ศธ.-รง. จับมือ 22 สถานประกอบการ เปิดรับนักเรียน นักศึกษาทำงานช่วงปิดเทอม รวมหมื่นอัตรา

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้นักเรียน นักศึกษา ช่วงปิดภาคเรียน โดยมี นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูง กระทรวงแรงงาน ร่วมในงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวรายงาน และมีผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการ และผู้แทนจากสถานประกอบ 22 แห่ง ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์  กล่าวว่า  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  มีนโยบายให้ความสำคัญในการวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนได้มีโอกาสในการทำงาน การได้รับสิทธิคุ้มครองและผลตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับคนไทยทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นิสิต และนักศึกษา ที่เป็นหนึ่งในกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต กระทรวงแรงงาน จึงได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้นักเรียน นักศึกษาในช่วงปิดภาคเรียนหรือช่วงว่างจากการเรียนขึ้น ระหว่าง “กระทรวงแรงงาน” โดย กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม และ “กระทรวงศึกษาธิการ” โดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมกับสถานประกอบการชั้นนำอีก 22 แห่ง  จัดเตรียมตำแหน่งงานทั่วประเทศ รองรับการทำงานของ นักเรียน นิสิต และ นักศึกษา จำนวนกว่า 10,000 อัตรา เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของกำลังแรงงานในอนาคตให้มีความรู้ ความเข้าใจถึงลักษณะงาน ความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในด้านทักษะและกายภาย รวมถึงสามารถนำประสบการณ์จากการทำงานจริงมาใช้เพื่อการวางแผนการยกระดับความสามารถและพัฒนาทักษะของตนเองให้มีความเหมาะสมและตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานภายหลังจากจบการศึกษา และยังเป็นการสร้างรายได้ตั้งแต่วัยเรียนลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้อีกด้วย

ด้านนายสุรศักดิ์  กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ และขอชื่นชมกระทรวงแรงงานที่สร้างโอกาส สนับสนุน นักเรียน นักศึกษา ที่ประสงค์จะทำงานให้มีงานทำที่เหมาะสม ได้รับประสบการณ์จากการทำงานจริง ได้เรียนรู้โลกของอาชีพ ซึ่งในส่วนของสถาบันการศึกษาจะร่วมประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการมีงานทำ และกำหนดหลักสูตรการศึกษาที่เหมาะสม ตรงตามความต้องการของนักเรียน นักศึกษา และตลาดแรงงานต่อไป

นายสมชาย กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ เป็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วน ที่จะสร้างกรอบความร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษามีงานทำ ทั้งด้านพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ ตลอดจนคุ้มครองการทำงานแก่นักเรียน นักศึกษาให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยกรมการจัดหางาน จะทำหน้าที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน รับสมัครนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการจะทำงาน และส่งตัวไปสถานประกอบการเพื่อพิจารณาบรรจุงาน ในส่วนของสถานประกอบการจะจัดส่งตำแหน่งงานว่างที่เหมาะสมสำหรับนักเรียน นักศึกษาให้กรมการจัดหางานเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดหางาน รวมทั้งประชาสัมพันธ์การรับสมัครงานผ่านช่องทางการรับสมัครงานต่าง ๆ ของสถานประกอบการ

ทั้งนี้ นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการหางานทำสามารถใช้บริการที่เว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ.doe.go.th” หรือแอปพลิเคชัน “ไทยมีงานทำ” โดยคนหางานสามารถค้นหาข้อมูลตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ในตำแหน่งงานตามพื้นที่ และ ภูมิลำเนา รวมถึงจับคู่ตำแหน่งงานจากความรู้ ความสามารถ และทักษะที่มีอยู่ ส่วนนายจ้าง สถานประกอบการ ที่ต้องการเพิ่มช่องทางรับสมัครงาน สามารถลงทะเบียนนายจ้าง เพื่อประกาศตำแหน่งงาน และคัดลอกรายชื่อผู้หางาน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694

โดยสถานประกอบการชั้นนำอีก 22 แห่ง ประกอบด้วย เซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เดอะมอลล์ กรุ๊ป แมคไทย เชสเตอร์ฟู้ด ซูกิชิ พีทีจี เอ็นเนอยี ซีพี แอ็กซ์ตร้า เคที เรสทัวรองท์ เซ็น คอร์ปอเรชั่น เอส เอฟ บีเอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ โจนส์สลัด มีทชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ด คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ รีเทล บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ โออิชิ กรุ๊ป บางจากรีเทล อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ปลูกผักเพราะรักแม่ และ แบล็ค แคนยอน

