ยุคผู้หญิงมาแรง “ตรีนุช” ตั้ง “เกศทิพย์” นั่งโฆษกศธ.

สืบเนื่องจากอนุสนธิคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ สป.205/2564 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2564 แต่งตั้งนายวีระแข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ฝ่ายข้าราชการประจำ)นั้น

เนื่องจากข้าราชการดังกล่าวได้ลาออกจากตำแหน่งโฆษกกระทรวงศึกษาธิการดังนั้นเพื่อให้งานประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการดำเนินงานและทิศทางการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้องกับองค์กรภาครัฐภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปเป็นไปด้วยความถูกต้องและสร้างความเข้าใจให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันให้มีความรวดเร็วสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ จึงได้ลงนามในคำสั่ง ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2564 แต่งตั้งนางเกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการนั่งโฆษกกระทรวงศึกษาธิการแทนอย่างเป็นทางการ

อนุสนธิคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ สป.205/2564 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2564 แต่งตั้งนายวีระแข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ฝ่ายข้าราชการประจำ)นั้น

ครูกศน.เฮ! ครูโอ๊ะ ผลักดันอัตราบรรจุ”ครูเด็กเร่รอน-พิการ” จนสำเร็จ

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2564 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ  เปิดเผย ถึงความก้าวหน้าการผลักดันความมั่นคงให้กับครูผู้สอนคนพิการและครูผู้สอนผู้ด้อยโอกาส (เร่ร่อน) ให้เป็นพนักงานราชการ จำนวนกว่า 60 อัตรา ซึ่งเปิดรับสมัครไปเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ว่า ต้องยอมรับว่าความสำเร็จของนโยบาย กศน. WOW ด้าน Good Teacher ซึ่งเป็นหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 6 ด้าน (หรือ 6D) เป็นนโยบายที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการลงพื้นที่ติดตามการทำงานและรับฟังเสียงสะท้อน ข้อเรียกร้อง และสภาพปัญหาจริง ๆ ของหน่วยงานในกำกับดูแลของครูโอ๊ะ ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้ง สำนักงาน กศน. สช. และ สลช. นำมาสู่การแก้ไขปัญหาได้ตรงกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ เกิดประโยชน์ต่อการวางแผนและขับเคลื่อนตามเป้าหมายที่วางไว้

“หลังจากลงพื้นที่ไปเห็นสภาพปัญหาของ ครู กศน. ที่ต้องทำงานในสภาพที่ยากลำบาก ทำงานบนความขาดแคลน หนำซ้ำครูบางคนยังเป็นเพียงอัตราจ้างที่ไม่มีความมั่นคงในอาชีพ จึงได้ผลักดันความมั่นคงในอาชีพของชาว กศน. ตามนโยบาย กศน.WOW “Good Teacher” ซึ่งสามารถดำเนินการให้มีจัดสรรอัตราข้าราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด กศน. และเปิดสอบบรรจุข้าราชการครู กศน.จนสำเร็จเป็นครั้งแรก รวม 1,381 อัตรา เป็นที่เรียบร้อย”นางกนกวรรณ กล่าวและว่า จากนั้นในปี 2564 ตนก็ยังคงผลักดันในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา สำนักงาน กศน.ได้เปิดรับสมัครเพื่อบรรจุเป็นพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งครูผู้สอนคนพิการ และครูผู้สอนผู้ด้อยโอกาส (เร่ร่อน) ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน กศน. แทนตำแหน่งว่างจากการผู้ที่สอบบรรจุเป็นข้าราชการครูผู้ช่วย กศน. รวมจำนวน 60 อัตรา ถือเป็นโอกาสอันดีของครูที่ปฏิบัติหน้าที่ครูผู้สอนคนพิการ และครูผู้สอนผู้ด้อยโอกาส (เร่ร่อน) ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงาน กศน. อยู่แล้ว ที่จะได้มีความมั่นคงในอาชีพ โดยอัตราดังกล่าวแบ่งเป็น ครูเด็กพิการ 51 อัตรา และครูเด็กเร่รอน 9 อัตรา ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและในภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี เชียงราย นครปฐม นครราชสีมา น่าน ปทุมธานี ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ร้อยเอ็ด ลำปาง สงขลา สระแก้ว สุพรรณบุรี หนองคาย อ่างทอง อุบลราชธานี เป็นต้น

