มติ ทปอ.ยกเลิกโอเน็ต ปรับทีแคสปี65 ลดเหลือ 4 รอบ

ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า  ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าผลการคัดเลือกในระบบกลางบุคคลเข้าศึกษในสถาบันอุดมศึกษา หรือทีแคส  ปีการศึกษา 2564 ซึ่งได้ดำเนินการรับไปแล้ว 3 รอบ คือ 1.รอบพอร์ตโฟลิโอ 2.รอบโควตา และ3.รอบแอดมิสชั่นส์ 1และขณะนี้อยู่ระหว่างการรับในรอบแอดมิสชั่นส์ 2 เหลือการรับรอบ4 รับตรงอิสระ ภาพรวมตัวเลขผู้ผ่านการคัดเลือก ไม่แตกต่างจากปี 2563 มากนัก แต่ก็ถือว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยการรับปี 2564  รวม 3 รอบมีผู้ผ่านการการเลือกและยืนยันสิทธิเรียบร้อยแล้ว 200,928 คน ปี2563 ผู้สอบผ่านและเข้าศึกษาต่อรวม 5 รอบ 4 รูปแบบอยู่ที่ 200,631 คน คาดว่า หากปี2564 รอบครบทุกรอบจะมีผู้มีสิทธิเข้าศึกษาเพิ่มขึ้นอีก 10,000-20,000 คน อย่างไรก็ตาม หลังการปรับระบบให้ยืนยันสิทธิในรอบ3 พบว่า จำนวนผู้สละสิทธิลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปี2563 มีผู้สละสิทธิจำนวน 12,815 คน ปี2564 ลดลงเหลือ 6,227 คน ทั้งนี้คิดว่าเป็นเพราะการลดความซ้ำซ้อนและลดความสูญเปล่าของกระบวนการคัดเลือก

ด้าน ดร.พีระพงศ์ ตริยเจริญ ผู้ช่วยเลขาธิการที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ แนวทางการคัดเลือกในระบบทีแคส  ปีการศึกษา 2565  ปรับการสอบให้มีปริมาณที่ลดน้อยลง และลดการคัดเลือกเหลือเพียง เป็น 4 รอบ 4 รูปแบบ ดังนี้ 1. รอบพอร์ตโฟลิโอ 2.โควตา  3.รอบแอดมิสชั่น และ4 รอบรับตรงอิสระ โดยการรับในทุกรอบจะยุติการใช้คะแนนการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต มาเป็นองค์ประกอบในการคัดเลือก เนื่องจากโอเน็ตเป็นคะแนนที่ไม่แน่นอน เพราะกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องการปรับรูปแบบการวัดผลและได้มอบหมายให้ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ไปพัฒนารูปแบบการวัดผล

โดยการปรับครั้งนี้จะยกเลิกการรับในรอบแอดมิสชั่นส์ 2 และยกเลิกการใช้คะแนนโอเน็ตมาเป็นองค์ประกอบในการคัดเลือก โดยมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้กำหนดองค์ประกอบในการรับเอง ซึ่งจะต้องมีการปรับ ในส่วนของทปอ. และจะประสานให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งกำหนดจำนวนวิชาสอบให้น้อยลง คาดว่าแต่ละแห่งจะประกาศองค์ประกอบและปฏิทินการรับสมัครในแต่ละรอบได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ทั้งนี้ทปอ.ยังคงหลักการให้เด็กอยู่ในห้องเรียนจนจบการศึกษา ดังนั้นการสอบเพื่อนำคะแนนไปใช้ในการเข้าเรียนต่อจะเริ่มขึ้นหลังเด็กจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ขณะเดียวกันยังมีการปรับเนื้อหาข้อสอบเน้นการนำไปใช้มากขึ้นเพื่อให้เด็กตั้งใจเรียนในห้องเรียน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเด็กไม่จำเป็นต้องไปกวดวิชา

