เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ 2401/2567 เรื่องการรับโอนข้าราชการ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 47 มาตรา 63 และมาตรา 132 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่สองพ.ศ. 2558 กฏ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือน พ.ศ. 2551 กฏ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนนอกเหนือจากเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างประจำประกอบกับมติ ก.พ.กระทรวงศึกษาธิการประกาศ ณวันที่ 19 สิงหาคม 2567 เรื่องประสบการณ์ในงานที่หลากหลายของกระทรวงศึกษาธิการตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่งประเภทอำนวยการจึงรับโอนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทอำนวยการระดับสูง 1 ราย คือ นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็น ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน การศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป
ครม.ตั้ง 6 ซี 10 ศธ. ยังไม่ตั้งเลขาธิการ ก.ค.ศ. เสมา 1 ลั่น ไม่เปลี่ยนม้ากลางศึก ให้“ประวิต”ถ่างขาสานต่องานย้ายครูระบบใหญ่TRSจนกว่าจะนิ่ง
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.ได้เห็นชอบรายชื่อแต่งตั้งผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 6 ราย ได้แก่ นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็น รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) นายสง่า แต่เชื้อสาย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็น รองเลขาธิการ กอศ. นายพิเชฐร์ วันทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นางสาววันเพ็ญ บุรีสูงเนิน ศึกษาธิการภาค 8 เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุภชัย จันปุ่ม ศึกษาธิการภาค 13 มาเป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และ ว่าที่ร้อยเอก วิสาร ปัญญชุณห์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เป็น ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ
“ ทุกคนมีความเหมาะสมและมีความรู้ความสามารถกับตำแหน่ง โดยเชื่อว่าทุกคนจะขับเคลื่อนงานการศึกษาตามนโยบายเรียนดี มีความสุขได้อย่างแน่นอน ส่วนตำแหน่งเลขาธิการ ก.ค.ศ. นั้น รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ยังรักษาการไปพลางก่อน เนื่องจากยังมีงานย้ายข้าราชการครูระบบ TRS : Teacher Rotation System คาอยู่ ก็อยากให้ TRS ขึ้นระบบให้ได้ก่อน ซึ่งก็คงต้องให้รศ.ดร.ประวิตดูไปเรื่อย ๆ จนระบบนิ่งและขับเคลื่อนไปได้ เพราะเรื่องงานบบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ จะเปลี่ยนม้ากลางศึกไม่ได้ ซึ่งผมก็ได้สอบถาม รศ.ดร.ประวิต แล้ว เชื่อว่าทำได้ไม่เกินความสามารถ”รมว.ศึกษาธิการกล่าว
ศธ.-สพฐ.วอนลูกจ้างอย่าเพิ่งแต่งดำบุกกระทรวงกำลังเร่งหารือสำนักงบ-กรมบัญชีกลาง หาทางออก
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่า วันนี้ได้นำเรื่องสำคัญมาหารือกันในที่ประชุมและให้แจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ กรณี การออกแถลงการณ์ของสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการแห่งประเทศไทย เรื่อง “ขอยกเลิกจ้างเหมาบริการผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568” โดยระบุว่า สำนักงบประมาณได้แจ้งกรอบการจัดสรรงบประมาณโดยไม่ได้จัดสรรเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และให้ปรับวิธีการจ้างเป็นวิธีการจ้างเหมาบริการ ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 พร้อมทั้งแจ้งบัญชีจัดสรรธุรการโรงเรียน อัตราละ 15,000 บาท และอัตราละ 9,000 บาท พร้อมทั้งได้นัดหมายที่จะมาที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อมาขับเคลื่อนให้ยกเลิกวิธีการจ้างเหมาบริการ ในวันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2567 นี้ นั้น
ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวว่า การออกระเบียบของกรมบัญชีกลางส่งผลกระทบกับการจ้างงานตำแหน่งลูกจ้าง ทุกตำแหน่งของสพฐ.ซึ่งมี มากกว่า 60,000 รายทั่วประเทศ ซึ่ง พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และสพฐ.รับทราบปัญหาแล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งเมื่อวานนี้ตนได้ทำหนังสือหารือไปยัง กรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นผู้ออกระเบียบในการจ้างผู้ปฏิบัติงานและจัดสรรเงินงบประมาณ โดยขอหารือใน 4 ประเด็น คือ 1. การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการดังกล่าวถือเป็นการจ้างลูกจ้างชั่วคราวหรือการจ้างเหมาบริการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และการจ้างเอกชนดำเนินงาน ซึ่งส่วนราชการต้องดำเนินการเป็นไปตามนัยของหนังสือที่อ้างถึง 2. การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการดังกล่าว สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ในฐานะผู้ว่าจ้างสามารถจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคมได้หรือไม่ 3. หาก สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในฐานะผู้ว่าจ้าง ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคม ตามข้อ 2 สพฐ. สามารถขอเงินเพิ่มเพื่อจ่ายเงินในส่วนของผู้ว่าจ้างได้หรือไม่ และ 4.สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในฐานะผู้ว่าจ้าง ต้องจ่ายอัตราค่าแรงขั้นต่ำและอัตราเงินเดือนให้กับผู้ปฏิบัติงานให้ราชการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ได้เห็นชอบรายงานผลการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 (เรื่อง การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2567 ได้หรือไม่ โดยขอให้กรมบัญชีกลางตอบข้อหารือดังกล่าวภายในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เพื่อที่ สพฐ. จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบรอคำตอบจากสองหน่วยงานนี้ก่อน โดยในวันพรุ่งนี้(2 ต.ค.)ตนจะเชิญตัวแทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการแห่งประเทศไทยมาหารือกันเพื่อหาความเหมาะสมต่อไป ดังนั้นตนอยากขอร้องว่าอย่าเพิ่งเดินทางมาขับเคลื่อนในวันที่ 8 ต.ค.นี้ เลย
“ผมเห็นด้วยในเรื่องการปรับค่าจ้างคนที่จบปริญญาตรีให้เท่ากับข้าราชการที่เริ่มสตาร์ทที่ 16,500 บาท เพราะตอนนี้เราจ้างระดับปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งผมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้เห็นชอบในโอกาสต่อไป ส่วนที่มีความกังวลว่าหากเป็นลูกจ้างเหมาจะเสียสิทธิ์สอบครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ(ว.16 ว.17)นั้น จะไม่กระทบสิทธิ์ตรงนั้นแน่นอน เพราะสพฐ.ได้แก้หลักเกณฑ์ระเบียบให้แล้ว ถ้าเป็นลูกจ้างทำงานครบ 3ปีก็มีสิทธิ์เข้าสอบ ว.16 ว.17 เหมือนเดิมไม่กระทบสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ สพฐ. โดยตรง เนื่องจากเป็นระเบียบที่กรมบัญชีกลางกำหนด และสำนักงบประมาณเป็นผู้จัดสรรเงิน”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
สมศ.ประเมินภายนอกรอบปี 67 เสร็จแล้ว มีสถานศึกษาเข้าร่วมประเมินกว่า 5,000 แห่ง สูงกว่าเป้าเกือบ 20% ปลื้มผลการประเมินในภาพรวมน่าพอใจ
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ดร.นันทา หงวนตัด รักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การประเมินคุณภาพภายนอกประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งทำการประเมินในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2567 ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยสามารถประเมินคุณภาพภายนอกและรับรองผลให้แก่สถานศึกษาในระดับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (ศูนย์พัฒนาเด็ก) จำนวน 2,055 แห่ง และระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3,020 แห่ง สถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ ประเภทโรงเรียนนานาชาติ 20 แห่ง และด้านการอาชีวศึกษา จำนวน 44 แห่ง รวมทั้งสิ้น 5,139 แห่ง ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 939 แห่ง โดยในการประเมินคุณภาพภายนอก ปี พ.ศ.2567 -2571 สมศ. มุ่งเน้นประเมินเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพ (Quality Improvement) จึงไม่มีการตัดสินผลว่าผ่านหรือไม่ผ่าน โดยมีหลักเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ หากสถานศึกษามีผลการดำเนินงานในแต่ละมาตรฐานเป็นไปตามเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนดไว้ในแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ถือว่า ผลการประเมินคุณภาพภายนอก “เป็นไปตามมาตรฐาน” แต่หากสถานศึกษามีผลการดำเนินงานของสถานศึกษาที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ผลการประเมินคุณภาพภายนอก ถือว่า “อยู่ระหว่างการพัฒนา” ซึ่งภายหลังจากการประเมินคุณภาพภายนอกประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พบว่าสถานศึกษาทั้ง 3 ระดับ มีข้อค้นพบที่โดดเด่นเป็นแบบอย่างที่ดี (Best Practice) สามารถเป็นแนวทางให้สถานศึกษาอื่นๆ นำไปประยุกต์ใช้ได้กว่า 100 ตัวอย่าง