เด็กอาชีวะสร้างชื่อ กวาดรางวัลประกวดสิ่งประดิษฐ์จาก 4 เวที นานาชาติ  

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากการที่นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาได้เข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมระดับนานาชาติจาก 4 เวที ได้แก่ The 7th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo 2024 ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน WorldInventTM Singapore 2024 (WoSG) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ 2024 Japan Design, Idea and Invention Expo (JDIE 2024) ณ ประเทศญี่ปุ่น และ Indonesia Inventors Day 2024 (IID2024) ณ บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในช่วงปี พ.ศ. 2567นั้น ปรากฎว่า เด็กอาชีวศึกษาของไทยสามารถคว้าเหรียญและรางวัลได้ดังนั้น

The 7th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo 2024 ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เด็กคว้าได้ 7 เหรียญทอง และ 2 รางวัลพิเศษ จาก 5 ผลงานของ 4 สถานศึกษา ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคสงขลา กับผลงาน “เครื่องผสมเกสรดอกทุเรียน” วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี กับผลงาน “เครื่องคั่วกาแฟด้วยโอ่งดินโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น” และ “เครื่องวัดปริมาณการสูญเสียเลือดจากการผ่าตัด” วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี กับผลงาน “ผลิตภัณฑ์ผ้าทอร่วมสมัยลายอัตลักษณ์ประจำถิ่น” และวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี กับผลงาน “สมาร์ทฟาร์มกระบองเพชร”โดย การประกวด The 7th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo จัดโดยรัฐบาลเมืองเซี่ยงไฮ้ ร่วมกับสมาคมนักประดิษฐ์จีน และองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เป็นเวทีระดับโลกที่รวบรวมนวัตกรรมล้ำสมัยจากนานาประเทศ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี สร้างเครือข่าย และเปิดโอกาสทางธุรกิจสำหรับนวัตกรรมใหม่

งาน WorldInventTM Singapore 2024 (WoSG) ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จัดโดย World Invention Intellectual Property Associations (WIIPA) และ Singapore Invention Association เป็นเวทีสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการแสดงนวัตกรรมและการประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม การแลกเปลี่ยนไอเดียและการสร้างเครือข่ายระหว่างนักประดิษฐ์และนักธุรกิจ ซึ่งวิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย ได้รับ 1 เหรียญทอง และ 1 รางวัลพิเศษจากผลงาน “ผลิตภัณฑ์ปูพื้นทางเดินจากของเสียในกระบวนการผลิต”

งาน 2024 Japan Design, Idea and Invention Expo (JDIE 2024) ณ ประเทศญี่ปุ่น จัดโดย World Invention Intellectual Property Associations (WIIPA) และ Japan Invention Association วิทยาลัยพณิชยการเชตุพนและวิทยาลัยการอาชีพพยัคฆภูมิพิสัย ได้รับ 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 2 รางวัลพิเศษ โดย วิทยาลัยพณิชยการเชตุพน ได้รับรางวัลจากผลงาน “บราวนี่กรอบเสริมใบชะคราม “KRAMCHYBROWN” และวิทยาลัยการอาชีพพยัคฆภูมิพิสัย กับผลงาน “อุปกรณ์ช่วยลงน้ำหนักเท้าสำหรับผู้ป่วยขาหัก” ทั้งนี้ งานดังกล่าวเป็นงานแสดงนวัตกรรมและการออกแบบที่สำคัญในประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ และนวัตกรรม รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างนักประดิษฐ์จากทั่วโลก

และ งาน Indonesia Inventors Day 2024 (IID2024) ณ บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย จัดโดย Indonesian Invention and Innovation Promotion Association (INNOPA) เป็นงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในอินโดนีเซียและภูมิภาค สร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักประดิษฐ์วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี วิทยาลัยเทคนิคปักธงชัย และวิทยาลัยการอาชีพไชยา สามารถคว้า 4 เหรียญทอง และ 3 รางวัลพิเศษ โดยวิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ได้รับรางวัลจากผลงาน “แคชเชียร์อัจฉริยะ” วิทยาลัยเทคนิคปักธงชัย จากผลงาน “นวัตกรรมรัดนิ้วข้อมือหัก” วิทยาลัยการอาชีพไชยา จากผลงาน “เครื่องผสมเกสรดอกทุเรียน” และวิทยาลัยการอาชีพไชยา จากผลงาน “ชุดควบคุมมอเตอร์ซับเมอร์สสูบน้ำ เพื่อการเกษตร 2 พลังงานควบคุมผ่าน Smart phone”