“ถือเป็นอีกความสำเร็จในการสร้างความมั่นคงให้กับชาว กศน. โดยครูโอ๊ะยืนยันที่จะพยายามผลักดันให้ได้เปิดสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูและพนักงานราชการ ที่ยังประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษในทุกช่วงวัยต่อไป ขอเป็นกำลังใจให้กับครู บุคลากร และเจ้าหน้าที่ทุกคน และขอให้ทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะข้ามผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปด้วยกัน” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

“อัมพร”ตามงานสพฐ.พร้อมเร่งนโยบายQuick Winเสมา1

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ว่า สืบเนื่องจากนางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ได้ประกาศเลื่อนเปิดภาคเรียนเป็นวันที่ 14 มิ.ย.2564 เว้นแต่โรงเรียนใดที่มีความพร้อมเปิดการเรียนการสอนก่อนวันที่ 14 มิ.ย.2564 ซึ่งก็มีโรงเรียนกว่า 1.2 หมื่นโรง ที่มีความพร้อมเปิดการเรียนการสอนก่อนวันที่ 14 มิ.ย.2564 โดยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนก็แล้วแต่บริบทของแต่ละโรงเรียนจะสอน รูปแบบ On Site, On Air คือการออกอากาศผ่าน DLTV  Online, หรือ On Demand, ซึ่งโรงเรียนส่วนใหญ่ใช้รูปแบบผสมผสาน ซึ่งจากการติดตามการดำเนินการ การประสานงานระหว่างโรงเรียนกับนักเรียนทราบว่าทุกโรงเรียนสามารถดำเนินการจัดการเรียนการสอนได้

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้พูดถึงนโยบายเร่งด่วนของรมว.ศึกษาธิการ ไปสู่การปฏิบัติในส่วนของสพฐ.รับผิดชอบ คือ เรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคภัยจากโควิด-19 ความปลอดภัยในการเดินทาง หรือความปลอดภัยอื่น ๆ ซึ่งเป้าหมายคือต้องการให้โรงเรียนสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ปกครองและนักเรียนทุกคนที่เข้ามาในโรงเรียน และสพฐ.จะทำความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลความปลอดภัย โดยสพฐ.จะเป็นเจ้าภาพ

ส่วนความคืบหน้าการปรับหลักสูตรอิงมาตรฐาน มาเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ นั้น คาดว่าจะดำเนินการให้ทันใช้ในภาคเรียนปีการศึกษา 2565 และนโยบายเร่งด่วนที่สพฐ.จะต้องรีบดำเนินการต่อไปคือ การดูแลนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ คือเด็กด้อยโอกาส เด็กพิการ ซึ่งสพฐ.จะทำระบบฐานข้อมูลที่จะเอกซเรย์นักเรียนหรือประชากรทั่วประเทศได้ เพื่อปักมุดว่ามีเด็กพิการ เด็กด้อยโอกาสเหล่านี้อยู่ที่ไหน จำนวนเท่าไหร่ ต้องการความช่วยเหลือด้านใดบ้าง เพื่อหารูปแบบในการช่วยเหลือต่อไป ซึ่งจะตอบโจทย์เรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“นอกจากนี้ ผมยังได้มอบหมายให้ สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ(สพร.) สพฐ.และสำนักทดสอบทางการศึกษาสพฐ.ไปทำการวิจัยการปรับกระบวนการการทำงานของสพฐ.จากการลงเวลาแบบแมนนวล มาเป็นการลงเวลาโดยระบบโปรแกรมอัตโนมัติ ทั้งกลุ่มที่มาทำงานในสำนักงานและกลุ่มทำงานที่บ้าน(เวอร์ฟอร์มโฮม) ว่ามีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร ถ้าวิจัยออกมาแล้วได้ผลดี สพฐ.ก็จะปรับสัดส่วนการมาทำงานเพื่อลดการแออัดในสำนักงาน”ดร.อัมพร กล่าวและว่า นอกจากนี้ตนยังได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าปีงบประมาณ2565 สพฐ.ถูกปรับลดงบประมาณการดำเนินงานลง 6% หรือ ประมาณ 3,000 กว่าล้านบาท ดังนั้น จึงต้องมาปรับระบบการทำงานโดยการเรียงลำดับความสำคัญเป็นหลัก

