มทร.ธัญบุรีเปิดรับสมัครพนักงานมหาวิทยาลัย 61 อัตรา สร้างโอกาสคนรุ่นใหม่มาร่วมพัฒนานวัตกรรมเพื่อชาติ

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ประกาศเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 1/2568 รวมทั้งหมด 61 อัตรา โดยแบ่งเป็นตำแหน่งอาจารย์ในสายวิชาการ 35 อัตรา และตำแหน่งสายสนับสนุน 26 อัตรา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยในการผลิตบัณฑิตนวัตกรและพัฒนางานวิจัยที่ตอบโจทย์สังคม

สำหรับตำแหน่งอาจารย์ในสายวิชาการ เปิดรับทั้งผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ด้วยอัตราเงินเดือนเริ่มต้น 26,250 บาท และระดับปริญญาเอก ที่ได้รับเงินเดือนเริ่มต้น 31,500 บาท พร้อมเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้มีวุฒิปริญญาเอกเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปี ส่วนตำแหน่งสายสนับสนุน เปิดรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 19,500 บาท และปริญญาโท เงินเดือนเริ่มต้น 22,750 บาท

มทร.ธัญบุรีให้ความสำคัญกับสวัสดิการพนักงานมหาวิทยาลัย โดยมีกองทุนพนักงานมหาวิทยาลัยที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลสำหรับครอบครัว ค่าการศึกษาบุตร และค่าประกันอุบัติเหตุ นอกจากนี้ ยังมีระบบบำนาญหลังเกษียณแบบข้าราชการ และสนับสนุนเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพครึ่งหนึ่งเมื่อพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นสมาชิก พร้อมทั้งมีกองทุนส่งเสริมการวิจัยเพื่อสนับสนุนอาจารย์ในการทำงานวิชาการและตีพิมพ์ผลงานระดับนานาชาติ ตลอดจนกองทุนพัฒนาบุคลากรเพื่อยกระดับทักษะและตำแหน่งทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง

ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดตำแหน่งงานและสมัครออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ https://rmutt.thaijobjob.com/ ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม ถึง 5 มิถุนายน 2568 (ปิดรับสมัครเวลา 16.30 น.) การเปิดรับสมัครครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาการศึกษาและนวัตกรรม เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมอย่างยั่งยืน

สพฐ.กำชับรับเปิดเทอม 2568 ห้ามมอบหมายครูอยู่เวร–กำกับการลงโทษนักเรียนยึดระเบียบ ศธ.สร้างการศึกษา “เรียนดี มีความสุข”

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั่วประเทศ ได้เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 ครบถ้วนอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งตนเน้นย้ำความสำคัญของการบริหารจัดการศึกษา โดยขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาทุกแห่ง ร่วมกันสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนานักเรียนให้ “เรียนดี มีความสุข” ลดภาระที่ไม่จำเป็นของครู บุคลากร นักเรียน และผู้ปกครอง เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถมุ่งมั่นกับภารกิจของตนได้เต็มที่ และร่วมกันผลักดันเป้าหมายพัฒนานักเรียน “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด และฉลาดทำ”

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า ดังนั้นเพื่อให้สถานศึกษาเปิดภาคเรียนด้วยความพร้อม สพฐ. ได้กำหนด 5 แนวทาง ให้สถานศึกษาปฏิบัติ ดังนี้ 1. ด้านความปลอดภัยของสถานศึกษา เน้นดูแลสวัสดิภาพนักเรียนทั้งในและนอกเวลาเรียน 2. ด้านการเสริมสร้างโอกาสในการเรียนรู้และสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น เยี่ยมบ้านนักเรียน 100% การจัดการเรียนเสริม และระบบแนะแนวที่ตอบโจทย์ตามบริบทผู้เรียน 3. ด้านการสร้างเครือข่ายและการสร้างความร่วมมือ ให้สถานศึกษาประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และชุมชน เพื่อร่วมกันดูแลความเรียบร้อยของโรงเรียน 4. ด้านงบประมาณ ให้ดำเนินการใช้จ่ายตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และ 5. ด้านแผนเผชิญเหตุ ให้สถานศึกษาเตรียมพร้อมรับมือเหตุและภัยพิบัติต่างๆ ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกิดเหตุ พร้อมเฝ้าระวังสิ่งเสพติด เช่น บุหรี่ไฟฟ้า และปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเข้าถึงนักเรียน  นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำ ว่า หากเกิดเหตุจำเป็นต้องลงโทษนักเรียน ขอให้ครูยึดหลักจรรยาบรรณ และเคร่งครัดปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 กฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 และฉบับที่ 2 พ.ศ.2562 ซึ่งกำหนดโทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทําความผิดได้ 4 มาตรการ ได้แก่ 1.การว่ากล่าวตักเตือน 2. ทำทัณฑ์บน 3.ตัดคะแนนความประพฤติ และ 4.จัดกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยน และห้ามมิให้ใช้ความรุนแรง กลั่นแกล้ง หรือ ลงโทษในลักษณะทำให้นักเรียนอับอาย เช่น การตัดผมนักเรียนหน้าชั้นเรียน ซึ่งขัดต่อแนวทางการคุ้มครองสิทธิเด็ก

