เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การยกระดับคุณภาพผู้บริหารการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและวิชาชีพ” ประจำปี 2568 ณ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จังหวัดปทุมธานี โดยมี ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ร่วมประชุม
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า จากการกล่าวรายงานของนายกสมาคมรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(ประเทศไทย)นับได้ว่าการประชุมสัมมนานี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการส่งเสริมสนับสนุนบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารการศึกษา และยกระดับคุณภาพการศึกษา สามารถที่จะนำไปใช้ในการยกระดับคุณภาพ การบริหารจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและวิชาชีพ รวมถึงการบริหารงาน ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งสมาคมรองผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ประเทศไทย) เป็นองค์กรวิชาชีพ ผู้บริหารการศึกษา ที่ทำหน้าที่ในการประสาน ส่งเสริมและสนับสนุน การยกระดับคุณภาพการศึกษา ที่มีความมุ่งมั่นและผลักดัน การสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการบริหารจัดการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนทุกช่วงวัย ได้รับการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งในด้านโอกาส ความเท่าเทียม ความเสมอภาค คุณภาพและสมรรถนะที่สำคัญจำเป็น โดยเน้นให้ผู้เรียน “เรียนดี มีความสุข” ภายใต้หลักการ “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน”
“บุคลากรที่มีความสำคัญ ในการขับเคลื่อนจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพนั้นคือ รองผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่รวมพลังการขับเคลื่อน ทั้งระดับผู้บริหารหน่วยงาน ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาทุกระดับ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และจุดเน้น ของกระทรวงศึกษาธิการ ผมหวังว่า ความรู้ ประสบการณ์ จากการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ จะเพิ่มพูนองค์ความรู้ในการบริหารการศึกษา และส่งเสริมสมรรถนะในการบริหารจัดการยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนได้นำข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งทางด้านวิชาการ ด้านวิชาชีพไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด สามารถนำไปพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศตามตัวชี้วัดการปฏิบัติงานของผู้บริหารการศึกษาต่อไป“รมช.ศึกษาธิการกล่าวและว่า ขอฝากรองผอ.สพท. และผู้บริหารระดับสูงทุกท่านช่วยกันดูแลในเรื่องของยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา โดยร่วมกันทำให้สถานศึกษาเป็นสถานที่ปลอดยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้า ขอให้ทุกท่านช่วยกันสอดส่องดูแลอย่าให้บุคลากรทางการศึกษาหรือลูกๆนักเรียนของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาดด้วย



นายธนกฤต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ควรมีการวิเคราะห์ผลกระทบ โดย สพฐ.จะต้องมีการศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละข้อจะส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรต่อคุณภาพผู้เรียน และความพร้อมของครูจะต้องมีการอบรมครูทุกสังกัดก่อน ตรงนี้เราพร้อมหรือยัง รวมถึงโครงสร้างงบประมาณของรัฐ ขณะเดียวกันจะต้องมีการนำร่องก่อนใช้จริงทั่วประเทศ ควรทดลองใช้หลักสูตรใหม่ในบางพื้นที่ก่อน เพื่อวัดผล ปรับปรุง และวิเคราะห์ความพร้อมก่อนประกาศใช้ในวงกว้าง ทั้งนี้จะต้องอิงข้อมูลการวิจัยและมาตรฐานสากลหลักสูตรควรอ้างอิงแนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ The Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ยูเนสโก และประเทศที่มีระบบการศึกษาดี เช่น ประเทศฟินแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และที่สำคัญต้องเตรียมระบบสนับสนุนก่อนประกาศใช้ ซึ่งครูต้องได้รับการอบรมล่วงหน้าด้วย