 “ตรีนุช”มั่นใจในมาตรการป้องกันโควิด-19 กำชับรร.เฝ้าระวังการ์ดไม่ตก

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึง ความคืบหน้าการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ว่า หลังจากเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 อย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา และเมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในพื้นที่สีส้ม ที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดขอนแก่น รวมถึงได้รับรายงานสถานการณ์ของทุกโรงเรียนทั่วประเทศ ทุกวัน พบว่า ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา ทั้งของรัฐ และเอกชน ทุกแห่งได้ดำเนินการตามแนวปฏิบัติการเปิดภาคเรียนที่ 1/ 2564 ของกระทรวงศึกษาธิการ และ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่งโรงเรียนในพื้นที่สีส้มที่ประสงค์สอนในรูปแบบ On Site คือ จัดการเรียนการสอนที่โรงเรียน ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินความพร้อมของระบบ Thai Stop COVID + (TSC+) ของกระทรวงสาธารณสุขครบทั้ง 44 ข้อ เมื่อเปิดเรียนแล้วนักเรียนและผู้ปกครอง ก็ต้องประเมินความเสี่ยงคัดกรองตัวเอง โดยใช้แอปพลิเคชัน “ไทยเซฟไทย” กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหากประเมินเสร็จแล้ว แอปฯ จะบอกชัดเจนว่าอยู่ในกลุ่มไหน ถ้าอยู่ในกลุ่มสีแดง หรือเสี่ยงมาก ก็ไม่ควรออกไปพบปะผู้อื่น ขณะเดียวกันทางสถานศึกษาก็มีการคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ มีบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ให้ทุกคนสวมหน้ากาวอนามัย เว้นระยะห่างในการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ก็ได้ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนและครู โดยได้ร่วมกับทางโรงเรียนในการตรวจสอบและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดในทุกโรงเรียน ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ก็มีข้อมูลและมาตรการเป็นรายพื้นที่ รายโรงเรียน หากเกิดเหตุพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่ก็สามารถสั่งการได้ทันที

“ การเปิดภาคเรียนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 นี้ มีความยืดหยุ่นมาก สถานศึกษาแต่ละแห่งดำเนินการจัดการเรียนการสอนโดยยึดสภาพจริงตามสถานการณ์เป็นหลัก โรงเรียนสามารถเลือกใช้วิธีการสอนรูปแบบใดก็ได้ที่เหมาะสม รวมถึงหากมีความจำเป็นก็สามารถเปลี่ยนจากการเรียนที่โรงเรียน เป็นการเรียนในรูปแบบอื่นทดแทนได้ ซึ่งขณะนี้ความต้องการของผู้ปกครองในแต่ละพื้นที่ แต่ละโรงเรียนมีไม่เหมือนกัน แม้อยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ชั้นเรียนเดียวกันก็ต้องการไม่เหมือนกัน ผู้ปกครองบางคนไม่มีเวลาดูแลลูกหลานอยากให้มาเรียนที่โรงเรียน และมีความมั่นใจในมาตรการของโรงเรียน จึงส่งลูกหลานมาโรงเรียนตามปกติ แต่ก็มีผู้ปกครองบางส่วนไม่มั่นใจ ทางโรงเรียนก็ได้จัดให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามแนวทางที่สะดวก เช่น การเรียน On Line ผ่านอินเทอร์เน็ต หรือ การเรียน On Hand โดยจัดส่งหนังสือ แบบเรียน แบบฝึกหัด หรือ ใบงาน ไปให้นักเรียนเรียนที่บ้าน ซึ่งต้องขอขอบคุณคุณครู ผู้บริหารสถานศึกษา ที่เสียสละ และปรับตัวจัดการเรียนการสอนอย่างยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามดิฉันได้เน้นย้ำตลอดว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรเด็กทุกคนต้องไม่พลาดโอกาสในการเรียนรู้  เราต้องจัดการศึกษาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของทุกคน ทั้งนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด การ์ดต้องไม่ตก” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ตรีนุช เห็นชอบตั้งศูนย์ CVM 25 แห่งทุกภูมิภาคขับเคลื่อนพัฒนากำลังคนอาชีวะ

