“เพิ่มพูน” มอบนโยบายการขับเคลื่อนงาน สกร.ปี 68 สานต่อเรียนดี มีความสุข พร้อมเชิญชวนร่วมปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศ

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในการประชุมมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ประจำปี 2568 โดยมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ พลเอก อภิชาต อุ่นอ่อน ประธานคณะทำงานฝ่ายอำนวยการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายกฤตชัย อรุณรัตน์ ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) ว่าที่ร้อยเอก วิสาร ปัญญชุณห์ รองอธิบดี สกร. นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีสกร. นายชัยพัฒน์ พันธุ์วัฒนสกุล รองอธิบดีสกร. พร้อมด้วย ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้อำนวยการกลุ่ม/ศูนย์ส่วนกลาง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 อาคารกรมส่งเสริมการเรียนรู้ นอกจากนี้ ผู้อำนวยการส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดทุกแห่ง/กรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการศูนย์หรือสถาบันการเรียนรู้เฉพาะด้าน หรือเฉพาะกิจการทุกแห่ง และผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ/เขตทุกแห่ง เข้าร่วมการประชุมผ่านระบบ Zoom Cloud Meetings

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน  กล่าวว่า ข้อสั่งการที่ได้ฝากความหวังไว้กับกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) อาทิ การสอบเทียบ (การเทียบระดับการศึกษา) และ Thailand Zero Dropout แก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะสกร. มีอยู่ทุกตำบลในการดำเนินงาน อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับผู้นำท้องถิ่นเป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้ทราบว่า เด็กคนไหนที่ไม่สามารถไปเรียนได้ ด้วยเงื่อนไขอะไร นอกจากเติมเต็มในด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว สกร.ยังเติมเต็มส่งเสริมในเรื่องของอาชีพ นอกจากนี้ยังฝากให้ทุกหน่วยงานการศึกษา และสถานศึกษาในสังกัด จัดทำพิกัด Google map เพื่อให้ทราบพิกัด หรือทราบว่า หน่วยงานการศึกษา และสถานศึกษาเราอยู่ตรงไหน พร้อมขอให้ทุกท่านร่วมขับเคลื่อนและสานต่อนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” และนโยบาย “สุขาดี มีความสุข” ต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงข้อสั่งการและแนวปฏิบัติให้แก่กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้ง 6 ประเด็นสำคัญดังนี้
1) ให้นำนโยบายด้านการศึกษาของคณะรัฐบนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาและนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม (Action Plan)
2) ให้ยึดหลักคุณธรรมจริยธรรม หลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน และดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อย่างเคร่งครัด เช่น การสอบ การบรรจุ แต่งตั้งโยกย้าย (ห้ามซื้อ-ขายตำแหน่ง) ห้ามทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุ ครุภัณฑ์ ชุดนักเรียน อาหารกลางวัน ฯลฯ
3) น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ
4) ให้ร่วมกันปลูกฝังการรักษาสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่การใช้พลังงานสะอาด
5) ส่งเสริมการอ่านและคิดวิเคราะห์อย่างเป็นกระบวนการ โดยผู้บริหารและครูต้องเป็นต้นแบบ
6) การลงพื้นที่ตรวจราชการหรือตรวจเยี่ยม ให้ดำเนินการอย่างเรียบง่าย โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องมาร่วมรับการตรวจราชการหรือตรวจเยี่ยม โดยให้มีการดำเนินการอย่างเรียบง่ายและประหยัด เช่น ไม่ต้องผูกผ้า ไม่ต้องติดป้ายต้อนรับ ไม่มีของระลึกหรือของฝากใดๆ ทั้งสิ้น

นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ ยังได้สั่งการให้ไปดำเนินการ Action Plan โดยฝากให้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด หน่วยงานการศึกษา และสถานศึกษาต่างๆ จัดทำแผน 3 ปีล่วงหน้า โดยขอให้ยึดหลักหลักการทำงาน “ ครองตน ครองคน ครองงาน ” อีกทั้งยังขอเชิญชวนให้พวกเรามาร่วมกัน “ปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศ” โดย ขอให้ทำงานด้วยความรวดเร็ว และเร่งด่วน เป้าหมายคือให้คนไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” โดยเริ่มจากพวกเราก่อน ทำอย่างไรให้ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย ประชาชนคนไทย “มีความฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” เพื่อมุ่งไปสู่ยุทธศาสตร์ชาติ คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”

“เพิ่มพูน-สุรศักดิ์” มอบนโยบาย ผอ.เขตพื้นที่ ร่วมกันปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศอย่างยั่งยืน เน้นย้ำระบบดูแลความปลอดภัย จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั่วประเทศ ครั้งที่ 1/2567 เพื่อนำนโยบายกระทรวงศึกษาธิการลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ  ร่วมมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง โดย  ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการกพฐ. และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขตทั่วประเทศ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 77 จังหวัด รวมถึงผู้อำนวยการสำนักและบุคลากรของ สพฐ. เข้าร่วมรับึฟังนโยบาย ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ ควบคู่การประชุมผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting และถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง OBEC Channel


พล.ต.อ.เพิ่มพูน  กล่าวว่า การประชุมชี้แจงนโยบายและแนวทางในการทำงานวันนี้ เน้นย้ำเรื่องการดูแลความปลอดภัยของโรงเรียนและนักเรียน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าเสียใจขึ้นอีก โดยกำชับเรื่องการป้องกันอุบัติเหตุ อุบัติภัยต่างๆ ซึ่งล่าสุดจากการส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ท่านแจ้งว่ายินดีให้ความร่วมมือในการตรวจความพร้อมของรถก่อนออกเดินทางไปทัศนศึกษาหรือทำกิจกรรมของโรงเรียน พร้อมกำชับให้กำกับดูแลความปลอดภัยในสถานศึกษาต่างๆ รวมถึงการจัดการเรียนการสอน สร้างเครือข่ายทางการศึกษา ภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” เพื่อให้การศึกษาเกิดความเท่าเทียมในทุกพื้นที่ ป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา พร้อมทั้งจัดทำแผนงาน 3 ปี ว่าใน 3 ปีข้างหน้าเราจะทำอะไรบ้าง เพื่อให้เกิดการทำงานที่ต่อเนื่อง โดยกำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายที่ชัดเจน และแจกให้ ผอ.โรงเรียนในเขตที่ตนเองรับผิดชอบทุกแห่ง เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างเป็นระบบ และได้ฝาก ผอ.เขต และผู้บริหารทุกคน ให้ยึดหลัก “ครองตน ครองคน ครองงาน” วางตนอยู่ในศีลธรรม จริยธรรมอันดี นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และร่วมกันปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ”จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน”

ด้าน นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า  ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้มาช่วยกันในเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้เมื่อสัปดาห์ก่อน และขอแสดงความเสียใจต่อเหตุที่เกิดขึ้น จึงขอเน้นย้ำเรื่องของมาตรการความปลอดภัย ต้องทำงานอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยเป็นสำคัญ มีแผนเผชิญเหตุ และการถอดบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก นอกจากนี้่ขอเน้นย้ำนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ปีที่ 2 ที่ต้องการขับเคลื่อน ใน 7 ด้าน ดังนี้
1. ความปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงปิดภาคเรียน อาจมีโรงเรียนหลายแห่งที่จัดกิจกรรมเข้าค่าย เข้าแคมป์ ขอให้กำชับ กำกับดูแลมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ดี มีการจัดทำแผนเผชิญเหตุเพื่อความปลอดภัยด้วย
2. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี เพื่อเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ และกระบวนการจัดการเรียนการสอน โดยใช้สื่อออนไลน์และไซเบอร์ อย่างสร้างสรรค์
3. สอดส่อง/เฝ้าระวังอันตราย จากบุคคลภายนอกที่อาจเข้ามาสร้างความไม่ปลอดภัยในโรงเรียน
4. สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ตั้งแต่ความร่วมมือกับผู้ปกครอง จนถึงหน่วยงานภายนอก ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อช่วยกันสอดส่อง ทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด
5.โครงการอาหารกลางวันนักเรียน ต้องบริหารจัดการให้ถูกต้อง เหมาะสมตามหลักโภชนาการ
6.พัฒนาสมรรถนะบุคลากร ให้มีความพร้อมเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
7. การบริหารงบประมาณ ที่จะดำเนินการในปี 2568 ขอให้ดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ อย่างมี
ประสิทธิภาพ และเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ ให้ทุกคนได้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐ อย่างสอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป กระทรวงศึกษาธิการพร้อมขับเคลื่อนนโยบายลงสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานทุกท่านเข้ามาช่วยกัน ผมขอเป็นกำลังใจให้ ผอ.เขต รอง ผอ.เขต และผู้บริหาร สพฐ. ทุกคน ในการบริหารการจัดการศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาของประเทศไทย ให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมในทุกพื้นที่ มีคุณภาพทัดเทียมสากล และสามารถแข่งขันได้บนเวทีโลกต่อไป” รมช.ศธ. กล่าว