“ ในประเด็นการลดภาระงานของครู สพฐ.ขอย้ำให้สถานศึกษาปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2567 ที่ยกเว้นให้ครูไม่ต้องอยู่เวรโดยเด็ดขาด ผู้บริหารต้องไม่ใช้ถ้อยคำ หรือ คำสั่ง ในลักษณะใกล้เคียง เช่น “เวรความปลอดภัย” หรือ “เวรสมัครใจ” ซึ่งเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงขัดมติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ เราต้องร่วมกันทำให้โรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ราชการ เป็นพื้นที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงสำหรับนักเรียน ครู บุคลากร และผู้ปกครอง ดังนั้น ขอให้เขตพื้นที่ฯ และสถานศึกษา สื่อสารทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องถึงมาตรการด้านความปลอดภัย ทั้งในและนอกเวลาเรียน พร้อมกำหนดแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่น จัดทำกลไกเฝ้าระวังบุคคลภายนอกเข้ามาก่อเหตุ ห้ามพกอาวุธ ห้ามนำสิ่งผิดกฎหมายเข้ามาในโรงเรียน แต่งกายสุภาพ และไม่ก่อความวุ่นวายในพื้นที่ราชการ หากมีการฝ่าฝืน ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพราะโรงเรียนคือพื้นที่เรียนรู้ที่ต้องปลอดภัย ที่จะสร้างการศึกษา เรียนดี มีความสุข ให้กับทุกคน” ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าว.

อดีตปลัดกระทรวงศึกษา “อรรถพล” ชี้ ถึงเวลา“ก้าวข้ามเส้นแบ่งเวลา : พัฒนาคนไทยในยุคที่ AI ไม่รอใคร”

ดร.อรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการและอดีตเลขาธิการสภาการศึกษาเปิดเผยว่า ไมโครซอฟต์ได้เผยแพร่รายงาน Work Trend Index 2025 ที่เผยถึงอนาคตของโลกงานที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ภายใต้แรงขับเคลื่อนของ AI และการทำงานร่วมระหว่างมนุษย์กับปัญญาประดิษฐ์ ในขณะที่องค์กรทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค ‘Frontier Firm’  หรือ ยุคที่ “คน” ไม่ได้ทำงานคนเดียวอีกต่อไป รวมถึงประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศเอเชียที่ผู้นำองค์กรกว่า 90% มั่นใจว่า AI จะเข้ามาขยายศักยภาพแรงงานภายใน 12–18 เดือนข้างหน้า จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะต้องคิดว่า ประเทศไทยจะเตรียมคนและระบบการศึกษาอย่างไรเพื่อไม่ให้หลุดขบวนโลก

รายงานชี้ให้เห็นว่า องค์กรแห่งอนาคตหรือ Frontier Firms จะทำงานบนโมเดล “มนุษย์-ตัวแทนปัญญาประดิษฐ์ (AI agents)” ซึ่งจะแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระยะ ตั้งแต่มนุษย์ใช้ AI เป็นผู้ช่วย ไปจนถึงการเป็นหัวหน้าของทีม AI ที่บริหารจัดการงานเองได้แทบทั้งหมดภายใต้คำแนะนำจากมนุษย์ จุดเปลี่ยนสำคัญไม่ใช่แค่เรื่อง “เทคโนโลยี” แต่คือ “คนจะทำงานอย่างไรในโลกที่มี AI อยู่ด้วยทุกที่” และจากข้อมูลในรายงานจึงเห็นว่า ประเทศไทยควรพัฒนาคนและการศึกษาใน 4 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) ปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้าง “Agent Boss” ไม่ใช่แค่ผู้ใช้งาน คือทุกคนจะต้องสามารถบริหารจัดการ AI ได้ เหมือนผู้จัดการทีม ไม่ใช่แค่ใช้เป็นเครื่องมือ จึงต้องเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมจนถึงอุดมศึกษา ให้เน้นความรู้ด้าน AI เบื้องต้นและเชิงลึก การพัฒนาทักษะ “prompting” และการโต้ตอบกับ AI อย่างมีวิจารณญาณ และการจัดการและประเมินผลการทำงานของทีมที่มี AI รวมอยู่ด้วย 2) Upskill & Reskill อย่างต่อเนื่อง โดย 47% ของผู้นำองค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญกับการ upskill พนักงานในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทักษะที่ต้องเร่งสอน ได้แก่ การทำงานร่วมกับ AI (AI collaboration) การคิดเชิงนวัตกรรม การปรับตัว และความคิดสร้างสรรค์ และทักษะมนุษย์ที่ AI แทนไม่ได้ เช่น การตัดสินใจเชิงคุณธรรม ความเข้าใจทางสังคม และการสื่อสาร 3) สร้างระบบ “ทรัพยากรปัญญา” (Intelligence Resources Department) เช่นเดียวกับการมีฝ่าย HR และ IT ในองค์กรยุคก่อน ยุคนี้ควรมีหน่วยงานเฉพาะเพื่อจัดการแรงงานดิจิทัล (AI) อย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลการเรียนรู้ของ AI รวมถึงความปลอดภัยและจริยธรรม และ 4) เตรียมโครงสร้างแรงงานใหม่สำหรับโลกที่ “งาน” เปลี่ยนรูป โดยโครงสร้างองค์กรแบบเดิมที่แยกตามฝ่าย (Finance, HR, Marketing) อาจกลายเป็นอดีต Frontier Firms ใช้ “Work Chart” ที่จัดทีมตามเป้าหมาย ไม่ใช่แค่หน้าที่ ดังนั้น ภาครัฐต้องร่วมมือกับภาคเอกชนในการออกแบบแรงงานยุคใหม่ มีการสนับสนุน Startup ด้าน AI ควรเป็นวาระแห่งชาติ และควรสร้าง Sandbox ให้คนรุ่นใหม่ทดลองใช้ AI ในภารกิจจริง เช่น การเกษตรอัจฉริยะ การบริการสาธารณะ หรือการจัดการสิ่งแวดล้อม