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงาน (Quick Win) ของกระทรวงศึกษาธิการ ด้านความปลอดภัยของผู้เรียน และการขับเคลื่อนศูนย์ความเป็นเลิศอาชีวศึกษา  เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในปัจจุบัน ซึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการต้องเตรียมผู้เรียน ให้มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และการเตรียมผู้เรียนเพื่อเข้าสู่การทำงานทั้งในรูปแบบอิสระ  และการเข้าสู่ตลาดงาน รวมไปถึงการจัดเตรียมกำลังคนเพื่อรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เมื่อสถานการณ์การลงทุนภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ธุรกิจและบริการ กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง  โดยวันนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้ขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ โดยการจัดตั้งศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center of Vocational Manpower Networking Management  : CVM)  จำนวน 25 แห่ง ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ  ขับเคลื่อนการศึกษาเพื่ออาชีพและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาอาชีวศึกษามีอาชีพ และมีรายได้ที่เหมาะสมโดยการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) กรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) รวมถึงมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นางสาวตรีนุช กล่าวต่อไปว่า ศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center of Vocational Manpower Networking Management  : CVM)  มีการจัดกลุ่มสถานศึกษา จำแนกตามสาขาวิชาที่เปิดสอน คัดเลือกสถานศึกษากลุ่มความเป็นเลิศ (Excellent  Center) และเชี่ยวชาญเฉพาะที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการในสาขาที่สอดคล้องกับกลุ่มอาชีพ และกลุ่มอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศ โดยการพัฒนาผู้เรียน 9 ใน 10 สาขา อุตสาหกรรมหลักเป้าหมายของประเทศ ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ          3 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4 อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5 อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร 6 อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม 7 อุตสาหกรรมขนส่งและการบิน 8 อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ และ 9 อุตสาหกรรมดิจิทัล รวมถึง 1 อุตสาหกรรมพัฒนาคนและการศึกษา ด้วยการยกระดับการเรียนการสอนทั้งระบบ โดยความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การปรับหลักสูตรภาคทฤษฎี และการฝึกปฏิบัติ อุปกรณ์เครื่องมือ ตลอดจนการพัฒนาครูวิชาชีพในสาขาวิชาต่าง ๆ ให้มีทักษะและความ เชี่ยวชาญ  ซึ่งสอศ.ได้รับความร่วมมือสนับสนุนและดำเนินการผลิต และพัฒนากำลังคน จากคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนอาชีวศึกษา  (อ.กรอ.อศ.) ซึ่งเป็นผู้แทนจากภาครัฐ และบริษัทชั้นนำของประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ธุรกิจและบริการ ซึ่งมีกลุ่มอาชีพ 28 กลุ่ม  ครอบคลุมใน ทุกสายงาน จึงมองว่าจะตอบโจทย์ในการผลิตและพัฒนากำลังคนคุณภาพ ให้มีความสอดคล้องตามบริบทเชิงพื้นที่ สร้างกำลังคนคุณภาพของประเทศให้มีเพียงพอ และตรงกับความต้องการกำลังคนของประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) และรองรับการเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม 4.0

“ศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center of Vocational Manpower Networking Management  : CVM)  25 แห่ง ยังมีอีกบทบาทหน้าที่หนึ่งคือเป็นศูนย์กลางบริหาร ประสานการดูแลความปลอดภัยของสถานศึกษาอาชีวศึกษาในพื้นที่ให้มีความปลอดภัยสูงสุดแก่นักเรียน นักศึกษาเมื่อเข้าเรียนในสถานศึกษาอาชีวศึกษา โดยบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาชีวศึกษา เช่น ภาคเอกชน ที่ร่วมจัดการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี การฝึกงาน เป็นต้น โดยศูนย์ฯจะมีการนำเครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการบริหาร ติดตามในภารกิจต่างๆ และจะมีการเปิดตัวศูนย์ CVM ทั้ง 4 ภูมิภาคต่อไป ในเร็ว ๆ นี้ “รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

 

 

 

ก.ค.ศ.MOUสภาคณบดีฯขับเคลื่อน 5 คานงัด ยกระดับครูสู่วิชาชีพชั้นสูง

รศ.ดร. ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ สภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และยกระดับครูสู่วิชาชีพชั้นสูง โดยมี นางสุปราณี นฤนาทนโรดม นางสาวเจริญวรรณ หนูนาค รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญของสำนักงาน ก.ค.ศ. และผู้อำนวยการภารกิจที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยานผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมสุรัฐ ศิลปอนันต์ อาคาร รัชมังคลาภิเษก สำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ

สำหรับพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่างสำนักงาน ก.ค.ศ. กับสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย ผ่านระบบออนไลน์ ในส่วนของสภาคณบดี                    คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย มี รศ.ดร.สมบัติ นพรัก ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงทางวิชาการ (MOU)พร้อมด้วย รศ.ดร.วินัย พูนศรี คณบดีคณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้เข้าร่วมประชุมสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2/2564 ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นการลงนามในบันทึกข้อตกลงพร้อมกันผ่านระบบออนไลน์ และเป็นการดำเนินการภายใต้การป้องกันการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

