“เสมา 2” ย้ำรอง ผอ.สพท.ช่วย​คุมเข้มป้องกันบุคลากรและนักเรียนจากยาเสพติด-บุหรี่ไฟฟ้า​

เมื่อวันที่​ 9​ มิถุนายน​ 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การยกระดับคุณภาพผู้บริหารการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและวิชาชีพ” ประจำปี 2568​ ณ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จังหวัดปทุมธานี​ โดยมี​ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ร่วมประชุม

นายสุรศักดิ์​ กล่าวว่า​ จากการกล่าวรายงานของนายกสมาคมรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(ประเทศไทย)นับได้ว่าการประชุมสัมมนานี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการส่งเสริมสนับสนุนบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารการศึกษา และยกระดับคุณภาพการศึกษา สามารถที่จะนำไปใช้ในการยกระดับคุณภาพ การบริหารจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและวิชาชีพ รวมถึงการบริหารงาน​ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งสมาคมรองผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ประเทศไทย) เป็นองค์กรวิชาชีพ ผู้บริหารการศึกษา ที่ทำหน้าที่ในการประสาน ส่งเสริมและสนับสนุน การยกระดับคุณภาพการศึกษา ที่มีความมุ่งมั่นและผลักดัน การสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการบริหารจัดการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนทุกช่วงวัย ได้รับการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งในด้านโอกาส ความเท่าเทียม ความเสมอภาค คุณภาพและสมรรถนะที่สำคัญจำเป็น โดยเน้นให้ผู้เรียน “เรียนดี มีความสุข” ภายใต้หลักการ “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน”

“บุคลากรที่มีความสำคัญ ในการขับเคลื่อนจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพนั้นคือ รองผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่รวมพลังการขับเคลื่อน ทั้งระดับผู้บริหารหน่วยงาน ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาทุกระดับ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และจุดเน้น ของกระทรวงศึกษาธิการ​ ​ผมหวังว่า ความรู้ ประสบการณ์ จากการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ จะเพิ่มพูนองค์ความรู้ในการบริหารการศึกษา และส่งเสริมสมรรถนะในการบริหารจัดการยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนได้นำข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งทางด้านวิชาการ ด้านวิชาชีพไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด สามารถนำไปพัฒนาการบริหารจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศตามตัวชี้วัดการปฏิบัติงานของผู้บริหารการศึกษาต่อไป​“รมช.ศึกษาธิการกล่าวและว่า ขอฝากรองผอ.สพท. และผู้บริหารระดับสูงทุกท่านช่วยกันดูแลในเรื่องของยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา​ โดยร่วมกันทำให้สถานศึกษาเป็นสถานที่ปลอดยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้า ขอให้ทุกท่านช่วยกันสอดส่องดูแลอย่าให้บุคลากรทางการศึกษาหรือลูกๆนักเรียนของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาดด้วย

ผู้ปกครอง-นักเรียน บุก”ศธ”ไม่เอาหลักสูตรใหม่-ไม่เอาแท็บเล็ต-ขาดวิชาคุณธรรม-จริยธรรม-ไร้เวทีฟังความเห็น-อบรมครู

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2568 เมื่อเวลา 09.30 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ปกครองและนักเรียน ได้ เดินทางยื่นหนังสือถึงว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) “ขอคัดค้านการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2568”นำโดย นายธนกฤต ศรีบุญเอียด ประธานกรรมการเครือข่ายตาสรรค์ สำนักความปลอดภัยและร้องทุกข์เพื่อการสอบสวน โดยมีตัวแทนจากสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)รับเรื่อง โดยนายธนกฤต กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง นักเรียน และครูถึงการปรับหลักสูตรใหม่ เนื่องจากการปรับหลักสูตรใหม่นั้นยังขาดเรื่องวิชาคุณธรรมและจริยธรรม อยากให้มีการคงหลักสูตร 8 กลุ่มสาระวิชาการเรียนรู้เอาไว้ แต่ถ้าต้องการปรับเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ก็ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ จะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากครู นักเรียน และผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และภาคธุรกิจหลากหลายสายอาชีพอย่างทั่วถึง ใช้เวทีทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ เวิร์กช็อป และฟังเสียงจากโรงเรียนทุกประเภทด้วย

นายธนกฤต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ควรมีการวิเคราะห์ผลกระทบ โดย สพฐ.จะต้องมีการศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละข้อจะส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรต่อคุณภาพผู้เรียน และความพร้อมของครูจะต้องมีการอบรมครูทุกสังกัดก่อน ตรงนี้เราพร้อมหรือยัง รวมถึงโครงสร้างงบประมาณของรัฐ ขณะเดียวกันจะต้องมีการนำร่องก่อนใช้จริงทั่วประเทศ ควรทดลองใช้หลักสูตรใหม่ในบางพื้นที่ก่อน เพื่อวัดผล ปรับปรุง และวิเคราะห์ความพร้อมก่อนประกาศใช้ในวงกว้าง ทั้งนี้จะต้องอิงข้อมูลการวิจัยและมาตรฐานสากลหลักสูตรควรอ้างอิงแนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ The Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ยูเนสโก และประเทศที่มีระบบการศึกษาดี เช่น ประเทศฟินแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และที่สำคัญต้องเตรียมระบบสนับสนุนก่อนประกาศใช้ ซึ่งครูต้องได้รับการอบรมล่วงหน้าด้วย

