ศธ.ยืนยันครู-นักเรียนได้ใช้แท็บเล็ต-โน๊ตบุ๊กปีนี้แน่นอน

เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568 พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยว่า ในการจัดทำคำของบประมาณประจำปี 2568  ซึ่ง ศธ.มีเป้าหมายเพื่อปฏิวัติการศึกษา เพื่อให้การศึกษาไทยปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการบริหารการศึกษามากขึ้น  ซึ่งทั้งหมดนี้ตอบโจทย์นโบาย เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime โดยเฉพาะเรื่องหลักสูตร ที่จะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ในเรื่องการจัดทำแพลตฟอร์ม เนื้อหาวิชาต่างๆ รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ให้กับนักเรียนด้วย โดย ศธ.ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ทุกที่ทุกเวลา จำนวน 7,000 กว่าล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรเพียง 3,000 กว่าล้านบาท ถูกตัดงบออกไปกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่ง ศธ.จะต้องทำคำขอแปรญัตติเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนต่อไป

ด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ยอมรับว่าตอนนี้มีการเบิกจ่ายล่าช้าสำหรับงบประมาณปี 2568  จึงถูกตัดงบฯไปได้มาเพียงครึ่งปี อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต้องให้ทันปีนี้แน่นอน เพราะได้ขึ้นประชาวิจารณ์ 3 รอบแล้ว และก็ไม่ได้มีเนื้อหาสาระสำคัญอะไรที่จะต้องปรับแก้ ซึ่งคาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้จะมีการประกาศเชิญชวนบริษัทฯเข้ามาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง

“ผมเข้าใจว่าหลายฝ่ายมีความห่วงใยเรื่องความโปร่งใส ในการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งในส่วนของศธ. เองพยายามดำเนินการให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้มากที่สุด ซึ่งโครงการ anywhere anytime จะเป็นการเช่าซื้ออุปกรณ์ให้กับนักเรียนและครูกว่า 600,000 เครื่อง ซึ่งเรามีงบฯเช่าอุปกรณ์ตอนนี้กว่า 1,000 ล้านบาท เป็นการเช่าซื้อครึ่งปี โรงเรียนที่มีสิทธิ์รับอุปกรณ์ในรอบแรก จะเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในโรงเรียนคุณภาพและโรงเรียนขยายโอกาส โดยขณะนี้ผมได้ให้ทำใบสอบถามไปที่โรงเรียนว่าโรงเรียนไหนมีความพร้อมที่สามารถบริหารจัดการได้  และโรงเรียนที่อาจจะยังไม่มีความพร้อมเรื่องการบริหารจัดการ ซึ่งโรงเรียนคุณภาพ มีทั้งโรงเรียนที่มีความพร้อม และโรงเรียนที่ยังไม่มีความพร้อม ที่กระจายอยู่ทุกอำเภอทั่วประเทศ ถ้าโรงเรียนไหนเขามีอุปกรณ์พร้อมหมดแล้วก็ไม่ต้องรับ จะได้ให้โรงเรียนที่ไม่มีความพร้อม โดยการเช่าอุปกรณ์ครั้งนี้ผู้ปกครองไม่ต้องรับภาระเมื่อเครื่องเกิดความเสียหาย เพราะในเงื่อนไขคู่สัญญาก็จะมีบริการหลังการขาย ”นายสิริพงศ์ กล่าวและว่า สำหรับอุปกรณ์จะมีทั้งแท็บเล็ตและโน๊ตบุ๊ก แล้วแต่ว่าผู้เข้ายื่นประกวดราคาจะยื่นเสนอ ทั้งนี้ก็ต้องดูคุณสมบัติ ใครยื่นข้อเสนอได้ดีกว่า สเปคจะต้องคุณภาพสูงไม่ใช่ใช้ได้ 4-5 ปีแล้วเจ๊ง

“เสมา1”มีข้อสั่งการให้ทุกโรงเรียนจัดทำแผน/มาตรการป้องกัน วาตภัย อุทกภัย รวมถึงปัญหายาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา พร้อมสั่งติดตามเด็กหลุดนอกระบบการศึกษาเข้ามาแล้วอย่าให้หลุดออกไปอีก

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 17/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ ผ่านระบบ Zoom meeting ว่า ในการประชุมวันนี้ ตนได้ฝากให้ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานร่วมกัน กำกับดูแล และช่วยเหลือ เยียวยากรณีนักเรียนทำร้ายกันจนเสียชีวิตอย่างใกล้ชิด รวมถึงปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ.)ดำเนินการจัดทำข้อมูลงบประมาณ อาหารเสริมนมโรงเรียน อาหารกลางวัน รวมทั้งรวบรวมปัญหา อุปสรรค และสาเหตุความล่าช้า เพื่อเป็นข้อมูลนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณา

 รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำนักงานสภาการศึกษา(สกศ.)ได้รายงานเกี่ยวกับ Education Benchmarking การเปรียบเทียบการศึกษาไทยในระดับสากลที่เน้นเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึงมากกว่าการจัดอันดับ (Ranking) เน้นการพัฒนาในเชิงคุณภาพ ปริมาณ และเน้นการวิเคราะห์จุดอ่อน และจุดแข็งมากกว่าการพัฒนาอันดับ  โดยได้มีการเปรียบเทียบ 5 มิติ ดังนี้  1 คุณภาพผู้เรียน (Quality)    ใช้ผลการทดสอบ PISA วิชาคณิตศาสตร์เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: OECD)  2 การเข้าถึงระบบการศึกษา (Access)    ใช้อัตราการเข้าเรียนสุทธิระดับมัธยมศึกษาเป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD) 3 ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity)    ใช้ปีการศึกษาที่คาดหวังเป็นตัวชี้วัด  4 ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา (Efficiency)    ใช้ตัวชี้วัด สัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา  (%GDP) ต่อคะแนนเฉลี่ยการทดสอบ PISA เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD และ OECD คำนวณโดย สกศ.) และ 5 การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง (Relevancy)    ใช้สัดส่วนของประชากร อายุ 25 -34 ปีที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD) โดยเปรียบเทียบภาพรวมของการศึกษาไทยในระดับโลก ระดับเอเชีย (ไทยใกล้เคียงกับสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และระดับอาเซียน (ไทย ใกล้เคียงกับ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สำหรับลำดับรองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่า การศึกษาไทยมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะเทียบเคียงกับระดับนานาชาติได้ ดังนั้นจึงขอให้พวกเราช่วยระดมสมอง เพื่อบริหารจัดการและพัฒนาในแต่ละด้าน ให้เท่าเทียมกับนานาประเทศ รวมถึงมอบหมาย สกศ. เปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ย้อนหลัง 5 – 10 ปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา เพื่อวัดระดับที่ไทยสามารถพัฒนาขึ้นมาได้

 “ผมขอให้แต่ละหน่วย โดยเฉพาะสถานศึกษา ดำเนินการจัดทำแผน/มาตรการป้องกันภัยธรรมชาติ อาทิ วาตภัย อุทกภัย เนื่องจากอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเสียหายจากฝนตกหนัก และพายุฤดูร้อนเพิ่มขึ้น รวมทั้งจัดทำมาตรการป้องกันปัญหายาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งไม่สามารถดำเนินการคนเดียวได้ จึงควรมีเครือข่าย การทำงาน เช่น ฝ่ายปกครอง และ เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่  และ นโยบายของนายกรัฐมนตรี เรื่อง Thailand Zero Dropout ซึ่งนอกจากติดตามเด็กที่หลุดจากการศึกษาแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยในส่วนของ ศธ. ได้เน้นย้ำมิติของการ ป้องกัน แก้ไข ส่งต่อ ติดตามดูแล ซึ่งเมื่อกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ต้องทำให้มั่นใจว่าเด็กจะไม่หลุดจากระบบการศึกษาอีก”พลตำรวจเอกเพิ่มพูนกล่าว

บุรีรัมย์นำร่อง”กระโดดเชือกเพื่อสุขภาพ” เสริมสร้างสุขภาวะเยาวชน


เมื่อวันนี้ 24 พฤษภาคม 2568 ณ หอประชุมพุทธรักษา โรงเรียนนองกี่พิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ร่วมกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม “กระโดดเชือกเพื่อสุขภาพ” ครั้งแรกในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางกายและจิตใจแก่เยาวชน โดยมี ดร.ธัญนันท์ แก้วเกิด รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สพฐ. เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้มีคุณครูและนักเรียนกว่า 200 คน จาก 30 โรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนคุณภาพ ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเข้าร่วม โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

คุณภาวินี ไชยสิทธิ์ ผู้แทนจากไทยเบฟฯ กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่ไทยเบฟดำเนินการใน 6 มิติ ได้แก่ สาธารณสุข การศึกษา กีฬา ศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชน และความยั่งยืน โดยหวังว่าจะสามารถขยายผลกิจกรรมไปยังโรงเรียนในภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งไทยเบฟดูแลอยู่กว่า 300 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งการกระโดดเชือกนอกจากจะเป็นกีฬาที่สนุกสนานและเข้าถึงง่ายแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้เด็ก ๆ ใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ ฝึกฝนวินัย พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม และหากมีศักยภาพโดดเด่นสามารถพัฒนาไปสู่การแข่งขันในระดับประเทศและนานาชาติได้อีกด้วย