ทั้งนี้ เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวว่า สืบเนื่องจากที่สภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานผลิตครูและต้องนำนโยบาย กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆที่รัฐบาลกำหนดให้ไปปฏิบัติในการผลิตและพัฒนาครูฯ ได้มีหนังสือขอสนับสนุนการกำหนดเกณฑ์การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมติที่ประชุมสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์                 แห่งประเทศไทยมายังสำนักงาน ก.ค.ศ. และสำนักงาน ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นว่าการดำเนินการความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับทางราชการทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จึงได้เสนอต่อที่ประชุม ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบที่ 2 หน่วยงานจะได้ร่วมมือกัน  ในการขับเคลื่อนการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและงานด้านวิชาการ โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วนของสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่เรียกว่า 5 คานงัดในการขับเคลื่อนการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

ปลัดศธ.ย้ำ ระเบียบศธ.ปี63ยืดหยุ่นขอให้รร.ปฏิบัติ สพฐ.ควบคุมดูแล

ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยกรณีกลุ่มปฏิวัติการศึกษาไทย จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์โดยการเผาระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผม และร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ เพื่อย้ำปัญหาด้านการศึกษา โดยเห็นว่าระเบียบนี้เป็นปัญหาลิดรอนสิทธิเสรีภาพของนักเรียน ขัดแย้งกับกฎกระทรวงว่าด้วยทรงผมนักเรียน ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2563  ทั้งนี้เนื่องจากบางโรงเรียนยึดกฎกระทรวงเดิม และมีการตัดผมนักเรียนที่ครูเห็นว่ายาวเกินไป ส่งผลให้นักเรียนถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ สะท้อนว่าระบบการศึกษาของไทยเห็นระเบียบสำคัญกว่าเรื่องของสิทธิเสรีภาพ จึงเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนนั้น ว่า ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ  ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ได้วางแนวทางการไว้ทรงผมของนักเรียน เพื่อให้สร้างระเบียบวินัยแก่นักเรียน สร้างอัตลักษณ์ความเป็นนักเรียน ซึ่งเมื่อได้พิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า  ไม่ได้เป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นไปโดยชอบด้วยกฏหมายมาตรา 26 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

ปลัดศธ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้การไว้ทรงผมของนักเรียนนั้น ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ข้อ 4 นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้านหลังต้องยาวไม่เลยตีนผม ด้านหน้าและกลางตามความเหมาะสม นักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ กรณีไว้ยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสมและรวบให้เรียบร้อย และข้อ 7 กำหนดให้สถานศึกษาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาหรือคณะกรรมการบริหารโรงเรียนวางระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่มีความเฉพาะเจาะจงได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้

“การดำเนินการนี้ ให้ยึดหลักความเหมาะสมในการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีของนักเรียน และการมีส่วนร่วมของนักเรียน สถานศึกษา ผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่น ดังนั้น จะต้องพิจารณาว่าโรงเรียนได้ดำเนินการวางระเบียบการไว้ทรงผมของนักเรียนถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงหรือไม่ หากสถานศึกษาได้วางระเบียบไม่ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็จะดำเนินการควบคุมดูแลให้การดำเนินการเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการต่อไป”ดร.สุภัทร กล่าว

“ครูเหน่ง”ยินดีรับฟังข้อเรียกร้องนักเรียน แต่ขอให้มาตามกติกาไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  กล่าวถึง กรณีที่มีกลุ่มนักเรียนประมาณ 20 คน ผู้ต้องการแสดงออกถึงเสรีภาพความหลากหลายทางเพศในโรงเรียน รวมตัวกันมาชุมนุมที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเรียกร้องในจุดยืน ให้สามารถแต่งกายและไว้ทรงผม โดยไม่ระบุเพศสภาพ พร้อมทั้งมีการเทสี ฉีดสเปรย์ ลงบนตราเสมาธรรมจักร ที่ติดตั้งหน้ากระทรวงศึกษาธิการ และบุกเข้าไปในบริเวณสนามหญ้าในกระทรวงศึกษาธิการ ว่า เนื่องจากวันนี้ตนไม่ได้อยู่ที่กระทรวงฯ เพราะมาลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียน ที่เปิดเรียนตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายใต้สถานการณ์สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อได้รับทราบรายงานสถานการณ์ของเหตุการณ์ดังกล่าว จึงได้มีการกำชับกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าให้มีตัวแทนในการรับฟังข้อเรียกร้องจากกลุ่มนักเรียนที่มาชุมนุม อย่างประนีประนอม และกำชับไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงใดๆทั้งสิ้น