 

 

 

 

 

 

 

ศธ.ดีเดย์ฉีดวัคซีน7มิ.ย.นี้ “อัมพร”เผยตัวเลขรร.พร้อมเปิดสอน1มิ.ย.1.2หมื่นแห่ง

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตนได้ลงนามในประกาศป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 โดยแบ่งเป็นพื้นที่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขอให้หน่วยงานในสังกัดศธ.ไม่ใช่สถานศึกษา จัดบุคลากรหมุนเวียนมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงาน ไม่เกิน 10% ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ให้จัดบุคลากรหมุนเวียนมาปฏิบัติงานตามความเหมาะสม ส่วนอีก 73 จังหวัดหากจะเปิดภาคเรียน ต้องได้รับอนุญาตจากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ต่อไป

ปลัดศธ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น ขณะนี้หลายพื้นที่ได้มีการฉีดวัคซีนนำร่องไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งรัฐและเอกชน และจะมีการปูพรมฉีดทั่วประเทศ และวันที่ 7 มิ.ย.นี้ จะเป็นวันดีเดย์  ของข้าราชการศธ.ในพื้นที่สีแดงเฉพาะกรุงเทพฯ จะจัดให้ฉีดที่สถานีกลางบางซื่อ ประมาณ 6 หมื่นคน โดยจะมีการจัดเป็นรอบๆ เพื่อไม่ให้เกิดความแออัด และทยอยฉีดจนครบทุกคน ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 วัน  ส่วนในจังหวัดต่าง ๆ ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด และศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) เพื่อประสานให้ครูได้รับการฉีดวัคซีน โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) จะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อและจัดตาราง การฉีดให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อลดการแออัด

ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ได้ดำเนินการสำรวจความโรงเรียนที่พร้อมจัดการเรียนการสอน รวมทั้งสิ้น 28,698 แห่ง ไม่รวมข้าราชการในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(สศศ.) โดยมีโรงเรียนที่พร้อมเปิดเรียน วันที่ 1 มิถุนายน จำนวน 12,571 แห่ง แบ่งเป็นการเรียนแบบ Onsite จำนวน 5,865 แห่ง Onair 2,377 แห่ง ondemand 2,187 แห่ง online 2,926 แห่ง และ onhand 8,603 แห่ง เปิดเรียน วันที่ 14 มุนายน 15,951 แห่ง และเปิดเรียน วันที่ 2 – 13 มิถุนายน 171 แห่ง สำหรับการเรียนการสอนจะมี 5 รูปแบบ คือ 1. On Site ให้มาเรียนตามปกติได้ในพื้นที่ที่ไม่ใช่สีแดง แต่ต้องเว้นระยะหรือลดจำนวนนักเรียนต่อห้องลง 2. On Air คือการออกอากาศผ่าน DLTV เป็นตัวหลักในการกระจายการสอน 3. Online ให้ครูเป็นผู้จัดการเรียนการสอน ผ่านเครื่องมือที่ทางโรงเรียนกระจายไปสู่นักเรียน 4. On Demand เป็นการใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่ครูกับนักเรียนใช้ร่วมกัน และ 5. On Hand หากจัดในรูปแบบอื่น ๆ ที่กล่าวมาไม่ได้ ให้โรงเรียนจัดแบบ On Hand คือจัดใบงานให้กับนักเรียน เป็นลักษณะแบบเรียนสำเร็จรูป ให้นักเรียนรับไปเป็นชุดไปเรียนด้วยตัวเองที่บ้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของโรงเรียนแต่ละแห่ง โรงเรียนสามารถจัดสอนแบบคละรูปแบบและวิธีการเรียนการสอนได้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนและผู้ปกครองเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่าง สำรวจจำนวนครูและนักเรียนที่เรียนผ่านระบบออนไลน์เพื่อประสานกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ช่วยเหลือดูแลค่าอินเตอร์เน็ตให้กับครูและนักเรียนต่อไป

