เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568 พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยว่า ในการจัดทำคำของบประมาณประจำปี 2568 ซึ่ง ศธ.มีเป้าหมายเพื่อปฏิวัติการศึกษา เพื่อให้การศึกษาไทยปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการบริหารการศึกษามากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ตอบโจทย์นโบาย เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime โดยเฉพาะเรื่องหลักสูตร ที่จะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ในเรื่องการจัดทำแพลตฟอร์ม เนื้อหาวิชาต่างๆ รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ให้กับนักเรียนด้วย โดย ศธ.ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ทุกที่ทุกเวลา จำนวน 7,000 กว่าล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรเพียง 3,000 กว่าล้านบาท ถูกตัดงบออกไปกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่ง ศธ.จะต้องทำคำขอแปรญัตติเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนต่อไป
ด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ยอมรับว่าตอนนี้มีการเบิกจ่ายล่าช้าสำหรับงบประมาณปี 2568 จึงถูกตัดงบฯไปได้มาเพียงครึ่งปี อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต้องให้ทันปีนี้แน่นอน เพราะได้ขึ้นประชาวิจารณ์ 3 รอบแล้ว และก็ไม่ได้มีเนื้อหาสาระสำคัญอะไรที่จะต้องปรับแก้ ซึ่งคาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้จะมีการประกาศเชิญชวนบริษัทฯเข้ามาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง
“ผมเข้าใจว่าหลายฝ่ายมีความห่วงใยเรื่องความโปร่งใส ในการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งในส่วนของศธ. เองพยายามดำเนินการให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้มากที่สุด ซึ่งโครงการ anywhere anytime จะเป็นการเช่าซื้ออุปกรณ์ให้กับนักเรียนและครูกว่า 600,000 เครื่อง ซึ่งเรามีงบฯเช่าอุปกรณ์ตอนนี้กว่า 1,000 ล้านบาท เป็นการเช่าซื้อครึ่งปี โรงเรียนที่มีสิทธิ์รับอุปกรณ์ในรอบแรก จะเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในโรงเรียนคุณภาพและโรงเรียนขยายโอกาส โดยขณะนี้ผมได้ให้ทำใบสอบถามไปที่โรงเรียนว่าโรงเรียนไหนมีความพร้อมที่สามารถบริหารจัดการได้ และโรงเรียนที่อาจจะยังไม่มีความพร้อมเรื่องการบริหารจัดการ ซึ่งโรงเรียนคุณภาพ มีทั้งโรงเรียนที่มีความพร้อม และโรงเรียนที่ยังไม่มีความพร้อม ที่กระจายอยู่ทุกอำเภอทั่วประเทศ ถ้าโรงเรียนไหนเขามีอุปกรณ์พร้อมหมดแล้วก็ไม่ต้องรับ จะได้ให้โรงเรียนที่ไม่มีความพร้อม โดยการเช่าอุปกรณ์ครั้งนี้ผู้ปกครองไม่ต้องรับภาระเมื่อเครื่องเกิดความเสียหาย เพราะในเงื่อนไขคู่สัญญาก็จะมีบริการหลังการขาย ”นายสิริพงศ์ กล่าวและว่า สำหรับอุปกรณ์จะมีทั้งแท็บเล็ตและโน๊ตบุ๊ก แล้วแต่ว่าผู้เข้ายื่นประกวดราคาจะยื่นเสนอ ทั้งนี้ก็ต้องดูคุณสมบัติ ใครยื่นข้อเสนอได้ดีกว่า สเปคจะต้องคุณภาพสูงไม่ใช่ใช้ได้ 4-5 ปีแล้วเจ๊ง



รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำนักงานสภาการศึกษา(สกศ.)ได้รายงานเกี่ยวกับ Education Benchmarking การเปรียบเทียบการศึกษาไทยในระดับสากลที่เน้นเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึงมากกว่าการจัดอันดับ (Ranking) เน้นการพัฒนาในเชิงคุณภาพ ปริมาณ และเน้นการวิเคราะห์จุดอ่อน และจุดแข็งมากกว่าการพัฒนาอันดับ โดยได้มีการเปรียบเทียบ 5 มิติ ดังนี้ 1 คุณภาพผู้เรียน (Quality) ใช้ผลการทดสอบ PISA วิชาคณิตศาสตร์เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: OECD) 2 การเข้าถึงระบบการศึกษา (Access) ใช้อัตราการเข้าเรียนสุทธิระดับมัธยมศึกษาเป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD) 3 ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity) ใช้ปีการศึกษาที่คาดหวังเป็นตัวชี้วัด 4 ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา (Efficiency) ใช้ตัวชี้วัด สัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา (%GDP) ต่อคะแนนเฉลี่ยการทดสอบ PISA เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD และ OECD คำนวณโดย สกศ.) และ 5 การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง (Relevancy) ใช้สัดส่วนของประชากร อายุ 25 -34 ปีที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD) โดยเปรียบเทียบภาพรวมของการศึกษาไทยในระดับโลก ระดับเอเชีย (ไทยใกล้เคียงกับสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และระดับอาเซียน (ไทย ใกล้เคียงกับ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สำหรับลำดับรองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่า การศึกษาไทยมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะเทียบเคียงกับระดับนานาชาติได้ ดังนั้นจึงขอให้พวกเราช่วยระดมสมอง เพื่อบริหารจัดการและพัฒนาในแต่ละด้าน ให้เท่าเทียมกับนานาประเทศ รวมถึงมอบหมาย สกศ. เปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ย้อนหลัง 5 – 10 ปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา เพื่อวัดระดับที่ไทยสามารถพัฒนาขึ้นมาได้
“ผมขอให้แต่ละหน่วย โดยเฉพาะสถานศึกษา ดำเนินการจัดทำแผน/มาตรการป้องกันภัยธรรมชาติ อาทิ วาตภัย อุทกภัย เนื่องจากอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเสียหายจากฝนตกหนัก และพายุฤดูร้อนเพิ่มขึ้น รวมทั้งจัดทำมาตรการป้องกันปัญหายาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งไม่สามารถดำเนินการคนเดียวได้ จึงควรมีเครือข่าย การทำงาน เช่น ฝ่ายปกครอง และ เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ และ นโยบายของนายกรัฐมนตรี เรื่อง Thailand Zero Dropout ซึ่งนอกจากติดตามเด็กที่หลุดจากการศึกษาแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยในส่วนของ ศธ. ได้เน้นย้ำมิติของการ ป้องกัน แก้ไข ส่งต่อ ติดตามดูแล ซึ่งเมื่อกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ต้องทำให้มั่นใจว่าเด็กจะไม่หลุดจากระบบการศึกษาอีก”พลตำรวจเอกเพิ่มพูนกล่าว






ดร.เศรษฐา วีระธรรมานนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) กรุงเทพ กล่าวว่า มทร.กรุงเทพได้ร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และบริษัท เกียร์เฮด จำกัด (สาขาแฮนดี้เกียร์) รวมถึงภาคีเครือข่ายในอุตสาหกรรมบันเทิง จัดฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรหนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้านภาพยนตร์ ละครและซีรีส์ ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 19-21 พ.ค. 2568 ได้มีการจัดอบรมรุ่นที่ 2 โดยมีนายนิธิวัชร์ ศิริปริยพงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ และนายชนินทร อุลิศ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บ.เกียร์เฮด จำกัด มาเป็นประธานในพิธีเปิด และผศ.ดร.ครรชิต กำลังกล้า คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.กรงเทพ พร้อมด้วยบุคลากรของคณะให้การต้อนรับ