“การชุมนุมของกลุ่มนักเรียนในวันนี้ ไม่ได้มีการประสานงานแจ้งมาก่อนล่วงหน้าแต่อย่างใด และกระทรวงเองก็ไม่มีข้อห้ามไม่ให้นักเรียนเข้ามาชุมนุม ถ้าการชุมนุมนั้นอยู่ภายใต้ความถูกต้อง อย่างเช่นเหตุการณ์ที่ตัวแทนกลุ่มปฏิวัติการศึกษาไทย มาแสดงเชิงสัญลักษณ์ โปรยกระดาษระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยทรงผมนักเรียน และเรียกร้องเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ  เมื่อวันก่อนก็ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆเกิดขึ้น แต่การชุมนุมของกลุ่มนักเรียนกลุ่มนี้ มีการบุกรุกเข้ามาในสถานที่ราชการ ซึ่งไม่ใช่สถานที่สาธารณะ และยังเป็นเวลานอกราชการ พร้อมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถานที่ จึงต้องมีพนักงานรักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลความเรียบร้อย  โดยดิฉันได้สั่งการให้มีการรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการกระทำรุนแรงใดๆกับกลุ่มนักเรียนผู้มาชุมนุม”นางสาวตรีนุช กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามกระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็นของทุกคนในสังคม ขอให้การแสดงออกเป็นไปด้วยความสงบและอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ภายใต้การเคารพกฎหมายและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด

สพฐ.เชิญชวนนักเรียนมัธยมฯแข่งขันทำอาหารต่อยอดอาชีพเชพมือทอง

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)โดยสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย(สมป.)จับมือดุสิตธานีและเชพพล ตัณฑเสถียร  จัดแข่งขันประลองฝีมือนักเรียนมัธยมศึกษา  ที่ชอบการทำอาหาร  ใน รายการแข่งขัน“สุดยอดเชพนักคิด สู่นักธุรกิจรุ่นเยาว์” ขานรับนโยบาย สพฐ. ด้านการสร้างโอกาสและคุณภาพนักเรียน ค้นหาเชพมือทองรุ่นเยาว์ ที่อนาคตจะประสบความสำเร็จในอาชีพธุรกิจการประกอบอาหาร

นักเรียนท่านใดสนใจในการทำอาหาร เตรียมตัวสมัครเข้ารับการแข่งขันในครั้งนี้ได้เลย เพราะรางวัลที่จะได้รับสุดคุ้มจริง ๆ เพราะงานนี้ถือเป็นงานช้างของ สมป.สพฐ.เลยทีเดียว

ทั้งนี้ จะมีการแข่งขันระดับภูมิภาคก่อน เพื่อคัดเลือกทีมที่ชนะมาแข่งขันกันที่ส่วนกลางวิทยาลัยดุสิตธานี  ซึ่งจะเริ่มรับสมัครระหว่างวันที่10-31 กรกฏาคม 2564  โดยศูนย์ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย กำแพงเพชร และจังหวัดตาก ส่งใบสมัครที่ Email:northche@wattano.ac.th โทรศัพท์ 09 5497 9516,08 6182 8187

ศูนย์ภาคกลาง   จังหวัดชัยนาท นครนายก นครปฐม นครสรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุพรรณบุรี สระบุรี อ่างทอง อุทัยธานี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด ปราจีนบุรี ระยอง สระแก้ว กาญจนบุรี เพชรบุรี และจังหวัดราชบุรี ส่งใบสมัครที่ Email:patsaphon.suk@sk-thonburi.ac.th หรือ prajak.noi@sk-thonburi.ac.th โทรศัพท์ 09 3846 8702,08 3915 9625

ศูนย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  จังหวัดกาฬสิน ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สกลนคร สุรินทร์ ศรีสะเกษ หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี และจังหวัดอำนาจเจริญ ส่งใบสมัครที่ Email:siriwat7994@gmail.com โทรศัพท์ 08 2545 9678