เลขาธิการกพฐ.กล่าวอีกว่า ทั้งนี้การจัดการเรียนการสอนครั้งนี้ ไม่ได้ใช้ครูหรือโรงเรียนเป็นฐาน แต่ให้โรงเรียนปรับแบบการเรียนให้เหมาะสม สามารถนำวิธีการแต่ละรูปแบบมาจัดสอนแบบคละกันได้ โดยยึดความพร้อมและความสมัครใจของนักเรียนเป็นสำคัญ เมื่อนักเรียนเลือกช่องทางใดก็ให้สื่อสารกับครู และจัดสอนตามรูปแบบที่นักเรียนต้องการ ส่วนโรงเรียน

ปลัดศธ.เลขาฯกพฐ.ควงคู่ชี้แจงประกาศเรื่องลดค่าธรรมเนียม

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2564 ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์กรณี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  ได้ลงนามประกาศ ศธ. เรื่อง แนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ของสถานศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครองในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้โรงเรียนปรับลดค่าธรรมเนียมการเรียน นั้น ว่า นางสาวตรีนุช คงกังวลถึงความเดือดร้อนของผู้ปกครองในภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่จะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเยอะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับการหารือร่วมกันระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง และสมาคมผู้ปกครองว่าจะสามารถลดค่าธรรมเนียมอื่นได้หรือไม่ ว่าส่วนไหนที่ไม่ได้ใช้ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าแอร์  ค่าว่ายนำ ค่าเรียนพิเศษ เป็นต้น อย่างไรก็ตามก็ต้องดูเรื่องของคุณภาพการศึกษาด้วย ซึ่งอาจจะช่วยเหลือเป็นราย ๆ ไป

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ซึ่งเป็นโรงเรียนของรัฐ แต่มีการจัดการศึกษาหลายรูปแบบ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา เช่น กลุ่มที่ 1. ห้องเรียนพิเศษ โปรแกรมนานาชาติ อังริชโปรแกรม(สองภาษา)พหุภาษา ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ที่ใช้หลักสูตรภาษาอังกฤษ ซึ่งห้องเรียนเหล่านี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่ไม่เกินเพดานที่สพฐ.กำหนด กลุ่มที่2. ห้องเรียนปกติ แต่ต้องการจัดกิจกรรมเสริมเพื่อให้เกิดคุณภาพที่ดีขึ้น ซึ่งสพฐ.ได้เคยมีประกาศให้โรงเรียนเก็บค่าบำรุงการศึกษาเพิ่มขึ้นได้ แต่กำหนดเพดานไว้ว่าโรงเรียนสามารถเก็บได้เท่าไหร่ ไม่เกินเท่าไหร่ แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเขตพื้นที่การศึกษาด้วย แต่ในภาวะที่ไม่ปกติตอนนี้ ผู้ปกครองก็ลำบาก สพฐ.จะนำประกาศของรมว.ศึกษาธิการ ให้เชื่อมโยงกับหลักเกณฑ์ของสพฐ. ว่าส่วนไหนที่ออกไปแล้วเพิ่มภาระให้ปกครอง ส่วนไหนที่ไม่ต้องเก็บ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้บริบทความจำเป็นของแต่ละพื้นที่ แล้วแต่ความสมัครใจของผู้ปกครองและกรรมการสถานศึกษา ที่ต้องการให้ลูกหลานเรียนให้มีคุณภาพแบบไหน

“โรงเรียนก็เปรียบเสมือนกับโรงงานที่ผลิตออกมาแบบไหน ให้มีคุณภาพ ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งก็ต้องจัดให้อยู่ในความพอดี ไม่เดือดร้อนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สิ่งที่รมว.ศึกษาธิการประกาศไป เพราะอยากให้โรงเรียนไปดูว่าอะไรจะเอื้ออาทรกันได้หรือลดภาระให้กับผู้ปกครองได้ ภายใต้ภาวะวิกฤต ดังนั้น เรื่องนี้ผู้ปกครองและโรงเรียนต้องหารือร่วมกัน”เลขาธิการกพฐ.กล่าว