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาในระดับนานาชาติ และเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีโลก การได้รับรางวัลจากเวทีระดับนานาชาติเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันคุณภาพของนวัตกรรมไทย แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายและเปิดช่องทางการตลาดใหม่ ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของไทยในต่างประเทศ นอกจากนี้ ความสำเร็จดังกล่าวยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักประดิษฐ์รุ่นใหม่ในการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต ตลอดจนเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะแหล่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในระดับโลก

บอร์ด PISA ไฟเขียวแผนพัฒนาครูแม่ไก่ ตีโจทย์ข้อสอบพิซา หวังยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวม 

จากการประชุมคณะกรรมการ PISA แห่งชาติ ครั้งที่ 5/2567  เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 โดย  พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน และมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายธงชัย ชิวปรีชา และนายศรัณย์ โปษยะจินดา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยคณะกรรมการ เข้าร่วม และ รองศาสตราจารย์ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting นั้น

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือและพิจารณาร่างแผนการจัดอบรมครู (ครูแม่ไก่) เพื่อสร้างให้เป็นนักสร้างข้อสอบตามแนว PISA ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 3 วิชา วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาไทย ในรูปแบบผสมผสานทั้งออนไลน์และออนไซต์ หลักสูตร 5 วัน ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 จำนวน 8 รุ่น ๆ รุ่นละ 40 คนต่อวิชา รวม 960 คน จากนั้น จะขยายการอบรมสู่ครูระดับมัธยมศึกษาทุกสังกัดต่อไป เพื่อให้ครูสามารถนำแนว PISA ไปปรับใช้ในการออกข้อสอบปลายภาคได้ทันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าในการติดตามการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับผลการประเมิน PISA ในสถานศึกษา และรายงานความคืบหน้าในการดำ/าเนินการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับผลการประเมิน PISA ของแต่ละสังกัดการศึกษาด้วย

“ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า การทำงานครั้งนี้ มิใช่เป็นเพียงเพิ่มผลคะแนนในการประเมิน PISA 2025 เท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ ทั้งในการอ่านออกเขียนได้ การคิดวิเคราะห์ การพัฒนาสื่อการเรียนการสอน การพัฒนาครูผู้สอน ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์การเรียนการสอนและสื่อที่ทันสมัย ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ กระทรวงศึกษาธิการเพียงลำพังคงจะทำไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจทุกหน่วยงาน และเมื่อทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน ผมเชื่อว่า จะทำให้คุณภาพมาตรฐานการศึกษาพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน” รมว.ศึกษาธิการกล่าว

 

มบส. กำชับทุกหน่วยงานปฎิบัติงาน “สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้” พร้อมจัดอบรมเทคนิคการสอบทานเอกสารการทำงานที่ถูกต้อง

รศ.ดร.ชลลดา พงศ์พัฒนโยธิน รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ( มบส.) กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้ไปเป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเทคนิคการสอบทานเอกสารการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย จัดโดยหน่วยตรวจสอบภายใน มบส. เพื่อให้ความรู้แก่คณาจารย์และบุคลากร ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยได้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคการสอบทานเอกสารการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยให้มีความถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งให้คำปรึกษาแก่ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีความเข้าใจในการสอบทานเอกสารการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการอบรมครั้งนี้ตนได้มีการนำนโยบายผศ.ดร.คณกร สว่างเจริญ อธิการบดี มบส. เกี่ยวกับการตรวจสอบภายใน มาชี้แจงให้คณาจารย์และบุคลากร มบส.ได้ปฎิบัติตาม รวมถึงมีการแนะนำเทคนิคการสอบทานเอกสารการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย และเทคนิคการตรวจสอบรายงานการเงินในภาพรวมด้วย

รศ.ดร.ชลลดา กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาอธิการบดี มบส. ยังได้กำชับให้ทุกหน่วยงานสนองนโยบายรัฐและปฎิบัติตามสโลแกนรัฐ“สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้”อีกทั้งยังเป็นคุณลักษณะพื้นฐานที่ระบุเอาไว้ในมาตรฐานสำหรับข้าราชการที่ดี เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนและสร้างความเชื่อมั่นว่าการบริหารประเทศและการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิดรับชอบ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน อันเป็นพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล หรือลักษณะของการบริหารงานที่ดี ที่สำคัญการจะตรวจสอบความโปร่งใสในการทำงานของรัฐได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลสาธารณะได้อย่างสะดวก ปลอดภัย มั่นใจว่าจะไม่ถูกคุกคามหรือลิดรอนหากเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นด้วย รวมทั้งยังได้สนับสนุนให้สำนักประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ ดำเนินงานต่างๆ ตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการด้วยการเปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นเรื่องยกเว้น เพื่อบริการประชาชนให้สามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้