“โดยหลักการการจะเปลี่ยนแปลงหลักสูตร จะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมพิจารณาหลักสูตร ไม่ใช่ปล่อยให้ข้าราชการบางส่วน และนักวิชาการไม่กี่คนทำ จะต้องมีประชาชนอย่างน้อย 50% ร่วมพิจารณาทำหลักสูตร ที่สำคัญต้องเปิดให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพเข้ามาร่วมแสดงความเห็น เพื่อร่วมวางอนาคตของประเทศ และในการปรับปรุงหลักสูตรต้องมีการทำทุก 10 ปี โดยต้องมีการประเมินและปรับปรุง ที่สำคัญคือต้องมีประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความเห็นจากทั้งนักเรียน ผู้ปกครองและประชาชนหลากหลายอาชีพ ต้องมีการอบรมครู ต้องมีการนำร่อง แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการดำเนินการเลย และจากที่ครูซึ่งเข้ามาร่วมร้องเรียนบอกว่า หลักสูตรใหม่ขาดเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ก็อยากให้นำเรื่องนี้กลับมา”นายธนกฤต กล่าวและว่า ส่วนเรื่องแท็บเล็ต ได้มีการยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) แล้ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า จะดำเนินการแบบเช่าซื้อ ดังนั้นก็อยากให้ช่วยกันตรวจสอบการดำเนินการด้วย เพราะเป็นเงินของแผ่นดิน
ด้าน นางสุรีย์ เนตระนะ ผู้ปกครอง นักเรียน วัดสังเวช กทม. กล่าวว่า อยากให้ใช้หลักสูตรเก่าต่อไป อยากให้ลูกเรียนกับครู เพราะทุกวันนี้เวลาอยู่บ้านลูกก็ติดมือถือมากอยู่แล้ว ถ้าไปโรงเรียนก็จะให้ใช้แท็บเล็ต ซึ่งครูอาจจะไม่ได้เฝ้าดูเด็กตลอดเวลา เด็กก็จะกดไปอย่างอื่นได้ กลัวว่าจะควบคุมไม่ได้ อยู่บ้านก็คุมยากอยู่แล้ว เชื่อว่า หลักสูตรเก่าน่าจะดูแลเด็ก ๆได้ดีกว่า และ ครูจะได้ใกล้ชิดเด็กมากกว่าด้วย เด็กบางคนอยู่ ม.2 แล้วยังอ่านหนังสือไม่ได้เลย ทีนี้ยิ่งแท็บเล็ตมายิ่งไปกันใหญ่หรือ ถ้าถามว่าเรากลัวไปก่อนรึเปล่า มันก็ต้องกลัว เพราะพอเราเปิดกว้างเด็กก็ยิ่งไปกันใหญ่ กลัวว่าจะเด็กติดโซเชียลมากขึ้นไปอีก




รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)กรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจ คณาจารย์และนักศึกษาระดับปริญญาตรี ของมทร.กรุงเทพได้ร่วมกันจัดโครงการ “Power of Leadership ผู้นำเข้มแข็ง สร้างคน สร้างองค์กร สร้างประเทศ” ซึ่งในงานได้เชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 มาบรรยายในหัวข้อ “Power of leadership” ผู้นำเข้มแข็ง สร้างคน สร้างองค์กร สร้างประเทศ” พร้อมฝึกปฏิบัติในหัวข้อ“ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์: การคิดเชิงออกแบบ(Design Thinking for Leadership)” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดี มทร.กรุงเทพ รศ.ดร.สายชล ชุดเจือจีน ผศ.ชัยศักดิ์ คล้ายแดง รองอธิการบดี มทร.กรุงเทพและผศ.ดร.กิตติพงษ์ โสภณธรรมภาณ คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มทร.กรุงเทพ นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ในด้านการเป็นผู้นำองค์กรและพัฒนาศักยภาพของบุคคล ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
รศ.ดร.พิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำในยุคปัจจุบัน และพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำให้แก่อาจารย์และนักศึกษา โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง การแลกเปลี่ยนมุมมอง และกิจกรรมเชิงปฏิบัติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตการเรียน การสอน และการทำงานในอนาคต ที่สำคัญโครงการนี้มุ่งหวังให้อาจารย์เป็นผู้นำทางวิชาการและจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้ ส่วนตัวนักศึกษาเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สามารถขับเคลื่อนชุมชน องค์กร และประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างมีคุณธรรม มีจริยธรรม และมีจิตสาธารณะ เป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมที่ดีอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างผู้นำที่มีคุณภาพ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรและประเทศชาติไปสู่ความยั่งยืนต่อไป