ดร.อรรถพล กล่าวย้ำว่า หากเราพร้อม AI จะไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นพาร์ทเนอร์ ผลการศึกษาชี้ว่า คนที่ทำงานร่วมกับ AI อย่างมีประสิทธิภาพสามารถประหยัดเวลาได้กว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน และมีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานเร็วกว่าคนที่ไม่ใช้ อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำทางทักษะกำลังก่อตัวอย่างรวดเร็ว หากประเทศไทยไม่เริ่ม “วันนี้” โอกาสจะกลายเป็นภาระในอนาคต ทางรอดของไทยอยู่ที่ “คน” ไม่ใช่ “ของ”การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญ แต่การพัฒนาคนให้รู้เท่าทัน ปรับตัว และใช้เทคโนโลยีอย่างมีเป้าหมายคือหัวใจ หากไทยอยากเป็น Frontier Nation ที่สามารถใช้ AI เพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ความเร็ว เราต้องเริ่มลงทุนใน “สมองของคน” ตั้งแต่วันนี้

อาชีวะพร้อมเปิดเทอม เลขา กอศ.การันตี เด็กอาชีวะมีความสุขในการเรียน มีรายได้ระหว่างเรียน และมีงานทำ 100%  

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจนักเรียน นักศึกษา และคณะครู ในโอกาสเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2568 โดยมี ดร.สาริศา พิชัยฤกษ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยและคณะให้การต้อนรับ ณ วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี โดย นายยศพล เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ให้ทุกสถานศึกษาเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2668 ทั้งด้านบุคลากร สื่อการเรียนรู้ และพื้นที่ปฏิบัติการรองรับการเรียนการสอนเชิงทักษะจริงตามบริบทของแต่ละสาขาวิชา วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งสถานศึกษาของการจัดการเรียนการสอนที่เชื่อมโยงกับโลกของธุรกิจ ทั้งในระดับ ปวช. ปวส. และระดับปริญญาตรี โดดเด่นในการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านพาณิชยการและธุรกิจ และเป็นศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (CVM) สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล และสาขาการตลาด

“วันนี้ได้ตรวจเยี่ยม และพูดคุยกับนักเรียน นักศึกษา พร้อมชมห้องปฏิบัติการในสาขาต่าง ๆ ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง อาทิ ศูนย์ TCC Printing ธุรกิจงานพิมพ์ของนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล ซึ่งดำเนินการมาแล้วกว่า 5 ปี ปัจจุบันฝึกนักศึกษารุ่นที่ 10 ให้มีทักษะในการบริการ พิมพ์งานด่วน ออกแบบโปสเตอร์ ใบปลิว บัตร และถ่ายเอกสาร จากนั้น เยี่ยมชมศูนย์ SHIPPOP แหล่งเรียนรู้ด้านโลจิสติกส์ของนักศึกษาสาขาการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน โดยร่วมกับบริษัทขนส่งเพื่อฝึกทักษะด้านธุรกิจขนส่งพัสดุจริงห้องปฏิบัติการโซเชียลมีเดียที่นักศึกษาสาขาการตลาด ได้ใช้เป็นพื้นที่ฝึกฝนการขายออนไลน์ รวมถึงมีการไลฟ์สดเพื่อส่งเสริมทักษะการขายผ่านแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดีย และพูดคุยกับนักศึกษาสาขาดิจิทัลกราฟิก ที่กำลังจัดการเรียนการสอน การใช้เครื่องมือ เพื่อการสร้างงานด้านดิจิทัล”เลขาธิการ กอศ.กล่าว