รศ.ดร.ชลลดา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในการทำงานยังเน้นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG Updates ที่ให้ความสำคัญของการมีกฎหมายและนโยบายเพื่อคุ้มครองการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ถูกบรรจุเอาไว้ใน SDGs คือ เป้าหมายย่อยที่ 16.10 มีสาระเกี่ยวกับการสร้างหลักประกันว่าสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและมีการปกป้องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ตามกฎหมายภายในประเทศและความตกลงระหว่างประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัดที่ 16.10.2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการติดตามให้ประเทศมีและใช้กฎหมาย นโยบายที่รับประกันว่าสาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ด้วย

 “สภาพแวดล้อมการเรียนรู้” มีความสำคัญอย่างมากต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ดร.อรรถพล สังขวาสี เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยผลการศึกษา สภาพแวดล้อม
การเรียนรู้ (Leaming Environment) ว่า มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ทั้ง
ทางบวกและทางลบ โดยคำว่า “สภาพแวดล้อมการเรียนรู้” หมายถึง สิ่งต่าง ๆ และสภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวผู้เรียน ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม โดยแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ 1) สภาพแวดล้อมทางกายภาพ อาทิ ห้องเรียน โรงเรียนหรือสถานที่ทำงาน พื้นที่เสมือนจริง เช่น แพลตฟอร์มดิจิทัล หรือพื้นที่ผสมผสานที่ผสมผสานทั้งองค์ประกอบทางกายภาพและดิจิทัลเข้าด้วยกัน 2) สภาพแวดล้อมทางจิตวิทยา ที่เมื่อผู้เรียนเกิดความรู้สึกไว้วางใจและปลอดภัยจะส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์และการให้ความร่วมมือในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ของผู้เรียนด้วย  และ 3) สภาพแวดล้อมทางอารมณ์ ซึ่งส่งผลต่อจิตใจ การรับรู้ และการแสดงออกของผู้เรียน ไม่เพียงเฉพาะเรื่องการศึกษาเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้เรียนด้วย

ดร.อรรถพล กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้มีความแตกต่างกันตามวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน แบ่งได้ 4 ประเภท ได้แก่ 1) สภาพแวดล้อมการเรียนร์ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จะเน้นไปที่ผู้เรียนแต่ละคนและผู้เรียนโดยรวม
สภาพแวดล้อมเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่วิธีการเรียนรู้ที่ดีที่ดีที่สุดของผู้เรียน ในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ผู้เรียนจะเป็นผู้ควบคุมกระบวนการเรียนรู้และเนื้อหาที่ผู้เรียนสนใจ 2) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เน้นความรู้ เน้นไปที่ความรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากเนื้อหา สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เน้นความรู้นั้น มีโครงสร้างที่ชัดเจนสำหรับสิ่งที่ผู้เรียนที่มีเป้าหมายและมีความคาดหวังที่จะเรียนรู้ 3) สภาพแวดลอมการเรียนรู้ที่เนนการประเมินและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะหรือบรรลุเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เน้นการประเมินมักมีโครงสร้างที่ชัดเจน และมีการใช้เหตุการณ์สำคัญเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและการเรียนรู้ส่งเสริมให้การเรียนรู้ของผู้เรียนสามารถบรรลุตามเป้าหมาย และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เน้นชุมชน จะเน้นไปที่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือของชุมชนที่ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุภารกิจต่าง ๆ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เน้นชุมชนจะเน้นไปที่ปฏิสัมพันธ์กลุ่ม พลวัตของกลุ่ม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้เรียนช่วยเหลือชื่อชื่นและกัน

“สภาพสังคมและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดในปัจจุบัน ประกอบกับสถานการณ์ที่คาดไมถึงที่อาจเกิดขึ้นดังเช่น การแพร่ระบาดของ COVID-19  น้ำท่วมภาคเหนือในไทย และในยุโรปหลายประเทศอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในหลายพื้นที่ ผลส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไม่คาดคิดมาก่อน และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของคนทั่วโลก สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการดำรงชีวิต และการเรียนรู้ของนักเรียน รวมถึงรูปแบบรูปแบบการสอน อาทิ การเรียนออนไลน์ การเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างไม่เป็นทางการ (ไม่มุ่งเน้นปริญญาบัตร) ที่มีเพิ่มขึ้น และการหายไปและการเกิดขึ้นใหม่ของอาชีพต่าง ๆ ในปัจจุบันและที่คาดว่าจะเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น การจัดการศึกษาอาจต้องสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) ในรูปแบบใหม่ หรืออาจเรียกว่าสภาพแวดล้อมการเรียนรู้อัจฉริยะ (Smart Learning Environment) โดยนำนวัตกรรมมาใช้ในส่งเสริมและการจัดการเรียนการสอน เช่น ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped classroom) การเรียนรู้ผ่านเกม (Game based learning) และรูปแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับการเรียนการสอนแต่ละช่วงวัย รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว และสอดคล้องกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)”เลขาธิการสภาการศึกษากล่าว

“เพิ่มพูน”ปัดคุย “ครูเบญ”ให้เหตุผลอยู่ในกำกับดูแล รมช.สุรศักดิ์ “สั่ง”องค์กรหลักรวบรวมความเสียหายจากน้ำท่วม เพื่อของบฯกลางเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและฟื้นฟูหน่วยงาน-สถานศึกษา

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน  ชิดชอบ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ว่า การประชุมครั้งนี้นับเป็นการประชุมประสานภารกิจครั้งแรกของรัฐมนตรีใหม่หลังจากแถลงนโยบายและมอบแนวทางขับเคลื่อนการศึกษาในรอบปีต่อไป โดยได้มีการย้ำให้ทุกหน่วยงานจัดทำแผนปฏิบัติการทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยขอให้มีแผนระยะ 3 ปี ตามวาระของคณะรัฐมนตรี(ครม.) รวมทั้งมีการหารือระหว่างผู้บริหารองค์กรหลักที่มีการเปลี่ยนตำแหน่ง เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่องด้วย

รมว.ศึกษาธิการ  กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ โดยมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ 30 จังหวัด มีครัวเรือนได้รับผลกระทบ 139,803 ครัวเรือน เสียชีวิต 45 ราย บาดเจ็บ 24 ราย ในจำนวนนี้ มีสถานศึกษาสังกัด ศธ. และหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบ รวม 544 แห่ง แบ่งเป็น สังกัด สำนักงานปลัด ศธ. 1 แห่งในจังหวัดเชียงราย  สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 6 แห่งใน 3 จังหวัด  สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) 36 แห่งใน 16 จังหวัด สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 456 แห่งใน 28 จังหวัด  และ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ. ) 45 แห่งใน 20 จังหวัด

“ผมขอให้มีการรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในสถานศึกษาและหน่วยงานของ ศธ. โดยเฉพาะในพื้นที่ติดหรือใกล้แม่น้ำที่มีความเสี่ยงและเฝ้าระวัง ทั้งในการเตรียมพร้อมก่อนเกิดเหตุ การเยียวยาและรับมือกับผลกระทบน้ำท่วม ตลอดจนการป้องกันในอนาคตด้วย และให้รายงานที่ประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการของบกลางให้โรงเรียนและสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เนื่องจากสถานศึกษาหลายแห่งไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ อาคารสถานที่ สื่อการเรียนการสอน ชุดนักเรียนได้รับความเสียหาย ดังนั้น ขอให้ทุกองค์กรหลักเร่งรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอของบกลางช่วยเหลือหน่วยงานและสถานศึกษาโดยเร็ว  ทั้งนี้จากการรายงานความเสียหายเบื้องต้น คาดว่าอาจต้องใช้งบประมาณช่วยเหลือเยียวยากว่า 200 ล้านบาท” พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการกรณีการสอบคัดเลือกพนักงานราชการ ครูผู้สอนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพม.)สระแก้ว ว่า เท่าที่ได้รับรายงานจะรู้ผลการสอบข้อเท็จจริงภายในวันที่ 20 กันยายนนี้  เชื่อว่า ทาง สพฐ.จะดำเนินการโดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย  อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวตนยังไม่ได้พูดคุยกับ ครูเบญญาภา ผู้เสียหายเป็นการส่วนตัวเพราะถือว่า อยู่ในการกำกับดูแลของนายสุรศักดิ์  พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่ายว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