ศูนย์ภาคใต้   จังหวัดกระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ภูเก็ต ระนอง สตูล สงขลา สุราษฏร์ธานี ยะลา และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่งใบสมัครที่ Email:yothinkhon@hotmailçom โทรศัพท์ 08 6270 7446

และศูนย์กรุงเทพมหานคร ส่งใบสมัครที่ Email:computer.yothin@gmail.com โทรศัพท์ 08 8560 9600

โดยทีมชนะเลิศจะได้รับรางวัลเงินสดพร้อมโล่ห์เกียรติยศ รางวัลที่ 1 เงินสด 50,000 บาท รางวัลที่ 2 เงินสด 30,000 บาท และรางวัลที่3 เงินสด 20,000 บาท

 

 

 

 

 

“ครูเหน่ง”เดินหน้าปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เน้นพัฒนาสมรรถนะเด็กไทย ให้คิดเป็นทำเป็น เข้าใจรากฐานวิถีชีวิตแบบไทย และเป็นพลเมืองดีร่วมสร้างสรรค์สังคม

วันนี้(17 มิ.ย.) น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่า  คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร ได้กำหนดแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยจะมุ่งที่การพัฒนาสมรรถนะของเด็กไทยใน 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการตนเอง การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การคิดขั้นสูง การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง โดยคณะกรรมการฯ จะจัดทำเป็นกรอบหลักสูตร (Framework) ที่จะเปิดโอกาสให้โรงเรียนสามารถนำไปจัดทำเป็นหลักสูตรสถานศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ได้ แต่จะมีจุดร่วมกันในการสร้างสมรรถนะ ซึ่งโรงเรียนต้องมีการปรับวิธีการเรียนการสอนใหม่โดยใช้กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน ได้คิด ได้ตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ไม่ใช่กระบวนการสอนทางเดียวแบบเดิม ยกตัวอย่างเช่นในการเรียนรู้ความเป็นพลเมืองที่ดี นักเรียนจะต้องเรียนรู้จากสถานการณ์จริง ดังเช่นเรียนรู้จากกิจกรรมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนของตนเอง ไม่ใช่การเรียนรู้จากตำราแบบเดิมที่เด็กจะไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง หรือตัวอย่างการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ นักเรียนจะไม่เพียงเรียนรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไร เมื่อใด แต่ต้องมีกระบวนการในการคิด วิเคราะห์ และร่วมอภิปราย เพื่อให้สามารถเข้าใจเหตุผล เรียนรู้บทเรียนที่เกิดขึ้นในอดีตและนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า  ส่วนที่หลายท่านกังวลว่าหลักสูตรใหม่จะขาดความเข้มข้นในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนนั้น  อยากทำความเข้าใจว่า ความรู้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เกิดสมรรถนะ แต่กระบวนการเรียนรู้จะไม่ได้เริ่มจากการให้ความรู้ก่อน แต่จะเริ่มจากกระบวนการคิด การตั้งคำถาม และการกระตุ้นความสนใจของนักเรียนก่อน เมื่อนักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้แล้ว เขาก็จะค้นหาความรู้และคำตอบได้ด้วยตัวเอง ซึ่งกระบวนเหล่านี้จะทำให้เด็กมีการพัฒนาอย่างแท้จริง
ในการปรับหลักสูตรครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าครูต้องมีการปรับวิธีการเรียนการสอนครั้งใหญ่ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมการรองรับในการพัฒนาครู ให้พร้อมกับหลักสูตรใหม่นี้ โดยจะเน้นการพัฒนาทั้งระบบโรงเรียน (School base development) โดยครูจะได้เรียนรู้และพัฒนาจากห้องเรียนจริง จะไม่ใช่การนำครูมาอบรมนอกห้องเรียนแบบเดิมๆ และผู้อำนวยการโรงเรียนจะทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านวิชาการของโรงเรียนในการพัฒนาการเรียนการสอนทั้งระบบ นอกจากนี้จะได้นำโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนที่ดีมาเป็นต้นแบบในการเรียนรู้ และจัดระบบสนับสนุนด้านวิชาการจากทีมวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยในแต่ละพื้นที่ ที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนให้ดียิ่งขึ้น