นายยศพล  กล่าวด้วยว่า เปิดภาคเรียนใหม่นี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนานักเรียน นักศึกษา แม้อาจมีความท้าทาย แต่ก็ถือเป็นโอกาสในการเติบโต ทุกก้าวของการเรียนรู้ คือก้าวที่พาไปสู่ความสำเร็จ พร้อมให้กำลังใจนักเรียน นักศึกษาให้ตั้งใจเรียนในสิ่งที่เลือก และพัฒนาไปสู่เป้าหมายอย่างเต็มที่ โดย สอศ. มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีศักยภาพและมีสมรรถนะ ตามนโยบายของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนอาชีวศึกษามีความสุขในการเรียน มีรายได้ระหว่างเรียน และมีงานทำ 100% หลังจบการศึกษา เราจะจับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน ฝากให้นักศึกษาใช้เวลาช่วงเปิดภาคเรียนในการเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย และดูแลสุขภาพของตนเองควบคู่ไปด้วย

 

“คุรุสภา” ผลักดันร่างมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการจัดการศึกษายุคปัจจุบัน

ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า จากนโยบาย “เรียนดี  มีความสุุข” ของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้นการสร้าง ‘ครูคุณภาพ’ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและมีความสุข ต่อยอดการพัฒนาคุุณภาพการศึกษาทุกระดับให้ทันสมัยได้มาตรฐานสากลอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้ดำเนินการจัดทำร่างข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัยขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูในระดับปฐมวัย มีสมรรถนะทางวิชาชีพที่ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลงของการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน มีสาระสำคัญประกอบด้วย 1.มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ 2.มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ 3.มาตรฐานการปฏิบัติตน

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวต่อว่า มาตรฐานความรู้ครูปฐมวัย กำหนดให้ครูปฐมวัยต้องมีความรอบรู้และเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เช่น ธรรมชาติการเรียนรู้ของสมองเด็ก การเจริญเติบโต พัฒนาการด้านตัวตนและแบบองค์รวมของเด็กตามช่วงวัย การสร้างสัมพันธภาพต่อเด็กและการเลี้ยงดู และการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม ความรู้ด้านศาสตร์การสอนสำหรับเด็กปฐมวัย การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม การพัฒนาหลักสูตรสอดคล้องกับบริบทของครอบครัว ชุมชน และสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ตอบสนองต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การประเมินเพื่อวางแผน ส่งเสริม พัฒนาการและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัย และความแตกต่างของเด็กรายบุคคล สุขภาพกายและใจ โภชนาการที่ดี การดูแลความปลอดภัยจากสภาพแวดล้อม สังคม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และความสัมพันธ์ของระบบนิเวศรอบตัวที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ครอบคลุม ทั้งครอบครัว โรงเรียน หน่วยงานสาธารณสุข ชุมชน สื่อ เทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม และกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และการพัฒนาเด็กปฐมวัย และสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวว่า สำหรับมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพกำหนดว่า ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัย ต้องผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด ได้แก่ การฝึกประสบการณ์วิชาชีพระหว่างเรียน และการปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ ขณะที่มาตรฐานการปฏิบัติงานนั้นกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยต้องปฏิบัติหน้าที่ครูด้วยการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้านความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย มีจิตวิญญาณและคุณลักษณะที่ดีของความเป็นครูปฐมวัย สร้างสัมพันธภาพที่ดี รัก เมตตา และเอื้ออาทรต่อเด็กปฐมวัย ปฏิบัติต่อเด็กปฐมวัยอย่างให้เกียรติ ใช้ความรู้ในการวางแผน พัฒนาและประเมินอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย และการจัดประสบการณ์เรียนรู้ต้องออกแบบ วางแผนอย่างสร้างสรรค์ บูรณาการที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของเด็กปฐมวัย จัดสื่อ สภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคม ทั้งในและนอกห้องเรียนที่เหมาะสม รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชนเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ร่วมแก้ปัญหาด้านพัฒนาการโดยใช้วิธีการสื่อสารเชิงบวกอย่างสม่ำเสมอ