นอกจากข้อค้นพบที่โดดเด่นแล้ว ยังมีข้อค้นพบที่เป็นจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนา 3 อันดับแรก ของแต่ละประเภทสถานศึกษา ดังนี้
การศึกษาปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็ก มีข้อค้นพบที่เป็นจุดเด่น ประกอบด้วย 1) เด็กส่วนใหญ่มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เล่นแสดงความรู้สึกควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้ รู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เหมาะสมตามวัย 2) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองชุมชนและหน่วยงานภายนอก สื่อสารให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัยและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย ส่งผลให้เกิดความร่วมมือระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กกับชุมชนเป็นอย่างดี 3) ครูหรือผู้ดูแลเด็กมีการส่งเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ปลูกฝังคุณธรรมและการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม โดยการบูรณาการผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ในกิจวัตรประจำวัน ทำให้การจัดประสบการณ์การเรียนรู้มีความต่อเนื่องเป็นระบบ จุดที่ควรพัฒนา ประกอบด้วย 1) เด็กบางส่วนยังไม่สามารถคิดและตัดสินใจแก้ปัญหาได้ตามวัย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ยังไม่สามารถส่งเสริมให้เด็กส่วนใหญ่มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง 2) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยบางส่วนยังขาดการนิเทศและประเมินการปฏิบัติงานของครูหรือผู้ดูแลเด็ก ขาดการนำผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเป็นระบบ การช่วยเหลือ แนะนำ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูหรือผู้ดูแลเด็กยังไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้การปฏิบัติงานของครูยังไม่เป็นระบบและไม่ต่อเนื่อง 3) หลักสูตรของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยบางส่วนไม่สอดคล้องตามบริบท ขาดการประเมินผลการใช้หลักสูตรและแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และขาดการปรับปรุงทบทวนหลักสูตรให้เป็นปัจจุบัน ส่งผลให้การนำไปสู่การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน มีข้อค้นพบที่เป็นจุดเด่น ประกอบด้วย 1) สถานศึกษาเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม และมีการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง ทบทวนผลการดำเนินงานที่ผ่านมา วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา 2) สถานศึกษามีมาตรการรักษาความปลอดภัยตามบริบทของสถานศึกษาหรือตามนโยบายที่ต้นสังกัดกำหนด มีแนวทางป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ติดตามเฝ้าระวัง ป้องกันการเกิดอุบัติภัย ภัยพิบัติ 3) สถานศึกษามีการจัดทำแผนงานพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความเชี่ยวชาญในการประกอบวิชาชีพและส่งเสริมให้ครูและบุคลากรได้รับการอบรมพัฒนาทางด้านวิชาชีพและการจัดการความเสี่ยง ความปลอดภัย นำไปสู่การทำผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะที่สูงขึ้น ส่วน จุดที่ควรพัฒนา ประกอบด้วย 1) สถานศึกษาบางแห่งยังกำหนดนโยบาย ทิศทาง กลยุทธ์ และแผนงานไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม ขาดการบริหารงานอย่างมีส่วนร่วมและขาดการนำผลการประกันคุณภาพทั้งภายในและภายนอกมาใช้ในการพัฒนาสถานศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม 2) ผู้บริหารสถานศึกษาบางแห่งขาดการนำผลการนิเทศไปพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู และยังส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูไม่ต่อเนื่อง 3) สถานศึกษามีความพยายามในการสร้างเสริมความสามารถนำตนเองในการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่แหล่งเรียนรู้ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกทั้ง สถานศึกษามีหลักสูตรสถานศึกษาที่สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง แต่ยังขาดการบูรณาการแผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางในการเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีสมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ด้านการอาชีวศึกษา มีข้อค้นพบที่เป็นจุดเด่น ประกอบด้วย 1) ทักษะและการนำไปประยุกต์ใช้ของผู้สำเร็จการศึกษาอาชีวศึกษา 2) สถานศึกษามีการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น แหล่งเรียนรู้ สถานที่ฝึกงาน 3) สถานศึกษามีการส่งเสริมสนับสนุนให้จัดทำนวัตกรรม (Innovation) สิ่งประดิษฐ์ งานสร้างสรรค์ และงานวิจัย ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์และเผยแพร่สู่สาธารณชน จุดที่ควรพัฒนา ประกอบด้วย 1) สถานศึกษาควรจัดเก็บข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาอย่างเป็นระบบและสอดคล้องตามกระบวนการ PDCA 2) สถานศึกษาควรมีการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการทุกสาขาวิชาและทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง 3) สถานศึกษาควรส่งเสริมให้ครูมีการกระบวนการพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตรหรือเนื้อหารายวิชาอย่างต่อเนื่องให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและสังคม
ดร.นันทา กล่าวด้วยว่า ภาพรวมผลการประเมินคุณภาพภายนอกประจำปีงบประมาณ 2567 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ สถานศึกษาส่วนใหญ่เป็นไปตามมาตรฐานซึ่งมีการดำเนินการตามเป้าหมายที่แต่ละสถานศึกษากำหนดไว้ในแผนพัฒนากว่าร้อยละ 90 และมีแบบอย่างที่ดี (Best Practice) ในทุกระดับการศึกษารวมมากกว่า 100 ตัวอย่างซึ่ง สมศ. จะทำการรวบรวมและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเพื่อเผยแพร่หน้าเว็บไซต์ สมศ. www.onesqa.or.th สำหรับให้สถานศึกษาที่สนใจเข้ามาศึกษา และนำตัวอย่างที่เหมาะสมไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทสถานศึกษาของตนต่อไป
“สำหรับการประเมินคุณภาพภายนอกประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สมศ. ยังคงยึดหลักการประเมินคุณภาพภายนอกตามนโยบาย “ลดภาระ เรียนดี มีความสุข” ของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และมุ่งเน้น 3 ประเด็นหลักเช่นเดิม คือ1) การประกันคุณภาพภายนอกเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพ (Quality Improvement) ไม่ใช่การประเมินเพื่อตัดสินว่าผ่าน หรือ ไม่ผ่าน แต่เน้นสะท้อนภาพความเป็นจริง พร้อมให้ข้อเสนอแนะที่สอดคล้องตามบริบทของสถานศึกษา 2) มุ่งลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ลดการใช้เอกสาร และงดพิธีการต้อนรับต่างๆ และ 3) นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สนับสนุนการประเมินตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนและความซ้ำซ้อน รวมถึงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมิน” ดร.นันทา กล่าว
สกสค.ขอเลื่อนไต่สวนมูลฟ้องหมิ่นประมาท “โรงพิมพ์รุ่งศิลป์”ออกไปเป็น 2ธ.ค.67 รอให้อัยการแก้ต่าง คู่กรณี งง สรุปเป็นหน่วยงานของรัฐหรือ?
ที่ ศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ระหว่าง บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์(1977)จำกัด โจทย์ และ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่1 นายพัฒนะ พัฒนทวีดล จำเลยที่ 2 นายภกร รงค์นพรัตน์ จำเลยที่3 นายธิติทัศน์ ธนัชนนท์เดชน์ จำเลยที่ 4 และนายอภิชัย รุ่งเรืองกุล จำเลยที่ 5 แต่จำเลยที่ 1-4 ไม่มามอบหมายให้คนอื่นมาแทน มาแต่จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเอกชน อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ได้มีหนังสือที่ ศธ.5205 1/129 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ขอความอนุเคราะห์พนักงานอัยการแก้ต่างคดีให้กับจำเลยที่ 2-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคคีอาญา 1 สำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับเรื่องไว้พิจารณาเพื่อรับแก้ต่าง ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของพนักงานอัยการ โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 1 ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ อส.0008 1/397 ลงวันที่ 27 กันยายน 2567 ให้สำนักงาน คณะกรรมการ สกสค. ชี้แจงข้อเท็จเพิ่มเติม วันนี้จำเลยที่ 2 – 4 จึงยังไม่มีทนายความ แต่จำเลยที่ 2 – 4 ประสงค์ที่จะให้พนักงานอัยการทำหน้าที่ทนายความแก้ต่างคดีในขั้นไต่สวนมูลฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา8(2)อีกทั้งจำเลยที่ 2 – 4 ประสงค์จะยื่นคำแถลงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สำคัญที่ศาลควรสั่งว่า คดีไม่มีมูลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165/2 โดยพนักงานอัยการ ผู้รับเป็นผู้จัดทำคำแถลงดังกล่าวเพื่อยื่นต่อศาล ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อจัดทำคำแถลงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่งยังไม่แล้วด้วยเหตุความจำเป็นดังกล่าว จึงขออนุญาตศาลได้โปรดเลื่อนนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันนี้ออกไปสักนัดหนึ่ง เพื่อให้พนักงานอัยการได้เข้ามาดำเนินการเป็นทนายความให้จำเลยที่ 2 – 4 หรือมิฉะนั้นก็ขอให้พยานโจทก์ที่มาศาลในวันนี้เบิกความไปก่อน แล้วจำเลยที่ 2 – 4 ขอใช้สิทธิถามค้านในนัดหน้าต่อไป เพื่อให้จำเลยที่ 2 – 4 ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ซึ่งศาลได้อนุญาตและนัดให้มีการไต่สวนมูลฟ้องเลื่อนออกไปเป็นในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 เนื่องจากจำเลยอ้างรอแต่งตั้งอัยการมาแก้ต่าง
