เสมา 1 เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายอาชีวะ ย้ำ “เรียนดี มีความสุข” มุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนให้ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ”

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดการประชุมวิชาการในหัวข้อ “แนวทางการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง” ตามนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดย พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายแนวทางขับเคลื่อนนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” ของกระทรวงศึกษาธิการ  ในการนี้ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) พร้อมด้วยนายวิทวัต ปัญจมะวัต นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ นายสง่า แต่เชื้อสาย รองเลขาธิการ กอศ. และนายสุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้ช่วยเลขาธิการกอศ. รวมถึงผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สอศ. ภาครัฐและเอกชน สถาบันการอาชีวศึกษา และผู้เกี่ยวข้อง จากทั่วประเทศ กว่า 700 คน าร่วมประชุม  ณ ห้องประชุมปทุมมาศ วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2566 โดยเน้นทุกฝ่ายต้องมีความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้เกิดความสุขในการทำงาน และส่งต่อสู่ความสุขของนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง เมื่อเรามีความสุขในการทำงาน เชื่อว่าเด็กๆ ก็จะมีความสุขเช่นกัน สำหรับการขับเคลื่อนด้านอาชีวศึกษา ขอชื่นชมที่อาชีวศึกษาขับเคลื่อนได้เต็มที่ สถานศึกษาให้ความใส่ใจใช้หัวใจดูแลเด็กอย่างแท้จริง ส่งผลให้ปัญหาความรุนแรงลดลงชัดเจน สะท้อนว่าครูเข้าใจและเข้าถึงนักเรียน การส่งเสริมการมีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ นอกจากนี้ความคืบหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ เช่น ลดภาระครู ทั้งในเรื่องวิทยฐานะ และการจัดระบบครูคืนถิ่นอย่างเป็นธรรม โปร่งใส, สนับสนุนสื่อการสอนและอุปกรณ์การเรียน โดยให้จัดหาและบูรณาการเครื่องมือ เช่น ซิมูเลเตอร์ เป็นสื่อการสอนในสถานศึกษา, เสริมศักยภาพผู้เรียน ด้วยการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ร่วมมือกับภาคเอกชน ให้ผู้เรียนได้ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ฝึกประสบการณ์จริง มีรายได้ระหว่างเรียน และจบแล้วมีงานทำ

“ปีนี้ เป็นมิติการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ และมิติการสื่อสาร 3+1 ทักษะภาษา (ไทย อังกฤษ จีน) และทักษะดิจิทัล, ส่งเสริมการเรียนรู้รูปแบบ Anywhere Anytime การจัดหลักสูตรระยะสั้น เน้นคุณภาพผู้เรียนด้วยการรับรองมาตรฐานวิชาชีพต่างๆ การดำเนินงานสุขาดีมีความสุข ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Zero Dropout) นำเทคโนโลยี เช่น AI มาช่วยในการเรียนการสอน และส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงระหว่างสถานศึกษาในสาขาเดียวกัน เพื่อร่วมพัฒนาหลักสูตรให้ตอบโจทย์ยุคใหม่ โดยการขับเคลื่อนตามนโยบายมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนให้ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” การศึกษาที่ดีต้องเกิดจากการร่วมมือกันทั้งระบบ ขอให้ทุกภาคส่วน “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” เชื่อมโยงมิติการศึกษาอย่างเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เพื่ออนาคตการศึกษาที่ยั่งยืน”รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและย้ำว่า ให้ความสำคัญกับสมรรถนะขับเคลื่อนการทำงานในศตวรรษที่ 21 โดยใช้คำเปรียบเปรยสื่อแนวคิดในการพัฒนาตนเอง “มีดคม เพราะหมั่นลับ” คนจึงเฉียบแหลมได้ ด้วยการฝึกฝนและเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษาและเจ้าหน้าที่ ต้องพัฒนาตนเอง หมั่นฝึกฝนและพร้อมเรียนรู้อยู่เสมอ

ด้าน นายยศพล กล่าวว่า สอศ. เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย 8 วาระงานอาชีวศึกษา (8 Agenda) ภายใต้แนวคิด “OVEC ONE Team ทำดี ทำได้ ทำทันที” ซึ่งเชื่อมโยงกับนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” มีความมั่นคงในชีวิต มีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ ของกระทรวงศึกษาธิการ โดย พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา การดำเนินงานของ สอศ. มีความก้าวหน้าในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้เข้มแข็ง การจัดการศึกษาระบบทวิภาคีที่เข้มข้น ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในระดับประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนการพัฒนาห้องเรียนอาชีพในพื้นที่ต่าง ๆ ดูแลบูรณาการร่วมกับสถานศึกษาอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงพลังความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา สถานประกอบการ และชุมชน ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า ปีการศึกษา 2568 นี้ สอศ. ให้สถานศึกษาทั่วประเทศเตรียมความพร้อม ทั้งด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา การสำรวจสภาพแวดล้อม ป้องกันพฤติกรรมเสี่ยง การเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงแนวทางป้องกันการออกกลางคันของนักเรียน ส่งเสริมให้นักเรียนมีจิตอาสา ในกิจกรรมอาชีวะอาสาที่นำความรู้ความสามารถไปช่วยเหลือชุมชน พร้อมเดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่อาชีวศึกษา ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งทักษะวิชาชีพ ทักษะวิชาการ และทักษะชีวิต เพื่อสร้างคนอาชีวะที่มีสมรรถนะสูง มีงานทำ มีทางเลือกในชีวิต และมีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง

“การประชุมครั้งนี้ไม่ใช่แค่เวทีมอบนโยบาย แต่ยังเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และร่วมกันขับเคลื่อนอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับ และสร้างความสุขให้แก่ผู้เรียน ครู และสังคมในการเดินหน้าผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพ มีสมรรถนะสอดรับกับความต้องการกำลังคนในประเทศและสากล ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และแนวทางการศึกษาเพื่อความยั่งยืนของประเทศในอนาคต”นายยศพลกล่าว

 

“เลขาธิการสภาคาทอลิกฯ”จับมือ พว. จัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning “ชี้”เด็กเรียนแล้วมีความสุข สอดคล้องนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ

เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2568 ผู้บริหาร ครูและบุคลากรโรงเรียนในเครือรักกางเขน แห่งอุบลราชธานี ได้จัดประชุมสัมมนาผู้บริหาร ครูและบุคลากรโรงเรียนในเครือรักกางเขน แห่งอุบลราชธานี ปีการศึกษา 2568 หัวข้อ “การจัดการศึกษาคาทอลิก เพื่ออนาคตที่ดีกว่าเดิม” ณ ห้องประชุมโรงแรมแกรนด์สุนีย์ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี บาทหลวง ดร.เอกรัตน์ หอมประทุม เลขาธิการสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย เป็นประธานพิธีเปิด บรรยายพิเศษโดย ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)อดีตกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา ของคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ ซิสเตอร์รัตนา พันธ์วิไล หัวหน้าฝ่ายการศึกษาโรงเรียนกางเขนแห่งอุบลราชธานี เข้าร่วมประชุม

โดย บาทหลวง ดร.เอกรัตน์ กล่าวว่า เราทราบกันดีว่าการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน ต้องจัดการศึกษามุ่งสู่อนาคต ต้องฟังเสียงเด็กว่าเขาต้องการอะไร และให้เด็กได้มีส่วนร่วมด้วย เพราะถือว่าโลกใบนี้เป็นของพวกเขาต้องรู้หน้าที่ความรับผิดชอบในอนาคตของพวกเขา ดังนั้น การเรียนการสอนแบบ Active Learning ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติและมีการเรียนการสอนร่วมกัน จึงตอบโจทย์การเรียนการสอนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามโรงเรียนในเครือคาทอลิกได้นำ Active Learning มาจัดการเรียนการสอนหลายปีแล้ว แต่ที่มาจริงจังก็ในช่วงเกิดโรคโควิด 2019

“สภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้ทำข้อตกลงร่วมกับ พว.ว่าเราจะเป็นพันธมิตรด้านการศึกษาร่วมกันโดยใช้พลังเครือข่ายที่มีคุณภาพของ พว.ที่มีวิทยากรที่มีคุณภาพอยู่ทั่วทั้งประเทศกับเครือข่ายของโรงเรียนคาทอลิกที่มีอยู่ 300 กว่าแห่งทั่วทั้งประเทศเหมือนกัน มาร่วมประสานเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้การเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นจริงเป็นจัง ซึ่ง หลังโควิด 2019 เป็นต้นมา เรานำ Active Learning มาใช้เต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการให้เด็กเรียนแล้วมีความสุข”บาทหลวง ดร.เอกรัตน์ กล่าวและว่า Active Learning เป็นเสมือนไฟส่องทางที่ทำให้ภาพของการจัดการศึกษาสมบูรณ์แบบ และชัดเจนมากขึ้น เราไม่ได้ลืมสิ่งที่เราเคยเรียนเคยสอนมา หรือหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเพียงแต่ว่าเราจะบูรณาการโดยนำเอาจิ๊กซอว์ที่ชื่อว่านำ Active Learning ให้ภาพของโรงเรียนนักเรียน มีความชัดเจนมากขึ้นอย่างสมบูรณ์

ซิสเตอร์รัตนา กล่าวว่า ในนามฝ่ายการศึกษาโรงเรียนกางเขนแห่งอุบลราชธานี เราได้อบรม Active Learning อย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการกับการเรียนการสอนแบบ Project Approach ที่โรงเรียนใช้จัดการเรียนการสอนอยู่ ซึ่งทำให้ครูเข้าใจง่าย นักเรียนจะทำโครงงานในแต่ละห้องเรียนแต่ละกลุ่มสาระที่นักเรียนสนใจ นักเรียนก็จะเสนอผลงาน ซึ่งทำให้นักเรียนเรียนแล้วมีความสุข เพราะนักเรียนได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และจากที่ ซิสเตอร์ ได้ไปดูงานที่อเมริกา เห็นได้ชัดเจนมากว่า ทั้งนักเรียน และนักศึกษา เขาจัดการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ซึ่งเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรานำรูปแบบนี้มาใช้ ถูกทาง ทั้งผลสัมฤทธิ์นักเรียนเพิ่มขึ้น และสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือนักเรียนมีความสุขและจำนวนนักเรียนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งวันนี้ โรงเรียนในเครือรักกางเขนแห่งอุบลราชธานี ทั้ง 5 แห่ง ได้ MOU กับ พว.ด้วย เพื่อพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพไปด้วยกัน