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญส่วนหนึ่งของมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัยคือการให้เด็กมีส่วนร่วมในการแสดงออก ใส่ใจต่อเด็กปฐมวัยที่ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่าง ๆ ตลอดจนส่งเสริมสุขนิสัยที่ดี และดูแลความปลอดภัยทางสภาพแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยีที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก โดยทำงานร่วมกับผู้ปกครอง และหรือสหวิชาชีพ และรู้เท่าทันและสามารถใช้สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีทางการศึกษา ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดผลดีต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก มีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์โดยบูรณาการการเรียนรู้ผ่านการเล่นและทำกิจกรรมที่หลากหลายสอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของเด็กและความต้องการพิเศษ เพื่อให้เด็กมีสมรรถนะพื้นฐานในการเรียนรู้และการดำรงชีวิตต่อไปในอนาคต และในส่วนสุดท้ายคือมาตรฐานการปฏิบัติตนที่ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยจะต้องมีมาตรฐานการปฏิบัติตนตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ

“คุรุสภาเห็นความสำคัญของครูปฐมวัย ผู้ซึ่งประกอบวิชาชีพหลักด้านการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้ให้กับเด็กปฐมวัย จึงได้จัดทำร่าง ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วย มาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. … และเปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครู หน่วยงานผู้ใช้ครู ผู้ประกอบวิชาชีพครู รวมถึงผู้ปกครองนักเรียน นิสิตนักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งขณะนี้การดำเนินการใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยคณะกรรมการคุรุสภา ในการประชุม ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 มีมติเห็นชอบ ร่าง ข้อบังคับดังกล่าว และอยู่ระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการคุรุสภาพิจารณาลงนาม และจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งการจัดทำร่างข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วย มาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัยฉบับนี้ เพื่อมุ่งหวังให้ครูในระดับปฐมวัย มีสมรรถนะทางวิชาชีพสอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพครูในระดับปฐมวัย ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการเตรียมความพร้อมของผู้เรียนเพื่อรับการศึกษาในขั้นถัดไป” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว.

“รุ่งศิลป์ฯมึน”องค์การค้าฯรายงานศธ.ส่งหนังสือเรียนทันเปิดเทอมเรียบร้อย ทั้งที่มีหนังสือจากกรมบัญชีกลางขัดม.8 ยังเหลืออีก3กลุ่มสาระ8รายการยังไม่ได้พิมพ์ เตรียมฟ้องกราวรูด

เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2568 นายนัทธพลพงศ์ จิวัจฉรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) กล่าวถึงกรณี องค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้า สกสค.) ได้รายงานในที่ประชุมประสานภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ที่มีนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ว่า องค์การค้า สกสค.ได้ดำเนินการจัดส่งหนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2568 ไปยังสถานศึกษาทุกแห่งก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ ครบหมดทุกโรงเรียนแล้ว ซึ่งการจัดพิมพ์และการจัดส่งแบบเรียนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทำให้ตนมีข้อสงสัยเป็นอย่างมาก เนื่องจาก กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ ผู้ชนะการเสนอราคา โครงการจ้างพิมพ์พร้อมทำเล่มสำเร็จรูป หนังสือเรียนรายวิชวิชาพื้นฐาน 3 กลุ่มสาระ คือ  กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ จำนวน 5 รายการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จำนวน 1 รายการ และหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ทัศนศิลป์ 2 รายการ ซึ่งเป็นหลักสูตรปรับปรุงใหม่ ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) เลขที่ D60/2567 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ไปถึงองค์การค้า สกสค.และ บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์ฯ โดยผลพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียนของกรมบัญชีกลาง ผลปรากฏว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียนได้ เห็นว่าข้อกล่าวอ้างของ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด ในประเด็นที่ 2 ไม่รับประเด็นอุทธรณ์ไว้พิจารณา แต่ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 ซึ่งเป็นสาระสำคัญ ฟังขึ้น ดังนั้น การอุทธรณ์ในประเด็นนี้ มีผลต่อการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีนัยสำคัญ จึงให้องค์การค้าของ สกสค. ยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างในครั้งนี้ และให้ดำเนินการใหม่ให้ถูกต้อง ตามนัยมาตรา 119 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งก็ทราบมาว่าองค์การค้า สกสค.อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง จึงไม่ทราบว่าองค์การค้า สกสค.เอาหนังสือ 3 กลุ่มสาระนี้มาจากไหนจัดส่งให้โรงเรียน ซึ่งเป็นหลักสูตรปรับปรุงใหม่

“ดังนั้น ที่กล่าวมาเบื้องต้น บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องฟ้องศาลดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป เนื่องจากบริษัทรุ่งศิลป์ฯเกิดความเสียหายมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมบัญชีกลางชี้ชัดแล้วว่าการกำหนดเงื่อนไขดังกล่างเป็นการกีดกันการเสนอราคามิให้บริษัทรุ่งศิลป์ฯเข้ายื่นเสนอราคาในครั้งนี้ได้ ซึ่งขัดกับมาตรา8 แห่งพ.ร.บจัดซื้อจัดจ้าง ปี 2560  ซึ่งข้อกล่าวอ้างในประเด็นนี้ฟังขึ้น”นายนัทธพลพงศ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามองค์การค้า สกสค.เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่า องค์การค้า สกสค.ได้ยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างตามหนังสือแจ้งของกรมบัญชีกลางแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์หนังสือใน 3 กลุ่มวิชาดังกล่าวเบื้องต้น

