เสมา2 ถก กกส.จัดทัพการศึกษาเตรียมรองรับพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่   

ที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการประธานการประชุมสภาการศึกษา (กกส.) ครั้งที่ 3/2564 เปิดเผยว่า ในการประชุมกกส. ที่ประชุม มีวาระสำคัญพิจารณาหลายเรื่อง โดย สกศ. รายงานผลการศึกษาปีการศึกษาเฉลี่ยของประชากรไทย 2563 ที่สะท้อนข้อมูลจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของวัยแรงงานกลุ่มอายุ 15 – 59 ปี เท่ากับ 9.86 ปี ยังห่างจากค่าเป้าหมายถึง 2.64 ปี จากเป้าหมายในปี 2579 ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ อยู่ที่ 12.5 ปี ดังนั้น จำเป็นต้องปฏิรูปการศึกษาให้เกิดรูปธรรมชัดเจน ขับเคลื่อนภายใต้กฎหมายการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ จัดระบบการเรียนรู้ใหม่ ๆ เช่น การจัดการศึกษาโดยครอบครัว (โฮมสคูล) ที่ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง ตลอดจนเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบและหลักสูตรการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สนับสนุนการพัฒนาทักษะ ปรับทักษะ และสร้างทักษะใหม่ให้กับวัยแรงงานให้มีความรู้และสามารถเรียนต่อได้สูงขึ้น

“การเพิ่มจำนวนปีการศึกษาของคนไทยที่มากขึ้นทั้งเชิงปริมาณควบคู่กับเชิงคุณภาพสอดรับกับผู้เรียนปัจจุบันที่แสวงหาความรู้เชิงสมรรถนะมากขึ้น ดิฉันจึงมีข้อเสนอแนะว่าให้เร่งขับเคลื่อนจัดสรรงบประมาณทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องความต้องการและความจำเป็นของสถานศึกษาแต่ละขนาดที่มีความแตกต่างกัน เสนอปรับหลักสูตรการเรียนการสอนแบบข้ามสาขาวิชาเพื่อพัฒนาให้เด็กมีทักษะรองรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ รวมถึงการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ปรับการจัดการเรียนการสอนแบบ Non-Degree การใช้กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และระบบคลังหน่วยกิต (Credit bank) ที่มีการกำหนดผลลัพธ์ของการเรียนรู้เน้นสมรรถนะที่จำเป็นในตลาดแรงงานพัฒนาไปสู่การจัดทำคลังสมรรถนะของประเทศไทยมาใช้”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบมอบหมายสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการออกหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับวิชาสามัญเพิ่มเติมโดยคำแนะนำของมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อประโยชน์ในการรับรองวิทยฐานะให้แก่สามเณรที่ศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีสนามหลวงและแผนกธรรมสนามหลวง ตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562  ซึ่งเป็นการรับรองวิทยฐานะให้กับการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีสนามหลวง และแผนกธรรมสนามหลวง รวมทั้งกำหนดรูปแบบการเทียบโอนระดับการศึกษาและคุณวุฒิที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย

ดร.คุณหญิงกัลยา กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้มอบหมาย สกศ. ปรับปรุงร่างดัชนีการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประเทศไทย ที่ได้ศึกษาจากตัวชี้วัดที่มีอยู่แล้วในประเทศไทยในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา นำมาสังเคราะห์เพื่อแสดงรายละเอียดมิติและตัวชี้วัดจำแนกตามจังหวัด จำเป็นต้องพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ที่เข้มแข็ง ตรงจุด และสอดคล้องวิถีชีวิตปัจจุบันภายใต้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) เริ่มตั้งแต่แรกเกิดถึงสูงวัย เน้นเพิ่มขีดความสามารถในการใช้เครื่องมือเพื่อการเรียนรู้และการพัฒนาคุณลักษณะนิสัยใฝ่รู้อย่างมีวิจารณญาณ และปรับเนื้อหาให้มีความสอดคล้องร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. …. ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการวางแผนยกระดับการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของจังหวัดและภูมิภาคได้

 

 