วันเดียวกัน นางสาวตรีนุช ได้ให้หลักการเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครอง โดยให้ คืนเงินส่วนที่ไม่ได้จัด ผ่อนผันส่วนที่จำเป็นต้องจัด และช่วยเหลือผู้ปกครองเป็นรายกรณี

เอกชนออกแถลงการณ์โต้ประกาศลดค่าธรรมเนียม

 

“ตรีนุช”ต้องจัดงบฯสนับสนุนให้ รร.เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้รับผิดชอบอย่างแท้จริง อย่าผลักภาระให้กับบุคคลอื่น

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2564 ผศ.ดร.ศุภเสฏฐ์ คณากูล นายกสมาคมคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชน เปิดเผยว่า ตามที่นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงนามประกาศ ศธ. เรื่อง แนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ของสถานศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครองในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้โรงเรียนปรับลดค่าธรรมเนียมการเรียน นั้น ทางโรงเรียนเอกชนยินดีตอบสนองนโยบายดังกล่าว แต่การจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพโรงเรียนต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมคุณภาพผู้เรียนให้ตรงตามเป้าหมายของศธ.

“รมว.ศึกษาธิการ จำเป็นต้องจัดงบประมาณมาสนับสนุนการจัดการศึกษาเอกชนในการจัดการศึกษาไปสู่คุณภาพ จึงจะถือว่าเป็นการประกาศนโยบายดังกล่าวอยู่ในภาวะที่มีผู้รับผิดชอบอย่างแท้จริง และไม่เป็นการผลักภาระให้กับบุคคลอื่นเพียงฝ่ายเดียว”ผศ.ดร.ศุภเสฏฐ์ กล่าว

ก.ค.ศ.กำหนดหลักเกณฑ์ว7/2564 เปิดช่องย้ายข้ามขนาดได้ สพฐ.เวียนหนังสือถึงสพท.สศศ.ศธจ.แจ้งรับทราบ

ตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้แจ้งหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ทราบถึงหลักเกณฑ์การย้ายผู้บริหารสถานศึกษา ตาม ว7/2564 ลงวันที่ 12 พ.ค.2564  ให้เป็นไปตามหลักกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา( ก.ค.ศ.) กำหนด โดยให้ 1. ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการตามหนังสือที่อ้างถึง 1 คำอธิบายหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและการดำเนินการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามหนังสือที่อ้างถึง 2 และ 3ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป และกำหนดให้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการทุกส่วนราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป นั้น

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2564  ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ได้ลงนามในหนังสือแจ้งไปยัง ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(สศศ.)และศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัด ถึงเรื่องการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เพื่อให้การย้ายผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ.กำหนด ดังนี้  1.ขนาดสถานศึกษา ตามจำนวนนักเรียน เป็น 4 ขนาด คือ ขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 119 คนลงมา  ขนาดกลาง มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120-719 คน ขนาดใหญ่ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 720-1,679  คน และขนาดใหญ่พิเศษ จำนวนนักเรียนตั้งแต่ 1,680 คนขึ้นไป โดยให้ใช้ข้อมูลนักเรียน ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2564

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การย้ายตามหลักเกณฑ์ ว7/2564 ลงวันที่ 12 พ.ค.นี้ สามารถย้ายข้ามขนาดได้ หากมีความจำเป็น ขณะที่ ว6/2563 ไม่สามารถย้ายข้ามขนาดได้

 

“ครูเหน่ง”ห่วงผู้ปกครองประกาศ ลดค่าเทอมสู้โควิด-19

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)ได้ลงนามในประกาศ ศธ. เรื่อง แนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ของสถานศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครองในสถานการณ์ปัจจุบัน ศธ.กำหนดแนวปฏิบัติการเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น ให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาในสังกัดหรือในกำกับของ ศธ.ถือปฏิบัติ ดังนี้