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวว่า บาทหลวง ดร.เอกรัตน์ พูดมาจากพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ เพราะท่านให้ Head Heart Hand คือ ปัญญา 3 ฐาน ซึ่งเราต้องนำ 3 ตัวนี้ มาสร้างความรู้ในทุกมิติให้กับผู้เรียนและสร้างกระบวนการ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลกทุกศาสตร์ ทุกภาษา วันนี้ผมจะฉายภาพให้เห็นความชัดเจนที่ทำแล้วเกิดผลจริงๆเหมือนกับนานาประเทศ ให้ครูได้เข้าใจคำว่า Active Learning ซึ่งวันนี้ครูก็จะได้เห็น

ก.ค.ศ.เตรียมสรรหา ผอ.เขตพื้นที่ฯก่อนบัญชีที่มีจะครบอายุ วันที่ 25 ก.ย.68

จากการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม  2568 ที่มี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน  ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ คือ 1.  เนื่องจากบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จะครบอายุการขึ้นบัญชี ในวันที่ 25 กันยายน 2568 ตามประกาศคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประกาศ ณ วันที่ 26 กันยายน 2567 ก.ค.ศ.จึงมีมติเห็นควรให้สำนักงาน ก.ค.ศ. เป็นผู้บริหารจัดการเกี่ยวกับการดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ทั้งนี้ เพื่อจะได้ดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ทันก่อนบัญชีจะครบอายุการขึ้นบัญชี และเพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามีผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีเมื่อมีตำแหน่งว่าง เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติและบริหารจัดการในเขตพื้นที่การศึกษา

  1. อนุมัติ แต่งตั้งอนุกรรมการ ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา แทนตำแหน่งที่ว่าง รวมทั้งสิ้นจำนวน 4 เขต
  2. อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่ง และวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 6 ราย
  3. อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกซึ่งขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัด สพฐ. จำนวน 2 ราย

ศธ.พร้อมเปิดภาคเรียน เสมา 1 ย้ำ เดินหน้า เรียนดี มีความสุข ลดจำนวนเด็กหลุดระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ ทุกหน่วยงานต่อร่วมมือร่วมใจกันต่อไป

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568  ที่ห้องประชุมบุณยเกตุ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ  นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ  ผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)  นายไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา รวมถึงผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสถานศึกษา รวมกว่า 500 คน ร่วมประชุมเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน “เรียนดี มีความสุข” กลับมาเรียนอย่างมั่นใจ เริ่มเทอมใหม่อย่างมีความสุข  และ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ได้เป็นประธานในพิธี Kickoff : โครงการพาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง (OBEC Zero Dropout) ระยะที่ 2 “นำการเรียนไปให้น้อง”  โดย กล่าวว่า ในการดำเนินการปีการศึกษาที่ผ่านมา ตนพอใจและมีความสุขมากที่ทุกคนร่วมมือร่วมใจดำเนินการ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย การกระทบกระทั่งกันของเด็กนักเรียน นักศึกษาที่ลดน้อยลงไป รวมถึงความไม่พึงพอใจของภาคส่วนต่าง ๆ ก็ลดน้อยลงไป ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันซึ่งต้องขอขอบคุณในความร่วมมือร่วมใจดังกล่าว และขอยืนยันว่า เรื่องต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาจะพยายามแก้ไขต่อไป เพื่อให้ทุกท่านมีความสุข

 รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าหมายที่จะลดจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ โดยที่ผ่านมาได้เร่งติดตามการดำเนินงานในทุกจังหวัดให้ครบ 100% เพื่อนำผลการติดตามมาวิเคราะห์และช่วยเหลือเด็กได้อย่างเต็มที่ และให้เด็กทุกคนสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ร่วมมือกันในการนำเด็กกลับสู่ระบบการศึกษา จนขณะนี้เราสามารถค้นหาติดตามเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาครอบคลุม 77 จังหวัด ในทุกเขตพื้นที่ได้เกือบ 100% แล้ว และในการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 นี้ เราจะดำเนินการระยะที่ 2 คือ นำการเรียนไปให้น้อง โดยมีการนำระบบ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ให้ผู้เรียนได้รับการศึกษาแบบยืดหยุ่น มีทั้งการเรียนในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย เพราะเด็กแต่ละคนมีความจำเป็นที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งเน้นย้ำในเรื่องการป้องกัน ให้เด็กยังอยู่ในระบบการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ส่วนเด็กที่ติดตามพบตัวแล้วแต่ยังไม่กลับมาเรียน เราก็จะพาการศึกษาไปหาเด็กๆ ตามนโยบายเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere Anytime โดยจะเสริมสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครอง ครู และชุมชน เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

“สำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 1/2568 นี้  ขอฝากให้สถานศึกษาทุกแห่ง ดูแลและดำเนินการเตรียมความพร้อมฯ ทั้งในด้านการจัดการเรียนการสอน สื่อและอุปกรณ์การเรียน อาคารสถานที่และสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน และความพร้อมในด้านความปลอดภัยของผู้เรียนในและนอกสถานศึกษา อาทิ การดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เป็นสวัสดิการ สวัสดิภาพและปัจจัยพื้นฐานของผู้เรียน เช่น การจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายการศึกษา โครงการอาหารกลางวัน/อาหารเสริม (นม) บริการน้ำดื่มสะอาด การดูแลรักษาความปลอดภัยเรื่องจราจร รถรับ-ส่งนักเรียน การดูแลป้องกันความรุนแรงหรือยาเสพติดในสถานศึกษา เป็นต้น รวมถึงแผนหรือมาตรการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในการเตรียมความพร้อมของสถานศึกษาในแต่ละมิติที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ คือ “การสร้างเครือข่ายการศึกษา” เพื่อให้เกิดความร่วมมือและการบูรณาการทำงานร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำรวจ สถานพยาบาลและเจ้าหน้าที่พยาบาล ท้องถิ่น ชุมชน และภาคส่วนอื่น ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แนวทาง “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้คนไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” อย่างมีความสุขในทุกพื้นที่ต่อไป” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ด้านว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า Thailand Zero Dropout เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล และกระทรวงศึกษาธิการ ตนมั่นใจว่า โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง” OBEC Zero Dropout จะสามารถตอบสนองความต้องการของนักเรียนและผู้ปกครองที่มีความจำเป็นแตกต่างกันได้ โดย “นำการเรียนไปให้น้อง” จะจัดสำหรับนักเรียนที่มีความจำเป็นเฉพาะไม่สามารถกลับเข้ามาเรียนในระบบได้ โรงเรียนก็จะนำการเรียนไปให้นักเรียนได้เรียนที่บ้าน หรือเรียนออนไลน์ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย โดยปัจจุบันมีการนำร่องนำการเรียนไปให้น้องในรูปแบบต่างๆ เช่น โรงเรียนมือถือ เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา, ห้องเรียน/บวรสร้างโอกาส, ห้องเรียนเคลื่อนที่ ห้องเรียนสาขา, เครดิตแบงก์/เทียบโอนหน่วยกิต และเปลี่ยนบ้านเป็นห้องเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู โดยครูประจำชั้น ครูฝ่ายวิชาการ ร่วมจัดหาสื่อการเรียนรู้ นำแบบฝึกใบงานไปให้นักเรียนที่บ้าน ผู้ปกครองช่วยสอนและทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียน มีการประเมินนักเรียนจากคลิปวิดีโอที่ผู้ปกครองส่งให้ เป็นต้น

“ปัจจุบันมีโรงเรียนสังกัด สพฐ. จำนวน 54 โรงเรียน ใน 16 เขตตรวจราชการที่เป็นโรงเรียนต้นแบบจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นด้วย 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ และมีโรงเรียน จำนวน 927 โรงเรียนที่สมัครพัฒนาโมเดลการศึกษาที่ยืดหยุ่น 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ซึ่งตนได้เน้นย้ำให้ ผอ.สพท. ทั่วประเทศ มีการบูรณาการดำเนินงานแก้ปัญหาเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาและเด็กตกหล่นให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยเชิญชวนประสานกับภาคีเครือข่าย หรือชุมชนมาร่วมค้นหา จัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น และมีการชี้เป้า เฝ้าระวัง เด็กเยาวชนที่มีลักษณะที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เพื่อพาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง ให้ได้อย่างครอบคลุมทั่วถึง สู่เป้าหมาย Thailand Zero Dropout หรือ เด็กหลุดจากระบบการศึกษาเป็นศูนย์ให้เร็วที่สุด” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 เนื่องด้วยเดือนพฤษภาคมของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่สถานศึกษาทั่วประเทศเตรียมความพร้อมการเปิดภาคเรียนใหม่ การประชุมในวันนี้จึงเกิดขึ้น จากการผนึกกำลังร่วมกันของหน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทุกสังกัด ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) รวมถึงภาคีสำคัญ คือ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อให้ผู้บริหารการศึกษาทุกสังกัด ทุกระดับ ได้รับทราบนโยบาย ทิศทาง เป้าหมายการขับเคลื่อนการศึกษาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูง เพื่อให้การดำเนินงานด้านการจัดการศึกษาในภาคเรียนใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งติดตามความพร้อมของสถานศึกษาในทุกมิติ อาทิ ด้านความปลอดภัย หลักสูตร บุคลากร และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศ โดยมีวาระสำคัญสำหรับปีการศึกษา 2568 คือ “เรียนดี มีความสุข : กลับมาเรียนอย่างมั่นใจ เริ่มเทอมใหม่อย่างมีความสุข” เพื่อมุ่งสร้างโอกาสทางการศึกษา ให้ผู้เรียนทุกคน “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” อย่างยั่งยืนต่อไป

 

ใครยังไม่มีที่เรียนมาทางนี้ ห้องเรียนอาชีวะยังพอรองรับผู้เรียนสายอาชีพทั้งระดับ ปวช.และปวส.