กพฐ.เผยโรงเรียน 4,398 แห่ง สมัครใช้หลักสูตรใหม่ปฐมวัย-ประถมต้น  เน้นอ่านออก เขียนได้แบบเข้าใจและคิดเป็น เริ่มใช้เปิดเทอมนี้

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. พร้อมด้วย นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 4/2568 โดยมี ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ประธาน กพฐ.) เป็นประธานการประชุม  ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และร่วมประชุมออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting)

ศ.ดร.บัณฑิต กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้หารือข้อราชการและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานด้านการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) โดยในส่วนของความก้าวหน้าการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2568 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี และหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-ป.3) ซึ่งเปิดโอกาสให้โรงเรียนทั่วประเทศพิจารณาตนเองว่า มีความพร้อม ทั้งในด้านผู้บริหาร ผู้สอน และระบบต่าง ๆ ในโรงเรียน สมัครเข้ามาเพื่อใช้หลักสูตรดังกล่าว พบว่า มีโรงเรียนจากทุกสังกัดได้สมัครเข้ามาถึง 4,398 แห่ง และจะเริ่มใช้ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 นี้ โดยหลักสูตรนี้พัฒนาอยู่บนพื้นฐานที่ต่อยอดมาจากหลักสูตรฐานสมรรถนะ สำหรับชั้นปฐมวัยและชั้นประถมต้น จะเน้นเรื่องการอ่านออกเขียนได้แบบเข้าใจและคิดเป็น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมที่จัดการศึกษาให้นักเรียนตามขั้นตอนแบบตายตัว ใช้ตำราแบบเดิม ๆ เมื่อใช้แบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่นขึ้น ทางโรงเรียนจะสามารถดูเฉพาะหัวข้อ แล้วผู้บริหารกับครูร่วมกันพิจารณาเนื้อหาและวิธีการในการจัดการศึกษาให้นักเรียนในแบบที่เหมาะสมเข้ากับบริบทของโรงเรียนได้ พร้อมกันนี้ สพฐ. โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้เตรียมความพร้อมต่างๆ ที่จะช่วยเหลือโรงเรียน อาทิ มีการตั้งคลินิกวิชาการขึ้นมาเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับทุกโรงเรียน มีการรวบรวมครูและอาจารย์จากโรงเรียนต่างๆ ให้สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ว่าวิธีการจัดการศึกษาแบบใดที่เหมาะสม ทำแล้วประสบผลสำเร็จ เพื่อให้ครูโรงเรียนอื่นๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในโรงเรียนของตนเองได้

“คาดหวังว่าการใช้หลักสูตรใหม่นี้จะเปิดโอกาสให้นักเรียนและครู เกิดสมรรถนะที่จำเป็น มีทักษะความสามารถที่ทันสมัย ทันโลก สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากในตำราเรียนได้มากขึ้น และวิธีการวัดผลก็จะไปเน้นที่ผลสมรรถนะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวนักเรียนเป็นสำคัญ ทั้งในด้านความรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่จำเป็น ซึ่งจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป” ประธาน กพฐ. กล่าว

เปิดเทอมปีนี้มีหนังสือเรียนแน่นอน องค์การค้าฯยืนยันส่งหนังสือถึงโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว “เสมา 1”ห่วงโควิด ไข้หวัดใหญ่ ระบาด ย้ำมาตรการป้องกันเข้มงวด

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568  นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 15/2568 ว่า ที่ประชุมได้รับทราบการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้อบรมสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในระดับเขตพื้นที่ 245 เขตพื้นที่ เสร็จแล้ว จำนวน 342,207 คน  จากกลุ่มเป้าหมาย  445,624 คน ลงทะเบียน 437,585 คน พร้อมทั้งได้คัดเลือกทีมกลุ่ม A และ B  และกำหนดให้ทั้งสองกลุ่ม นำเสนอผลการสร้างและพัฒนาข้อสอบฯ ทีมละ 5 นาที พร้อม Infographic ในวันที่ 6 มิถุนายน ต่อผู้บริหาร สพฐ.ในเวลา 09.00 – 12.00 น. และ เวลา 13.30 – 16.00 น.นำเสนอต่อ รมว.ศึกษาธิการ และประธานคณะทำงานขับเคลื่อนฯ ต่อไป