“โดยหลักการการจะเปลี่ยนแปลงหลักสูตร จะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมพิจารณาหลักสูตร ไม่ใช่ปล่อยให้ข้าราชการบางส่วน และนักวิชาการไม่กี่คนทำ จะต้องมีประชาชนอย่างน้อย 50% ร่วมพิจารณาทำหลักสูตร ที่สำคัญต้องเปิดให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพเข้ามาร่วมแสดงความเห็น เพื่อร่วมวางอนาคตของประเทศ  และในการปรับปรุงหลักสูตรต้องมีการทำทุก 10  ปี โดยต้องมีการประเมินและปรับปรุง ที่สำคัญคือต้องมีประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความเห็นจากทั้งนักเรียน ผู้ปกครองและประชาชนหลากหลายอาชีพ  ต้องมีการอบรมครู ต้องมีการนำร่อง แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการดำเนินการเลย และจากที่ครูซึ่งเข้ามาร่วมร้องเรียนบอกว่า หลักสูตรใหม่ขาดเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ก็อยากให้นำเรื่องนี้กลับมา”นายธนกฤต กล่าวและว่า ส่วนเรื่องแท็บเล็ต ได้มีการยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) แล้ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า จะดำเนินการแบบเช่าซื้อ ดังนั้นก็อยากให้ช่วยกันตรวจสอบการดำเนินการด้วย เพราะเป็นเงินของแผ่นดิน

ด้าน นางสุรีย์ เนตระนะ ผู้ปกครอง นักเรียน วัดสังเวช กทม. กล่าวว่า อยากให้ใช้หลักสูตรเก่าต่อไป  อยากให้ลูกเรียนกับครู เพราะทุกวันนี้เวลาอยู่บ้านลูกก็ติดมือถือมากอยู่แล้ว ถ้าไปโรงเรียนก็จะให้ใช้แท็บเล็ต ซึ่งครูอาจจะไม่ได้เฝ้าดูเด็กตลอดเวลา เด็กก็จะกดไปอย่างอื่นได้ กลัวว่าจะควบคุมไม่ได้ อยู่บ้านก็คุมยากอยู่แล้ว เชื่อว่า หลักสูตรเก่าน่าจะดูแลเด็ก ๆได้ดีกว่า และ ครูจะได้ใกล้ชิดเด็กมากกว่าด้วย เด็กบางคนอยู่ ม.2 แล้วยังอ่านหนังสือไม่ได้เลย ทีนี้ยิ่งแท็บเล็ตมายิ่งไปกันใหญ่หรือ ถ้าถามว่าเรากลัวไปก่อนรึเปล่า มันก็ต้องกลัว เพราะพอเราเปิดกว้างเด็กก็ยิ่งไปกันใหญ่ กลัวว่าจะเด็กติดโซเชียลมากขึ้นไปอีก

โปรดเกล้าฯ”ธนู”นั่ง เลขาธิการ ก.ค.ศ.”ปรีดี”รองปลัดศธ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ได้มีประกาศสำนักงานนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายธนู ขวัญเดช พ้นจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)
2. นายปรีดี ภูสีน้ำ พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ผู้สนองพระบรมราชโองการ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ศธ.ขอแปรญัตติ3โครงการตกหล่น ไม่ขอเพิ่มงบฯ-เดินหน้าประกาศเช่าซื้อแท็บเล็ต-โน๊ตบุ๊ค พร้อมปรับปรุงจัดพิมพ์หนังสือองค์การค้าฯรูปแบบใหม่

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ(พิเศษ)เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่ผ่านมา งบประมาณที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ได้รับการจัดสรรจำนวน สามแสนห้าหมื่นบาทเศษ(355,108.4775)ต้องมีการนำไปเสนอถึงสาเหตุความจำเป็น ซึ่ง ศธ.คงไม่ทำคำขอแปรญัตติเพิ่ม แต่จะขอแค่โครงการที่ตกหล่นตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่ออกมาหลังคำของบประมาณเข้าเล่มไปแล้ว ซึ่งงบฯดังกล่าว ศธ.จะต้องของบประมาณมาขับเคลื่อนต่อไป เช่น เงินอุดหนุนรายบุคคลในส่วนของเงินสมทบเป็นเงินเดือนครู ของ สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)  เงินอุดหนุน เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้สอนในศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา)และ แผนส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม”ซึ่งจะต้องมีงบประมาณมาดำเนินการเพื่อพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ ต่อไป