สพฐ.เรียก“ครูเบญ”ให้ปากคำวันนี้ ขีดเส้นวันที่ 20 กันยายน ต้องได้ข้อสรุป

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2567 ว่าที่ร้อยตรีธนุ  วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า  ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ออกคำสั่งให้ นายประยงค์ สารภูมิ  ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) สระแก้ว มาปฏิบัติราชการที่ สำนักบริหารการมัธยมศึกษา สพฐ. อีกตำแหน่งหนึ่ง และได้อายัดข้อสอบและกระดาษคำตอบเพื่อดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 กันยายนนี้ ทุกอย่างต้องได้คำตอบและมีความชัดเจน เรื่องนี้สพฐ. ต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว เพราะอยู่ในความสนใจของประชาชน ทั้งนี้เมื่อกระบวนการสอบสวนเสร็จสิ้น ถ้าพบว่า มีการทุจริต หรือส่อไปในทางทุจริตก็ต้องดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนอย่างเด็ดขาด เพราะตนเชื่อว่า ผลสอบของคณะกรรมการจะเป็นตัวชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ใครจะต้องรับผิดชอบ ใครทำให้เสียหาย ใครประมาทเลินเล่อ หรือใครมีความพกพร่องในเรื่องใด ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ที่ได้เลื่อนขึ้นมาลำดับที่ 1 แทนน.ส.เบญญาภา เป็นคนนามสกุลดัง  นั้น ตรงนี้เป็นความคิดเห็นของแต่ละบุคคล สพฐ.เองก็ต้องมีความเป็นกลาง ขอให้รอผลการตรวจสอบ ซึ่งพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า กรณีนี้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน  ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)  นายสุรศักดิ์  พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการศธ. และเลขาธิการกพฐ. ให้ความสำคัญติดตามอย่างใกล้ชิด ขอให้เร่งดำเนินการตรวจสอบและสรุปผลให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้  อย่างไรก็ตาม สำหรับการตรวจสอบ กรณีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องยาก อันดับแรกต้องไปดูที่กระดาษคำตอบ  ข้อสอบ และเฉลยใหม่ ว่ามีการแก้ไข ฝนรหัสใหม่เหมือนที่สังคมสงสัยหรือไม่ เพราะเป็นการใช้ดินสอสองบีในการฝนรหัสคำตอบ และ เป็นการตรวจด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่การตรวจด้วยมือ เนื่องจากมีผู้เข้าสอบกว่า 250 คน เฉพาะสาขาวิชาเอกวิทยาศาสตร์ มีผู้เข้าสอบจำนวน 106 คน  ขณะเดียวกันได้ประสานเชิญ น.ส.เบญญาภา เข้าให้ปากคำที่ สพฐ. เพื่อยืนยันว่า กระดาษคำตอบที่อายัดเป็นของตนเองจริง และได้มีการแก้ไขปรับปรุงหรือไม่ ก่อนตรวจสอบคะแนนของน.ส.เบญญาภา ต่อไป

“ส่วนเรื่องความผิดพลาดของ เขตพื้นที่ฯก็ต้องว่าไปตามขั้นตอน โดยต้องลงไปดูว่า ใครทำผิดพลาด ส่วนอีกรายที่มีชื่อมาแทน ก็ต้องตรวจสอบคะแนนเช่นเดียวกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจน แต่สุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับผลคะแนนของทั้งสองคนเป็นสำคัญ ทั้งนี้จากที่ดูข้อมูล และผลการสอบสวนในเบื้องต้น ยังไม่เห็นความตั้งใจในทางทุจริต แต่จะมีความหละหลวมในการทำงานในแต่ละขั้นตอน ซึ่งในส่วนของรองผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ ที่โทรให้น.ส.เบญญาภาลบโพสต์นั้น ก็ถือว่า ดำเนินการไม่ถูกต้อง และได้มีการว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจาไปเรียบร้อยแล้ว” นายพัฒนะกล่าว

รองเลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม หากผลการตรวจสอบออกมาแล้วพบว่า น.ส.เบญญาภาสอบได้คะแนนอันดับ1 จริง ตามประกาศครั้งแรก ก็จะบรรจุแต่งตั้งให้ในตำแหน่งที่สอบได้ แต่หากคะแนนไม่ผ่าน ก็ต้องหาวิธีเยียวยา อาทิ คืนสู่สถานะเดิม คือ ให้กลับเป็นครูอัตราจ้างในโรงเรียนใกล้บ้าน ในจังหวัดสระแก้ว เพื่อให้ได้ทำงานในพื้นที่ ทั้งนี้ในส่วนของเขตพื้นที่ฯ กรณีไม่ตั้งใจทุจริต เป็นความผิดพลาดที่กระบวนการ ถือเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายร้าย มีความผิด ทั้งว่ากล่าวตักเตือน ตัดเงินเดือน และภาคทัณฑ์  แต่ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นการทุจริต ก็ต้องมีการตั้งกรรมการสอบวินัยอย่างร้ายแรงผู้ที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป  ส่วนที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ที่สอบได้แทนที่น.ส.เบญญาภา เป็นคนนามสกุลดัง รู้จักกับนักการเมืองท้องถิ่นนั้น ตนไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ แต่โดยหลักการจะต้องดูที่คะแนนสอบหากเป็นไปตามหลักฐานที่ปรากฎก็ต้องว่าไปตามนั้น หากพบว่าเป็นการทุจริต เราก็ต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานใคร หากกระบวนการไม่ถูกต้องก็รับไม่ได้ทั้งนั้น