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมปิดเทอมใหญ่ เด็กไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” ในสัปดาห์ที่ 5 มีเด็กร่วมเล่นเกม จำนวน 3,626 คน โดยนักเรียนที่ตอบถูกทุกข้อจะได้รับการจับฉลาก เพื่อรับรางวัลจาก รมว.ศึกษาธิการ สัปดาห์ละ 5 รางวัล ขณะที่การเพิ่มเติมชุดความรู้สมรรถนะความฉลาดรู้ให้กับ AI ในการเฉลยคำตอบของนักเรียน จากข้อสอบ PISA นั้น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)จะส่งเสริมให้ครูนำชุดพัฒนาความฉลาดรู้ไปใช้ในการฝึก AI ให้เรียนรู้การเขียนคำตอบที่ถูกต้องตามหลักการของการตอบ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์คำตอบของนักเรียน และครูจำเป็นต้องพิจารณาความถูกต้องอีกครั้ง โดยตัวอย่างการขับเคลื่อนในระดับเขตพื้นที่ เช่น สพท.ชัยนาท, สพม.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม, สพม.ราชบุรี มีผลลัพธ์ด้านปริมาณของการขับเคลื่อนการพัฒนาฯ เป็นที่น่าน่าพึงพอใจแล้ว

นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(กคศ.)ได้รายงานผลการประเมิน ว 17 ว่า ขณะนี้ได้ประเมินครบถ้วนทุกรายแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการแจ้งผลไปยังผู้รับการประเมิน ส่วน ว PA มีผู้ขอเสนอประเมินผลงาน 123,858 ราย ผ่านการประเมิน 103,360 ราย คิดเป็นร้อยละ 89  ส่วนเรื่องของหนังสือแบบเรียนสำหรับปีการศึกษา 2568 ได้รับการยืนยันจากองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทงการศึกษา(สคสค.) ว่าได้จัดส่งหนังสือแบบเรียนไปถึงโรงเรียนทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยก่อนเปิดเรียน

“ขณะนี้ใกล้เปิดภาคเรียนและกำลังจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้ฝากข้อห่วงใยการแพร่ระบาดของโควิด 19 และไข้หวัดใหญ่ จึงได้เน้นย้ำและกำชับไปยังโรงเรียน และเขตพื้นที่การศึกษาให้เฝ้าระวัง ย้ำเตือนและปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย และดูแลสุขภาพ นักเรียน รวมถึงครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็น และหมั่นล้างมือเพื่อเป็นการป้องกันด้วย”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

สกศ.วางทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ ปี 68 – 70 เปรียบเป็นเข็มทิศของการศึกษาไทย

รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เห็นชอบทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการสร้างงานวิจัยเพื่อการพัฒนาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในการพัฒนาการศึกษา รวมทั้งค้นหาคำตอบสำหรับการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน ป้องกัน เตรียมความพร้อม และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อนำการศึกษาของประเทศไทยไปสู่เป้าหมายเดียวกัน จึงเปรียบเสมือนเป็นเข็มทิศที่ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางและกรอบแนวทางการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาการศึกษาของชาติต่อไป

จากการศึกษา วิเคราะห์ด้วยกระบวนการมองอนาคต (Foresight) และหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจึงได้กำหนดเป็นทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ จำนวน 8 ประเด็น ซึ่งจะเป็นเฉพาะประเด็นหลัก ส่วนประเด็นโดยละเอียดขึ้นอยู่กับความสนใจในการวิจัย เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและความยืดหยุ่นในการวิจัย และในสภาวการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก โดยทั้ง 8 ประเด็นการวิจัย สามารถจัดกลุ่มเป็น 4 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1 การวิจัยเพื่อพัฒนาแนวคิด ระบบ โครงสร้าง และการจัดการศึกษาที่รองรับและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ประกอบด้วย 1) การเรียนรู้ตลอดชีวิต และ 2) การศึกษาเพื่อสังคมสีเขียว

ด้านที่ 2 การวิจัยเพื่อกำหนดระบบการผลิตและพัฒนาทักษะกำลังคน ผู้เรียน และบุคลากรทางการศึกษาที่มุ่งสู่การยกระดับผลิตภาพโดยรวมของประเทศ ประกอบด้วย
1) การพัฒนาทักษะที่จำเป็น และการ Re-skills/Up-skills ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และ
2) ความเป็นพลเมืองและพลโลก

ด้านที่ 3 การวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการการศึกษาที่มุ่งสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาในระดับนานาชาติ ประกอบด้วย 1) การศึกษาที่มีคุณภาพ 2) ความเสมอภาค – ลดความเหลื่อมล้ำ และ 3) ประสิทธิภาพทางการศึกษา

และด้านที่ 4 การวิจัยเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการศึกษา (Ecosystem) ที่สนับสนุนให้เกิดการศึกษาที่มีคุณภาพ ปราศจากความเหลื่อมล้ำ และนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ได้แก่ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา/การเรียนรู้