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ ทุกเวลา Anywhere Anytime”ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ตอนนี้อยู่ในช่วงการเชิญชวนบริษัทเข้ามาจัดซื้อจัดจ้าง โดยวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์(e-bidding)ซึ่งจะมีการเสนอประกวดราคาประมาณต้นเดือนกรกฎาคมนี้  ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวเราจะต้องได้ของที่มีคุณภาพสูง เพราะเด็กจะต้องใช้ถึง 5 ปี ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนการจัดพิมพ์หนังสือเรียนองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)นั้นคงต้องปรับรูปแบบใหม่ ซึ่งประเด็นที่สมาชิกสภาผู้ราษฎรอภิปรายก็มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าเรื่องที่มีปัญหามากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างพิมพ์หนังสือ ดังนั้นเราก็ต้องมาปรับรูปแบบบริหารจัดการใหม่ ให้ถูกต้อง โปร่งใส

อดีตข้าราชการครู สุดทน ลุกขึ้นสะท้อนต้นตอปัญหาการศึกษาไทย

นายสานิตย์ พลศรี นายกสมาคมครูชนบทจังหวัดชัยภูมิ  ฐานะอดีตข้าราชการครู จังหวัดชัยภูมิ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กล่าวถึง ปัญหาคุณภาพด้านการศึกษาประเทศไทยตกต่ำมาโดยตลอด ว่า เกิดจากสาเหตุคือความจริงที่ทุกคนไม่ยอมรับ ผมขอพูดในฐานะอดีตข้าราชการผู้ใหญ่ในกระทรวงและเครดิตแก่อดีตข้าราชการผู้ใหญ่ ชัยภูมิ

1) คนเป็นรัฐมนตรีไม่มีความรู้เรื่องการศึกษา

2) ผู้บริหารการศึกษา นักวิชาการไม่มีอิสระในการทำงาน

3) ไม่ยึดรัฐธรรมนูญ ไม่ยึดพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ไม่ยึดแผนปฏิรูปประเทศและไม่ยึดแผนการศึกษาชาติ

4) ไม่ยึดหลักสูตรอิงมาตรฐานในศตวรรษที่ 21 พุทธศักราช 2551และฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560

5) ไม่เคยมีการประเมินหลักสูตร ไม่เคยทำการวิจัยหลักสูตรการศึกษา จะรู้ได้อย่างไรว่าหลักสูตรมีปัญหาตรงไหนหรือมีปัญหาที่ผู้ใช้ในการจัดการเรียนการสอนยังไม่ดีพอ

6) ทำการศึกษาเป็นเรื่องธุรกิจการศึกษา(ตามที่นักการเมืองอภิปรายในสภาเมื่อวันอภิปรายการจัดสรรงบประมาณของประเทศ)

7) สวนกระแสโลก สวนกระแสประเทศที่พัฒนาแล้วและสวนกระแสทางสังคมโลกในการใช้สื่อการศึกษา

8) กรรมการในบอร์ด กพฐ.หรือ กอศไม่มีความรู้เรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐาน และอาชีวศึกษา เพราะกรรมการ ส่วนใหญ่มาจากการอุดมศึกษา มาจากเอกชน หรืออดีตเจ้านาย จึงไม่มีความรู้เรื่องการศึกษาดีพอ จะเห็นได้จากการจัดการศึกษาในระดับการอุดมศึกษาก็ยังใช้วิธีการในการสอนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังสอนแบบPassive learning เหมือนเดิม แต่กระทรวงศึกษาธิการกลับยึดตามกรรมการ กพฐ กอศ แล้วมันจะได้อะไร

9) การจัดสรรงบประมาณในการซื้อหนังสือแบบเรียน รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการไม่เคยทำการสำรวจว่าเพียงพอหรือไม่ จัดสรรงบประมาณก็ไม่เพียงพอ จึงขัดต่อการศึกษาของรัฐคือเรียนฟรี 15 ปี หากมีการฟ้องร้องในเรื่องนี้คนที่ได้รับผลกระทบคือผู้บริหารโรงเรียน

10) ระบบราชการและกระทรวงศึกษาธิการยังให้ความสำคัญต่องานวิชาการด้านการศึกษาน้อยมาก แต่กลับให้ความสำคัญการบริหารงานบุคคลมากกว่างานวิชาการ จึงทำให้เกิดการวิ่งเต้นในการแสวงหาตำแหน่งมากว่า แม้แต่การสรรหาผอ.เขตพื้นที่การศึกษาในปี 2565 ยังลดหลักเกณฑ์ของคะแนน ภาค ก.(ภาคความรู้ลงจากร้อยละ 60 ลงมาเป็นร้อยละ 50) กลับไปเพิ่มคะแนนในภาค ข.และภาค ค. เช่นเดียวกับการสรรหา ผอ อาชีวศึกษา จึงทำให้ผู้ที่ได้คะแนนในภาค ข. ภาค คือสูงได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง แบบไม่มีความโปร่งใสเพราะประกาศผลสอบถึง 2 ครั้ง ของการคัดเลือก ผอ เขต โดยอ้างว่าประมวลผลคะแนนผิด โยนความผิดให้มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งรับผิดไป คนที่สอบได้คะแนนภาคความรู้เกินร้อยละ 70-80 กลับไม่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเพราะไม่มีเส้นสายหรือโง่แต่สอบเก่ง เช่นเดียวกับการสอบ ผอ อาชีวศึกษา

