“สุรศักดิ์​” เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างการรับรู้และกำหนดกรอบทิศทางในการดำเนินการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาฯ​ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

เมื่อวันที่​ 12 พฤษภาคม​ 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างการรับรู้และกำหนดกรอบทิศทางในการดำเนินการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ภายใต้โครงการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดตาม พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 11 – 13 พฤษภาคม 2568​ ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีท ระยอง ซิตี้ เซ็นเตอร์ จังหวัดระยอง​ โดยมี​ นางสาวสลารีวรรณ​ ทัพทวี​ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง​ นายสุเทพ​ แก่งสันเทียะ​ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ​ นางวันเพ็ญ​ บุรีสูงเนิน​ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ​ รักษาการในตำแหน่งศึกษาธิการภาค 8​ ครูและบุคลากรทางการศึกษา​ ร่วมให้การต้อนรับ

นายสุรศักดิ์​ กล่าวว่า​ การประชุมครั้งนี้ เป็นเวทีสำคัญในการสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ในการกำหนดนโยบาย และแผนการดำเนินงานของพื้นที่ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ระหว่างภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการสร้างกลไก การจัดการศึกษาร่วมกัน ระหว่างภาครัฐองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ให้บรรลุเป้าหมาย ตาม พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 การจัดการศึกษาในพื้นที่ นวัตกรรมการศึกษา เป็นรูปแบบหนึ่ง ที่นำมาใช้ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยจัดการศึกษาให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลให้สถานศึกษานำร่อง ที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้ง 1,680 แห่ง มีอิสระในด้านหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การบริหารจัดการสถานศึกษา มีความคล่องตัว สอดคล้องกับสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ อันจะนำไปสู่การยกระดับ การจัดการศึกษาของประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ ของ
การพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพ สามารถเผชิญกับความท้าทาย กับโลกในยุคปัจจุบันและอนาคตได้

“สำหรับ​ พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับเป็นเวลาเจ็ดปี​ ซึ่งเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 และจะถึงกำหนดในปี พ.ศ. 2569 เหลือระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ดังนั้น ผลการดำเนินงาน การขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ทั้ง 20 จังหวัดรวมไปถึงผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นต่อผู้เรียน ครู สถานศึกษา และชุมชน จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการพิจารณา ต่อ/ขยาย อายุของพ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลการดำเนินงาน ขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาของจังหวัดนำร่อง ทั้ง 20 จังหวัด นับว่าเป็นกิจกรรมที่ดีและมีประโยชน์ ที่จะได้นำมาแลกเปลี่ยน​เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งผลการดำเนินงานที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีตลอดจนปัญหา อุปสรรค และวิธีการแก้ไข นอกจากนี้ กิจกรรมลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ของสถานศึกษานำร่อง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลในเชิงประจักษ์ จากสถานที่และวิธีการปฏิบัติจริง จะเป็นประโยชน์และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่จังหวัดของตนเองต่อไป​ ทั้งนี้ขอขอบคุณ คณะผู้จัดงาน หน่วยงานทางการศึกษา ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกัน วางแผนการบริหารจัดการศึกษา ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการ และบริบทของพื้นที่ ภายใต้นโยบาย เรียนดี มีความสุข” รมช.สุรศักดิ์​ กล่าว

ทีมผู้บริหาร สพฐ.ลงพื้นที่เยี่ยมสนามสอบครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ “ธนุ”ย้ำจัดสอบโปร่งใสตรวจสอบได้ คัดครูคุณภาพตอบโจทย์บริบทพื้นที่

วันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) มอบหมายให้ผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ สังกัด สพฐ. ประจำปี 2568 ณ สนามสอบทั่วประเทศ เพื่อติดตามการจัดสอบและมาตรการด้านความปลอดภัยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำหรับภาพรวมทั้งประเทศ มีจำนวน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ.สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ที่จัดสอบ รวม 241 แห่ง จำนวนสนามสอบทั่วประเทศ 245 สนาม ดำเนินการจัดสอบแข่งขันฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด โดยกำหนดจัดสอบข้อเขียน ภาค ก ความรอบรู้และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 และสอบสัมภาษณ์ ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 พร้อมกันทั่วประเทศ มีผู้มีสิทธิสอบรวมทั้งสิ้น จำนวน 17,123 คน ในสาขาวิชาเอก 50 กลุ่มวิชา มีตำแหน่งว่าง รวม 2,857 อัตรา และกลุ่มวิชาที่มีผู้มีสิทธิสอบมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สังคมศึกษา 2,619 คน วิทยาศาสตร์ 2,045 คน คอมพิวเตอร์ 1,882 คน พลศึกษา 1,842 คน และปฐมวัย/การศึกษาปฐมวัย/อนุบาลศึกษา 1,637 คน