กมธ.การศึกษาวุฒิสภาเยี่ยมศธ.หารือแนวทางจัดการศึกษาของประเทศ

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2564 ดร.ตวง อันทะไชย ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การศึกษา วุฒิสภา เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)และผู้บริหารองค์กรหลักศธ. ว่า ตนและคณะกมธ.การศึกษาวุฒิสภา ได้มาหารือและเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. … ที่ขอให้แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนไหนที่ติดขัด  เช่น ระบบการศึกษาที่ต้องแก้ ซึ่งต้องเขียนในบทเฉพาะกาลให้ชัดเจน ว่าจะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนผ่านทางการศึกษาภายในกี่เดือน กี่ปี ส่วนกรณีกลุ่มเครือข่ายองค์กรครู มีข้อกังวลเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างและไม่เห็นด้วยกับโครงสร้างการรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางทั้งในมาตรา106ที่ให้อำนาจปลัดกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชา  การให้อำนาจกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ชี้นำแทรกแซงรัฐสภาในการออกกฎหมายระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ  และสาระบัญญัติของ  ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้  ไม่มีมาตราใดที่กล่าวถึงหน่วยงานการศึกษาระดับจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษาแต่อย่างใด  แต่กลับกล่าวถึงผู้ว่าราชการจังหวัดให้มีอำนาจจัดการประชุมประธานคณะกรรมการสถานศึกษา แทนที่จะเป็นอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าหน่วยงานการศึกษาในระดับจังหวัดโดยตรงเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดถึงไม่แก้ไขเรื่องนี้ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฏีกา และจะแก้ไขทันในการพิจารณาของรัฐสภาหรือไม่นั้น  เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เพราะเรื่องต่างๆสามารถนำมาแก้ไขให้ขั้นตอนของการพิจารณาของรัฐสภาได้

ดร.ตวง กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังได้หารือถือการนำศาสตร์พระราชาที่สอดคล้องกับวิชาสังคมศึกษา ที่ให้ผู้เรียนได้พึ่งตัวเองได้มากขึ้น รวมถึงเสนอแนะให้ ศธ.ส่งเสริมการจัดการเรียนแบบทวิศึกษา เพื่อให้นักเรียนเรียนอาชีพได้มากขึ้น จบมามีรายได้ มีงานทำ สามารถเลี้ยงตนเองได้ ซึ่งจะเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม

“ตรีนุช”นั่งหัวโต๊ะประชุมผอ.เขตพื้นที่ฯย้ำให้เรียนแบบยืดหยุ่นเด็กไม่เครียดแนะให้นำการเรียนรู้แบบActive Learning

 

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลัง การเป็นประธาน ประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ผ่านระบบทางไกล ว่า เนื่องจากขณะนี้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โรงเรียนไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนตามปกติได้ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้จัดการเรียนการแบบ New Normal ที่สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ ใน 5 รูแบบ คือ On-Site เรียนที่โรงเรียน โดยมีมาตรการเฝ้าระวังตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.), On-Air เรียนผ่าน DLTV, On-Demand เรียนผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ, Online เรียนผ่านอินเทอร์เน็ต, On-Hand เรียนที่บ้านด้วยเอกสาร เช่น หนังสือแบบฝึกหัดใบงาน และในรูปแบบผสมผสาน หรืออาจใช้วิธีอื่น ๆ เช่น วิทยุ เป็นต้น ซึ่งวันนี้ตนได้เน้นย้ำให้เขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนให้จัดการเรียนการสอนอย่างปลอดภัย และมีความสุข ไม่ให้เด็กเกิดความเครียดอะไรที่ยืดหยุ่นได้ก็ให้ยืดหยุ่น พร้อมกันนี้ก็ขอให้แต่ละพื้นที่เสนอรูปแบบการเรียนการสอนของแต่ละพื้นที่มาได้ เนื่องจากบริบทของแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน จะเรียนแบบไหนก็ได้ แต่ขอให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข และลดภาระให้กับผู้ปกครอง

“ดิฉันคิดว่า ถ้าเรานำการเรียนรู้แบบActive Learningมาใช้ จะทำให้เด็กเกิดความคิดด้วยตัวเอง ไม่ใช่เรียนรู้อย่างเดียว อาจจะไม่ตอบโจทย์ตามเป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้นครูจะต้องรู้ว่าจะเอาการเรียนรู้แบบไหนมาจัดการเรียนการสอน เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