สพฐ.กลั่นกรองย้ายผอ.สพท.ผอ.โรงเรียนก่อนบรรจุแต่งตั้งแทนอัตราเกษียณสิ้นกันยายนนี้

นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า  ปีนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)จะมีผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)เกษียณอายุราชการ จำนวน 40 คน และจะมีตำแหน่งว่างอยู่ 40 อัตราในเดือนตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตามก่อนดำเนินการบรรจุแต่งตั้งแทนอัตราเกษียณ สพฐ.จะโยกย้ายผอ.เขตพื้นที่ฯและ ผอ.โรงเรียน ก่อน โดยจะเสนอรายชื่อผู้ที่ยื่นขอโยกย้ายผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรอง สพฐ.ที่มีว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธาน เรียบร้อย ก่อนเสนอ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่มีพล.ต.อ.เพิ่มพูน  ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน พิจารณาอนุมัติ   โดยขีดเส้นให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จในวันที่ 1 ตุลาคม นี้

รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้ทั้งครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา ในสังกัดศธ. ทุกตำแหน่ง ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ทัน วันที่ 1 ตุลาคม เพื่อให้การบริหารงานมีความต่อเนื่องไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาในภาพรวม โดยการแต่งตั้งโยกย้ายครูนั้น ก็คิดว่า ไม่มีปัญหา ซึ่ง คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต อยู่ระหว่างดำเนินการกลั่นกรอง ก่อนเข้าสู่การพิจารณอนุมัติต่อไป ซึ่งทุกตำแหน่งจะต้องแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน เพื่อบรรจุแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 ตุลาคม เช่นกัน

“ ผมคิดว่า การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้จะไม่มีปัญหา ทุกตำแหน่งสามารถบรรจุแต่งตั้งได้ทันวันที่ 1 ตุลาคม อย่างแน่นอน เพราะกระบวนการต่าง ๆ ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ซึ่งในส่วนของครูเชื่อว่าไม่มีปัญหา และไร้การทุจริตอย่างแน่นอน เพราะยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ Teacher Rotation System หรือ TRS  และระบบการจับคู่ครูคืนถิ่น Teacher Matching System (TMS) ซึ่งมีผลคะแนนเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่มีเรื่องไสยศาสตร์ใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิน ส่วนผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ ตามนโยบายของ รมว.ศึกษาธิการ ให้โอกาสย้ายกลับบ้าน เป็นอันดับแรก โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีจำนวนมาก ที่ไปประจำในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ หรือภาคเหนือ ดังนั้น ก็อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ย้ายกลับบ้านได้ทุกคน แต่ก็อาจพิจารณาในภูมิภาค หรือจังหวัดใกล้เคียงก่อน เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” นายพัฒนะ กล่าว

สพม.ขอนแก่น ทำทันที สนองนโยบายลดภาระครูของ สพฐ. แจ้งทุกโรงเรียนงดให้ครูจัดนิทรรศการ และจัดทำเอกสารเพื่อประกอบการประเมินเลื่อนขั้นเงินเดือนครู  

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ดร.ศักดา ชัยภัย  ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)ขอนแก่น เปิดเผยว่า ตามที่ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)ได้มีการยกระดับการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยประกาศมาตรการลดภาระครู ลดการรายงานของสถานศึกษาพร้อมให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ทดแทนการจัดทำรายงาน/เอกสารด้วยกระดาษ และเน้นย้ำการลดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บข้อมูลและรายงานต่าง ๆ จากสถานศึกษา โดยได้แจ้งให้หน่วยงานในสังกัดทุกระดับทราบและถือปฏิบัติ นั้น สพม.ขอนแก่นขานรับและตอบสนองนโยบายดังกล่าวโดยทันที โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการประเมินผลงานข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่ง ดังนั้นจึงขอแจ้งให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกแห่งในสังกัดของ สพม.ขอนแก่น ที่กำลังจะดำเนินการประเมินผลงานครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อประกอบการเลื่อนเงินเดือน ครั้งที่ 2/2567 (1 ต.ค. 2567) งดการจัดทำเอกสารผลงานทั้งในแบบรูปเล่มและการจัดนิทรรศการโดยเด็ดขาด สำหรับรูปแบบการประเมินผลงานเพื่อประกอบการเลื่อนขั้นเงินเดือน ขอให้ประเมินจากการจัดการเรียนการสอนของครูตามบริบทจริงในห้องเรียนโดยไม่เพิ่มภาระครู และส่งเสริมให้ครูนำเทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมมูลสารสนเทศในระบบออนไลน์ต่างๆ มาใช้เพื่อประกอบการประเมินและนำเสนอผลงานต่อไป
.