“อาชีวะ”จัดทีมขยายเวลาชะล้างซ่อมสร้างอีก15วันตามคำเรียกร้องของชาวบ้านแล้ว

ตามที่ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการให้ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)ให้ขยายเวลาช่วยฟื้นฟู ชะล้าง ซ่อมสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์การเกษตรให้น้องประชาชนชาวจังหวัดเชียงรายสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด ออกไปอีก 15 วัน นั้น

เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ระหว่างวันที่ 3-7 ต.ค.2567 อาชีวศึกษาได้นำทีมฟื้นฟูพื้นที่สาธารณะจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีภาคเหนือ 11 แห่งและทีมศูนย์ซ่อมศูนย์ซ่อมสร้างอาชีวศึกษา Fix it Center ภาคเหนือ 11 แห่ง โดยตั้งศูนย์ซ่อมสร้าง ชะล้างโคลนในชุมชน ที่วัดผาสุการามและชุมชนบ้านเหมืองแดง ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากได้เกิดวิกฤตการณ์ซ้ำขึ้นมาอีก พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงสั่งการให้มีการเสริมทัพโดยให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 11 แห่งนำรถขุดแบคโฮและทีมงานมาเสริมทัพเข้ามาอีก ทั้งนี้จากการสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ขยายเวลาออกไปอีก 15 วัน ตนจึงได้มอบหมายให้วิทยาลัยต่าง ๆ ในสังกัด สอศ.ดำเนินการ โดย ระยะที่ 1 ระหว่าง วันที่ 3 – 7 ต.ค. 67 ทีม Fix it Center ที่มีสถานศึกษา จำนวน 12 แห่ง ได้ ดำเนินการไปแล้ว ทีมฟื้นฟูและช่วยเหลือฯสถานศึกษา จำนวน 11 แห่ง ก็ได้ดำเนินการแล้ว ทีมประกอบอาหาร สถานศึกษา จำนวน 4 แห่งดำเนินการแล้ว ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลาในวันนี้ ตามที่เป็นข่าวในเบื้องต้น

นายยศพล กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เราจะมีการดำเนินการในระยะที่ 2 ระหว่างวันที่ 8-12 ต.ค.2567 ณ วัดผาสุการาม บ้านไม้ลุงขน ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทีม Fix it Center จะมี  วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกเชียงราย วิทยาลัยเทคนิคสองแคว  วิทยาลัยการอาชีพเถิน วิทยาลัยการอาชีพลอง ทีมฟื้นฟูและช่วยเหลือฯ มี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชัยนาท วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีฉะเชิงเทรา วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกาญจนบุรี และวิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี ทีมประกอบอาหาร เป็นทีมวิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ระยะที่ 3 ระหว่างวันที่ 13-17 ต.ค. 2567  ทีม Fix it Center จะมี วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร วิทยาลัยการอาชีพพิชัย วิทยาลัยการอาชีพนครไทย วิทยาลัยสารพัดช่างพิษณุโลก ทีมฟื้นฟูและช่วยเหลือฯ มี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีแพร่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครสวรรค์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกำแพงเพชร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตาก วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบูรณ์ ทีมประกอบอาหาร จะเป็นทีมที่มาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง ระยะที่ 4 ระหว่างวันที่ 18 – 22 ต.ค. 67 ทีม Fix it Center จะมีวิทยาลัยเทคนิคนครสวรรค์ วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ วิทยาลัยการอาชีพเถิน วิทยาลัยการอาชีพลอง วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ ทีมฟื้นฟูและช่วยเหลือฯ มี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุทัยธานี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูน วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพิจิตร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพะเยา ทีมประกอบอาหาร จะเป็นทีมที่มาจาก วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก

“ธนุ” ลงพื้นที่ตรวจสภาพอาคารเรียนภายหลังน้ำลดที่ โรงเรียนชุมชนบ้านไม้ลุงขน มิตรภาพที่ 169 จังหวัดเชียงราย


วันที่ 6 ตุลาคม 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) พร้อมด้วย นางสาวพัชรกันย์ เมธาอัครเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักการคลังและสินทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน นางสาวิกา วงศ์ฝั้น ผู้อำนวยการกลุ่มออกแบบและก่อสร้าง สำนักอำนวยการ สพฐ. ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดเชียงราย และคณะ ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสภาพอาคารเรียนภายหลังน้ำลด เพื่อทำการประเมินความเสียหายเบื้องต้น พร้อมให้กำลังใจข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ณ โรงเรียนชุมชนบ้านไม้ลุงขน มิตรภาพที่ 169 จังหวัดเชียงราย

ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สำรวจความเสียหายของโรงเรียนพบว่า ภายในบริเวณโรงเรียนยังมีน้ำท่วมขังและมีดินโคลนอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้เกิดความเสียหายและไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนตามปกติได้ ซึ่งขณะนี้มีหลายฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันเร่งทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องรีบดำเนินการคือจัดหาสถานที่เรียนให้แก่นักเรียนและวางแผนการรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต เช่น ปรับรูปแบบอาคารเรียนเป็นแบบยกสูงเพื่อให้เหมาะกับพื้นที่และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย รวมถึงได้กำชับให้เขตพื้นที่ดูแลช่วยเหลือทางโรงเรียนอย่างเต็มกำลัง หากสำรวจพบความเสียหายเพิ่มเติมให้เสนอคำของบประมาณมายัง สพฐ. เพื่อจัดสรรงบประมาณลงไปปรับปรุงซ่อมแซม ให้สามารถกลับมาจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติโดยเร็ว

สำหรับข้อมูลความเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัยของโรงเรียนชุมชนบ้านไม้ลุงขน มิตรภาพที่ 169 ที่สำรวจได้ ณ วันที่ 10 กันยายน 2567 ประกอบด้วย อาคารเรียนแบบ 017 อาคารเรียนแบบ 017 ก อาคารเรียนแบบ 105 ล/58 (ข) ต้านแผ่นดินไหว และอาคารอเนกประสงค์/โรงอาหาร ได้รับความเสียหาย ชั้นที่ 1 ทั้งหมด ขณะที่อาคารเรียนแบบ สปช. 104/26 บ้านพักครู ห้องน้ำห้องส้วม ได้รับความเสียหายทั้งหลัง และในส่วนของแท้งค์น้ำ รั้วคอนกรีต ได้รับความเสียหายทั้งหมด

“เสมา1” ลงให้กำลังใจเด็กอาชีวะปล่อยคาราวานซ่อมสร้าง พร้อมมอบผ้ายันต์เลสเตอร์ สมเด็จเจ้าคุณธงชัย