ทั้งนี้ นายพีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการสำนักงาน สกสค.ได้แนบ สำเนาพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 สำเนาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 7/2558 ลงวันที่ 16 เมษายน สำเนาหนังสือที่ นร 1200/71 ลงวันที่ 4 มกราคม 2553 เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร โดยสรุปได้ว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 มีฐานะเป็นนิติบุคคล ในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ และมีคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำหน้าที่บริหารงานสำนักงานฯ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นไปตามมาตรา 62
มีอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบคณะกรรมการ ตามมาตรา 63 และมาตรา 64 ประกอบคำสั่งหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2558 ลงวันที่ 16 เมษายน 2558 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานของ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ตามมาตรา 75 นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2550ได้พิจารณาเรื่องหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐแล้วมีมติเห็นชอบตามมติ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 วันที่ 26 มกราคม 2550 และครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 เรื่อง หลักเกณฑ์การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.เสนอ ประกอบกับคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 ได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารแล้ว ลงมติเห็นชอบกับหลักการตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.เสนอ โดยสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ถูกจัดให้เป็นหน่วยงานของรัฐประเภทองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ(หน่วยงานในกำกับ) ดังนั้น ตามที่บริษัท รุ่งศิลป์ฯฟ้องร้องมาเบื้องต้น สำนักงานงานคณะกรรมการ สกสค.ขอเรียนเพิ่มเติมว่า พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานคณะกรรมการ สกสค. นายพัฒนะ พัฒนทวีดล ในฐานะผู้อำนวยการค้าของ สกสค.นายภกร รงค์นพรัตน์ ในฐานะรองผู้อำนวยการองค์การค้าฯของสกสค.และนายธิติทัศน์ ธนัชนท์เดชน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุองค์การค้าฯ พิจารณาข้อกล่าวอ้างตามคำฟ้องของโจทก์แล้วไม่เป็นความจริง แต่อย่างใด โดยกรณีการให้ข่าวผ่านทางช่องทางสื่อออนไลน์ เว็บไซต์ขององค์การค้า สกสค. และทางการเสนอข่าวอีกหลายช่องทางนั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่เพื่อป้องกันความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ สำนักงาน สกสค.ให้การดำเนินงานการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนประจำปีการศึกษา 2567 ให้แล้วเสร็จ ทันก่อนเปิดภาคเรียนและเพียงพอต่อความต้องการของโรงเรียนตลอดถึงครู นักเรียน และผู้ปกครอง
ด้านนายนัทธพลพงศ์ จิวัจฉรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการผู้รับมอบอำนาจ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์(1977)จำกัด กล่าวว่า มีปัญหาตั้งแต่ TOR ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คุณสมบัติกระดาษที่ไม่มีอยู่จริง และเขาก็ยอมรับเองว่าขณะที่ทางโรงพิมพ์กำลังจัดพิมพ์หนังสือก็ส่งปกให้ไม่ครบตามใบสถานะที่ระบุ กว่าจะส่งครบก็วันที่ 27 เมษายน 2567 เหลือเวลาเพียง 10 กว่าวันก็จะครบกำหนดสัญญา โดยตอนที่จะพิมพ์ปกทางโรงพิมพ์ก็แจ้งองค์การค้าฯตลอดว่า ปกไม่ครบ ให้มานับ ซึ่งแทนที่เขาจะรีบทำปกส่งมากลับตอบมาว่าต้องการปกไหนให้แจ้งไป เพราะฉะนั้นการที่มาอ้างว่าเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตในฐานะเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่เพื่อป้องกันความเสียหายอันจะเกิดแก่สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ในการดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2567 ให้แล้วเสร็จทันก่อนเปิดเทอมนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะสิ่งที่พูดมานั้นดูเหมือนจะต้องการให้สังคมเห็นว่า โรงพิมพ์รุ่งศิลป์ไม่มีความสามารถ ไม่มีความพร้อม ไม่สมควรพิมพ์หนังสือให้ สกสค. ซึ่งในทางปฏิบัติหากองค์การค้า สกสค.