“ปีการศึกษานี้ กระทรวงศึกษาธิการจะจัดให้มีการวิจัยและทดลองใช้หลักสูตรแบบใหม่ในโรงเรียนนำร่องซึ่งอยู่ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจำนวน 286 แห่ง ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ จะนำเข้าสู่คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร เพื่อพัฒนาหลักสูตรให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะมีการประกาศใช้จริงในปี พ.ศ.2565 ท่านที่สนใจสามารถติดตามความคืบหน้าของการพัฒนาหลักสูตรได้ที่เว็ปไซด์ cbethailand.com และ facebook page : CBE thailand”รมว.ศึกษาธิการกล่าว

สอศ.จัดประชุมอาชีวศึกษาเกษตรอัจฉริยะเฟ้นหาความเป็นเลิศเพื่อสร้างงานฟาร์มเชิงธุรกิจ

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.64 ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ  เป็นประธานการประชุมอาชีวศึกษาเกษตรอัจฉริยะ “Agritronics @ Rcheewa” ผ่านระบบ webex แบบออนไลน์ ความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เพื่อพัฒนาครู และบุคลากร ของอาชีวศึกษาเกษตร ตอบสนองต่อการผลิตและพัฒนากำลังคนเกษตรของประเทศไทย โดยดร.คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า  “เกษตรอัจฉริยะ” เป็นหนึ่งในประเด็นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทย โดยสถานการณ์โลกปัจจุบัน ประเทศไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในหลายบริบททั้งที่เป็นโอกาสและข้อจำกัดต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะด้านความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่หน่วยงานทางด้านการศึกษา วิจัยและนวัตกรรม ต้องมีการเตรียมความพร้อมของคนและสร้างระบบให้มีภูมิคุ้มกัน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งประชากรในประเทศไทยทำงานในภาคเกษตรกว่า 27 ล้านคน คิดเป็นประชากรกว่า 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ในการพัฒนาทักษะการเกษตรของเยาวชนอาชีวศึกษาเกษตรกรรุ่นใหม่ จำเป็นต้องพัฒนาไปในเชิงเกษตรอุตสาหกรรม และปรับเปลี่ยนรูปแบบของการทำการเกษตร มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตที่หลากหลาย

“เกษตรอัจฉริยะ “Agritronics @ Rcheewa” จะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม ที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ Handy Sense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ ผนวกเทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อมทางการเกษตร และระบบควบคุมการทำงานอัตโนมัติ ที่ได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ที่สามารถลดต้นทุนการผลิต ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สู่การเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต เพื่อพัฒนาครู และบุคลากรอาชีวศึกษาเกษตรได้”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

    ด้านดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่า กิจกรรมอาชีวศึกษาเกษตรอัจฉริยะ “Agritronics@R Cheewa” เป็นการดำเนินการต่อเนื่องภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่ได้พัฒนาศักยภาพผู้สอนให้ได้รับความรู้ด้านการใช้ชุดสื่อ การเรียน การสอนโปรแกรมมิ่ง ซึ่งจะสามารถนำไปถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียนอาชีวศึกษา ให้มีทักษะกระบวนการคิด สู่การเป็น นวัตกรรมวิชาชีพ และพัฒนาครูเกษตรเบื้องต้นผ่านระบบออนไลน์ ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ให้กับสถานศึกษาประเภทวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีประมง วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ที่ได้สมัครเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 23 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะนำไปขยายผลต่อนักศึกษาและเกษตรกรในพื้นที่ที่จะได้รับความรู้ต่อไป แห่งละประมาณ 200 คน รวมประมาณ 4,600 คน โดยผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ในด้านการใช้เทคโนโลยีระบบเซนเซอร์ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการฟาร์มอัจฉริยะ

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า สอศ. มีนโยบายให้สถานศึกษาเกษตรและประมงค้นหาความเป็นเลิศ (Excellence) เพื่อสร้างงานฟาร์มเชิงธุรกิจหนึ่งฟาร์ม ต่อหนึ่งวิทยาลัยเกษตรและประมง พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สามารถฝึกประสบการณ์วิชาชีพควบคู่กับการบริหารในเชิงธุรกิจ ให้กับผู้เรียนและให้บริการเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่น และมีการประยุกต์การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อเป็นการพัฒนาการศึกษาด้านการเกษตรให้มีคุณภาพ และทันต่อสถานการณ์