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึก(สอศ.)หลายแห่งยังมีห้องเรียนรองรับนักเรียน นักศึกษาทั้งในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ซึ่งทุกคนมีสิทธิได้รับโอกาสทางการศึกษา และเป็นความมุ่งมั่นของ สอศ. ในการสนับสนุนนโยบาย ‘เรียนดี มีความสุข’ ของกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งหวังให้ผู้เรียนทุกคนได้มีที่เรียน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า อาชีวศึกษาเป็นสถานศึกษาสำหรับผู้เรียน และเยาวชนในการค้นพบตัวตนและพัฒนาทักษะที่ตรงกับความถนัด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสุขในการเรียนและการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะเยาวชนที่กำลังค้นหาเส้นทางชีวิตที่เหมาะสม การศึกษาสายอาชีพนอกจากความสำเร็จทางคุณวุฒิทางการศึกษาแล้ว ยังเป็นการเรียนที่บ่มเพาะ ฝึกทักษะและประสบการณ์ทางวิชาชีพที่สามารถนำไปประกอบอาชีพ ซึ่งตรงกับความต้องการในตลาดแรงงานปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังให้ผู้เรียนมีรายได้ระหว่างเรียนด้วย

ทั้งนี้ นักเรียน นักศึกษา ที่ยังไม่มีที่เรียน หรือรอเลือกสถานที่เรียนสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานศึกษาในสังกัด สอศ. ใกล้บ้าน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาขาวิชาที่เปิดรับและคุณสมบัติผู้สมัคร สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ https://admission.vec.go.th

 

เคนโด้ช่วยด้วย พาสาวหอบหลักฐานร้อง สพฐ.แฉขบวนการไม่ชอบมาพากลทางการเงินของโรงเรียนหนึ่งในโคราช

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 เมษายน 2568 ที่ สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร จาก “เพจเคนโด้ช่วยด้วย” ได้ พา นางชนานุช เข็มทอง ผู้เสียหายติดตามเรื่องร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลเรื่องการเงินของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนครราชสีมา โดยวันนี้ ทาง สพฐ.ได้รับเรื่องไว้เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ นางชนานุช เล่าว่า เมื่อ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 ช่วงเช้าได้นำเงินสดจำนวนสี่แสนกว่าบาทไปที่โรงเรียน เนื่องจากเงินของโรงเรียน โดนเบิกถอนออกไป โดยโรงเรียนได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อเบิกเงินโรงเรียนไปมาใช้ส่วนตัว แล้วเกรงกลัวความผิดจึงวางแผนยืมเงินชาวบ้านเพื่อนำกลับไปเข้าบัญชีโรงเรียน ซึ่งหนึ่งในคณะกรรมการที่โรงเรียนตั้งขึ้นมาเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของข้าพเจ้าได้มาขอความช่วยเหลือเพราะกลัวติดคุก โดยเหตุผลที่ข้าพเจ้าช่วยเหลือ เพราะต้องการเงินที่หลานยืมไปก่อนหน้าคืน เพราะเขาอ้างว่าถ้าได้เงินก้อนนี้จะคืนเงินเก่าที่เคยยืมไป แต่หลังจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ที่สัญญาว่าจะคืนเงินข้าพเจ้าก็ไม่คืน ทำให้ข้าพเจ้าเดือดร้อนอย่างหนักเพราะเงินจำนวนนี้ข้าพเจ้าไปกู้ยืมมาจากธนาคาร ธ ก ส
นางชนานุช กล่าวต่อไปว่า ได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2565 และส่งไปที่ สพฐ. ช่วงเดือนสิงหาคม 2567 แต่เรื่องยังเงียบทั้งที่ได้มีการติดตามเรื่องไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า จึงร้องเรียนไปที่ เพจเคนโด้ช่วยด้วย และ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์สมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น ให้ช่วยดำเนินการและติดตามเรื่องนี้

ใกล้ถึงเป้าหมาย สพฐ.อบรมสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านวิทย์-คณิต ก่อนลงสนามสอบพิซา

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 13/2568  ว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) รายงานการอบรมสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ระดับเขตพื้นที่ จำนวน 245 เขตพื้นที่ มีกลุ่มเป้าหมาย จำนวนทั้งสิ้น 445,624 คน ลงทะเบียนแล้วจำนวน 437,567 คน อบรมเสร็จแล้ว จำนวน 339,121 คน ส่วนการสร้างคลังข้อสอบในระดับเขตพื้นที่ เพื่อต่อยอดการอบรมการสร้างและพัฒนาข้อสอบตามแนว PISA นั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) นำเข้าข้อมูลคลังข้อสอบ ในทันภายในวันที่ 16 พฤษภาคม  เมื่อแล้วเสร็จทุกเขตพื้นที่สามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้ ตามแนวทางเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere Anytime และได้มีการเสนอตัวอย่างการจัดทำคลังข้อสอบของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)กระบี่  โดยมีการจำแนกเป็น ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ข้อสอบเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดในหลักสูตร นำไปใช้ในการเรียนได้