รู้ว่า โรงพิมพ์มีปัญหา ควรต้องมาช่วยแก้ไขปัญหา เพื่อให้การจัดพิมพ์มีประสิทธิภาพและเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ซึ่งควรต้องมาร่วมมือกันถึงจะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ แต่กลับมาให้ข่าวใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จจึงไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้นข้อแก้ต่างนี้จึงฟังไม่ขึ้น
“ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ที่มีการให้ร้ายโรงพิมพ์รุ่งศิลป์โดยอ้างว่า ตนเองเป็นเจ้าพนักงาน เพื่อขอตั้งอัยการแก้ต่าง แต่ตอนที่ไปชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กลับบอกว่าตัวเองเป็นเอกชน หรือแม้แต่ตอนแถลงข่าวก็บอกว่าไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้ใช้งบฯของรัฐแม้แต่บาทเดียว แต่พอมาที่ศาลกลับบอกว่าเป็นเจ้าพนักงานอีก วันนี้ศาลจึงบอกให้กลับไปดูข้อกฎหมายให้ดีก่อน ซึ่งเราก็ต้องกลับไปทำการบ้านเพิ่มในประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาพยายามต่อสู้ว่าเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่ แต่เรามองว่าการให้ข่าวที่มีการแสดงความเห็นไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่”นายนัทธพลพงศ์ กล่าว
ลูกเสือ ผลิต “คฑาลูกเสือลุยโคลน” ช่วยผู้ประสบภัยเชียงราย
หลังจากวิกฤติน้ำท่วม โคลนถล่ม ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ผ่านไป การเก็บกวาดโกยโคลนโดยใช้ จอบ พลั่ว ถัง หรือ ใช้มือโกยดินนั้นทำได้ช้า ดังนั้นมูลนิธิส่งเสริมการลูกเสือแห่งประเทศไทยจึงได้พัฒนาอุปกรณ์ เรียกว่า “คฑาลูกเสือลุยโคลน” ซึ่งมีสองแบบคือแบบไม้และแบบเหล็กมีล้อ เพื่อเข้าไปช่วยกวาดโคลนในพื้นที่ โดย
“คฑาลูกเสือลุยโคลน“ แบบไม้ ดัดแปลงมาจาก ”คฑาโกยข้าวเปลือก“ ที่ชาวนาไทยโบราณใช้มานานน่าจะกว่าพันปี ผลิตจากไม้ไผ่ หรือไม้ยูคา กับเศษไม้กระดานที่รื้อมาจากบ้านเก่า ทำให้ชาวบ้านยากจนสามารถผลิตและซ่อมแซมอุปกรณ์โกยโคลนเองได้ โดยไม่เสียเงินซื้อ หรือทำเองราคาไม่แพง ราวอันละ 200 บาท ขณะนี้มูลนิธิลูกเสือ ได้เริ่มหน่วยผลิต “คฑาลูกเสือโกยโคลน” แบบไม้ สองแห่งที่ อ.แม่สาย และ อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย คาดว่าจะผลิตได้ราว 200 อัน ส่วนคฑาลูกเสือลุยโคลนแบบเหล็ก มีลูกล้อ ดัดแปลงมาจากอุปกรณ์โกยหิมะของชาวยุโรป ผลิตโดยลูกเสืออาชีวะ วิทยาลัยเทคนิคลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ สมุทรปราการ ราคาอันละประมาณ 1,500 บาท
ทั้งนี้ มูลนิธิลูกเสือได้นำอุปกรณ์ทั้งแบบไม้และแบบเหล็กมีล้อ ไปช่วยโกยโคลนที่ รร บ้านไม้ลุงขน รร บ้านเหมืองแดง และ รร บ้านน้ำลัด อ แม่สาย เชียงราย แล้วได้ผลดี ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2567
ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ทั้ง 4 ประเภท กว่า 2 แสนราย ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพฯ หมดอายุ 8 ธ.ค.นี้ อย่าลืมต่ออายุภายใน 180 วัน
ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภากล่าวว่า การลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา สามารถทำภารกิจด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษาได้ทุกที่ ทุกเวลา ( Anywhere Anytime) เป็นส่วนหนึ่งในนโยบาย “เรียนดีมี ความสุข” ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ซึ่งเมื่อ วันที่ 25 กันยายน 2567 สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พบว่า ในปี 2567 จะมีผู้ที่ใบอนุญาตฯ หมดอายุ ในวันที่ 8 ธันวาคม 2567 ประมาณ 200,000 ราย ซึ่งข้อบังคับคุรุสภา กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา สามารถยื่นต่ออายุใบอนุญาตฯ ได้ภายใน 180 วันก่อนวันหมดอายุ และสามารถตรวจสอบวันหมดอายุใบอนุญาตฯ ของตนเองได้ผ่านระบบ KSP Self–Service หรือ เว็บไซต์คุรุสภา https://www.ksp.or.th/service/license_search.php
เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่อไป สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ให้บริการใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ทั้งการขึ้นทะเบียน และต่ออายุใบอนุญาตฯ แบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถใช้บริการได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ KSP Self – Service บนเว็บไซต์ของคุรุสภา www.ksp.or.th และเพื่อให้การดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตฯ เป็นไปด้วยความสะดวก เรียบร้อย และรวดเร็ว เมื่อยื่นคำขอเข้ามาในระบบพร้อมกับชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้วขอให้ผู้ยื่นคำขอกลับมาตรวจสอบสถานะเบื้องต้นภายใน 15 วันทำการ เพื่อตรวจสอบว่าเอกสารที่จัดส่งทางออนไลน์นั้น มีความถูกต้อง ครบถ้วน หรือต้องส่งเอกสารเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อประโยชน์ของทุกท่าน และขอย้ำว่าการตรวจสอบสถานะเบื้องต้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อคุรุสภาได้รับเอกสารครบถ้วนถูกต้อง จึงจะดำเนินการในขึ้นตอนต่อไปได้ แต่หากผู้ยื่นคำขอไม่ตรวจสอบสถานะหรือส่งเอกสารเพิ่มเติมให้เรียบร้อย จะส่งผลให้คำขอดังกล่าวค้างอยู่ในระบบ และคุรุสภาจะไม่สามารถพิจารณาอนุมัติใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของท่านได้
ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวอีกว่า วิชาชีพทางการศึกษา ประกอบด้วย ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศน์ ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนี้ เป็นวิชาชีพควบคุม ตาม พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ดังนั้น ผู้ที่ประกอบวิชาชีพทั้ง 4 ประเภทนี้ จำเป็นต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหากผู้ใดประกอบวิชาชีพโดยที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมดอายุ หรือ ไม่มีใบอนุญาตฯ จะมีความผิด ตาม พ.ร.บ.สภาครูฯ ในมาตรา 78 และ มาตรา 79แล้วแต่กรณี และตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ พ.ศ. 2565 ได้กำหนดให้ผู้ที่ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตฯ หลังจากวันที่หมดอายุแล้ว จะต้องเสียค่าดำเนินการกรณีขอต่ออายุใบอนุญาตฯ ล่าช้า เป็นเงินเดือนละ 200 บาท แต่ไม่เกิน2,000 บาท นับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ใบอนุญาตฯ หมดอายุถึงวันที่ยื่นคำขอต่ออายุ และระยะเวลาที่นับได้ไม่ถึง 1 เดือน ให้นับเป็น 1 เดือน
“ คุรุสภา พร้อมให้บริการด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแบบออนไลน์ ด้วยระบบ KSP Self – Serviceเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบวิชาชีพทั้งการขึ้นทะเบียน และต่ออายุใบอนุญาตฯ อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพสามารถพิมพ์ใบอนุญาตฯ ได้ด้วยตนเอง ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านระยะเวลา และการเดินทาง แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทุกคน ตามนโยบายของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. หากมีข้อสงสัยในด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และ พนักงานเจ้าหน้าที่คุรุสภา ในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศ” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว.
สั่งพักราชการ ผอ.สพม.สระแก้ว หวังคืนความเชื่อมั่นให้ระบบการศึกษา
เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2567 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกรณี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)สระแก้ว ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดในการดำเนินการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสรรหาและเลือกสรรพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งครูผู้สอน ซึ่งพบว่ามีความผิดพลาดและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อีกทั้งยังกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยตรง
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ศธ. แสดงความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ผอ.สพม.สระแก้ว เพื่อให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปอย่างละเอียดและโปร่งใส ทั้งนี้ ศธ. ได้สั่งให้พักราชการ ผอ.สพม.สระแก้ว เป็นการชั่วคราว จนกว่าผลสอบสวนจะเสร็จสิ้น ซึ่งเป็นมาตรการในการป้องกันการแทรกแซงหรือส่งผลกระทบต่อการสอบสวน เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยตำรวจ อัยการ และเจ้าหน้าที่ ศธ. ส่วนกลาง ทำงานอีกชุดหนึ่งด้วย พร้อมส่งหลักฐานทุกอย่างให้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบความชัดเจน และยืนยันว่าไม่มีการแก้ไขหรือดัดแปลงหลักฐาน