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนบรรลุตามเป้าหมาย สกศ. จึงได้กำหนดกลไกเพื่อสร้างผลลัพธ์การดำเนินงาน ได้แก่ 1) กลไกการจัดสรรทุนวิจัยเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยประเทศไทยมีหน่วยงานและกลไกที่ให้ทุนในการวิจัยจำนวนมาก แต่ไม่มีกลไกในการบูรณาการและประสานความร่วมมือเพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศและการพัฒนาการศึกษาร่วมกัน ดังนั้น จึงควรมีกลไกประสานให้เกิดเวทีความร่วมมือในการให้ทุนวิจัยทั้ง 8 ประเด็นที่หนุนเสริมกัน 2) พัฒนากลไกบริหารจัดการระดับพื้นที่หรือระดับ Ecosystem ให้มีความเข้มแข็งเพื่อการพัฒนาระบบการวิจัยของประเทศในระยะยาว 3) พัฒนาระบบการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงาน (Co-creation) มากขึ้น และ 4) การประเมินนโยบายจากผลลัพธ์ เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

“ทั้งนี้ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อ การจัดทำทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่มาร่วมกันกำหนดกรอบทิศทางการผลักดันให้ไปสู่จุดหมายเดียวกัน หลังจากนี้จะเป็นการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งหน่วยนโยบาย หน่วยให้ทุน และนักวิจัย เพื่อยกระดับคุณภาพงานวิจัยให้สามารถนำไปใช้ได้จริงในการกำหนดนโยบายและพัฒนาโครงสร้างทางการศึกษาของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการในมิติต่าง ๆ ในอนาคตต่อไป”รศ.ดร.ประวิต กล่าว

ผอ.โรงเรียน สพฐ.แห่สมัคร ผอ.สกร.ระดับอำเภอ เหตุคน สกร.โตไม่ทัน

นายธนากร  ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้  เปิดเผยว่า หลัง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ.2566 กำหนดให้เปลี่ยนสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เป็น กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สกร.ได้ดำเนินการจัดทำโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในแล้วเสร็จไปกว่า 90% แต่ยังมีส่วนที่เป็นปัญหาอยู่ คือ เรื่องการขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ (ผอ.สกร.อำเภอ ) ซึ่งยังว่างอยู่จำนวนกว่า 400 อัตรา จากทั้งหมด 928 อัตรา เนื่องจากคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เห็นว่า สกร.เป็นหน่วยงานราชการใหม่ จึงยังไม่อนุมัติให้เพิ่มอัตราบุคลากร โดยให้บริหารบุคลากรเท่าที่มีให้ครอบคลุม ซึ่งต้องยอมรับว่าการขาดแคลนบุคลากร ส่งผลให้มีปัญหาในการปฏิบัติการตามภารกิจใหม่ค่อนข้างมาก ดังนั้นเร็วๆนี้ สกร.จะวางแนวทางเพื่อเสนอขออนุมัติอัตราบุคลากรเพิ่มเติม เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นายธนากร กล่าวต่อไปว่า สำหรับการแก้ปัญหาขาดแคลนผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ นั้น ที่ผ่านมา สกร.แก้ไขปัญหาโดยการ ตั้งครู หรือ บุคลากรในส่วนต่างๆเข้าไปรักษาการปฏิบัติหน้าที่แทน แต่ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนงานตามนโยบายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะรักษาราชการการแทนมีอำนาจไม่เต็มที่ ไม่กล้าตัดสินใจ บางคนไม่กล้าเซ็นชื่อเบิกจ่าย จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณ ดังนั้น เมื่อเร็วๆนี้ สกร.จึงได้มีประกาศรับโอนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ระหว่างส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผู้อำนวยการสถานศึกษา จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สมัครเข้ารับการคัดเลือก จำนวน 126 ราย จากจำนวนเปิดรับ 120 อัตรา ซึ่ง สกร.จะเร่งดำเนินการคัดเลือกและบรรจุแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568

“ก่อนหน้านี้ สกร.เปิดสอบตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา โดยคัดเลือกจากครูและบุคลากรของ สกร.ไปแล้ว 1 รอบ มีผู้สอบผ่านการคัดเลือก จำนวน 103 คน ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ประกอบกับบุคลากรของ สกร.ที่มีคุณสมบัติสมัครเข้าคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษาได้ก็มีไม่เพียงพอ โตไม่ทัน ดังนั้น จึงต้องเปิดรับโอนข้าราชการจากสังกัดอื่น เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2568 ทั้งนี้ สกร.ได้กำหนดคุณสมบัติในการรับโอน ว่าต้องมีประสบการณ์ เป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่มีนักเรียน จำนวนไม่เกิน 200 คน เพื่อไม่ให้กระทบต่อสถานศึกษาต้นสังกัด ซึ่งปรากฎว่ามีผู้สนใจสมัครเข้ารับการคัดเลือกมากกว่าจำนวนรับ ส่วนตำแหน่งว่างที่เหลือ นั้น คาดว่าจะเปิดรับสมัครคัดเลือกอีกครั้งเร็วๆ นี้” นายธนากร กล่าว