ส่วนกรณีที่ได้มีการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียม การเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นไปแล้ว ให้คืนเงินบำรุงการศึกษาหรือค่าธรรมเนียมดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ได้ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในระหว่างที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษาค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่น เพื่อใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน อาจพิจารณาผ่อนผันหรือขยายระยะเวลาการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษา หรือ ค่าธรรมเนียมดังกล่าวตามความเหมาะสมเป็นกรณีไป โดยให้พิจารณาให้ความช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ปกครองของนักเรียน นักศึกษา ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวตามความจำเป็นเหมาะสม และ ให้หน่วยงานต้นสังกัดหรือที่กำกับโรงเรียนหรือสถานศึกษา แจ้งเวียนไปยังสถานศึกษาในสังกัด หรือ ในกำกับให้ปฏิบัติตามประกาศนี้ ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ครูและบุคลากรอาชีวะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรก”ครูเหน่ง”ส่งกำลังใจ

วันนี้  28 พ.ค.2564  นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต  เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ   เปิดเผยว่า นางสาวตรีนุช  เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ฝากให้กำลังใจ และให้ดูแล  ความเรียบร้อยในการฉีดวัคซีนครูเข็มแรก ของครูและบุคลากรวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี และสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ที่ โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ

“ครู และบุคลากรทางการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ถือว่าเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับนักเรียน  นักศึกษา มากที่สุด และเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ศธ.จึงมีเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ครบ 100% ก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียน”นางสาวอรพินทร์ กล่าว

ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่า การฉีดวัคซีนวันนี้ เป็นการฉีดให้แก่ครูและบุคลากรทุกคนของวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี และวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกมหานคร และผู้บริหารสถานศึกษาในสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 13 แห่ง กว่า 300 คน และจะทยอยฉีดให้ครบทุกวิทยาลัยก่อนเปิดเทอมนี้

ก.ค.ศ.บันทึกข้อตกลง3หน่วยงานวางแผนผลิตครูในอนาคต

เมื่อวันที่ 27 พ.ค.64  น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุม เห็นชอบให้ ก.ค.ศ.จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับสำนักงานราชบัณฑิตยสภา และสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการผลิตครูและผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์, ประเมินผู้ขอรับการประเมินวิทยฐานะ, พัฒนาเกณฑ์มาตรฐานวิทยฐานะ และพัฒนาเกณฑ์วิทยฐานะ ในการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ที่จะเกิดขึ้นนี้ ถือเป็นการดำเนินงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน  ประกอบด้วย การกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะใหม่, การปรับระบบการประเมินวิทยฐานะ ควบคู่กับระบบการประเมินเงินเดือน, การปรับระบบการพัฒนาผู้บริหารก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง, การกำหนดเกณฑ์อัตรากำลังของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง และการวางแผนการผลิตและระบบคัดกรองครูที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบการศึกษา ทั้งนี้หากมีได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานดังกล่าวจะทำให้การพัฒนาระบบการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นวิชาชีพชั้นสูงมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ด้านนายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวว่า การทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงานราชบัณฑิตยสภา และ ส.ค.ศ.ท. จะเชื่อมโยงกับหลักเกณฑ์ ว.23/2563 ในเรื่องเกณฑ์อัตรากำลัง ซึ่งเป็นดีมานที่ศธ.ต้องการ ซึ่งหน่วยงานการผลิตจะต้องไปวางแผนการผลิตร่วมกัน จะต้องผลิตครูตอบสนองดีมาน ความต้องการครูใน 3 ส่วน คือ ความต้องการครูของ ศธ. ซึ่งเป็นผู้ใช้หลัก ความต้องการครูของสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกรุงเทพมหานคร และความต้องการครูของภาคเอกชน เพราะ ศธ.ไม่อยากให้สถาบันผลิตครู ผลิตครูจำนวนมากแล้วท้ายสุดจะเกิดภาวะว่างงาน ซึ่งหลักเกณฑ์ ว23 นี้จะสามารถช่วยให้ ศธ.คำนวนการใช้ครูในอีก 10 ปี ข้างหน้าได้