เมื่อวันที่ 6 ต.ค.2567 ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อเวลา 8.00 น. พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เดินทางมาที่ชุมชนเหมืองแดง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจุด ฟื้นฟู และช่วยเหลือชะล้างซ่อมสร้าง เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์การเกษตรของชาวบ้านที่เกิดจากอุทกภัยน้ำท่วม เพื่อ เป็นประธาน ปล่อยขบวนคาราวาน “อาชีวะร่วมด้วยช่วยประชาชน”

โดย นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวรายงานว่า ตามนโยบายและความห่วงใยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในวิกฤตการณ์น้ำท่วมภาคเหนือโดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จึงได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)บูรณาการ กับ หน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่เข้าช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากได้เกิดวิกฤตการณ์ซ้ำขึ้นมาอีก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงสั่งการให้มีการเสริมทัพโดยให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 11 แห่งนำรถขุดแบคโฮและทีมงานมาเสริมทัพ ชะล้างโคลนในชุมชนรวมถึงนำทีมอาชีวะอาสา Fix it center ลงพื้นที่ซ่อมสร้างเพื่อช่วยซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ให้กับชาวบ้านรวมถึงสถานศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ด้วย

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กล่าวว่า ที่มาลงพื้นที่วันนี้เพื่อมาให้กำลังใจน้อง ๆ อาชีวะไม่ได้มาตรวจงาน เพราะน้อง ๆ ทำงานมา 2-3สัปดาห์แล้วตั้งแต่อำเภอเทิงมาจนมาถึงอำเภอแม่สาย การได้มาเห็นในวันนี้ก็รู้สึกดีใจที่น้อง ๆ ครูและผู้บริหารให้ความร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือประชาชน โดยการทำงานวันนี้เป็นเรื่องของการฟื้นฟูเอาดินโคลนออกจากบ้านประชาชนและสถานที่ต่างๆ จากแผนเดิมที่ตั้งใจเข้าพื้นที่วันที่ 3- 7 ตุลาคม แต่เมื่อได้เข้ามาดูการทำงานแล้วคณะกรรมการหมู่บ้านขอให้ทีมงานอยู่ต่อ ตนจึงสั่งการให้ขยายเวลาออกไปอีก 15 วัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ตนได้มอบนโยบายกับ สอศ.ว่า ให้ดูว่าในส่วนของวิทยาลัยใครเดือดร้อนน้อยขอให้ลงมาช่วยพี่น้องประชาชนก่อน เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้จะได้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ ส่วนวิทยาลัยที่ได้รับความเสียหายก็จะเข้าช่วยเหลือฟื้นฟูด้วยเช่นกันแต่ขอให้ช่วยเหลือประชาชนก่อน เพราะพี่น้องประชาชนต้องมาก่อน โดยตนได้ย้ำการทำงานภายใต้สโลแกน 3 ท. ทำดี ทำได้ ทำทันที