11) กระทรวงศึกษาธิการใช้หลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งประธานอ.ก.ค.ศ..เขตพื้นที่การศึกษาที่ใช้ตำแหน่งวิทยฐานะเชี่ยวชาญเป็นประธานอ.ก.ค.ศ.(กระทรวงศึกษาคงคิดและเข้าใจว่าคนมีตำแหน่งเชี่ยวชาญทุกคนเป็นคนดีมีความรู้ มีความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โกง ไม่กิน เป็นอย่างนั้นไป)

12) รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณเพื่อเช่าซื้อสื่อดิจิตอล(แท็บเล็ต โน้ทบุ๊คและไอแพด)จำนวน 2,900 ล้านบาทเศษ โดยไม่คำนึงถึงปัญหาในการใช้ลื่อดิจิตอล ไม่สนใจกระแสโลก ในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นในประเทศอเมริกา ประเทศในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย ได้ออกกฎหมายคุ้มครองห้ามเด็กนักเรียนใช้สื่อดิจิตอลในโรงเรียนเพราะจะทำให้รบกวนสมาธิในการเรียน ทำให้เด็กนักเรียนสมาธิสั้น ติดเกมส์ ติดสื่อลามก มีความเสี่ยงและอันตรายยิ่งกว่ายาเสพติดด้วยซ้ำไป และในประเทศแถบเอเชียก็เช่นเดียวกัน แม้แต่ประเทศจีนยังจัดหลักสูตรให้ครูได้ทำการศึกษาเพื่อให้ครูสามารถนำไปใช้สอนAIหรือปัญญาประดิษฐ์ได้

เพราะไม่ต้องการให้เด็กนักเรียนตกเป็นทาสสื่อคอมพิวเตอร์ ประเทศไทยจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนเพราะสังคมก้มหน้าจะระบาดไปทั่วหัวระแหง ด้วยสาเหตุนี้นี่เองที่ทำให้การศึกษาของประเทศไทยตกไปอยู่ลำดับที่ 107 ของโลกตามข้อมูลขององค์กรการศึกษาโลกได้ทำการสำรวจและได้ประกาศอย่างเป็นทางการ เราจึงรู้ว่าการศึกษาไทยแพ้แม้กระทั่งประเทศลาว เราชนะเพียงประเทศเมียนมาและประเทศกัมพูชาเท่านั้น

นี่คือความล้มเหลวของการจัดการศึกษาที่ตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อ สาเหตุเกิดจากสิ่งเหล่านี้ นี่เอง

เครดิต สานิตย์ พลศรี : ชัยภูมิ

(ในสายตาของผู้เขียนที่เป็นอดีตข้าราชการครู จังหวัดชัยภูมิ สังกัด สพฐ.)

มทร.กรุงเทพ ดึง ”อภิสิทธิ์“ โชว์ภาวะผู้นำ “Power of leadership” สร้างบุคลากรเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)กรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจ คณาจารย์และนักศึกษาระดับปริญญาตรี ของมทร.กรุงเทพได้ร่วมกันจัดโครงการ “Power of Leadership ผู้นำเข้มแข็ง สร้างคน สร้างองค์กร สร้างประเทศ” ซึ่งในงานได้เชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 มาบรรยายในหัวข้อ “Power of leadership” ผู้นำเข้มแข็ง สร้างคน สร้างองค์กร สร้างประเทศ” พร้อมฝึกปฏิบัติในหัวข้อ“ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์: การคิดเชิงออกแบบ(Design Thinking for Leadership)” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดี มทร.กรุงเทพ รศ.ดร.สายชล ชุดเจือจีน ผศ.ชัยศักดิ์ คล้ายแดง รองอธิการบดี มทร.กรุงเทพและผศ.ดร.กิตติพงษ์ โสภณธรรมภาณ คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มทร.กรุงเทพ นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ในด้านการเป็นผู้นำองค์กรและพัฒนาศักยภาพของบุคคล ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

รศ.ดร.พิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำในยุคปัจจุบัน และพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำให้แก่อาจารย์และนักศึกษา โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง การแลกเปลี่ยนมุมมอง และกิจกรรมเชิงปฏิบัติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตการเรียน การสอน และการทำงานในอนาคต ที่สำคัญโครงการนี้มุ่งหวังให้อาจารย์เป็นผู้นำทางวิชาการและจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้ ส่วนตัวนักศึกษาเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สามารถขับเคลื่อนชุมชน องค์กร และประเทศชาติให้ก้าวหน้าอย่างมีคุณธรรม มีจริยธรรม และมีจิตสาธารณะ เป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมที่ดีอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างผู้นำที่มีคุณภาพ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรและประเทศชาติไปสู่ความยั่งยืนต่อไป