ครูโอ๊ะ ชื่นชม 9 โครงการสำคัญภายใต้แนวคิด ‘Big ROCK’ ผลักดันการเรียนรู้ตลอดชีวิต

นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.กมล รอดคล้าย ที่ปรึกษารมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว  ๆ นี้ ตนได้รับฟังผลการดำเนินการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ประจำปีงบประมาณ 2564 ของสำนักงาน กศน.กทม. และ 50 สถานศึกษาในสังกัด พร้อมตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและนิทรรศการด้านอาชีพ และกิจกรรมผู้สูงอายุ โดยมีนายณัฐพงษ์ นวลมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นายปรเมศวร์ ศิริรัตน์ ผอ.สำนักงาน กศน.กทม. ผู้บริหาร ข้าราชการครู และบุคลากร ตลอดจนผู้เรียน ให้การต้อนรับ ทั้งนี้จากการนำเสนอสรุปผลการดำเนินการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งมีโครงการสำคัญ 9 โครงการ ภายใต้แนวคิด BIG ROCK ทั้งการจัดการเรียนรู้โดยใช้ระบบออนไลน์ การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพและการสร้างงานตลอดชีวิต การจัดการศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางกรศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายพิเศษ การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างศักยภาพสำหรับผู้สูงอายุ การจัดการเรียนรู้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างชาญฉลาด ตลอดจนการเสริมสร้างความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย การใช้พื้นที่การเรียนรู้ร่วม (Co-learning Space) ศูนย์ที่ปรึกษาการออกแบบการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาสมรรถนะขององค์กรและเป้าหมาย (Learning Guideline Center: LGC) และการพัฒนาบุคลากร เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.2564-2567 รวมทั้งการจัดทำแบบทดสอบออนไลน์ “คู่มือความรู้ กศน.สู้โรคโควิด-19” ซึ่งมีนักศึกษา ครู ผู้บริหาร กศน. ตลอดจนประชาชนทั่วไป ผู้สนใจร่วมเรียนรู้และทดสอบ เป็นจำนวนมาก

“ขอชื่นชม กศน.กทม.ที่นำเสนอให้เห็นถึงการบริหารจัดการและดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพหลากหลายมิติ นำนโยบายของรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ และนโยบายครูโอ๊ะไปสู่การปฏิบัติโดยตลอด ทั้งยังได้วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อนำมาประกอบการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดร่วมกัน อาทิ การพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี การนำเสนองานหรือแสดงความคิดเห็นด้วยความมั่นใจ และสามารถนำความรู้ที่ได้ ไปปรับใช้ พัฒนา และต่อยอดงานการศึกษานอกระบบ, การเปิดโอกาสแก่บุคลากรรุ่นใหม่ ได้แสดงความคิดเห็น เพื่อสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจในการทำงาน โดยใช้ประสบการณ์ของบุคลากรรุ่นใหญ่ช่วยให้คำปรึกษาแนะนำ, การวางแผนดำเนินการโครงการล่วงหน้า เพื่อเตรียมการขับเคลื่อนทันทีเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย”นางกนกวรรณ กล่าว

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามตนขอฝากให้มีการรวบรวมปัญหา พร้อมสรุปแนวทางการแก้ไขที่ชัดเจน เพื่อนำเสนอต่อระดับนโยบายต่อไป อาทิ การเร่งจัดส่งหนังสือและเพิ่มสัดส่วนหนังสือเรียน รองรับการจัดการเรียนการสอนแบบ On-hand ช่วงเปิดภาคเรียน ในพื้นที่ต่างจังหวัดและชายขอบ ที่ยังไม่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์และสัญญาณอินเทอร์เน็ต, การปรับปรุงระบบจัดทำข้อสอบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมนำเสียงสะท้อนของประชาชนและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ไปปรับปรุงให้ตอบโจทย์ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิ การสอนอาชีพที่แปลกใหม่ ทันสมัย หรือต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่เดิม, ออกแบบการจัดอบรมที่สร้างความน่าสนใจ สนุก เรียนแล้วมีความสุข อาทิ อบรมภาษาอังกฤษ (Boot Camp), การจัดทำคลังสื่อการเรียนการสอนวิชาพื้นฐานออนไลน์ ตลอดจนวิชาเลือกที่น่าสนใจ ออกแบบสื่อให้กับคนทุกช่วงวัยสำหรับใช้ร่วมกันของ กศน.กทม.และสถานศึกษาในสังกัด หรือสำหรับสำนักงาน กศน.ในอนาคต เพื่อให้ง่ายต่อการออกแบบการประเมินการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19