โดย นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพป.กาญจนบุรี เขต 1 และ สพม.กาญจนบุรี พบว่าสามารถจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยสนามสอบ สพป.กาญจนบุรี เขต 1 มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 36 คน ใน 5 สาขาวิชาเอก ได้แก่ สาขาวิชาเอกภาษาไทย วิชาเอกภาษาอังกฤษ วิชาเอกสังคมศึกษา วิชาเอกการประถมศึกษา และวิชาเอกปฐมวัย/การศึกษาปฐมวัย ขณะที่ สพม.กาญจนบุรี จัดสอบ ณ โรงเรียนวิสุทธรังษี มีผู้มีสิทธิสอบ 79 คน ใน 8 สาขาวิชาเอก ได้แก่ สาขาวิชาเอกภาษาอังกฤษ วิชาเอกสังคมศึกษา วิชาเอกพลศึกษา วิชาเอกดนตรี/ดนตรีศึกษา วิชาเอกอุตสาหกรรม/อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาเอกคอมพิวเตอร์ วิชาเอกคหกรรม/คหกรรมศาสตร์ และวิชาเอกจิตวิทยาและการแนะแนว/แนะแนว

นายพัฒนะ พัฒนะทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพป.ปทุมธานี เขต 1 และ สพม.สระบุรี โดย สพป.ปทุมธานี เขต 1 มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 44 คน มีตำแหน่งว่าง 8 อัตรา ใน 7 สาขาวิชาเอก ขณะที่ สพม.สระบุรี จัดสอบ ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 29 คน ใน 5 สาขาวิชาเอก ได้แก่ สาขาวิชาเอกคอมพิวเตอร์ สาขาวิชาภาษาไทย สาขาวิชาสังคมศึกษา สาขาบรรณารักษ์ และสาขาการเงิน/การบัญชี


นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบศูนย์การศึกษาพิเศษ (ภาคกลางและตะวันออก) ณ โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 454 คน ใน 37 สาขาวิชาเอก และมีผู้เข้าสอบ รวม 445 คน

นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพม.เชียงราย และ สพป.เชียงราย เขต 1, เขต 3 โดย สพม.เชียงราย จัดสอบ ณ โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ มีผู้สมัครสอบ จำนวน 74 คน มีตำแหน่งว่าง 15 อัตรา ขณะที่ สพป.เชียงราย เขต 1 จัดสอบ ณ โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงรายจรูญราษฎร์) มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 144 คน ใน 8 กลุ่มสาขาวิชาเอก จำนวนห้องสอบ 6 ห้อง และสพป.เชียงราย เขต 3 มีผู้เข้าสอบจำนวน 59 คน

นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพม.พังงา ภูเก็ต ระนอง และ สพป.พังงา โดย สพม.พังงา ภูเก็ต ระนอง จัดสอบ ณ โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน มีผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 14 คน มีตำแหน่งว่าง 5 อัตรา ใน 5 สาขาวิชาเอก ได้แก่ วิชาเอกภาษาไทย สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ขณะที่ สพป.พังงา จัดสอบ ณ โรงเรียนบ้านทุ่งเจดีย์ จังหวัดพังงา มีผู้เข้าสอบจำนวน 20 คน ใน 5 กลุ่มสาขาวิชาเอก ได้แก่ วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคมศึกษา ศิลปศึกษา และปฐมวัยฯ

นายศุภสิน ภูศรีโสม ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สพฐ. ลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมสนามสอบ สพป.ร้อยเอ็ด เขต 1 ซึ่งจัดสอบ ณ โรงเรียนเมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด โดยเปิดสอบจำนวน 9 วิชาเอก มีผู้มีสิทธิสอบ 237 คน และมีผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 224 คน

ทั้งนี้ เลขาธิการ กพฐ. ได้กำชับให้ทุกสนามสอบดำเนินการจัดสอบด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้ ตามนโยบายของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. ที่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้มาโดยตลอด เพื่อให้ได้ครูที่เป็นต้นแบบที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน และได้ครูที่มีคุณภาพตอบโจทย์บริบทของพื้นที่ โดยหลังจากการสอบในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว จะมีการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และรายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้ง ภายในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ต่อไป

สพม.บุรีรัมย์ อบรมขยายผลสมรรถนะการใช้ AIจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ 

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568  ที่ โรงแรมเทพนคร จังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการขยายผลการพัฒนาสมรรถนะการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนการสอน สำหรับโรงเรียนในโครงการ “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ จังหวัดบุรีรัมย์”  โดย นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เป็นประธานในพิธีเปิดผ่านระบบออนไลน์ สิบตำรวจตรี นปดล นพเคราะห์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการอบรมว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา พัฒนาโรงเรียนคุณภาพเป็นต้นแบบในแต่ละอำเภอ และส่งเสริมการเรียนการสอนที่เชื่อมโยงกับชุมชนและเทคโนโลยีดิจิทัล