“ยศพล”สั่ง สอจ.กำหนดแนวปฏิบัติช่วยเหลือครู นักเรียน นักศึกษา ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ตามข้อสั่งการ เสมา 1 ทำทันที ไม่ลืมย้ำความปลอดภัยต้องมาก่อน

 

วันที่ 16 กันยายน 2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในการเตรียมความพร้อมเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย รวมทั้งผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการแก้ไขปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงให้ทุกภาคส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกำกับกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการ

 

นายยศพล กล่าวต่อไปว่า พลตำรวจเอก เพิ่มพูน มีความห่วงใย ครู นักเรียน นักศึกษา บุคลากรทุกส่วน รวมไปถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ จากการลงพื้นของกระทรวงศึกษาธิการ นำโดย รมว.ศึกษาธิการ ในการตรวจเยี่ยมพื้นที่ สถานศึกษาที่ได้รับความเสียหาย และให้กำลังใจนักเรียน นักศึกษา จังหวัดเชียงราย โดย สอศ. ได้สั่งการเร่งด่วนไปยังสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัด (สอจ.) รวมถึงในกลุ่มจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย กำหนดแนวปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และเตรียมการรับมือ เฝ้าระวังป้องกันอุทกภัยที่จะเกิดต่อเนื่องจากจังหวัดใกล้เคียงในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดหนองคาย และบึงกาฬ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น ซึ่งแบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะ 1 เร่งด่วน ทำทันที ให้ สอจ. เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา จัดถุงยังชีพ และโรงครัวอาชีวะ แจกอาหาร น้ำดื่ม มอบให้ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ให้ทั่วถึงทันที ซึ่งได้มอบและถุงยังชีพไปแล้วในบางพื้นที่และจะมอบต่อไปให้ทั่วถึง ส่วนระยะ 2 แผนการช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟู เร่งด่วน ให้ สอจ.ใกล้เคียง จัดตั้งศูนย์บริการ fix it center ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ให้เพียงพอต่อความต้องในการบริการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างๆ เครื่องมือการเกษตร รถจักรยานยนต์ เป็นต้น รวมถึงช่วยขนย้ายสิ่งของ ซ่อมแซม ฟื้นฟูอาคารสถานที่ของสถานศึกษาในสังกัด สอศ. สถานศึกษา อื่นๆ และบ้านเรือนประชาชน ทันที

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า ขณะนี้ มีรายงานถึงมวลน้ำได้เข้าสู่จังหวัดหนองคาย และบึงกาฬ แล้ว โดย สอศ. กำชับให้ สอจ. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แจ้งเตือนประชาชน ชุมชน ครู นักเรียน นักศึกษา ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้า รวมถึงการจัดศูนย์เฝ้าระวังเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ซึ่งอาจขยายวงกว้างไปในจังหวัดใกล้เคียงหรือพื้นที่เสี่ยง พร้อมรายงานสถานการณ์แบบเรียลไทม์กลับมายัง สอศ.ทันที ซึ่งหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย สอศ.ได้วางแผนเพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติฉบับเร่งด่วนในสถานศึกษา และงบประมาณเพื่อการซ่อมแซมส่วนที่เกิดความเสียหาย รวมถึงการให้ความรู้ในการดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าแก่ประชาชนด้วย ทั้งนี้คำนึงถึงความปลอดภัยต้องมาก่อน

“ขอให้มั่นใจว่า กระทรวงศึกษาธิการ “อาชีวะอาสา” จะเข้าช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ชุมชน สถานศึกษา และอื่นๆ ที่สามารถทำได้เพื่อผู้ได้รับผลกระทบกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ซึ่งเข้าใจได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมาก แต่อาชีวะเราจะทำงานอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ เราไม่ทิ้งกันและให้ความช่วยเหลือกันต่อไป”นายยศพลกล่าว