“ สถานการณ์น้ำในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตที่เมื่อเวลามีน้ำหลากเราก็จะเข้าช่วยดูแลซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้กับประชาชนหลังน้ำลด แต่ปัจจุบันเนื่องจากป่าไม้ไม่มี มีแต่ไร่ข้าวโพด นาขั้นบันไดก็ลดน้อยลง เวลาฝนตกก็ไม่มีอะไรช่วยชะลอน้ำ สมัยก่อนยังมีป่าไม้และมีนาขั้นบันไดที่ช่วยชะลอน้ำและเป็นเขื่อนธรรมชาติ แต่เมื่อไม่มีทั้งป่าไม้และนาขั้นบันไดเวลาฝนตกน้ำก็จะไหลลงมาทันที ซึ่งไม่ไหลลงมาเปล่าๆแต่ได้ชะดินลงมาด้วย จนทำให้เกิดเป็นวิกฤติดินโคลนอย่างที่เห็น เพราะฉะนั้นภารกิจหลักของอาชีวะอาสา Fix it center ก็ไม่ใช่แค่การซ่อมบำรุงเครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์เครื่องใช้ของชาวบ้าน แต่ต้องเพิ่มมิติการจัดการดินโคลนด้วย ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้อาชีวศึกษาไปศึกษา กระบวนการที่จะจัดการกับดินว่าจะสามารถเอาไปทำอะไรได้บ้าง เช่น นำฟางไปผสมเพื่อทำอิฐ จะได้หรือไม่ เป็นต้น” รมว.ศึกษาธิการกล่าวและว่า จริงๆแล้วมีหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชนแต่ก็ยังไม่เพียงพอยังไม่สามารถฟื้นฟูให้พี่น้องประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบปัญหาต่างๆและมอบหมายให้คณะรัฐมนตรีเข้ามาช่วยดูแลด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้พลตำรวจเอกเพิ่มพูนได้นำ ผ้ายันต์เลสเตอร์ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ สมเด็จเจ้าคุณธงชัย เจ้าคณะใหญ่หนกลางกรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ซึ่งเป็นการปลุกเสกรวมยันต์เกจิดังเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้เข้ามาปฎิบัติหน้าที่ด้วย ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวกับผู้ปฎิบัติหน้าที่ว่าขอให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง การใช้เครื่องไม้เครื่องมือเครื่องจักรต้องระมัดระวัง ต้องไม่ประมาทอย่าให้เกิดอุบัติเหตุ และได้ฝากว่า เรื่องการประพฤติปฏิบัติ  ขอให้ทำหน้าที่ให้ดี กิริยาวาจาอ่อนน้อม ต้องระมัดระวังคำพูด เพราะเป็นภาพพจน์ของชาวอาชีวศึกษา ช่วงนี้รู้สึกเสียว ๆ อย่างอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัสที่ไม่น่าเกิดก็ยังเกิด ที่สำคัญในการปฎิบัติหน้าที่ขอให้ระลึกว่าเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตอยากให้ทุ่มเทด้วยหัวใจในการทำงาน

ว่าที่ ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ตนได้รับรายงานจากจังหวัดเชียงใหม่ ว่าสถานศึกษาที่ประสบอุทกภัยที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ติดริมน้ำแม่ปิง คือ โรงเรียนเทพศิรินทร์ เชียงใหม่ สพม.เชียงใหม่ โรงเรียนกาวิละวิทยาลัย สพม.เชียงใหม่ โรงเรียนสารภีพิทยาคม สพม.เชียงใหม่ โรงเรียนวัดเสาหิน สพป.เชียงใหม่ 1  โรงเรียนวัดเมืองสาตร สพป.เชียงใหม่ 1 โรงเรียนคำเที่ยงอนุสรณ์ สพป.เชียงใหม่ 1  โรงเรียนวัดหนองป่าครั่ง  สพป.เชียงใหม่ 1 โรงเรียนบ้านท่าหลุกสันทราย สพป.เชียงใหม่ 1 โรงเรียนวัดป่าตัน สพป.เชียงใหม่ 1  โรงเรียนวัดป่าแดด  สพป.เชียงใหม่ 1  โรงเรียนบ้านเมืองกี๊ด สพป.เชียงใหม่ 2  โรงเรียนวัดบ้านเหล่า สพป.เชียงใหม่ 2 โรงเรียนบ้านผาหมอน  สพป.เชียงใหม่ 2 โรงเรียนชุมชนวัดช่องแล  สพป.เชียงใหม่ 2 โรงเรียนบ้านแม่เลา สพป.เชียงใหม่ 2  โรงเรียนบ้านรินหลวง สพป.เชียงใหม่ 3 โรงเรียนบ้านแม่สาว สพป.เชียงใหม่ 3 โรงเรียนบ้านหลวง
สพป.เชียงใหม่ 3  โรงเรียนวัดพระนอนหนองผึ้ง สพป.เชียงใหม่ 4  โรงเรียนบ้านพันตน  สพป.เชียงใหม่ 4  โรงเรียนวัดศรีโพธาราม สพป.เชียงใหม่ 4  ทั้งนี้ หลังจากน้ำลด สพฐ.จะเข้าไปสำรวจความเสียหายอีกครั้ง