ผอ.สพม.บุรีรัมย์ กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการศึกษาของจังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างเป็นรูปธรรม สู่การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง โดยการอบรมมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ พัฒนาทักษะทางดิจิทัลของบุคลากรในโรงเรียนต้นแบบ และ  ส่งเสริมให้โรงเรียนสามารถเป็นต้นแบบการใช้ AI ในการจัดการเรียนการสอน และขยายผลให้แก่โรงเรียนอื่นในพื้นที่ โดย ผู้เข้าร่วมการอบรมประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน รองผู้อำนวยการ ครูผู้รับผิดชอบโครงการ ครูด้าน ICT และครูที่มีทักษะพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต รวมทั้งคณะทำงาน รวมทั้งสิ้น 230 คน

 

 

“รอง ธีร์”ย้ำ สพฐ.ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษา

เมื่อวันที่  9 พฤษภาคม 2568 นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ให้ความสำคัญกับระบบการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนอย่างมากทั้งในและนอกสถานศึกษา โดยมีการเน้นย้ำถึงเรื่องการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนไปยังเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษามาโดยตลอด และเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าที่ร้อยตรี ธนุวงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ได้มอบหมายให้ตนให้สัมภาษณ์ในรายการคุยกับตัวจริงทางช่อง NBT CONNEXT เพื่อร่วมพูดคุยในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาและการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนในสถานศึกษา

รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า ตนได้เน้นย้ำถึงสาระสำคัญหลายประการ เช่น การเสริมสร้างความปลอดภัยให้แก่นักเรียนทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา การรับมือกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน ซึ่งยังคงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องการการแก้ไขอย่างจริงจังรวมถึงปัญหาท้องในวัยเรียน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยของอาคารเรียนและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ รวมทั้งกล่าวถึงแนวนโยบายหลักของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างรอบด้าน ทั้งนี้สามารถติดตามรับชมรายการคุยกับตัวจริงได้ในวันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม2568 เวลา 17.00 . ทางช่อง NBT CONNEXT

มรภ.ธนบุรี ร่วมมือ พว.ประกวดนวัตกรรมครู ผ่าน GPAS 5 Steps ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงยกระดับคุณภาพการศึกษาของชาติ

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ หอประชุมเจ้าพระยาพลเทพ (เฉลิม โกมารกุล ณ นคร) อาคาร 7 ชั้น 14-15 มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ได้มีการประกาศผลรางวัลโครงการประกวดแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อรองรับการประกันคุณภาพภายนอกของสถานศึกษา ซึ่งเป็นความร่วมมือของมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ร่วมกับ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) โดย ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา ของคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า โครงการจัดประกวดแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ครั้งนี้ ต้องการให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของครูเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพื่อสร้างคุณภาพการศึกษาด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เป็นต้นแบบในการสร้างนวัตกรรมครูในระดับชาติ โดยการประกวดครั้งนี้มีครูส่งผลงานเข้าประกวดถึง 700 กว่าคน

“เนื่องจากขณะนี้คุณภาพการศึกษาที่ตกต่ำลง เราไม่สามารถโทษครู โทษผู้ปกครอง หรือ โทษนักเรียนได้ เพราะเป็นวัฒนธรรมที่สอนแบบ Passive Learning มา ขณะที่ผู้ปกครองเองก็ไม่ทราบว่าความรู้กับเนื้อหาแตกต่างกันอย่างไร จึงปล่อยให้เด็กฟัง อ่าน ท่อง และ สอบ แล้วก็ลืม ซึ่งถ้าปล่อยไปอย่างนี้คุณภาพการศึกษาก็จะตกต่ำไปเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงมีความคิดว่าถึงเวลาที่ต้องแก้ปัญหานี้โดยใช้มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นแกนในการเริ่มผลักดันในระดับมหาวิทยาลัย ให้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปทั้งประเทศ” ดร.ศักดิ์สินกล่าวและว่า การจัดประกวดครั้งนี้เป็นการเปิดเกมในการกระตุ้นครู GPAS 5 Steps ที่นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งครูก็จะได้รับคำแนะนำกลับไปปรับปรุงในจุดที่ยังเป็นจุดอ่อน ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเห็นผลอย่างชัดเจนแน่นอน

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวอีกว่า ถ้าเราทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นผลสำเร็จโดยเริ่มจากสถาบันผลิตครู ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการศึกษา ถ้าครูเปลี่ยนตัวเองครูก่อนเด็กจะพัฒนาได้ง่ายมาก ก็ต้องถือว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นหัวใจ สำคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าทำได้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เด็กไทยจะได้ประโยชน์ ถ้าเด็กไทยได้ประโยชน์ นั่นคือการยกระดับสังคมไทยอย่างแท้จริง เพราะถ้าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีฐานความรู้ รัฐบาลจะปฏิรูป จะยกระดับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ก็สามารถทำได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากถ้ารัฐบาลเห็นความสำคัญ และถ้ารัฐบาลทำจริงจัง เด็ก 10 ล้านคน และ พ่อแม่อีก 20 ล้านคนจะสามารถยกขึ้นมาได้แน่นอน โดยทั้งหมดนี้เชื่อว่าใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีน่าจะพัฒนาได้ถึง 60%