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมปิดเทอมใหญ่ เด็กไทย ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ เชิญชวนเด็กร่วมเล่นเกม “สนุกคิด ปิดเทอมใหญ่” โดยให้นักเรียนร่วมเล่นเกมตอบคำถาม PISA มีนักเรียนเข้าร่วมในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ 258 คน โดยจะจับฉลากนักเรียนที่ตอบถูกทุกข้อ เพื่อรับรางวัลจาก รมว.ศึกษาธิการ สัปดาห์ละ 5 รางวัล  ส่วน “กิจกรรมการเพิ่มศักยภาพโดยโรงเรียนพี่เลี้ยง” ดำเนินการในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยใน 5 จังหวัด 5 ภูมิภาค (มุกดาหาร บุรีรัมย์ ปทุมธานี เชียงราย และตรัง) โดยโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณฯ เป็นโรงเรียนพี่เลี้ยง จัดการอบรมสร้างความรู้ เทคนิคการสอน เติมเต็ม และเตรียมความพร้อมระบบการสอน ให้แก่ครูผู้สอนชั้น ม.3 และ ม.4 ของโรงเรียนเครือข่าย นอกจากนี้ได้มีการวิเคราะห์แนวทางการส่งเสริม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยสุ่มโรงเรียน 137 แห่ง วิเคราะห์จากการทดลองสอบ Pre PISA และวิเคราะห์จากผล O-NET ม.3 ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และโรงเรียนนำสู่การต่อยอด โดยจะต่อยอด นำผลการวิเคราะห์รายคน มาพัฒนาอย่างเข้ม ในภาคเรียนที่ 1/2568 ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า เวลามีจำกัดในการทำ นักเรียนยังบริหารจัดการเวลาไม่ได้, นักเรียนไม่เข้าใจคำถามบางคำถาม จึงทำข้อสอบไม่ได้, การหาตัวอักษร สัญลักษณ์ต่างๆ บนแป้นคีย์บอร์ดช้า, การเข้าออกระบบค่อนข้างติดขัด นักเรียนเสียสมาธิ, บางข้อเนื้อหาไม่สัมพันธ์กับเนื้อหาในระดับชั้น ม.2

“สภาการศึกษา(สกศ.) ได้นำเสนอแนวทางการส่งเสริมพหุปัญญาและการจัดการศึกษา สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันของประเทศสู่ระดับสากล 4 ข้อ  ได้แก่ 1. ปรับปรุงระบบการศึกษาให้ยืดหยุ่นต่อความต้องการ และศักยภาพของผู้เรียนที่หลากหลาย 2. พัฒนาระบบฐานข้อมูลเด็กที่มีความสามารถพิเศษ (Gifted and Talent) และระบบติดตามตัวเด็ก ติดตาม การพัฒนารายคน  3. พัฒนาครูสำหรับเด็ก Gifted  และ 4. ส่งเสริมให้มีระบบจับคู่งาน (Job Matching) ระหว่างเด็ก Gifted และสถานประกอบการ ให้มีงานที่เหมาะสม แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ โดยตัวอย่างนโยบายที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสิงคโปร์ โดยเริ่มต้นตั้งแต่โรงเรียนประถมศึกษา ส่งเสริมทักษะที่เป็นจุดแข็งและนักเรียนมีความสนใจ”พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวและว่า นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ยังได้รายงานว่า จะมีการออกหน่วยดูแลสุขภาพในแต่ละจังหวัด ในเดือน พฤษภาคม 2568 โดยจะมีการตรวจคัดกรองต้อกระจก, ฉัดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ด้วย

“คุรุสภา”ขับเคลื่อน Thailand Teacher Academy พัฒนาครูด้วยองค์ความรู้เฉพาะด้านอย่างมืออาชีพบนแพลตฟอร์มออนไลน์

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า จากนโยบาย “เรียนดี  มีความสุุข” ของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งสร้าง “การศึกษาเท่าเทียม” เพื่อต่อยอดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทุกระดับให้ทันสมัย ได้มาตรฐานสากลอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว ซึ่งสอดรับกับบทบาทหน้าที่ของคุรุสภาตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ที่กำหนดให้คุรุสภากำหนดนโยบายและแผนพัฒนาวิชาชีพ รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา ดังนั้นสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา โดยสถาบันคุรุพัฒนาในฐานะสถาบันวิชาการชั้นสูงของสภาวิชาชีพครูจึงได้ริเริ่มการพัฒนาครูและบุคคลากรทางการศึกษาภายใต้แนวคิดกลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือ Thailand Teacher Academy บนพื้นฐานของการเรียนรู้ร่วมกันอย่างมืออาชีพ รวมถึงการพัฒนาครูที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสอนมาเป็นผู้สร้างครูรุ่นใหม่ อย่างเป็นระบบ และวัดผลงานจากการพัฒนาผู้เรียนโดยตรง