ด้าน ดร.ธัญนันท์  กล่าวว่า นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการมุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในโรงเรียน เพราะร่างกายที่แข็งแรงคือพื้นฐานของการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมเชิญชวนให้นำความรู้และประสบการณ์ในวันนี้ไปเผยแพร่ต่อในโรงเรียน เพื่อจุดประกายให้เพื่อน ๆ และน้อง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น โดยกิจกรรม “กระโดดเชือกเพื่อสุขภาพ” ณ โรงเรียนนองกี่พิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ ถือเป็นการริเริ่มที่สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพเด็กและเยาวชนผ่านกีฬา โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และตั้งเป้าขยายผลสู่โรงเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศในอนาคต เพื่อสร้างเยาวชนไทยให้แข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

“ธนุ”กำชับทุกพื้นที่ป้องกัน-พร้อมรับมือโควิดระบาดในโรงเรียน

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) มีความห่วงใยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ที่อาจจะเข้ามาแพร่ระบาดในสถานศึกษาในช่วงนี้ได้ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและเฝ้าระวังความปลอดภัยของนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาอย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงปัจจุบัน พบมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สะสมรวม 341,221 คน เสียชีวิตรวม 34 คน ซึ่งถึงแม้ กรมควบคุมโรค ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวอยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้ และโรคติดเชื้อโควิด-19 ขณะนี้ถือเป็นโรคประจำถิ่นที่สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปีและมีแนวโน้มพบมากขึ้นในช่วงฤดูฝน แต่ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และสถานศึกษาในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศก็ต้องตระหนัก เฝ้าระวัง ป้องกันให้นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาของเราปลอดภัยที่สุด

“ผมขอเน้นย้ำและกำชับไปยัง สพท.และสถานศึกษาในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด ทั้งการบริหารจัดการภายในห้องเรียน ภายในโรงเรียน และบริเวณโดยรอบโรงเรียน มีการเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุและแนวทางการเรียนการสอนกรณีที่มีนักเรียนและครูติดโรคโควิด-19 มีการซักซ้อมวิธีการต่างๆ รวมถึงทำความเข้าใจและสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของชุมชนอย่างเข้มแข็ง หากมีความเสี่ยงหรือความไม่ปลอดภัยใดๆ เกิดขึ้น การสื่อสารเพื่อแจ้งเหตุ และการประสานกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ แม้จะพบการติดเชื้อในโรงเรียน ในภาพรวมของโรงเรียนไม่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนทั้งหมด แต่ขอให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนเผชิญเหตุอย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยเป้าหมายสำคัญ คือ นักเรียน ได้รับการเรียนรู้อย่างเต็มที่ที่โรงเรียน ส่วนเด็กที่ป่วยสามารถจัดการเรียนการสอนในรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 สพฐ.ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศธ 04001/ว3497 เรื่อง กำชับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) แจ้งไปยัง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต โดยได้มีหนังสือเน้นย้ำแนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 แจ้ง สถานศึกษาในสังกัดดำเนินการ ดังนี้ 1.ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เรื่อง การป้องกันการแพร่ระบาดให้แก่นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง รวมถึงผู้มาติดต่อราชการในสถานศึกษา 2.เชิญชวนทุกคนที่เข้ามาในสถานศึกษาสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮล์ 3. หมั่นดูแลรักษาความสะอาดพื้นที่และอุปกรณ์ที่นักเรียนใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ 4..หากมีอาการคล้ายเป็นหวัดให้สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หรือ ตรวจพบโควิด-19 ให้รีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา ลดความเสี่ยงและอาการรุนแรง 5. ดำเนินการตามคู่มือ “การเฝ้าระวังติดตาม และแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COMD -19) ในสถานศึกษา” 6.ในกรณีสถานศึกษาที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระดับรุนแรง ให้พิจารณาปิดเรียนและจัดการเรียนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น Online, On – Hand, On – Air หรือ On – Demand และ 7.ติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19)ผ่านช่องทางระบบ Digital Disease Surveillance (DDS) และสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

สพม.บุรีรัมย์ บรรจุครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ 16 อัตรา 12 วิชาเอก


เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ห้องประชุมไชยมงคล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ นายสำราญ อยู่นาน รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ปฐมนิเทศและให้โอวาท ข้อคิดในการทำงานกับครูบรรจุใหม่ ที่มารายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้งในตำแหน่งข้าราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ ประจำปี 2568 จำนวน 16 อัตรา ใน 12 สาขาวิชาเอก ซึ่งมีผู้มารายงานตัวครบทุกอัตรา
นายสำราญ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับครูผู้ช่วยที่ผ่านการคัดเลือก พร้อมแนะนำข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียน บุคลากรกลุ่มบริหารงานบุคคล สหวิทยาเขตในสังกัด สพม.บุรีรัมย์ และเน้นย้ำถึงการแต่งกายให้ถูกระเบียบ เหมาะสมกับความเป็นครู ความตรงต่อเวลา การมีวินัย คุณธรรม และการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพครู รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาอย่างเข้มในตำแหน่งครูผู้ช่วยต่อไป
ทั้งนี้ นายวรรณะ เจือจันทร์พิพัฒน์ เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตชำนาญการพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมรับฟังการชี้แจง นางระพีพรรณ มะลิพันธ์ ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล และคณะ ได้ชี้แจงวิธีการเขียนบันทึกประวัติในแบบ ก.ค.ศ. 16 รวมถึงการส่งตัวไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่ได้รับการแต่งตั้งในวันเดียวกัน
สาขาวิชาเอกและโรงเรียนที่ได้รับการบรรจุ มีดังนี้ วิชาเอกคณิตศาสตร์ 1 อัตรา โรงเรียนพนมรุ้ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ วิชาเอกเกษตรกรรม 3 อัตรา โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร อำเภอบ้านกรวดโรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยพิทยาคม อำเภอหนองกี่ โรงเรียนร่มเกล้า บุรีรัมย์ อำเภอโนนดินแดง วิชาเอกสังคมศึกษา 2 อัตรา: โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อำเภอประโคนชัย โรงเรียนเมืองแกพิทยาคม อำเภอสตึก วิชาเอกพลศึกษา 1 อัตรา โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร อำเภอบ้านกรวด วิชาเอกชีววิทยา 1 อัตรา โรงเรียนลำดวนพิทยาคม อำเภอกระสัง วิชาเอกนาฎศิลป์ 1 อัตรา โรงเรียนเมืองโพธิ์ชัยพิทยาคม อำเภอหนองกี่ วิชาเอกอุตสาหกรรมศิลป์ 2 อัตรา โรงเรียนเมืองแกพิทยาคม อำเภอสตึก โรงเรียนสะแกพิทยาคม อำเภอสตึก วิชาเอกศิลปศึกษา 1 อัตรา โรงเรียนลำปลายมาศ อำเภอลำปลายมาศ วิชาเอกภาษาไทย 1 อัตรา โรงเรียนกระสังพิทยาคม อำเภอกระสัง วิชาเอกจิตวิทยาและการแนะแนว 1 อัตรา โรงเรียนหนองหงส์พิทยาคม อำเภอหนองหงส์ วิชาเอกฟิสิกส์ 1 อัตรา โรงเรียนร่วมจิตต์วิทยา อำเภอละหานทราย วิชาเอกเคมี 1 อัตรา โรงเรียนพิมพ์รัฐประชาสรรค์ อำเภอนางรอง

มทร.กรุงเทพ-สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ-เครือข่ายอุตสาหกรรมบันเทิง พัฒนาบุคลากรขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้านภาพยนตร์ ละครและซีรีส์

ดร.เศรษฐา วีระธรรมานนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) กรุงเทพ กล่าวว่า มทร.กรุงเทพได้ร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และบริษัท เกียร์เฮด จำกัด (สาขาแฮนดี้เกียร์) รวมถึงภาคีเครือข่ายในอุตสาหกรรมบันเทิง จัดฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรหนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้านภาพยนตร์ ละครและซีรีส์ ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 19-21 พ.ค. 2568 ได้มีการจัดอบรมรุ่นที่ 2 โดยมีนายนิธิวัชร์ ศิริปริยพงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ และนายชนินทร  อุลิศ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บ.เกียร์เฮด จำกัด มาเป็นประธานในพิธีเปิด และผศ.ดร.ครรชิต กำลังกล้า คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.กรงเทพ พร้อมด้วยบุคลากรของคณะให้การต้อนรับ