เลขาฯกพฐ.ชี้เคารพธงชาติผ่านออนไลน์ครู-นักเรียนต้องมีกติการ่วมกัน

จากกรณี เพจ “นักเรียนเลว” ได้เปิดเผยว่า “Breaking : ครูจังหวัดอุบลราชธานี สั่งงานนักเรียน ให้เคารพธงชาติที่บ้านหน้าทีวีเวลา 8 โมงเช้า พร้อมถ่ายภาพส่ง  ทำให้มีผู้เข้าไปวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก นั้น

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า  ในสถานการณ์การเรียนการสอนออนไลน์ที่มีข่าวทางสื่อมวลชนขณะนี้ ว่าโรงเรียนให้นักเรียนให้เคารพธงชาติผ่านออนไลน์ เรื่องนี้ตนมีมุมมองอยู่สองทัศนะ คือ ถ้ามองในทางเป็นบวก ตนมองว่าถ้าหากการเคารพธงชาติของนักเรียนในห้องนั้นผ่านการเรียนการสอนออนไลน์ เป็นข้อตกลงระหว่างครูกับนักเรียนตั้งแต่ก่อนการจัดการเรียนการสอนแล้ว เพื่อให้ทุกคนมีความพร้อมร่วมกันและเป็นการแสดงออกถึงความรักชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันของนักเรียนและครูถือว่าการปฎิบัติตรงนี้เป็นการวัดเรื่องความรับผิดชอบของเรื่องคุณลักษณะที่พึงประสงค์ไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นกติการ่วมกันที่ทุกคนต้องถือปฏิบัติก็เป็นแนวทางที่ไม่ผิดอะไรเพราะทุกคนยอมรับร่วมกันแล้ว

เลขาธิการกพฐ.กล่าวต่อไปว่า แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งที่นักเรียนและครูไม่ได้มีกติการ่วมกัน หรือไม่ได้ทำข้อตกลงร่วมกัน อยู่ ๆ โรงเรียนบังคับให้เด็กทำ ไม่เป็นกติการ่วมกัน ไม่ได้บอกถึงวัตถุประสงค์เป้าหมายที่ต้องทำก็อาจจะเกิดความไม่เข้าใจ ซึ่งอาจจะเป็นการบังคับซึ่งตรงนี้ก็ไม่ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามตนคิดว่าเรื่องอย่างนี้ไม่ว่าจะเรียนแบบไหน ออนไซต์ หรือเรียนออนไลน์ นักเรียนไทยก็ต้องมีวินัยระเบียบ มีความรับผิดชอบแต่วิธีการที่จะประเมินความรับผิดชอบและประเมินบทบาทอำนาจหน้าที่ ขอให้อยู่ในกติการ่วมกัน ทั้งนักเรียน คุณครู และโรงเรียน น่าจะเข้าใจกันมากที่สุดอย่างไรก็ตามเรื่องนี้คงไม่ใช่ภาพรวม ทั้งประเทศอาจจะเป็นเฉพาะบางแห่งเท่านั้น

ศธ.หารือคลังปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำเสริมสภาพคล่องโรงเรียนเอกชน