ผศ.ดร.อมลวรรณ  กล่าวต่อไปว่า  ขณะนี้ทางคุรุสภากำลังเปิดรับสมัครกลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของครูประถมศึกษา และกลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของศึกษานิเทศก์ ดังนั้นผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา นักวิชาการและผู้สนใจทั่วไป สามารถแจ้งความจำนงสมัครเป็นสมาชิก หรือติดตามความเคลื่อนไหวการพัฒนาของกลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของวิชาชีพทางการศึกษา Thailand Teacher Academy ผ่านทางแฟนเพจเฟซบุ๊ก และสถาบันคุรุพัฒนา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา – TPDI (kurupatanaksp และเมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกแล้วจะได้ร่วมทำกิจกรรมการพัฒนาต่าง ๆ เช่น การเผยแพร่ถ่ายทอดองค์ความรู้ ผ่านวิธีการช่องทางต่างๆ และการประชุมวิชาการ ตลอดจนร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมเสนอผลงานแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้ ที่สำคัญเมื่อผู้เข้าร่วมผ่านกิจกรรมตามหลักเกณฑ์ที่คุรุสภากำหนดแล้วจะได้รับเกียรติบัตร ซึ่งสามารถนำไปต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้ด้วย

“ตั้งแต่ปี 2567 สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้จัดตั้งกลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของครูประถมศึกษา The Academy of Elementary Teacher ซึ่งมีครูประถมศึกษาร่วมเป็นสมาชิกกว่า2,000 คน รวมทั้งได้จัดตั้งกลุ่มความเชี่ยวชาญอื่น ๆ เช่น กลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของผู้บริหารสถานศึกษา มีสมาชิก  300 คน กลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอาจารย์ในสถาบันผลิตครู ซึ่งมีการนำร่อง 30 สถาบันทั่วประเทศ กลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านครูดนตรีไทย ได้มีการจัดประกวดดนตรี เพื่อแสดงความสามารถและแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้ และกลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของศึกษานิเทศก์ มีสมาชิกศึกษานิเทศก์ทั่วประเทศ 4,000 คน  และระหว่างนี้คุรุสภากำลังรวบรวมองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีของผลการดำเนินงานของกลุ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทุกกลุ่ม เพื่อนำไปไว้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของคุรุสภา และขณะนี้คุรุสภาก็กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อในอนาคตจะเปิดให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ไปด้วยกัน เพื่อสร้างกลุ่มการเรียนรู้ร่วมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  จนเกิดเป็นวัฒนธรรมการนำของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อวิชาชีพที่เป็นเลิศบนฐานของการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม ” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว.

 “ศ.ดร.องอาจ นัยพัฒน์” ผอ.สมศ.คนใหม่ ประกาศเดินหน้าดัน สมศ. เป็น”ONESQA Academy” องค์กรนวัตกรรมด้านการประกันคุณภาพ ขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568  ศ.ดร.องอาจ นัยพัฒน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. เปิดเผยวิสัยทัศน์และบทบาทของ สมศ. ต่อระบบการศึกษาไทยภายหลังเข้ารับตำแหน่ง ผอ.สมศ. คนใหม่ ว่า พร้อมขับเคลื่อนนโยบายที่มีความเป็นเลิศด้านการประเมินและการประกันคุณภาพ เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาสู่สากล เสริมสร้างชีวิตและสังคม ที่มั่นคง ปลอดภัยและยั่งยืนในโลกของครูผู้สอน การบริหารทรัพยากร และการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน ส่วนเป้าหมายระยะยาว มุ่งพัฒนาระบบ Dashboard Presentation ให้สามารถนำเสนอข้อมูลคุณภาพการศึกษาแบบ Real-time เข้าใจง่าย และใช้ในการสื่อสารเชิงนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมด้านฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อประเมินผลและสนับสนุนการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบาย โดยบทบาทของ สมศ.ในระบบการศึกษาไทย ต้องไม่ใช่เพียง “ผู้ประเมิน” แต่ต้องเป็น “กัลยาณมิตร” ที่ทำงานร่วมกับสถานศึกษา และหน่วยงานต้นสังกัดอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิดที่ว่า “การประกันคุณภาพไม่ใช่งานเฉพาะเทศกาล แต่ต้องทำทุกวัน เหมือนการดูแลบ้านของเรา” โดยยึดวงจร PDCA (Plan-Do-Check-Act) ในการขับเคลื่อนการพัฒนา และวางรากฐานวัฒนธรรมคุณภาพในสถานศึกษาทุกระดับ

ศ.ดร.องอาจ กล่าวต่อไปว่า นอกจากการขับเคลื่อนระบบการประเมินคุณภาพภายนอกแล้ว สมศ.ให้ความสำคัญกับการสร้าง “ความร่วมมือในการพัฒนา” ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยงานต้นสังกัด และองค์กรระหว่างประเทศ โดยล่าสุดได้ร่วมประชุมประสานภารกิจกับ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  พร้อมทั้งได้รายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษากว่า 5,000 แห่ง ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ สมศ. ต่อหน่วยงานต้นสังกัด โดยพบว่า คุณภาพครู ผู้สอน ส่งผลต่อผลลัพธ์ของผู้เรียน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำเสนอในรูปแบบ Dashboard เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย

“สำหรับเป้าหมายในอนาคต สมศ.จะเดินหน้าเป็น ONESQA Academy โดย สมศ.จะเน้นการประเมินเพื่อพัฒนา ภายใต้ความเป็นกัลยาณมิตร พร้อมยืนหยัดบนหลักจริยธรรมในการเผยแพร่ข้อมูล เปิดเผยข้อมูลสารสนเทศเท่าที่จำเป็นให้ผู้ปกครองชุมชนและสังคมทราบอย่างโปร่งใส และภายใต้เป้าหมายดังกล่าว สมศ. ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบ Dashboard Presentation ให้ครอบคลุม เข้าใจง่าย และแสดงผลแบบเรียลไทม์ ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างปลอดภัยและโปร่งใส เพื่อเร่งขับเคลื่อน สมศ. สู่ความเป็น ONESQA Academy อย่างเต็มรูปแบบ กล่าวคือร่วมสร้างวัฒนธรรมคุณภาพภายในสถานศึกษาให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพการศึกษาไทยอย่างแท้จริง ภายใต้ความท้าทายที่การศึกษาของไทยต้องเผชิญ ทั้งจากความแตกต่างของบริบทประเภทสถานศึกษาในเมืองและพื้นที่ห่างไกล รวมถึงการแข่งขันในระดับสากล” ศ.ดร.องอาจ กล่าว

“กฤษฎีกาไฟเขียว”ให้ใช้ชุดลำลองเพิ่มเติมชุดลูกเสือได้ แต่พิธีการใหญ่ต้องใช้ชุดลูกเสือเนตรนารี ไม่ยกเลิก

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกระแสดราม่ากระทรวงศึกษาธิการจะออกกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ .. …. เพื่อยกเลิกชุดลูกเสือ เนตรนารีว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้จะให้ยกเลิกชุดลูกเสือ เนตรนารี อย่างที่เข้าใจกัน แต่กระทรวงบอกว่า ตามกฎกระทรวงเดิมโรงเรียนมีอำนาจเลือกชุดได้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่ว่าโรงเรียนจะเลือกชุดไหนสุดท้ายก็จะถูกบังคับด้วยกิจกรรมว่าต้องใช้ชุดลูกเสือ แต่ตอนนี้จะมีการปลดล็อคว่า ไม่ว่าโรงเรียนจะเลือกชุดไหนก็ตาม ทั้งชุดลำลองหรือชุดพิธีการก็สามารถใช้ชุดนั้นทำกิจกรรมลูกเสือได้ทุกกิจกรรม ซึ่งจะเป็นการลดภาระของผู้ปกครอง และคิดว่าไม่ได้เบียดเบียนร้านค้าจนขายของไม่ได้  ส่วนอีกประเด็น คือ กรณีงานกิจกรรมที่เป็นพิธีการในส่วนกลาง เช่น การเดินสวนสนาม ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งพิธีเหล่านี้ยังจำเป็นต้องใช้ชุดลูกเสืออยู่

ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าเวลาโรงเรียนตัดสินใจใช้ชุดอะไร เช่น กิจกรรมเดินทางไกลกิจกรรมรอบกองไฟ ก็ยังใช้ชุดลูกเสืออยู่แต่กฎกระทรวงฉบับใหม่นี้จะเปิดให้เป็นไปตามความเหมาะสมตามที่โรงเรียนเลือกขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละโรงเรียนได้โฆษกศธ.กล่าว

ดร.ธนู ขวัญเดช รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (28 เม..)ตนได้เข้าไปชี้แจงเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ .. …. ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้ความเห็นชอบไปแล้ว และ ส่งไปให้กฤษฎีกาตรวจทานรายละเอียดของร่างกฎกระทรวงอีกครั้ง ซึ่ง เบื้องต้น ในกฎกระทรวงใหม่ได้เปิดโอกาสให้มีชุดลำลองขึ้นมา ซึ่งจริงๆแล้วชุดลำลองในกฎกระทรวงที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน ก็ให้ลูกเสือสำรอง เนตรนารีสำรอง หรือเด็กระดับประถมศึกษา ปีที่ 1-4 สามารถใช้ชุดลำลองได้อยู่แล้ว แต่ไม่ครอบคลุมไปถึงลูกเสือประเภทอื่นๆ คือ ลูกเสือสามัญ เนตรนารีสามัญลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ เนตรนารีสามัญรุ่นใหญ่ ลูกเสือวิสามัญ และเนตรนารีวิสามัญ ดังนั้น กฎกระทรวงฉบับใหม่ก็จะเปิดโอกาสให้มีชุดลำลองสำหรับลูกเสือ เนตรนารีทุกประเภท ให้สามารถใช้ชุดลำลองได้ด้วย ทั้งนี้ขอย้ำว่ากระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้ยกเลิกชุดลูกเสือเนตรนารี และในพิธีการใหญ่ เช่น การสวนสนามก็ต้องใช้ชุดเครื่องแบบลูกเสืออยู่ แต่การทำกิจกรรมหรือการฝึกต่างๆ ในโรงเรียนสามารถใช้ชุดลำลองได้ ซึ่ง ทางกฤษฎีกา ก็บอกว่าสามารถใช้ได้

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ยังไม่ได้มีหนังสือหรือแนวปฏิบัติใดๆไปถึงโรงเรียน ต้องรอแนวปฏิบัติที่ชัดเจนจากทางสำนักงานลูกเสือแห่งชาติก่อน แต่ที่แน่ๆ คือ กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้ยกเลิกชุดลูกเสือเนตรนารี