ดร.เศรษฐา กล่าวต่อไปว่า โครงการนี้เป็นการอบรมระยะสั้น จำนวน 2 รุ่น ใน 4 หลักสูตร แบ่งเป็นรุ่นที่ 1 อบรมไปเมื่อวันที่ 13-15 พ.ค. 2568 หลักสูตรอาชีพผู้ช่วยช่างภาพ (Video Assistant) ระดับ 3 และ พื้นฐานอาชีพผู้ช่วยช่างภาพ (2nd Assistant Camera) ระดับ 4 และ การอบรมรุ่นที่ 2 จัดเมื่อวันที่ 19-21 พ.ค. 2568 หลักสูตรอาชีพช่างเทคนิคภาพดิจิทัล (Data Wrangler) ระดับ 3 และพื้นฐานอาชีพช่างเทคนิคภาพดิจิทัล (Digital Imaging Technician) ระดับ 4 รวมผู้เข้าอบรม 2 รุ่น กว่า 80 คน ซึ่งผู้เข้าอบรมมาจากบริษัทเอกชน และผู้รับจ้างอิสระที่สนใจในอุตสาหกรรมบันเทิง อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความร่วมมือของบุคลากรในอุตสาหกรรมบันเทิง ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะและความสามารถของบุคลากรให้ตรงตามมาตรฐานอาชีพ และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ขณะที่หลักสูตรที่จัดอบรมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร ซีรีย์ และคอนเทนต์สร้างสรรค์ ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับประเทศและนานาชาติ

”ในการอบรมครั้งนี้ผู้เข้าร่วมอบรมทุกคนสามารถสะสมหลักสูตรการพัฒนาตนเองไว้ในระบบแฟ้มสะสมผลงานอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Portfolio ใน EWE Platform แพลตฟอร์มอัจฉริยะที่มีการบริหารจัดการข้อมูลด้านกำลังคนของประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมให้คนในอาชีพ มีการตั้งเป้าหมายในการประกอบอาชีพ เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย ส่วนผลการอบรมถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี มีผู้ผ่านการประเมินคุณวุฒิวิชาชีพมากกว่าร้อยละ 90 ทำให้มีแนวโน้มจะจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตรนี้และอาชีพอื่นๆในสาขาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ต่อไปในอนาคตด้วย นอกจากนี้จะมีการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆมากขึ้น คาดว่าเร็วๆนี้จะมีความร่วมมือในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะตามคุณวุฒิวิชาชีพกับสถานประกอบการในอุตสาหกรรมบันเทิง และสถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษาด้วย” ดร.เศรษฐา กล่าว

สพฐ.ยืนยันจัดหาอุปกรณ์โครงการ Anywhere Anytime ให้ครู-นักเรียน ได้ใช้ในภาคเรียนที่ 2

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ว่า เมื่อวันที่ 14 – 16 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับโลกด้านการศึกษาดิจิทัล ประจำปี 2568 (2025 World Digital Education Conference) ณ เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งตนก็ได้ร่วมเดินทางไปด้วย โดยการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมเทคโนโลยีทางการศึกษาระดับโลกที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพ โดยได้เชิญ รมว.ศึกษาธิการจากทุกประเทศทั่วโลกมาร่วมประชุม ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ประเทศจีนมีความก้าวล้ำในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ในการจัดการศึกษา โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา และ มัธยมศึกษา จนปัจจุบันห้องเรียนในประเทศจีนเป็นสมาร์ทคลาสรูมเกือบทุกโรงเรียนแล้ว ทำให้เด็กจีนเข้าถึง เทคโนโลยี และ AI ได้ค่อนข้างดีมาก ซึ่งสามารถช่วยพัฒนาทางด้านการศึกษาได้เป็นอย่างดี ถือเป็นแนวทางให้ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาเรื่องของ AI กับการเรียนการสอนให้มากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้า “โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ ทุกเวลา Anywhere Anytime”ว่าจะดำเนินการให้ทันภาคเรียนที่ 2 หรือไม่  เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า  ตามแผน คือ ภาคเรียนที่ 2/2568 จะต้องดำเนินการให้สำเร็จ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการประชาวิจารณ์ บางเรื่องที่วิจารณ์เสร็จแล้วก็อยู่ในขั้นตอนกระบวนการจัดหา จัดซื้อจัดจ้างหรือ เช่าซื้อ ส่วนไหนที่ยังมีข้อท้วงติงอยู่เราก็นำมาปรับแล้วนำขึ้นประชาวิจารณ์ใหม่อีกครั้ง ดังนั้น หากเราทำตามแผนก็คาดการณ์ว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ดังนั้น สพฐ.ยืนยันว่าจะสามารถจัดหาอุปกรณ์ให้ครู และนักเรียน ทันใช้ในภาคเรียนที่2