ดร.เศรษฐา กล่าวต่อไปว่า โครงการนี้เป็นการอบรมระยะสั้น จำนวน 2 รุ่น ใน 4 หลักสูตร แบ่งเป็นรุ่นที่ 1 อบรมไปเมื่อวันที่ 13-15 พ.ค. 2568 หลักสูตรอาชีพผู้ช่วยช่างภาพ (Video Assistant) ระดับ 3 และ พื้นฐานอาชีพผู้ช่วยช่างภาพ (2nd Assistant Camera) ระดับ 4 และ การอบรมรุ่นที่ 2 จัดเมื่อวันที่ 19-21 พ.ค. 2568 หลักสูตรอาชีพช่างเทคนิคภาพดิจิทัล (Data Wrangler) ระดับ 3 และพื้นฐานอาชีพช่างเทคนิคภาพดิจิทัล (Digital Imaging Technician) ระดับ 4 รวมผู้เข้าอบรม 2 รุ่น กว่า 80 คน ซึ่งผู้เข้าอบรมมาจากบริษัทเอกชน และผู้รับจ้างอิสระที่สนใจในอุตสาหกรรมบันเทิง อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความร่วมมือของบุคลากรในอุตสาหกรรมบันเทิง ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะและความสามารถของบุคลากรให้ตรงตามมาตรฐานอาชีพ และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ขณะที่หลักสูตรที่จัดอบรมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร ซีรีย์ และคอนเทนต์สร้างสรรค์ ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับประเทศและนานาชาติ
”ในการอบรมครั้งนี้ผู้เข้าร่วมอบรมทุกคนสามารถสะสมหลักสูตรการพัฒนาตนเองไว้ในระบบแฟ้มสะสมผลงานอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Portfolio ใน EWE Platform แพลตฟอร์มอัจฉริยะที่มีการบริหารจัดการข้อมูลด้านกำลังคนของประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมให้คนในอาชีพ มีการตั้งเป้าหมายในการประกอบอาชีพ เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย ส่วนผลการอบรมถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี มีผู้ผ่านการประเมินคุณวุฒิวิชาชีพมากกว่าร้อยละ 90 ทำให้มีแนวโน้มจะจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตรนี้และอาชีพอื่นๆในสาขาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ต่อไปในอนาคตด้วย นอกจากนี้จะมีการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆมากขึ้น คาดว่าเร็วๆนี้จะมีความร่วมมือในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะตามคุณวุฒิวิชาชีพกับสถานประกอบการในอุตสาหกรรมบันเทิง และสถานศึกษาในระดับอาชีวศึกษาด้วย” ดร.เศรษฐา กล่าว


นางทิพย์เกษร กล่าวว่า ตนได้ร่วมกับผู้ปกครองและผู้นำท้องถิ่น ตรวจสอบพบความผิดปกติหลายประการภายในโรงเรียนดังกล่าว และได้เข้าร้องเรียนต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ราชบุรี ให้ดำเนินการตรวจสอบ อาทิ เรื่องอาหารกลางวันนักเรียนที่ไม่ได้คุณภาพ ทั้งในด้านปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการ, พฤติกรรมของครูบางรายที่ไม่เข้าสอน, การนำหนังสือเรียนที่ให้ยืมไปจำหน่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว, การหารายได้เสริมโดยนำกล่องสุ่มและน้ำดื่มมาจำหน่ายในโรงเรียน, รวมถึงกรณีครูทำร้ายนักเรียนชั้น ป.4 ด้วยการบิดหูจนได้รับบาดเจ็บ และการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพกับนักเรียนหญิง จนผู้ปกครองต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดี
นางทิพย์พเกษร กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ตนยังได้เข้าร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ป.ป.ช.ราชบุรี และศูนย์ดำรงธรรม เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว แต่ กลับถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) ราชบุรี เขต 1 สั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่โรงเรียนบ้านโกรกสิงขร ในขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนมหาราช 7ถูกสั่งย้ายไปรักษาราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสันดอน อ.จอมบึง เป็นการชั่วคราวทั้งสองราย เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อมา สพป.ราชบุรี เขต 1 ได้มีคำสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนมหาราช 7 กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ในขณะที่ ตน ยังไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้คณะกรรมการสถานศึกษาและคณะครูโรงเรียนบ้านโกรกสิงขร ได้มีมติให้ตนกลับไปปฏิบัติราชการที่เดิมในวันที่ 18 มีนาคม 68
นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวภายหลังรับหนังสือร้องเรียนว่า เรื่องนี้ เป็นความขัดแย้งระหว่างครู ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา โดยครูได้มาขอความเป็นธรรมกับสพฐ. ดังนั้นเมื่อ สพฐ. ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้วก็จะดำเนินการเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเนื่องจากขณะนี้ยังได้ข้อมูลไม่ครบ แต่โดยหลักการเราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ถ้า เขตพื้นที่ทำให้ถูกต้องเขตพื้นที่ก็ต้องรับผิดชอบ ถ้าโรงเรียนทำไม่ถูกต้องโรงเรียนก็ต้องรับผิดชอบ และถ้าครูทำไม่ถูกต้องครูก็ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นขอให้ครูสบายใจได้ว่าจะได้รับความเป็นธรรมแน่นอน
ดร.เศรษฐา วีระธรรมานนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) กรุงเทพ ในฐานะผู้จัดการโครงการ “EMDT เจาะลึกเทรนด์ละครแนวตั้ง: การสร้างสรรค์ สร้างรายได้ สร้าง Soft Power” กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2568 ที่ มทร.กรุงเทพ ทางโครงการ “EMDT เจาะลึกเทรนด์ละครแนวตั้ง: การสร้างสรรค์ สร้างรายได้ สร้าง Soft Power”คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร. กรุงเทพได้ร่วมกับบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมบันเทิง จัดเวิร์กชอปเชิงลึก โดยการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA – Thailand Creative Culture Agency) โครงการ OFOS (One Family One Soft Power)และความร่วมมือจากภาควิชาการ ซึ่งในงานมีบุคคลสำคัญจากวงการบันเทิงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
ดร.เศรษฐา กล่าวต่อไปว่า โครงการ EMDT มุ่งเน้น 4 เป้าหมายหลัก คือ 1. ถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากร 2. เพิ่มทักษะในการสร้างผลงานจริง 3. จุดประกายแรงบันดาลใจให้ผู้ผลิตรุ่นใหม่ และ4. ส่งเสริมการใช้เนื้อหาละครแนวตั้งเป็นเครื่องมือสร้าง Soft Power ไทยที่เข้าถึงผู้ชมทั่วโลก โดยภายในงานได้มีการจัดเวิร์กชอปที่น่าสนใจทั้งการบรรยายและกิจกรรมฝึกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น การปรับตัวของนักเล่าเรื่องไทยกับบทละครแนวตั้งเพื่อการผลิตจริง การถ่ายทอดประสบการณ์จากประเทศจีน โดย ผาง เต้าหมิง ผู้อำนวยการผลิตจาก Shanghai Zuji Culture & Entertainment Co., Ltd. กิจกรรมถ่ายทำภาคสนาม และ การสร้าง Micro Drama จริงจากผู้เข้าอบรม เป็นต้น
“Micro Drama หรือ ละครแนวตั้ง กำลังเป็นหนึ่งในรูปแบบเนื้อหาที่มาแรงที่สุดในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก ด้วยความสามารถในการเข้าถึงผู้ชมผ่านมือถืออย่างรวดเร็ว กระชับ และตรงพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล ที่สำคัญละครแนวตั้งยังตอบโจทย์ผู้ชมยุคใหม่ และสามารถสร้างรายได้ได้จริง ดังนั้นจึงควรเร่งพัฒนาบุคลากรไทยให้ผลิตงานคุณภาพทัดเทียมระดับสากล ขณะเดียวกันในการเวิร์กชอปครั้งนี้มีเสียงสะท้อนที่ตรงกันว่า ละครแนวตั้ง คือโอกาสใหม่ในการขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่เวทีโลกและมีความมั่นใจว่า ละครแนวตั้งจะกลายเป็นฟันเฟืองใหม่ของอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ที่ไม่เพียงฟื้นฟูจากภายใน แต่ยังผลักดันวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติอย่างสร้างสรรค์ด้วย“ดร.เศรษฐา กล่าว