ด้าน ผศ.ดร.วาสนา สังข์พุ่ม คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กล่าวว่า ในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรีมีการขับเคลื่อนและประชาสัมพันธ์ไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฎทั้ง 38 แห่ง ให้ร่วมกันขับเคลื่อนพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาและโรงเรียนไปพร้อม ๆ กัน เพราะกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ที่เป็นกระบวนการที่ช่วยขับเคลื่อนและส่งเสริมการพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีเป็นสถาบันผลิตและพัฒนาครูเรามีโรงเรียนเครือข่ายทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดสมุทรปราการก็มีการขับเคลื่อนครูในเรื่องของการเขียนแผนการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการจัดกระบวนการเรียนการสอนผ่าน GPAS 5 Steps ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ คือ จากครูผู้สอนลงสู่นักเรียนในเรื่องของการสร้างนวัตกรรมในโรงเรียนภายใต้บริบทที่เหมาะสม เห็นได้จากผลงานของครูที่ส่งเข้าประกวดในรอบนี้มีคุณประโยชน์อย่างมากเพราะเป็นผลงานเชิงประจักษ์ที่นำไปสู่โรงเรียนและตัวผู้เรียนอย่างแท้จริง

สภาการศึกษา เปิด “สภาวะการศึกษาไทยไตรมาสที่ 2 ปี 68”แนวโน้มการศึกษายุค Digital เพื่ออนาคต

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดการประชุมสัมมนาเพื่อเผยแพร่รายงานสภาวะการศึกษาไทย ไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี ดร.ปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.ทินสิริ ศิริโพธิ์ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหาร อาจารย์ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ร่วมประชุม ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพมหานคร

รศ.ดร.ประวิต กล่าวเปิดงานและนำเสนอรายงานสภาวะการศึกษาไทยฯ ว่า การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนอย่างสม่ำเสมอ โดยไตรมาสที่ 2 พ.ศ. 2568 มีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่

ประเด็นที่ 1 เหลียวมองการศึกษาและแนวโน้มที่เกิดขึ้น (Education at A Glance and Trends) พบว่า การเชื่อมโยงของเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลให้มีแนวโน้มที่น่าสนใจ คือ 1) 7 ประเด็นคานงัดพลิกโฉมการศึกษาที่ผู้กำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญในช่วงปี ค.ศ. 2025 – 2027 ได้แก่ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การส่งเสริมการศึกษาระดับปฐมวัยและประถมศึกษา การวางแผนทางการศึกษาที่รองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การสร้างธรรมภิบาลในระบบการศึกษา การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษา เส้นทางการศึกษา ปัญหาการขาดแคลนครูและการดึงดูดคนเก่งมาเป็นครู 2) การศึกษา 2040: เป้าหมายใหม่ในโลกดิจิทัล (Education 2040: Teaching Compass) ประกอบด้วย การออกแบบหลักสูตรใหม่ที่ตอบโจทย์อนาคต ปรับเปลี่ยนการสอน การประเมินผลต้องเป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ครูและระบบต้องพร้อม 3) แนวโน้มชี้ทางการศึกษา (Trends Shaping Education) OECD ได้วิเคราะห์แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น 48 แนวโน้ม แบ่งเป็นด้านความขัดแย้งและความร่วมมือในโลก ด้านการทำงานและความก้าวหน้า ด้านเสียงสะท้อนและเรื่องราว ด้านร่างกายและความคิด

ประเด็นที่ 2 การเสริมพลังทางการศึกษาด้วยกลไกระดับสากล เมื่อเปรียบเทียบภาพรวม (Overall Benchmarking) ใน 5 มิติ คือ มิติที่ 1 คุณภาพการศึกษา: ผลการทดสอบ PISA มิติที่ 2 การเข้าถึงการศึกษา: อัตราการเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษา มิติที่ 3 ความเท่าเทียมทางการศึกษา: ปีการศึกษาที่คาดหวัง มิติที่ 4 ประสิทธิภาพการศึกษา: สัดส่วนของผลการทดสอบ PISA กับงบประมาณด้านการศึกษา และมิติที่ 5 การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง: สัดส่วนของประชากรอายุ 25-34ปี ที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยใช้ข้อมูลจาก OECD, IMD, HDI และ UNDP สิ่งที่ต้องปรับปรุงเร่งด่วนคือ ประสิทธิภาพการศึกษา คุณภาพการศึกษา และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบรายประเด็น (Issues Benchmarking) คือ AI for Education, Literacy, Gifted & Talent, Education Expenditure และ Well being พบว่า ไทยมีจุดแข็งด้านทัศนคติต่อโลกาภิวัฒน์และการปรับตัวต่อความท้าทาย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะสัญญาณอินเตอร์เน็ต แต่ยังมีข้อจำกัดอุปกรณ์ดิจิทัล อัตราการรู้หนังสือ การดึงดูด พัฒนาและรักษาบุคคลที่มีศักยภาพสูง ทั้งนี้จำเป็นต้องทบทวนการลงทุนทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพตอบโจทย์บริบทการเปลี่ยนแปลง