“ ตรีนุช-กนกวรรณ” ถก รมว.คลัง ใช้มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้โรงเรียนเอกชนมีเงินเสริมสภาพคล่อง หลังโรงเรียนโอดได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ  เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ตนพร้อมด้วย นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ  ซึ่งดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้หารือร่วมกับ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ถึงการช่วยเหลือโรงเรียนเอกชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยผลการหารือเบื้องต้นกับ รมว.คลัง เห็นตรงกันว่าจะใช้มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) โดยหาแหล่งเงินกู้ เช่น ธนาคารต่างๆ มาให้โรงเรียนเอกชนที่ประสบปัญหาได้กู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ในวงเงินที่สูงมากขึ้น เพียงพอต่อการใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ตนได้ขอให้นางกนกวรรณ ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ รมว.คลัง ในการหาแหล่งเงินกู้ จัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการกู้ยืม เพื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องและแบ่งเบาภาระให้โรงเรียนเอกชนมากที่สุด ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เคยมีประกาศ กช.เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกู้ยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียนไปแล้ว โดยให้โรงเรียนในระบบ กู้ยืมเงินหรือยืมเงิน จากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบฯ โดยให้กู้ยืมโรงเรียนละไม่เกิน 3 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี และผ่อนชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 6 ปี โดยชำระเป็นรายเดือน หรือ รายไตรมาส แล้วแต่กรณี ซึ่งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่กำลังจะจัดทำขึ้นใหม่นี้ มีแนวคิดที่จะขอให้กู้ยืมได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าที่กองทุนฯจัดให้ หรือ รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ในช่วงแรก หรือ มีวงเงินกู้ที่สูงขึ้นถึง 20 ล้านบาทเช่นเดียวกับที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับตาม  มาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ หรือ สินเชื่อฟื้นฟู ทั้งนี้ทราบว่าในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ นางกนกวรรณ ได้เชิญผู้แทนจากโรงเรียนเอกชนในระบบ โรงเรียนเอกชนนอกระบบ โรงเรียนนานาชาติ และ ผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง มาประชุมหารือแนวทางการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนเอกชน ซึ่งตนจะเข้าร่วมประชุมด้วย

“ตรีนุช”ครูพี่โอ๊ะ มอบกศน.จัดอาชีพช่วยเหลือนักศึกษาประชาชนช่วงวิกฤตโควิด-19

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2564 ดร.วรัท  พฤกษาทวีกุล เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย( กศน.)เปิดเผยว่า นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ และ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ที่กำกับดูแล กศน.มีความห่วงใยนักศึกษา ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 เป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้สำนักงาน  กศน. ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนและนักศึกษา โดยให้จัดกิจกรรมสำคัญ ๆ คือ กิจกรรมที่ 1 มอบหมายให้สำนักงาน กศน.จังหวัดทุกจังหวัด และทุกหน่วยงานในสังกัด กศน. ทุกแห่ง ดำเนินการฝึกอบรมการจัดทำหน้ากากผ้าอนามัย เจล แอลกอฮอล์  น้ำยาเอนกประสงค์ต่าง ๆ ได้แก่ สบู่เหลว น้ำยาถูพื้น น้ำยาล้างจาน น้ำยาซัก ซึ่งเป็นที่ต้องการของประชาชน เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน โดยให้ครู กศน. ได้เปิดกลุ่มอาชีพดังกล่าวในพื้นที่

เลขาธิการ กศน.กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมที่ 2 จัดโครงการ “ล้านเมล็ดพันธุ์สู้ภัยโควิด”โดยได้มอบหมายให้ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนทุกแห่ง , ศูนย์ฝึกวิชาชีพจังหวัดกาญจนบุรี “สามสงฆ์ทรงพระคุณ” , ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหารอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และ สำนักงาน กศน.จ.สมุทรสาคร ปลูกผักเพื่อเพาะเมล็ด เช่น ฟ้าทะลายโจร ขมิ้น กระชาย แจกจ่ายทุกจังหวัด รวมทั้งสำนักงาน กศน.ทุกจังหวัด สถานศึกษา และห้องสมุดประชาชนทุกแห่งทั่วประเทศ จัดสอนหลักสูตรปลูกผักสู้ภัยโควิดและสาธิตการปลูกแปลงปลูกฟ้าทะลายโจร ขมิ้น กระชาย หรือพืชสมุนไพรอื่นๆ เพื่อเป็นตัวอย่างกับนักศึกษาและประชาชน และภายในเดือน ก.ค. 2564 สำนักงาน กศน.จังหวัด และสถานศึกษาทุกแห่ง จะเริ่มแจกจ่าย “ล้าน เมล็ดพันธุ์” สู้ภัยโควิดให้กับประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบ

กิจกรรมที่ 3 จัดทำโครงการฝึกอาชีพเพื่อการมีงานทำสำหรับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 “1 ตำบล 1 กลุ่มอาชีพ” โดยจัดอบรมหลักสูตรอาชีพ ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เกิดทักษะอาชีพใหม่หรือต่อยอดอาชีพเดิมที่สามารถนำไปประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว ประกอบด้วย (1) ผู้ตกงาน (2) ผู้ว่างงาน (3) ผู้ที่รายได้ลดลง (4) ผู้ที่หายจากอาการป่วยและต้องการฝึกอาชีพ (5) ประชาชนทั่วไปที่ต้องการสร้างหรือเสริมรายได้ รวมผู้เข้ารับการฝึกอาชีพ รวมจำนวน 82,000 คน ซึ่งขณะนี้กำลังจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมอยู่ และจะคาดว่าจะเริ่ม kick off ได้ ช่วงต้นเดือน ก.ค. นี้

อว.เปิดฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19วันแรก11จุดคึกคักฉีดได้ 30,000-50,000โดสต่อวัน

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2564 ซึ่งเป็นวันแรกของเปิดจุดดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ตามวาระแห่งชาติ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่พร้อมกันทั่วไทย สำหรับในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว) และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้ดูแลศูนย์ฉีดกลาง จำนวน 11 จุดนั้น ตั้งแต่ช่วงเช้า ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อว. ได้เดินทางไปเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็น 1 ใน 11 ศูนย์ที่ อว.จัดตั้งขึ้นในการให้บริการฉีดวัคซีน โดยบรรยากาศภาพรวมการดำเนินการเป็นไปด้วยความราบรื่นและเรียบร้อยดี

ทั้งนี้ ศ.ดร.เอนก ได้ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานและผู้เข้ารับวัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นกันเองพร้อมกล่าวว่า  มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นจุดฉีดวัคซีนที่สำคัญจุดหนึ่ง เพราะมีสถานที่พร้อม คนพร้อม  ผู้บริหารตั้งใจอาสา ทรัพยากรมีจำกัดอยู่บ้างแต่ก็ระดมเท่าที่มีอยู่โดยทำงานด้วยใจ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จะเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่บุคลากร นักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง องค์กร สถาบันอื่นๆ ในประเภทกลุ่ม และประชาชนตามที่นัดหมาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าภารกิจจะแล้วเสร็จ โดยได้รับการจัดสรรวัคซีนจาก ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข และได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลนวมินทร์ 9  ในการควบคุมการฉีดวัคซีนและส่งต่อกรณีวัคซีนมีผลข้างเคียง  โดยสามารถฉีดวัคซีนประมาณ 2,000 คนต่อวัน

วันเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ซึ่งเป็นอีก 1 ใน 11 จุดฉีควัคซีนของ อว. ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว.ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์บริการฉีดวัคซีน KU สู้ COVID-19 รองรับ บุคลากร นิสิต มก. นักศึกษา มหาวิทยาลัยใกล้เคียง หน่วยงานกระทรวง อว. หน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐ-เอกชน และชุมชนโดยรอบ โดย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า กำลังการฉีดวัคซีนโดยรวมในกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้ง 11 จุด ที่ อว.ดูแลจะอยู่ที่ประมาณ 30,000-50,000 โดสต่อวัน โดยจะดำเนินการฉีดไปจนกว่า คนไทยและคนที่อยู่ในประเทศไทยทั้งหมดได้รับวัคซีน

ด้าน ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์  อธิการบดี มก. กล่าวว่า เป้าหมายของศูนย์บริการฉีดวัคซีนของ มก.ในเดือน มิ.ย.นี้ มีจำนวนประมาณ 45,000 โดส ฉีดวันละประมาณ 1,500-5,000 คน ตามการนัดหมาย มีทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ จิตอาสาจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฏเกล้า และ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นพรัตน์วชิระ มาช่วยฉีดวัคซีน ดังนั้น ขอให้มั่นใจ โดยภายใน มก. จะมีศูนย์บริการฉีดวัคซีน ทั้งหมด 2 ศูนย์ ได้แก่ศูนย์บริการฉีดวัคซีน KU สู้ COVID-19 ภายใต้ อว.ที่อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ กำหนดฉีดเวลา 8.00-16.00 น. วันที่ 7, 8, 11, 12, 18, 19, 26, 27 มิ.ย. 2564 และศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โดยสำนักงานประกันสังคม ณ อาคารเสรีไตรรัตน์ (ยิมเนเซียมด้านถนนวิภาวดีรังสิต) กำหนดฉีดเวลา 8.00-15.00 น. วันที่ 7-21 มิ.ย.64