คุณหลอกดาว

หยอก หยอก  วันที่ 19 พ.ค.2568  *** อยู่สูงอย่าคิดว่าไม่ตกต่ำ เพราะไม่มีนกตัวไหนบินอยู่บนฟ้าได้ตลอดโดยไม่กลับลงมา หมดเวลา หมดอำนาจ หมดหน้าที่ ก็ต้องรู้จักลง คนฉลาด ไหวตัวก่อนการณ์ *** มีใครรู้สึกเหมือน หยอก มั้ยว่า พักนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ไม่มีประเด็นอะไรใหม่ ๆ ให้ติดตาม มีแต่เรื่องเดิม ๆ แต่ละเรื่องก็ทำให้มึนนนน…ได้ไม่น้อย *** ไม่ว่าจะข่าวดราม่า เรื่องชุดลูกเสือ เนตรนารี , สอบคัดเลือกผู้อำนวยการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) , สกสค.MOU กับโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง , กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)รับโอนผู้อำนวยการโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)มาเป็นผู้อำนวยการ สกร.ระดับอำเภอ 100 กว่าคน แล้วยังมีนิทานเรื่องการย้ายสลับครูที่ทั้งสองฝ่ายสมัครใจแลกกันตามหลักเกณฑ์ ก.ค.ศ. แต่สถานศึกษากลับไม่ยอมรับโอน ก็ไม่รู้สินะ แว่วว่า พลอตเรื่องมาจาก งานการศึกษาพิเศษทางภาคเหนือ แล้วก็มีเรื่องงบฯ จัดสรรคาบเกี่ยวปี 2567-2568 สำหรับนักเรียนเรียนรวมที่เด็กได้หนังสือเรียนไม่ครบอีก แต่ที่น่าตกใจคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้น่ะสิ … อยากให้ไปสืบรายละเอียดกันดูหลาย ๆ เรื่อง เด้อ…รู้แล้วจะหนาวววว..นะจ๊ะนะจ๊ะ *** ตัดโหมด…มาที่องค์การค้าของ สกสค.ที่วันก่อนรายงานในที่ประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ว่าได้ส่งหนังสือแบบเรียนขององค์การค้าฯให้โรงเรียนทันก่อนเปิดเทอมวันที่ 16 พ.ค.2568 เรียบร้อยหมดทุกโรงเรียนแล้ว! ทันที ที่คู่พิพาทอย่างโรงพิมพ์รุ่งศิลป์(1977)จำกัด รู้ข่าว ก็งัดหลักฐานกรมบัญชีกลางสั่งยกเลิก TOR เพราะเป็นการกีดกันการเสนอราคาเพื่อมิให้ บริษัท รุ่งศิลป์ฯ เข้ายื่นเสนอราคา มีผลต่อการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีนัยสำคัญ ขัดมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 แล้วองค์การค้าฯเอาหนังสือที่ไหนส่งให้โรงเรียน มิหนำซ้ำ หยอก หยอก สอบถามไปยังเขตพื้นที่ฯบางเขตแล้วได้คำตอบมาว่า ได้สอบถามโรงเรียนหลายแห่งแล้วพบว่า รายการหนังสือขององค์การค้าฯยังไม่มาส่งที่โรงเรียนเลย…ตายล่ะ คราวนี้…คุณหลอก..ดาววว ? *** สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ยังมั่นใจ “โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ ทุกเวลา Anywhere Anytime” เดินหน้าต่อไปได้ แม้จะขึ้นประชาวิจารณ์รอบ 2 รอบ 3  ซึ่งต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ เพราะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างล็อตใหญ่และต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่เชื่อว่าน่าจะได้ใช้ในภาคเรียนที่2/2568 แน่นอน..เอ้า ทราบแล้วเปลี่ยน รอ กันเลยจร้า…*** ควงคู่เดินสายต่างประเทศราวกับนินจา แวบไปแวบมา เสมา 1 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ กับ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ.  กลับมาประจำการ ณ ฐานที่ตั้งแล้ว คงจะมีอะไรดี ๆ จากการดูงาน ต่อวงการศึกษา หวังว่า Anywhere Anytime เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาจะเกิดผลเป็นรูปธรรมซะที *** ตบท้ายว่าด้วย การย้ายรองผู้อำนวยการวิทยาลัยประมงสมุทรสาคร ที่เจ้าตัวได้ร้องเรียนหลายหน่วยงานเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ว่ายังไม่พบความผิดและยังไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ก็ถูกย้ายออกจากพื้นที่ซะละ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าอาจเป็นเพราะไปยื่นหนังสือร้องเรียนการสอบคัดเลือกผู้อำนวยการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ที่ผ่านมา…ก็ว่ากันไป ***