ประเด็นที่ 3 การเสริมพลังทางการศึกษาด้วยกลไกระดับสากล (Education Engagement) ผ่านการประเมินผลระบบการศึกษาตามมาตรฐานสากล การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล และการมีส่วนร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางการศึกษาในระดับสากล ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD และ WERA พร้อมเตรียมเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมวิชาการและนำเสนอผลงานวิจัยระดับนานาชาติ ครั้งที่ 12 ปี พ.ศ. 2570 เพื่อทำให้ไทยเป็นที่รู้จัก รวมถึงได้เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีจากประเทศอื่น ๆ

ประเด็นที่ 4 ภาพนโยบายทางการศึกษา (Education Policy Outlook) ต้องเริ่มจากการมีนโยบายที่ดี การออกแบบนโยบายทางการศึกษาในยุคดิจิทัลต้องใช้รูปแบบ Strategic Foresight คาดการณ์อนาคตเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ โดยการศึกษาต้องคำนึงถึง Resilience และ Well being เป็นอันดับแรก ทั้งนี้จำเป็นต้อง 1) วิเคราะห์หา Trends shaping Thailand Education ปัจจัยที่ส่งผลต่อการศึกษาไทยทั้งในระดับพื้นที่ ระดับชาติ และระดับนานาชาติในทุกมิติ 2) วิเคราะห์ผล Thailand Monitoring & Evaluation Education Analysis เพื่อหาสภาวการณ์ปัจจุบัน และถอดบทเรียนการปฏิรูปการศึกษาในอดีตที่ผ่านมา 3) กำหนด Thailand Education 2040 เป้าหมายระยะยาวที่สอดคล้องกับกรอบทิศทางการศึกษาระดับนานาชาติ และ 4) กำหนด Strategic Foresight ประเมินความเสี่ยงในอนาคต เพื่อทำให้นโยบายทางการศึกษามีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อทุกการเปลี่ยนแปลง

ด้าน ดร.ปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บรรยายพิเศษ “Learning in the Digital World” โดยกล่าวถึง การเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัล ผ่านนโยบายสำคัญ คือ การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ การสร้างความมั่นคงและปลอดภัย และ Human Capital ที่จะเป็นรากฐานอนาคต มีทักษะความรู้ด้านดิจิทัล และเพิ่มกำลังคนดิจิทัลในสาขาขาดแคลน และร่วมเสวนา “นโยบายการศึกษาสำหรับการเรียนรู้ในยุค Digital” โดย สกศ. เน้นถึงการมองอนาคต (Foresight) เป็นแนวทางจัดทำข้อเสนอกรอบทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568 – 2570 ครอบคลุม 4 ด้านหลักและ 8 ประเด็นสำคัญ (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.onec.go.th/th.php/book/BookView/2127 ) ตลอดจนสภาวะการศึกษาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย การขับเคลื่อน พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ สมัชชาการศึกษาจังหวัด การศึกษาเท่าเทียม การประเมินผลสัมฤทธิ์ พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 และประเมินการบังคับใช้กฎหมายการจัดการศึกษา เพื่อให้มีข้อมูลที่ต่อเนื่องและทันสมัย อันจะนำไปสู่การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาการศึกษาที่สอดคล้องรองรับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน พร้อมทั้ง ยกระดับสมรรถนะทางการศึกษาของประเทศ และเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาการศึกษาให้มีความยั่งยืนในอนาคต

 

สพฐ.เตรียมนำการเรียนไปให้น้อง เสริม AI ช่วยจัดการเรียนรู้ พร้อมชวนเด็กไทยสมัครทุน ODOS Summer Camp เปิดประสบการณ์โลกกว้างอำเภอละ 1 คน


เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( กพฐ.) มอบหมายให้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 17/2568 โดยนำข้อสั่งการของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. ได้แก่ นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting

นายพัฒนะ กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุมได้หารือประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ เช่น การขับเคลื่อนโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง” (OBEC Zero Dropout) ตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของกระทรวงศึกษาธิการ นำโดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษาให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อให้เด็กไทยทุกคนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง โดยมีการขับเคลื่อนใน 4 มิติ ได้แก่ การป้องกัน การส่งต่อ การติดตามดูแล และการแก้ไข ซึ่งในส่วนของมิติการแก้ไข ได้มีการนำการเรียนไปให้น้องแล้ว 1,355 คน (ชั้นประถมฯ 240 คน ม.ต้น 768 คน ม.ปลาย 347 คน) และมีการส่งต่อแล้ว 811 คน (ชั้นประถมฯ 182 คน ม.ต้น 396 คน ม.ปลาย 233 คน) ส่วนกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไปในช่วงเดือนพฤษภาคม จะมีการอบรม 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ online จำนวน 2 รุ่น มีกลุ่มเป้าหมายเป็นโรงเรียนนำร่อง 939 โรงเรียน รวมถึงการประชุมเชิงปฏิบัติการนำร่องการใช้ระบบสารสนเทศ Thailand Zero Dropout ในระดับตำบล โดยบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่าง 58 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และโรงเรียนสังกัด สพฐ. ในจังหวัดบึงกาฬ จากนั้นเมื่อเปิดภาคเรียน (16 พฤษภาคม 2568) จะมีการ kick off นำการเรียนไปให้น้อง ตามแผนดำเนินการโครงการฯ ระยะที่ 2 โดยมีการนำระบบ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ให้เด็กได้รับการศึกษาแบบยืดหยุ่น ทั้งการเรียนในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครอง ครู และชุมชน เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ สำหรับนักเรียนที่ยังไม่มีที่เรียน แม้ว่าเปิดภาคเรียนที่ 1/2568 แล้ว หากโรงเรียนใดยังมีที่นั่งว่าง สามารถรองรับนักเรียนได้ นักเรียนที่ยังไม่มีที่เรียนหรือนักเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา (อายุระหว่าง 3-18 ปี) สามารถกลับเข้ามาเรียนได้ ณ โรงเรียนของ สพฐ.โดยติดต่อไปยังโรงเรียนที่ต้องการโดยตรง เพื่อสอบถามที่นั่งว่างและกลับเข้าศึกษาต่อไป

นอกจากนี้ ตามที่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการเดินหน้าส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี Generative AI เข้ามาสนับสนุนการยกระดับกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ในเดือนพฤษภาคมนี้ ศธ. จะมีการหารือกับ Google เพื่อนำ Gemini Al หรือ Gen AI อื่นๆ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ และเพื่อลดภาระครู บุคลากร และผู้เรียน ในส่วนของ สพฐ. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและ AI มาช่วยในการจัดการเรียนรู้แล้วในหลายกิจกรรม อาทิ 1) โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในชั้นเรียน (AI-Adaptive) มีกลุ่มเป้าหมายเป็นครูกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากโรงเรียนในสังกัด สพม.ทั่วประเทศ 2) โครงการอบรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อออกแบบการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ระดับประถมศึกษา มีกลุ่มเป้าหมายเป็นศึกษานิเทศก์ ครูสังกัด สพป. และบุคลากรของ สพฐ. จำนวน 580 คน 3) โครงการโรงเรียนอุ่นใจปลอดภัยไซเบอร์ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นครู บุคลากร และนักเรียน ชั้น ป.4 – ม.6 ทั่วประเทศกว่า 1.2 แสนคน 4) โครงการอบรมออนไลน์การพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ทันสมัย (Webinar AI 12 หลักสูตร) ซึ่งมีครูและบุคลากรฯ ผ่านการอบรมแล้วกว่า 7.6 แสนคน 5) โครงการอบรมพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ทันสมัย สำหรับข้าราชการและบุคลากรส่วนกลาง มีผู้ผ่านการอบรมแล้วกว่า 80 คน เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนน้องๆ นักเรียนนักศึกษาที่อายุไม่เกิน 19 ปี สัญชาติไทย สมัครรับทุน “ODOS Summer Camp” ทุนการศึกษาระยะสั้นในต่างประเทศช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2568 ระยะเวลา 6 สัปดาห์ โดยทุนนี้จะได้รับอำเภอละ 1 ทุน (คน) ใน 878 อำเภอทั่วประเทศ และ 50 เขต ทั่วกทม. รวมทั้งสิ้น 928 ทุน และสามารถสมัครผ่านแอป “ทางรัฐ” ด้วยตนเอง จนถึงวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.gcc.go.th/2025/04/11/odos-summer-camp-2025/

สอศ.ร่วมมือเอกชนปั้นครูฝึกมืออาชีพ ผลิตกำลังคนอาชีวะตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการ

วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 นายยศพล เวณุโกศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการอบรมครูฝึกในสถานประกอบการ หลักสูตร 30 ชั่วโมง โดยมีนางสาววีรมลล์ จงชาณสิทโธ Head of L&D and CRC Academy นายสมพร ชูทอง ผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร นางกุลิสรา สุวรรณ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวกรุงเทพ ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคี และครูฝึกในสถานประกอบการ จากในเครือ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กว่า 200 คน เข้าร่วม จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมท็อปส์ สาขาเกษตร กรุงเทพมหานคร

นายยศพล กล่าวว่า จากความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นหน่วยงานในการผลิตกำลังคนอาชีวศึกษาตอบโจทย์ความต้องการของสถานประกอบการเท่าทันการเปลี่ยนแปลง ตามนโยบาย พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “เรียนดี มีความสุข” โดยขับเคลื่อนการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีเข้มข้น ส่งเสริมนักเรียน นักศึกษามีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ และได้เรียนรู้จริงในสถานประกอบการ ซึ่งการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีจะมีครูฝึกในสถานประกอบการ ซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญของสถานประกอบการ และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สอน ถ่ายทอดความรู้ ฝึกทักษะอาชีพให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีตามหลักเกณฑ์ของ สอศ.