สส.พรรคประชาชนอภิปรายเดือดแฉองค์การค้าสกสค.เป็นนายหน้าค้ากำไรทำให้รัฐสูญเสียงบฯกว่าพันล้านบาท-กีดกันคู่แข่งรายใหม่ จี้ “เพิ่มพูน”ฟัน

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. เวลา 11.10 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ ซึ่งมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วันที่ 3 โดย นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายประเด็นงบประมาณจัดซื้อหนังสือเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)กระทรวงศึกษาธิการ โดยตั้งหัวข้อว่า “งบปลวก กินหนังสือ” ทั้งนี้ นายธีรัจชัย กล่าวว่า การศึกษาถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงให้ความสำคัญอุดหนุนงบประมาณอย่างมากเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษา และอีกด้านหนึ่งที่รัฐให้ความสำคัญมากก็คือหนังสือเรียน ซึ่งแต่ละปีมีการตั้งงบประมาณซื้อหนังสือให้โรงเรียนในสังกัดปีละ 9,000 ล้านบาท หากนับเฉพาะโรงเรียนในสังกัด สพฐ.พบว่างบประมาณสำหรับการซื้อหนังสือมีจำนวนปีละกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2569 ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 5,057 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหนังสือเรียนจากสำนักพิมพ์เอกชน 3,000 ล้านบาท และหนังสือเรียนฉบับกระทรวงศึกษาธิการ 2,000 ล้านบาท โดยการพิมพ์หนังสือสังกัดสพฐ. มีส่วนต่างค่าจ้างพิมพ์กับหนังสือที่ขาย โดยองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(องค์การของสกสค.)จะมีส่วนต่างจากการพิมพ์ 1,000 ล้านบาท ต่อปี ซึ่งเงินในจำนวนนี้คุ้มหรือไม่ ซึ่งก็หมายความว่าองค์การค้าฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท จากส่วนเกินในการขายหนังสือ แต่ถ้ามองในแง่งบประมาณของรัฐ คือรัฐจะต้องจ่ายเงินค่าหนังสือเรียนจากภาษีของประชาชนแพงขึ้น 1,000 ล้านบาท แล้วท่านประธานมีข้อสงสัยหรือไม่ว่าหนังสือแพง มันแพงได้อย่างไร ส่วนเกินจากการขายหนังสือ 1,000 ล้านบาท มีปัญหาอะไรบ้าง และเป็นงบประมาณปลวกกินหนังสือได้อย่างไร

นายธีรัจชัย กล่าวต่อไปว่า ที่จริงแล้วต้นทุนที่ให้องค์การค้าฯ เป็นตัวกลางการบริหารจัดการจัดทำหนังสือ ที่มีส่วนเกินปีละ 1,000 ล้านบาท มาจากการขายหนังสือราคาปก แต่รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย เหลือ 247 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่าองค์การค้าฯ เป็นนายหน้าค้ากำไร ไม่ได้ขายหรือส่งหนังสือเอง เพราะให้ตัวแทนจำหน่าย 12 ราย ขายหนังสือแทน และยังทำส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายสูงถึง 18-30 เปอร์เซ็นต์ของราคาปก หรือราคายอดขายอยู่ที่ปีละ 360-600 ล้านบาท  ตนจึงขอถามเหตุผลความจำเป็นที่ต้องตั้งส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายสูงขนาดนี้ องค์การค้าของสกสค.ทำเพื่ออะไร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นประธานบอร์ดสกสค.ปล่อยให้ทำไปเพื่ออะไร ถ้าเปลี่ยนให้สพฐ.หรือสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จ้างพิมพ์เองแล้วให้ตัวแทนจำหน่ายขายแทนก็ได้ ไม่ต้องเสียค่าบริหารแบบที่องค์การค้าฯทำอยู่ ไม่ดีกว่าหรือ

นอกจากนี้ นายธีรัจชัย ยังกล่าวอีกว่า อยากถามว่าการประกวดราคาจัดพิมพ์หนังสือเรียนมีปลวกกินได้อย่างไร องค์การค้าฯ มีการกำหนดทีโออาร์ กีดกันไม่ให้คู่แข่งรายใหม่เข้าแข่งขันกับเจ้าประจำ ที่ได้งานมานานหลาย 10 ปี ผ่านการฮั้วราคาล็อกสเปค ให้เจ้าเดิมเป็นเสือนอนกินมาตลอด คนที่ต้องแบกรับคือรัฐบาล ซึ่งเป็นงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ซื้อหนังสือเรียนแพงกว่าที่ควรจะเป็น และไม่มีคุณภาพ ซึ่งท่านรัฐมนตรีก็รู้ดี และเรื่องการควบคุมคุณภาพปกหนังสือ ซึ่งองค์การค้าฯ แยกพิมพ์ระหว่างตัวหนังสือกับปกหนังสือ ซึ่งทำให้เกิดปัญหากับโรงพิมพ์ กรณีหากส่งไม่ครบ จะถูกนำไปอ้างเรื่องส่งหนังสือทัน ไม่ครบตามสัญญา เรื่องนี้โรงพิมพ์คู่พิพาทก็เคยส่งจดหมายร้องเรียนไปยัง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่จนถึงวันนี้ ก็ไม่มีการจัดการใดๆ โรงพิมพ์เหล่านี้ที่ยังคงรับงานเหมือนเดิม จึงขอถามว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอยู่เฉยได้อย่างไร ถ้าท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองและจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