 

 

 

 

ครูสาวราชบุรี ร้องถูกย้ายออกจากพื้นที่ไม่เป็นธรรม หลังแฉความผิดปกติในโรงเรียน ด้าน “ธีร์”เผยรับเรื่องไว้แล้วจะเร่งตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม ย้ำให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ใครทำไม่ถูกต้องรับผิดชอบ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ ได้นำ นางทิพย์พเกษร บัวพึ่ง ข้าราชการครูชำนาญการ โรงเรียนมหาราช 7 จ.ราชบุรี พร้อมด้วยผู้ปกครองเด็กนักเรียนและผู้นำชาวบ้านจำนวน 12 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ รมว.ศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีถูกย้ายออกจากพื้นที่อย่างไม่เป็นธรรม

นางทิพย์เกษร กล่าวว่า ตนได้ร่วมกับผู้ปกครองและผู้นำท้องถิ่น ตรวจสอบพบความผิดปกติหลายประการภายในโรงเรียนดังกล่าว และได้เข้าร้องเรียนต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ราชบุรี ให้ดำเนินการตรวจสอบ อาทิ เรื่องอาหารกลางวันนักเรียนที่ไม่ได้คุณภาพ ทั้งในด้านปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการ, พฤติกรรมของครูบางรายที่ไม่เข้าสอน, การนำหนังสือเรียนที่ให้ยืมไปจำหน่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว, การหารายได้เสริมโดยนำกล่องสุ่มและน้ำดื่มมาจำหน่ายในโรงเรียน, รวมถึงกรณีครูทำร้ายนักเรียนชั้น ป.4 ด้วยการบิดหูจนได้รับบาดเจ็บ และการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพกับนักเรียนหญิง จนผู้ปกครองต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดี

นางทิพย์พเกษร กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ตนยังได้เข้าร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ป.ป.ช.ราชบุรี และศูนย์ดำรงธรรม เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว แต่ กลับถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) ราชบุรี เขต 1 สั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่โรงเรียนบ้านโกรกสิงขร ในขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนมหาราช 7ถูกสั่งย้ายไปรักษาราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสันดอน อ.จอมบึง เป็นการชั่วคราวทั้งสองราย เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง  ต่อมา  สพป.ราชบุรี เขต 1 ได้มีคำสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนมหาราช 7 กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ในขณะที่ ตน ยังไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้คณะกรรมการสถานศึกษาและคณะครูโรงเรียนบ้านโกรกสิงขร ได้มีมติให้ตนกลับไปปฏิบัติราชการที่เดิมในวันที่ 18 มีนาคม 68

“ที่ ดิฉันเดินทางมายื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะเกิดความหวาดกลัว เนื่องจากมีการข่มขู่ โดยขอให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯรายดังกล่าว ว่าเหตุใดจึงช่วยปกป้อง ผู้อำนวยการโรงเรียน เหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ ทั้งที่มีการร้องเรียนเรื่องการทุจริต อย่างไรก็ตาม วันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา ทางผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ เคยเรียกไปสอบถาม และดิฉันได้ยืนยันจะขอกลับไปสอนโรงเรียนเดิมแต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ทำเป็นประโยชน์ต่อเด็กในอนาคต ซึ่งยืนยันว่ามีหลักฐานทุกอย่าง จึงกล้าร้องเรียน  ส่วนครูคนอื่นในโรงเรียนเดิมนั้น อาจเพราะเราไปทำให้เสียผลประโยชน์ จึงทำให้อยู่ตรงนั้นได้ยาก ดังนั้น หากเป็นไปได้ ก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยย้ายไปโรงเรียนใกล้บ้านแทน “นางทิพย์เกษร กล่าว

นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวภายหลังรับหนังสือร้องเรียนว่า เรื่องนี้ เป็นความขัดแย้งระหว่างครู ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา โดยครูได้มาขอความเป็นธรรมกับสพฐ. ดังนั้นเมื่อ สพฐ. ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้วก็จะดำเนินการเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย  ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเนื่องจากขณะนี้ยังได้ข้อมูลไม่ครบ แต่โดยหลักการเราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถ้า เขตพื้นที่ทำให้ถูกต้องเขตพื้นที่ก็ต้องรับผิดชอบ ถ้าโรงเรียนทำไม่ถูกต้องโรงเรียนก็ต้องรับผิดชอบ และถ้าครูทำไม่ถูกต้องครูก็ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นขอให้ครูสบายใจได้ว่าจะได้รับความเป็นธรรมแน่นอน