“สอศ. ร่วมกับบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดโครงการอบรมครูฝึกในสถานประกอบการ หลักสูตร 30 ชั่วโมง ประกอบด้วย การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี, การกำกับ ดูแล ผู้เรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี, การเขียนแผนการฝึกอาชีพ, เทคนิคการสอนงาน และการวัดและประเมินผลการฝึกอาชีพ เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาและสร้างครูฝึกในสถานประกอบการให้มีประสิทธิภาพ มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการถ่ายทอดวิชาชีพให้กับนักเรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ซึ่งครูฝึกในสถานประกอบการจะเป็นกลไกสำคัญเชื่อมโยงระหว่างภาคการศึกษากับโลกของการทำงานที่ช่วยสร้างความเข้าใจบทบาทในวิชาชีพ มีทักษะฝีมือ ทัศนคติที่ดี และผลักดันการเรียนรู้สู่การปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นส่วนในการผลิตกำลังคนที่มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมค้าปลีกและบริการ”เลขาธิการ กอศ. กล่าวและว่า ขอขอบคุณความร่วมมือ เซ็นทรัล รีเทล ที่ช่วยผลักดันการศึกษาสายอาชีพให้นักศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีได้รับโอกาส ฝากดูแลน้อง ๆ เยาวชนของชาติ พัฒนาวิชาชีพต่าง ๆ พร้อมสู่การแข่งขันในระดับนานาประเทศ และเติบโตเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ เป็นกำลังคนคุณภาพตอบโจทย์เศรษฐกิจและขับเคลื่อนอนาคตของประเทศอย่างมั่นคง

 

ศธ.-มท.-สตช.และเครือข่าย ร่วมมือสร้างความปลอดภัย ให้นักเรียนห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า ยาเสพติด และความรุนแรง ทั้งในและนอกสถานศึกษา

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 บริเวณหน้า ได้มีพิธีเปิดและปล่อยขบวนความร่วมมือและปฏิบัติการตรวจร่วม นักเรียนปลอดภัย ห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด โดยพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน โดยมีนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ พลตำรวจเอก อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) รวมถึงผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมในพิธี

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า ความร่วมมือและปฏิบัติการตรวจร่วมในครั้งนี้เป็น “โมเดลการทำงานแบบบูรณาการ” ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่ บูรณาการการทำงานร่วมกัน ตั้งแต่การเฝ้าระวัง การดูแลช่วยเหลือ ไปจนถึงการป้องกันและฟื้นฟู โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ นักเรียนต้องปลอดภัยและมีความสุข ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ “เรียนดี มีความสุข” ซึ่งกิจกรรมนี้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ในกิจกรรมการเฝ้าระวังเหตุและสร้างความปลอดภัย ตามโครงการนักเรียนในกรุงเทพมหานครปลอดภัยซึ่งจัดขึ้นที่ โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ฯ และกิจกรรมนักเรียนปลอดภัยห่างไกลยาเสพติดที่ได้ดำเนินการในปีที่ผ่านมา และการดำเนินการดังกล่าวยังคงมีความจำเป็นต้องร่วมกันดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขอความกรุณาทางจังหวัด นำโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดและทีมงานของกระทรวงศึกษาธิการทุกหน่วยได้ช่วยกัน จัดทำแผนเผชิญเหตุ และร่วมกันดำเนินการในการเฝ้าระวัง ดูแลความปลอดภัยทุกมิติ และป้องกันการเข้าถึงยาเสพติดรวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็ก

“วันนี้ให้มีการประชุมเพื่อรับหลักการ และแต่ละจังหวัดอาจจะแต่งตั้งคณะกรรมการไปดำเนินการ เพื่อให้เกิดการกระชับความร่วมมือการปฏิบัติให้เข้มข้น ภายในจังหวัด  ขอชื่นชมทุกฝ่าย และขอขอบคุณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่ายทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันแสดงเจตจำนงและขับเคลื่อนภารกิจ เพื่อสร้างความปลอดภัยในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา ด้านสวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตของผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งสถานศึกษาต้องเป็นสถานที่ปลอดภัย ปลอดยาเสพติด ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เฝ้าระวังการใช้ความรุนแรงทั้งในและนอกสถานศึกษาที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย และจิตใจของผู้เรียน ดังนั้น การสร้าง “โรงเรียนปลอดภัย” จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนต้องช่วยกันดูแล ป้องกัน และปราบปราม และสิ่งสำคัญที่ผม เน้นย้ำเสมอคือ “ทำเต็มความสามารถ อย่าประมาท พลาดไม่ได้” ขอให้ทุกท่านร่วมกันปฏิบัติภารกิจนี้ด้วยหัวใจ “ทำดี ทำได้ ทำทันที” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