”รัฐอาจประหยัดงบประมาณได้ 1,000 ล้านบาท ถ้ารัฐจ้างพิมพ์และส่งเอง ไม่ผ่านตัวกลาง ประกวดราคาจริงไม่ล็อกทีโออาร์ ผู้ชนะได้เสนอราคาสูงสุดและราคาถูกลง 15 เปอร์เซ็นต์ จากราคากลาง ประหยัดได้ 150 ล้านบาท กำหนดราคากลางลดลงตามราคากระดาษที่ลดลง ประหยัดได้ 150 ล้านบาท ไม่เสียค่าโง่ปก ปีละ 40 ล้านบาท เปลี่ยนจากตัวแทนจำหน่าย เป็นจ้างพิมพ์หนังสือให้โรงเรียนเอง ประหยัดได้ 360-600 ล้านบาท ถ้าทำอย่างนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้องค์การค้าของสกสค.จัดการจ้างพิมพ์หนังสือ รัฐประหยัดเงินได้ 1,000 ล้านบาท ผมขอให้กรรมาธิการวิสามัญเสนอตัดงบตรงนี้ และขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปจัดการทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส อย่าให้ต้องอภิปรายอีกในสภาแห่งนี้”นายธีรัจชัย กล่าวทิ้งท้าย

สกร. จับมือ กรมราชทัณฑ์ เปิดโอกาสผู้ต้องขังนำผลลัพธ์การเรียนรู้มาสะสมใน Credit Bank  

นายธนากร  ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้  กล่าวว่า การส่งเสริมการเรียนรู้ ในมิติใหม่ต้องเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา อยู่ที่ไหนก็เรียนได้  Anywhere Anytime  ตามนโยบาย ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ได้พัฒนาแนวทางและวิธีการจัดการเรียนรู้ ให้มีความยืดหยุ่น ใช้เวลาเรียนลดลง สอดคล้องกับบริบทการจัดการศึกษาในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงผู้ต้องขังในเรือนจำ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายผู้ต้องขังในเรือนจำได้รับวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้น โดยเมื่อเร็วๆนี้ สกร.ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำและพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือก เพื่อการเทียบโอนเข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 พร้อมทั้งได้กำหนดแนวทางการเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาต่อเนื่องหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้ต้องขังในเรือนจำ และ ประชุมชี้แจงแนวทางการเทียบโอนหลักสูตรการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังกับรายวิชาของกรมส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาของเรือนจำ/ทัณฑสถาน และสถานศึกษาในสังกัด สกร.ได้มีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการเทียบโอนหลักสูตรและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนกลุ่มเป้าหมาย

“ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ กับ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ได้มีบันทึกความร่วมมือในการจัดการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ที่อยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ตามคำสั่งศาล ที่ด้อยหรือพลาดโอกาสการศึกษา เพื่อให้สามารถกลับตนเป็นพลเมืองที่ดีไปใช้ชีวิตอย่างสุจริตชนในสังคมหลังจากพ้นโทษและไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำอีก โดยจัดให้มีการเทียบโอนทักษะชีวิต ประสบการณ์ หรือ สิ่งที่ผู้ต้องขังได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการพฤตินิสัยในด้านต่างๆ เป็นรายวิชาตามหลักสูตรของ สกร. รวมทั้งกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว สามารถนำผลการเรียน หรือ ผลลัพธ์การเรียนรู้ มาสะสมในธนาคารหน่วยกิต หรือ Credit Bank เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และการประกอบอาชีพในอนาคตต่อไปได้ ” อธิบดี สกร.กล่าว

นายธนากร กล่าวด้วยว่า ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ที่ผ่านมา มีกลุ่มเป้าหมายผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศให้ความสนใจเรียนรู้ผ่านกระบวนการพฤตินิสัยในด้านต่างๆ เป็นรายวิชาตามหลักสูตรของ สกร. จำนวนทั้งสิ้น 27,027 คน จำแนกเป็นระดับประถมศึกษา 9,895 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 9,520 คน และ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 7,612 คน และเมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่า มีผู้ต้องขังภาคเหนือ ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 2,050 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1,679 คน และ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1,276 คน ผู้ต้องขังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 1,996 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2,600 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1,761 คน ผู้ต้องขังภาคกลาง ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 1,822 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2,111 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 21,85 คน ผู้ต้องขังภาคใต้ ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 2,612 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1,969 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1,378 คน ผู้ต้องขังภาคตะวันออก ลงทะเบียนระดับประถมศึกษา 1,415 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 1,161 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1,012 คน.