มทร.กรุงเทพร่วมกับคนภาคอุตสาหกรรมบันเทิง จัดเวิร์กชอปเชิงลึกหนุนผลิตละครแนวตั้ง ดัน Soft Power ไทยสู่สากล  

ดร.เศรษฐา วีระธรรมานนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) กรุงเทพ ในฐานะผู้จัดการโครงการ “EMDT เจาะลึกเทรนด์ละครแนวตั้ง: การสร้างสรรค์ สร้างรายได้ สร้าง Soft Power” กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2568 ที่ มทร.กรุงเทพ ทางโครงการ “EMDT เจาะลึกเทรนด์ละครแนวตั้ง: การสร้างสรรค์ สร้างรายได้ สร้าง Soft Power”คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร. กรุงเทพได้ร่วมกับบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมบันเทิง จัดเวิร์กชอปเชิงลึก โดยการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA – Thailand Creative Culture Agency) โครงการ OFOS (One Family One Soft Power)และความร่วมมือจากภาควิชาการ ซึ่งในงานมีบุคคลสำคัญจากวงการบันเทิงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

ดร.เศรษฐา กล่าวต่อไปว่า โครงการ EMDT มุ่งเน้น 4 เป้าหมายหลัก คือ 1. ถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากร 2. เพิ่มทักษะในการสร้างผลงานจริง 3. จุดประกายแรงบันดาลใจให้ผู้ผลิตรุ่นใหม่ และ4. ส่งเสริมการใช้เนื้อหาละครแนวตั้งเป็นเครื่องมือสร้าง Soft Power ไทยที่เข้าถึงผู้ชมทั่วโลก โดยภายในงานได้มีการจัดเวิร์กชอปที่น่าสนใจทั้งการบรรยายและกิจกรรมฝึกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น การปรับตัวของนักเล่าเรื่องไทยกับบทละครแนวตั้งเพื่อการผลิตจริง การถ่ายทอดประสบการณ์จากประเทศจีน โดย ผาง เต้าหมิง ผู้อำนวยการผลิตจาก Shanghai Zuji Culture & Entertainment Co., Ltd. กิจกรรมถ่ายทำภาคสนาม และ การสร้าง Micro Drama จริงจากผู้เข้าอบรม เป็นต้น

“Micro Drama หรือ ละครแนวตั้ง กำลังเป็นหนึ่งในรูปแบบเนื้อหาที่มาแรงที่สุดในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก ด้วยความสามารถในการเข้าถึงผู้ชมผ่านมือถืออย่างรวดเร็ว กระชับ และตรงพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล ที่สำคัญละครแนวตั้งยังตอบโจทย์ผู้ชมยุคใหม่ และสามารถสร้างรายได้ได้จริง ดังนั้นจึงควรเร่งพัฒนาบุคลากรไทยให้ผลิตงานคุณภาพทัดเทียมระดับสากล ขณะเดียวกันในการเวิร์กชอปครั้งนี้มีเสียงสะท้อนที่ตรงกันว่า ละครแนวตั้ง คือโอกาสใหม่ในการขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่เวทีโลกและมีความมั่นใจว่า ละครแนวตั้งจะกลายเป็นฟันเฟืองใหม่ของอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ที่ไม่เพียงฟื้นฟูจากภายใน แต่ยังผลักดันวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติอย่างสร้างสรรค์ด้วย“ดร.เศรษฐา กล่าว

ขณะที่ “ไก่” วรายุฑ มิลินทจินดา ผู้จัดละครชื่อดัง กล่าวว่า Micro Drama ไม่ใช่เป็นเพียงเทรนด์ แต่คือโอกาสฟื้นฟูวงการละครไทยหลังภาวะซบเซา และทางภาครัฐสนับสนุนอย่างจริงจังเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการผลักดันคอนเทนต์ไทยให้ไปไกลกว่านี้

ด้าน “กระทิง” ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์ นักแสดงและกรรมการ MinChap แอปพลิเคชันซีรีส์แนวตั้ง กล่าวว่า ผู้ชมกำลังเปลี่ยนพฤติกรรม ละครแนวตั้งตอบสนองได้ตรงจุด สั้น กระชับ เข้าใจง่าย และสร้างอารมณ์ร่วมได้ในระยะเวลาอันสั้น อยากให้ลองเปิดใจ สนับสนุนซีรีส์ ละครแนวตั้งมากขึ้น