นายอรรษิษฐ์  กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทสำคัญในการดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะในด้านการควบคุมและแก้ไขปัญหาสังคมเชิงพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการดูแลปกป้องเยาวชนในสถานศึกษาในทุกจังหวัดทั่วประเทศ พิธีเปิดความร่วมมือและปฏิบัติการตรวจร่วม “นักเรียนปลอดภัย ห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด” ในวันนี้ ถือเป็นการแสดงพลังความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยและภาคีเครือข่าย ที่บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง “ความปลอดภัยในเชิงพื้นที่” อย่างแท้จริง ในการดูแลนักเรียนให้ปลอดภัย จากสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งด้านยาเสพติดและความเสี่ยงต่าง ๆ จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทุกระดับร่วมขับเคลื่อนภารกิจครั้งนี้ ทั้งในด้านการสนับสนุนโรงเรียน ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดทำแผนที่จุดเลื่อง รวมถึงการลงพื้นที่ตรวจร่วม กับตำรวจ กระทรวงศึกษาธิการ และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ การดำเนินงานดังกล่าว มิได้เป็นเพียงการตรวจตราเท่านั้น หากแต่ยังเป็นกลไกในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ชุมชน และรัฐให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในการร่วมกันสร้างความปลอดภัย ให้กับนักเรียนและประชาชน ทุกพื้นที่ในประเทศไทย

พลตำรวจเอก อัคราเดช  กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน เด็กและเยาวชนกำลังเผชิญกับภัยคุกคามต่าง ๆ เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ยาเสพติด และพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที จะส่งผลร้ายต่ออนาคตของชาติได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมภารกิจ ความร่วมมือและปฏิบัติการตรวจร่วม “นักเรียนปลอดภัย ห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้า และยาเสพติด” โดยขอให้ทุกสถานีตำรวจทั้ง 1,484 สถานี  ได้ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย  และภาคีเครือข่าย เพื่อสร้างกลไก  สร้างความเชื่อมั่นในการปกป้อง ดูแลนักเรียน  นำไปสู่การยกระดับความปลอดภัยในสถานศึกษาอย่างยั่งยืนต่อไป

คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ ร่วมมือ กรมราชทัณฑ์ จัดประกวดอาหารของหวาน เครื่องดื่ม ในเรือนจำ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ ร่วมกับ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จัดกิจกรรมการแข่งขันประกวดอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่ม ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน ภายใต้และเครือข่ายโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ณ เรือนจำกลางนครปฐม โดย พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และ รองประธานคณะกรรมการกองทุนกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เป็นประธานในพิธีเปิด โดยมี นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์  อธิบดีกรมราชทัณฑ์   น.ส.อโรชา นันทมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผศ.ดร.ธนวิทย์ ลายิ้ม คณบดีคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ พร้อมด้วย ผศ.สุรีย์รัตน์ เอมพรหม รองคณบดีฝ่ายกิจการทั่วไป ผศ.จริยา บูรพกุศลศรี อดีตอาจารย์  คณาจารย์ประจำ คณะฯ และนักศึกษา  เข้าร่วมพิธีเปิดกิจกรรม

ผศ.ดร.ธนวิทย์ ลายิ้ม คณบดีคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการฝึกอาชีพการทำอาหารและขนม ของเรือนจำในโครงการกำลังใจฯ และเรือนจำเครือข่ายที่มีความพร้อม จำนวน 36 แห่ง เพื่อแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ  ที่สำคัญกิจกรรมนี้ยังเป็นการต่อยอดการพัฒนาทักษะทางอาชีพให้แก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ภายใต้ โครงการกำลังใจฯ ซึ่งจะเป็นทักษะและวิชาชีพติดตัวให้กับผู้ต้องราชทัณฑ์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากผู้ต้องราชทัณฑ์จะได้รับความรู้ด้านการประกอบอาหาร เทคนิคการประกอบอาหาร บรรจุภัณฑ์ การจัดตกแต่ง และนำเสนอ การคิดต้นทุน และโภชนาการ ได้รับประกาศนียบัตรผู้สัมผัสอาหาร เพื่อเป็นใบเบิกทางในการทำงานภายหลังพ้นโทษ ที่จะนำไปสู่การทดสอบ และยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงาน จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมถึงโอกาสในการทำงานเป็นเชฟ หรือผู้ช่วยเชฟ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานต่อไป