒิทางลูกเสือ สำหรับการรับรองคุณวุฒิตามระดับต่าง ๆ และ 4. ระบบขอเปิดการฝึกอบรม สำหรับการเปิดอบรมบุคลากรทางลูกเสือในหลักสูตรต่าง ๆ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า โปรแกรมการฝึกอบรมลูกเสือในสถานศึกษาที่ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลและทักษะที่จำเป็นในปัจจุบัน โดยแบ่งตามประเภทของลูกเสือ ดังนี้ ลูกเสือสำรอง : การเป็นผู้นำ, การออม, Codding, มารยาทไทย และการป้องกันภัยต่าง ๆ ลูกเสือสามัญ : E-sport, Codding, ภัยไซเบอร์, และความรักชาติ ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ : SMART SCOUT, การกู้ชีพฉุกเฉิน, Save Bullying และภัยคุกคามทางเพศ ลูกเสือวิสามัญ : การเงินดิจิทัล, ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการช่วยเหลือชุมชน และในอนาคตจะมีการพัฒนาหลักสูตรใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้ลูกเสือได้รับทักษะที่ทันสมัยและนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการออกกฎกระทรวง เรื่องการแต่งกายเครื่องแบบลูกเสือใหม่ โดยจะอนุโลมให้แต่งกายตามบริบทของพื้นที่ด้วย

ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ (สลช.) กล่าวว่า ระบบบริหารกิจการลูกเสือ(NSOT Service) เป็นโปรแกรมออนไลน์ระบบบริหารกิจการลูกเสือ ซึ่งในเบื้องต้นได้ดำเนินการเปิดให้บริการ 4 ระบบ ได้แก่ 1. ระบบขอจัดตั้งกลุ่มหรือกองลูกเสือ ให้บริการแก่สถานศึกษาที่ประสงค์ขอตั้งกลุ่มหรือกองลูกเสือ 2. ระบบขอมีตำแหน่งทางลูกเสือ ให้บริการแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ และบุคลากรทางการลูกเสือที่ประสงค์ ขอมีตำแหน่งทางลูกเสือ ทั้งประเภทผู้บังคับบัญชาลูกเสือ และประเภทผู้ตรวจการลูกเสือ 3. ระบบขอมีคุณวุฒิทางลูกเสือ ให้บริการแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ และบุคลากรทางการลูกเสือที่ประสงค์ ขอมีคุณวุฒิทางการลูกเสือ ตั้งแต่ 2 ท่อน (W.B.) ถึง 4 ท่อน (L.T.) 4. ระบบขอเปิดการฝึกอบรม ให้บริการแก่สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ สำนักงานลูกเสือจังหวัด สำนักงาน ลูกเสือเขตพื้นที่การศึกษา ที่ประสงค์ขอเปิดการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือในหลักสูตรต่าง เช่น B.T.C. / A.T.C. / A.L.T.C. / L.T.C. / การบันเทิงในกองลูกเสือ ระเบียบแถวลูกเสือ เป็นต้น โดยทั้ง 4 ระบบนี้ จะทำให้ลดระยะเวลา รวมถึงลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและลดขั้นตอนใน การดำเนินงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา ตอบสนองนโยบายอย่างแท้จริง โดยจะมีการเปิดระบบอย่างเป็นทางการแล้วและจะมีการทดลองใช้เพื่อติดตามระบบประมาณ3เดือน

เลขาธิการ สลช. กล่าวต่อไปว่า ส่วนโปรแกรมการฝึกอบรมของลูกเสือในสถานศึกษา ได้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อเสริมทักษะให้แก่ลูกเสือ ซึ่งตอบสนองการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยกระบวนการลูกเสือที่ สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน ที่เหมาะสมกับลูกเสือแต่ละประเภท เช่น 1. ลูกเสือสำรอง คือ นักเรียนช่วงชั้น ป.1-3  ฝึกอบรมเรื่อง การเป็นผู้นำ ผู้ตาม, การออม, Codding, การป้องกันภัยจากไฟฟ้า, ภัยจากการจมน้ำ, ภัยจากการติดอยู่ในรถ และมารยาทไทย เป็นต้น 2. ลูกเสือสามัญ คือ นักเรียนชั้น ป.4-6 ฝึกอบรมเรื่อง E-sport, Codding, ภัยจากคนแปลกหน้า, ภัยไซเบอร์ และความรักชาติ เป็นต้น 3. ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ นักเรียนชั้น ม.1-3  ฝึกอบรมเรื่อง SMART scout, การกู้ชีพฉุกเฉิน, Save Bullying, ภัยจากบุหรี่ ไฟฟ้า, ภัยคุกคามทางเพศ, สถาบันหลักของชาติ เป็นต้น  และ 4. ลูกเสือวิสามัญ นักเรียน ชั้น ม.4-6 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)  ฝึกอบรมเรื่องการเงินดิจิทัล, การลงทุนดิจิทัล, ภัยจากการยุยง ปลุกปั่น, ภูมิปัญญา ท้องถิ่น, การช่วยเหลือชุมชน เป็นต้น