 

 

 

 

 

สพฐ.ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เด็กพิเศษต้องได้รับการดูแล ต้องได้รับสิทธิ สวัสดิการ เข้าถึงการศึกษาทุกคน

วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏบนสื่อออนไลน์ กรณีคุณตาพาหลานที่เป็นเด็กพิเศษไปซื้อชุดนักเรียน และได้รับความช่วยเหลือจากทางร้านให้การสนับสนุนชุดนักเรียน นั้น ตามเจตนารมณ์ของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยและเน้นย้ำให้เด็กทุกคนเข้าถึงสวัสดิการด้านการศึกษา โดยเฉพาะเด็กพิการหรือมีภาวะบกพร่อง ต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือเป็นพิเศษตามสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง

สำหรับกรณีดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบหมายสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) ซึ่งกำกับดูแลศูนย์การศึกษาพิเศษทั่วประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เด็กนักเรียนรายดังกล่าว เป็นเด็ก LD (บกพร่องทางการเรียนรู้) และเป็นนักเรียนในโครงการการศึกษาพิเศษเรียนรวม ประเภท ความพิการทางสติปัญญา ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) แห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งได้มีการประสานการทำงานร่วมกับศูนย์การศึกษาพิเศษนครสวรรค์ ในเรื่องแผน IEP เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณเป็นประจำทุกปี รวมถึงศูนย์การศึกษาพิเศษนครสวรรค์ยังได้สนับสนุนสื่อ สิ่งอำนวยความสะดวก และการคัดกรองร่วมกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ เมื่อสอบถามกับทางผู้ปกครองซึ่งเป็นคุณตาของเด็ก พบว่ายังไม่ได้ลงทะเบียนขอรับบัตรประจำตัวคนพิการให้กับเด็ก จึงได้แนะนำและประสานกับทางศูนย์บริการคนพิการจังหวัด และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ในการพาเด็กไปขอออกบัตรประจำตัวคนพิการ เพื่อให้เด็กได้รับสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการเข้าถึงบริการด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล ด้านอาชีพ เบี้ยคนพิการ และอุปกรณ์จำเป็นสำหรับคนพิการต่างๆ เป็นต้น

“การดูแลช่วยเหลือเด็กทุกคนให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา เป็นสิ่งที่ รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด พร้อมทั้งกำชับเน้นย้ำการกำกับ ติดตาม หน่วยงานในสังกัดทุกหน่วยให้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนการศึกษาให้ครบถ้วน ถูกต้อง รวดเร็ว รวมถึงการผ่อนปรนเรื่องเครื่องแต่งกายนักเรียนตามความเหมาะสมเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ หากพบเด็กและเยาวชนที่ประสบความเดือดร้อน ต้องประสานให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว เพื่อบรรเทาทุกข์ให้กับเด็กและผู้ปกครอง อย่างเช่นกรณีดังกล่าว ถึงแม้เด็กไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. แต่ด้วยสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีพันธกิจในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนพิการหรือบกพร่องทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนสังกัดใดก็ตาม จึงได้เร่งดำเนินการประสานในส่วนที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อให้เด็กได้รับสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือจากรัฐ ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 หรือตามที่กฎหมายอื่นกำหนด เพื่อช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ ให้พวกเขามีขีดความสามารถที่พร้อมปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ตามแนวทาง ‘จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน’ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้นักเรียนทุกคน ‘เรียนดี มีความสุข’ ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการต่อไป” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