จากนั้น ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ได้เดินทางศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด – 19 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีไทยบริหารธุรกิจ โดย กทม.- หอการค้าไทย-มหาวิทยาลัยศรีปทุม-โรงพยาบาลตากสิน เปิดให้บริการฉีดวัคซีนเป็นทางการวันแรก สำหรับประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ  โดยตั้งเป้าฉีดให้ได้อย่างน้อย 30,000 รายต่อเดือน  ขณะที่ศูนย์ฉีดวัคซีนแห่งอื่นๆ อีก 9 ศูนย์ ได้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.มหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ม.รังสิต ม.ราชภัฎธนบุรี และ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ บรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีผู้ทยอยมารับบริการฉีดวัคซีนต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

‘เสมา1’ ลงพื้นที่ให้กำลังใจครูฉีดวัคซีน วันแรก5,352 คน

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2564  นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวลย์ รมช.ศึกษาธิการ ลงตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีน สถานีกลางบางซื่อ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดย นางสาวตรีนุช กล่าวว่า  จากการตรวจเยี่ยมครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มาฉีดวัคซีนวันนี้ ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งศธ.ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาในทุกสังกัด ที่สถานีกลางบางซื่อ เข้ามาฉีดวัคซีนวันละ 5,000 คน โดยวันนี้มี จำนวน 5,352 คน แบ่งเป็น บุคลากรในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 1,843 คน บุคลากรในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 2,592 คน และบุคลากรในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามตามอัธยาศัย (กศน.) 917 คน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า จากการสอบถามครูที่มาฉีดวัคซีนวันนี้ ทุกคนบอกว่าสบายดี และมีความมั่นใจมากขึ้น หลายคนมีกำลังใจที่ดี รู้สึกเชื่อมั่น เพราะได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว จึงทำให้มีกำลังใจในการทำงาน และจัดเตรียมการเรียนการสอนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ศธ.ตั้งเป้าไว้ว่าจะฉีดวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ได้มากที่สุด ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 วันที่ 14 มิถุนายนนี้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศว่าจะฉีดให้ครูได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งศธ.ได้ส่งรายชื่อครูทั้งหมดกับกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศคบ.) แล้ว กว่า 30,000 คน และจะทยอยฉีดวันละ 5,000 คน จนกว่าจะหมด สำหรับครูที่ไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาล ได้ให้ความสำคัญกับครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างมากและจะเป็นกลุ่มแรกๆที่จะได้รับการฉีดวัคซีนอยู่แล้ว

 

 

 

“บอร์ดกอศ.”เดินหน้าสรรหานายกสภาสถาบันฯ14แห่งอีก9 แห่งเลือกไว้แล้ว

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ… และเตรียมบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเร็วๆ นี้ นั้น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ… โดยมี นายจรูญ ชูลาภ เป็นประธานพร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันอาชีวศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมให้ความคิดเห็น ทั้งนี้ การปรับปรุง พ.ร.บ.การอาชีวศึกษาฯ ครั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ ดังนั้นการปรับแก้ พ.ร.บ.การอาชีวะจึงต้องรอดูรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯด้วย ว่ามีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับ การอาชีวศึกษาบ้าง จากนั้นคณะกรรมการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.การอาชีวศึกษาฯ จะวิเคราะห์และร่วมกันพิจารณาปรับแก้รายละเอียดให้สอดคล้องกันต่อไป อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูเบื้องต้น คิดว่าไม่น่าจะต้องปรับรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา มากนักแต่ก็ต้องรอดูการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษาจะมีการปรับแก้รายละเอียดตรงส่วนใดเพิ่มเติม และเชื่อมโยงกับอาชีวะหรือไม่ ดังนั้นในช่วงนี้จึงเป็นการเตรียมความพร้อม เพราะต้องรอให้กฎหมายแม่ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ ผ่านสภาก่อน

“ในการประชุมคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ที่มีนายรอยล จิตรดอน เป็นประธาน ได้พิจารณาการสรรหานายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษา ทั้ง 23 แห่ง ซึ่งเว้นว่างมานานหลายปี  ขณะนี้ สอศ.ได้ศึกษารายละเอียดและข้อกฎหมาย แล้ว โดยจะคัดเลือกนายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษาใหม่อีก 14 แห่ง ส่วน 9 แห่งที่คณะกรรมการ กอศ.ชุดเดิมเคยมีมติไว้ ก็ยังคงไว้เหมือนเดิม “เลขาธิการกอศ.กล่าว

“เสมา1” ชี้แจงสภาผู้แทนราษฎรฯถึงความก้าวหน้าพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้  ตนได้ชี้แจงข้อซักถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 1 เพื่อพิจารณาและอภิปราย (ร่าง) พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2565 ว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เสมือนธรรมนูญการศึกษา เป็นกฎหมายกลางของการศึกษา เพื่อดูแลการจัดการศึกษาของประเทศ ทั้งการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ทั้งจัดโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าขณะนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ปฏิรูปการศึกษาไทย โดยคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของทางรัฐบาล สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาวงการการศึกษาของประเทศให้เท่าทันสังคมโลก

โดยร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ ตลอดจนได้นำข้อกังวลของครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เกี่ยวข้อง หารือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พร้อมส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรับแก้ไขใน 3 ประเด็น ได้แก่ การกำหนดให้วิชาชีพครู เป็นวิชาชีพชั้นสูง, ปรับแก้ใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู เป็นใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และปรับแก้หัวหน้าสถานศึกษา เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขั้นตอนต่อไปจะนำร่างพระราชบัญญัตินี้เข้าสู่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎรในระบบรัฐสภา และจะผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปด้วย

ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนในการจัดการศึกษาในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่แตกต่างไปจากเดิม เน้นพัฒนาให้เด็กมีสมรรถนะในการนำองค์ความรู้ไปปรับใช้กับชีวิต สามารถคิดวิเคราะห์ในมุมมองที่แตกต่าง มีความคิดอย่างรอบด้าน มีวิจารณญาณ ในส่วนของครู ก็จะต้องมุ่งเน้นพัฒนาครูให้มีคุณภาพ มีจิตวิญญาณความเป็นครู ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการปรับปรุงหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 พร้อม ๆ กับจัดอบรมเตรียมความพร้อมให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา ในเรื่องของหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยเฉพาะการสอนแบบ Active learning ที่เป็นการเรียนรู้ตามความเป็นจริง ตามสถานการณ์จริง เน้นการพัฒนาและการจัดระบบนิเวศทางการเรียนรู้ ซึ่งขอให้มั่นใจว่า หลักสูตรนี้พัฒนาขึ้นมาโดยเน้นองค์ความรู้เช่นเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ วิธีการของครูที่จะใช้สอนให้เด็กเข้าถึงองค์ความรู้นั้น อาจจะนำสิ่งรอบตัวมาปรับใช้ให้เห็นภาพจริงมากขึ้น กระตุ้นให้เด็กได้มีการคิดวิเคราะห์ และคิดวิเคราะห์ด้วยตนเองได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ จะมีความอิสระมากขึ้น เน้นให้สถานศึกษามีความเป็นเอกภาพ เกิดการบูรณาการในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา สามารถจัดการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นและอิสระทางวิชาการ รองรับการเรียนรู้ในหลากหลายรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงของสังคมโลก สอดคล้องกับข้อซักถามของสมาชิกผู้แทนราษฎร จะเห็นได้ว่ากระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาลเห็นความสำคัญของการทำให้โรงเรียนมีความอิสระมากขึ้น พร้อมทั้งยังได้ดำเนินการโครงการจัดการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ภายใต้พระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว มีเป้าหมายให้โรงเรียนจัดทำหลักสูตรที่มีความหลากหลาย โดยมีโรงเรียนเข้าร่วม 413 แห่งใน 8 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่ผู้บริหารโรงเรียนมีความประสงค์จะเข้ามามีส่วนร่วมทดลองหลักสูตร และการบริหารจัดการที่มีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ออกแบบกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการยิ่งขึ้นด้วย