“การทำงานของคณะกรรมการสอบสวนของ ศธ. จะไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภายนอกที่ร่วมสอบสวน แต่เป็นการทำงานคู่ขนานเพื่อเร่งหาข้อเท็จจริง ซึ่งจะไม่ล่าช้าแน่นอน ทั้งนี้ ศธ. พร้อมแสดงข้อเท็จจริงให้สังคมได้รับทราบในทุกขั้นตอน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก พร้อมย้ำว่า กระบวนการตรวจสอบครั้งนี้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการศึกษา และคลายข้อสงสัยทุกประเด็นต่อสังคม”นายสิริพงษ์กล่าว
สพม.ขอนแก่น ได้ข้อสรุปผอ.โรงเรียนชุมแพศึกษาแล้ว จะส่งให้เลขาฯกพฐ.สั่งการจันทร์นี้
เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2567 นายศักดา ชัยภัย ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)ขอนแก่น ให้สัมภาษณ์ กรณีนักเรียนโรงเรียนชุมแพศึกษา กว่า 200 คน ออกมารวมตัวชูป้ายข้อความประท้วง เพื่อขับไล่ นายฉัตร สิงห์บุราณ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมแพศึกษา พร้อมนำรถเครื่องเสียงมาจอดกล่าวปราศรัยตำหนิการบริหารงานต่างๆ นานา ว่า การบริหารงานไม่โปร่งใส ไม่สนับสนุนกิจกรรมเด็กนักเรียน ใช้วาจาไม่สุภาพ รวมถึงการจัดเก็บเงินค่าบัตรศึกษาดูงานสวนสัตว์ เติมน้ำมันหลวง โดยมี นายวิศรุต ปู่เพ็ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ น.ส.อ้อยใจ คำบุญเรือง นายอำเภอชุมแพ ลงมารับหนังสือข้อร้องเรียน ว่า หลังเกิดเหตุ 1 ชั่วโมง ตนได้มอบหมายให้นายทวีศักดิ์ สมนอก และนายปฐมพงษ์ สมอฝาก รองผู้อำนวยการ สพม.ขอนแก่น เข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการคนดังกล่าวเคยมีเรื่องร้องเรียนอยู่หลายเรื่อง ซึ่งตนได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอยู่ จนมีสภาพร้ายแรงกับตนเป็นคู่กรณีฟ้องศาลทุจริตกันอยู่ ตนจึงไม่มีอำนาจสั่งย้ายเพราะเกรงว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งกัน ซึ่งก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้อำนวยการโรงเรียนคนนี้ด้วย ทั้งนี้ตนจะรวบรวมข้อสรุปส่งให้ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน นี้ เพื่อให้พิจารณาสั่งการ แต่ทั้งนี้ สพม.ขอนแก่น จะต้องตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้อำนวยการโรงเรียนได้ชี้แจง
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า ให้ สพม.ขอนแก่น รายงานมาที่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ก่อน ตนถึงจะสั่งให้คณะทำงานลงไปตรวจสอบอีกครั้ง ถ้าตรวจสอบแล้วมีมูลความจริงก็ต้องสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนออกจากพื้นที่ไว้ก่อน เพื่อสะดวกในการตรวจสอบ
สอศ.ระดมอาชีวะอาสา Fix it Center ลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วมเหนือ-อีสาน เตรียมส่งคาราวานเสริมทัพเคลียร์โคลนเชียงราย
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นากยรัฐมนตรี และ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีห่วงใยในสถานการณ์และความเดือดร้อนของประชาชนครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียน นักศึกษา จึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)จัดทีมอาชีวะอาสาไปช่วยเหลือ ฟื้นฟูสถานศึกษา และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีมาตรการดำเนินการช่วยเหลือทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว คือ ทีมจิตอาสา Fix it Center ของชาวอาชีวศึกษาได้ลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมแรก ๆ โดยเข้าไปตั้งโรงครัวทำข้าวกล่องแจกให้แก่ผู้ประสบภัย ช่วยขนย้ายข้าวของ พอน้ำลดก็ระดมวิทยาลัยที่อยู่ภาคเหนือเข้าพื้นที่แล้วประมาณ 45 ทีม เพื่อช่วยทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชน สถานศึกษา ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ที่จมน้ำ ส่วนทางภาคอีสาน 6 อำเภอ 19 ตำบลในจังหวัดหนองคายก็มีจิตอาสา Fix it Center เข้าไปแล้ว 25 ทีมเพื่อช่วยเหลือประชาชนทั้งการทำความสะอาดบ้านเรือน ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ที่จมน้ำเช่นกัน
เลขาธิการ กอศ.กล่าวว่า อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางภาคอีสานยังมีแค่น้ำ ไม่มีดินโคลนเหมือนทางภาคเหนือโดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงรายที่การช่วยเหลือฟื้นฟูจะเป็นไปด้วยความยกลำบากกว่า โดยล่าสุดรมว.ศึกษาธิการ ได้สั่งการให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ซึ่งมีรถขุด แทรกเตอร์ รวมถึงเครื่องมือขนาดเล็ก ระดมกันส่งไปเป็นทัพเสริมช่วยที่จังหวัดเชียงรายแล้ว โดยจะมีการปล่อยคาราวานทัพเสริมในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 พบว่า ทีม Fix it Center สามารถช่วยเหลือให้บริการประชาชนไปแล้วกว่าหมื่นรายการ