“จริง ๆ แล้วกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบลูกเสือ พ.ศ.2510 ได้พูดถึงชุดลูกเสืออยู่แล้ว  และ พ.ร.บ.ลูกเสือ พ.ศ.2551 ก็ได้กำหนดให้มีการออกกฎหมายกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบลูกเสืออีก ประกอบกับมีเสียงเรียกร้องให้ปรับปรุงชุดลูกเสือ เนตรนารี จึงได้มีการทบทวนเรื่องของเครื่องแบบลูกเสือและเนตรนารี โดยมีการตั้งคณะทำงานเมื่อปี 2566 และมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ปกครอง ลูกเสือ และครู แล้วมาสรุปเป็นกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบลูกเสือฉบับใหม่ โดยหลัก ๆ จะมี 3 เครื่องแบบ คือ เครื่องแบบปกติ  เครื่องแบบปฎิบัติการ และ ชุดลำลอง เฉพาะอย่างยิ่งชุดลำลอง ที่เปิดโอกาสให้ ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ในโรงเรียนสามารถเลือกได้ ตามความเหมาะสม สามารถทำกิจกรรมได้ง่าย คล่องตัว จะมีสัญลักษณ์ลูกเสือหรือไม่ก็ได้ เป็นการปลดล็อคเปิดกว้างให้ ผู้บังคับบัญชาลูกเสือและสถานศึกษา เป็นผู้กำหนดเอง เนตรนารีก็ปรับให้ใส่กางเกงได้ เป็นต้น ทั้งนี้จะมีการนำเสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในโอกาสต่อไป”รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว

 

 

 

 

สพฐ.สั่งเขตพื้นที่เร่งค้นหาเด็กหลุดระบบ6แสนกว่าคน พากลับมาเรียนไม่ได้ก็ต้องพาการศึกษาไปหาให้ได้

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ครั้งที่ 42/2567 ว่า ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงการเตรียมการฟื้นฟูช่วยเหลือโรงเรียนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือที่ผ่านมา โดยโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เช่น โรงเรียนชุมชนบ้านไม้ลุงขนมิตรภาพที่ 169 อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งจากที่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน รมว.ศึกษาธิการ และตน พร้อมคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยม พบว่าโรงเรียนดังกล่าวมีโคลนไหลเข้าท่วมสูงถึงเข่า สพฐ.ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหาร องค์กรเอกชน มูลนิธิ ต่าง ๆ ที่เข้าไปช่วยเหลือ ที่สำคัญ สพฐ.ได้ให้นักการภารโรง ใน สพป.เชียงราย เขต 3 ทุกโรงเรียน รวมพลังกันเข้าไปช่วยเคลียร์โคลนออกจากโรงเรียนและช่วยทำความสะอาดด้วย ทั้งนี้ สพฐ.มีเป้าหมายว่า จะทำให้ทุกโรงเรียนที่ประสบอุทกภัยสามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติภายในวันที่ 1 พ.ย.นี้ โดยได้เร่งจัดสรรงบประมาณไปให้กับโรงเรียนใช้ในการปรับปรุงซ่อมแซมโรงเรียน โดยใช้หลัก “10 วัน สร้าง 10 วัน ซ่อม”

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับนโยบายรัฐบาลในการเร่งขับเคลื่อนเป้าหมายและมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ หรือ Thailand Zero Drop out นั้น วันนี้ตนจึงได้เน้นย้ำในที่ประชุมให้ในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศตรวจสอบ ว่าในแต่ละพื้นที่มีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาอยู่จำนวนเท่าไหร่ ซึ่งตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา จำนวน 1,020,000 คน นั้น ในส่วนของ สพฐ.ตรวจสอบแล้วพบว่ามีนักเรียนในสังกัดหลุดออกจากระบบการศึกษา 699,112 คน ซึ่ง สพฐ.ได้กำชับไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตแล้ว ว่าให้ตรวจสอบค้นหาเด็กให้เจอ และให้ดำเนินการดึงเด็กกลับมาเรียน หากเด็กไม่สะดวกกลับมาเรียน ก็ให้พาการศึกษาไปหาเด็กในพื้นที่ที่เด็กอยู่

“เดิมเราทำโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ตอนนี้จะพาการศึกษากลับไปหาน้อง หรือถ้าเด็กไม่สะดวกมาเรียน เราก็จะพาการศึกษา พาสื่อ พาอุปกรณ์ไปให้เด็กเหล่านี้ได้เรียน เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ เด็ก Drop out ตามนโยบายรัฐบาล และตามนโยบาย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ ที่กำหนดว่า นโยบาย Thailand Zero Drop out ต้องทำกันอย่างจริงจัง และให้มีการอัพเดทข้อมูลเป็นรายสัปดาห์“ เลขาธิการ กพฐ. กล่าวและว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เสนอให้มีการทบทวนเกณฑ์การย้ายครูผู้สอนที่ปัจจุบันพบว่า ไม่ได้กำหนดสัดส่วนระหว่างครูที่ย้ายกับครูที่สอบขึ้นบัญชี ทำให้หลายเขตพื้นที่ฯรับย้ายเกือบ 100% ทำให้ครูที่สอบขึ้นบัญชีไว้ขาดโอกาสที่จะได้รับการบรรจุ จึงหารือถึงการทำให้เกิดความสมดุลย์ระหว่างการย้ายครูที่เป็นครูอยู่แล้ว กับการดูแลผู้ที่สอบติดใหม่ให้ได้รับการบรรจุใหม่ด้วย