เก็บข่าวมาเล่า”วังจันทร์เกษม”ฟีเวอร์

หยอก หยอก วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 *** อุปสรรคขวากหนามในชีวิตจริงย่อมมีหนทางเอาชนะ มีเพียงสิ่งที่อยู่ในจินตนาการเท่านั้นที่ไม่อาจเอาชนะได้ *** หยอก หยอก วันนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่อง “หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน” ที่คนเขียนมีหลักการ เข้าใจการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือเปล่า ? ไม่รู้ …หยอก ก็ไม่ใช่นักวิชาการ แต่อยู่ในแวดวงการศึกษา สัมผัสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเกิน 20 คน … ตอนนี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการว่า ใครมาก็จ้องแต่จะมาปรับหลักสูตร … ปรับจนเนื้อหาสาระสำคัญ ของการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เป็นแก่นแท้ของคนไทย หายไป … ก็ไม่รู้ว่า มีอะไรในก่อไผ่ .. ล่าสุด คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือที่เรียกกันว่า “บอร์ด กพฐ.” ได้ประกาศทดลองหลักสูตรการศึกษาใหม่ ให้ใช้นำร่องในระดับปฐมวัย – ประถมศึกษาตอนต้น ในปีการศึกษา 2568 แล้วจะขยายครอบคลุมมัธยมศึกษาตอนต้น ปีการศึกษา 2569 … โดยหลักสูตรใหม่นี้ จะดึง “AI – ดิจิทัล” มาเสริมทัพ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้เด็กและเยาวชนมีสมรรถนะทัดเทียมนานาชาติ เป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 ซึ่งบอร์ด กพฐ.มีข้อสรุปร่วมกันว่า ให้มีการพัฒนาหลักสูตรใหม่ ใช้ชื่อว่า “หลักสูตรพัฒนาสมรรถนะตามช่วงวัย” เป็นการพัฒนาต่อยอดจาก (ร่าง) กรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเดิม ซึ่งเป็นกรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่ได้ยกร่างไว้ แต่ถูกสังคมโต้แย้ง เลยระงับประกาศใช้ไปก่อน แต่ครั้งนี้ กพฐ.ได้มอบหมายคณะทำงาน สพฐ. ให้นำร่างกรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเดิมดังกล่าวมาพัฒนาต่อยอดและให้นำสื่อ เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI )มาใช้ในการพัฒนาเครื่องมือ เพื่อช่วยให้ครูสามารถจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ได้..ว่างั้น *** มีคำถามกันมาเยอะมากว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) บรรลุตัวชี้วัดและบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้หรือยัง ซึ่งก็ควรต้องตอบคำถามตรงนี้ให้ได้ก่อน นะจ๊ะ… อย่างไรก็ตาม หยอก หยอก ยังแว่วมาว่า มีคนไปร้องหลายศาลแล้ว .. ทั้ง ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุด สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน รวมถึง ป.ป.ช.ได้รับเรื่องไว้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว… เอ้า…ก็รอหนังสือส่งมาให้ไปชี้แจงเลยจร้า…ว่าแต่ใครหนอ ?….เป็นคนเขียนหลักสูตร … อย่าบอกนะว่า 1 ในนั้น คือ กรรมการ กพฐ.ที่ของบฯ สพฐ.โฆษณาเพจตัวเอง..อุ๊บ ! *** ปรับโหมดอารมณ์มาที่เรื่องของความก้าวหน้าชีวิตราชการ ซึ่งเป็นธรรมดาของข้าราชการที่ต้องแสวงหาความก้าวหน้าของตัวเอง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร … นับเวลาอีกเพียง 4 เดือนนิด ๆ ผู้บริหารระดับสูงก็จะเกษียณอายุราชการ ปีนี้มีหลายคนซะด้วย และตำแหน่งสำคัญที่ต้องจับตามีอยู่ 5 ตำแหน่ง โดยเฉพาะ สพฐ. ที่เรียกว่าเกษียณเกือบยกทีม ตั้งแต่ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. นายพัฒนะ พัฒนะทวีดล และ นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. ส่วนอีก 2 ตำแหน่ง คือ นายปรีดี ภูสีน้ำ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  และนายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ซึ่งทั้ง 5 ตำแหน่งนี้ โดยเฉพาะตำแหน่งซี 11 ที่จะมานั่งเก้าอี้ เลขาธิการ กพฐ.แทนที่ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา นั้น ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองซะก่อน  หยอก หยอก วิเคราะห์เล่น ๆ ว่า จะมีแข่งกันแบบสูสี 2 คน ระหว่าง  ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กับ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา *** ถ้าการเมืองเคาะให้ รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ มานั่ง เลขาธิการ กพฐ.แรงกระเพื่อมกับตำแหน่งอื่นก็จะไม่เยอะ จะมีม้ามืดระดับ 10 จากอาชีวะไปนั่งเป็นเลขาสภาการศึกษาแทน ส่วน รองเลขาธิการ กพฐ.ที่จะมานั่งแทน  พัฒนะ พัฒนะทวีดล และ ธีร์ ภวังคนันท์ กพฐ. ถ้าว่ากันตามระบบก็ต้องเป็น ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ซึ่งเป็นลูกหม้อ และ เต็ง 1 ลูกรักตอนนี้ ก็น่าจะเป็น เสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. ที่ครั้งที่แล้วถูกกันไม่ให้สมัครเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ส่วนตำแหน่งอธิบดี สกร. ที่จะมาแทน  ธนากร ดอนเหนือ ตัวเต็งออร่ามาแรง  มี 2 คน คนหนึ่ง คือ  ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ที่ครั้งหนึ่งเคยนั่งเป็นเลขาธิการ กศน.  และอีกคน คือ  เอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดี สกร. ที่กำลังทำแต้มมาแรงเช่นกัน ทั้ง 2 คนนี้ต่างก็เป็นลูกหม้อ สกร. สำหรับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะมาแทน ปรีดี ภูสีน้ำ ก็มีเยอะทั้งมาจากศึกษาธิการภาคและผู้ตรวจราชการฯหรืออาจจะข้ามห้วยมาก็ได้ … รอบนี้น่าจะกระเพื่อมเยอะแน่นอน … รอลุ้น ๆ อย่าเพิ่งเชื่อ หยอก เด้อ เพราะคนตัดสินใจแต่งตั้งชื่อ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ 5555 ***