ชาวบ้านปลื้ม “อาชีวะ” ลงช่วยชะล้าง-ซ่อมสร้าง หลังน้ำลด

ที่จังหวัดเชียงราย  วันที่ 5 ตุลาคม 2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) ได้ ลงพื้นที่และตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจ ทีมฟื้นฟูพื้นที่สาธารณะจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีภาคเหนือ 11 แห่งและทีมศูนย์ซ่อมศูนย์ซ่อมสร้างอาชีวศึกษา Fix it Center ภาคเหนือ 11 แห่ง โดยวันนี้ได้เข้าไปที่วัดผาสุการามและชุมชนบ้านเหมืองแดง ทั้งนี้ นายยศพล กล่าวว่า  กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้จัดกิจกรรม “อาชีวะ ร่วมด้วยช่วยประชาชน” ฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 3 – 7 ตุลาคม ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย  โดยจัดทีมอาชีวะอาสา ลงพื้นที่เพื่อดำเนินการฟื้นฟูช่วยเหลือประชาชนจุดที่วิกฤติ ที่เป็นพื้นที่ส่วนรวมก่อน ซึ่งได้เข้าพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา และในวันพรุ่งนี้จะเข้าตามตรอกซอกซอยที่ประชาชนยังเดินทางออกมาไม่ได้ โดยจะใช้รถขุด ชุดชะล้างเข้าไปช่วยเอาโคลนออกจากบ้านเรือนประชาชน ซึ่งการทำงานจะเป็นการบูรณาการร่วมกันหลายส่วนทั้งราชการ ทหาร และท้องถิ่น

“การลงพื้นที่ทำให้เห็นว่า ชาวบ้านรู้สึกชอบใจที่ทีมอาชีวะเข้ามาช่วยด้วย เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก  ทีมอาชีวะอาสา Fix it Center สามารถช่วยเหลือซ่อมบำรุง เครื่องไม้ เครื่องมือ อุปกรณ์การเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ ได้มาก ทั้งนี้เราจะอยู่ในพื้นที่ถึงวันที่ 7 ตุลาคมนี้ก่อน แล้วประเมินสถานการณ์อีกที โดยสถาบันอาชีวศึกษาภาคเหนือตอนบนได้เตรียมความพร้อมจัดทีมเพื่อเข้ามาเป็นกำลังเสริมไว้แล้ว”เลขาธิการ กอศ.กล่าว

ดร.วัชรพงศ์ ฝั้นติ๊บ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิค(วท.)เชียงใหม่ กล่าวว่า ที่จุดวัดผาสุการาม บ้านไม้ลุงขน ต.แม่สาย มีทีม จาก วท.เชียงใหม่ วท.อุตรดิตถ์ วท.พิษณุโลก วท.นครสวรรค์ วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ วิทยาลัยการอาชีพเถิน วิทยาลัยการอาชีพพิชัย มาตั้งศูนย์ซ่อมสร้าง Fix it Center โดยส่วนใหญ่ที่ประชาชนนำมาให้ซ่อมจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าหนัก ๆ ที่ยกขึ้นสูงไม่ทัน เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ปั้มน้ำ มอเตอร์ไซค์ เครื่องสูบน้ำ หม้อหุงข้าว เป็นต้น  นอกจากนี้ทางวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีหลาย ๆ แห่งก็ได้นำรถขุดมาช่วยกวาดโคลนด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อครบกำหนดวันที่ 7 ตุลาคม วิทยาลัยต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยอาจจะต้องถอนกำลังออกไปก่อน ส่วนวิทยาลัยในสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัด(อศจ.)เชียงรายจะยังคงปฏิบัติภารกิจอยู่จนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ยังมีทีมสนับสนุนเพื่อมาทำอาหารให้กับน้องๆนักศึกษาที่ออกให้บริการประชาชนในการซ่อมสร้าง โดยวิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก และวิทยาลัยการอาชีพเชียงราย โดยเฉพาะ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย รับผิดชอบเรื่องโรงครัวจัดทำอาหาร รถรับส่งผู้บริหาร และเป็นเซ็นเตอร์ประสานงาน Fix it Center ในอำเภอแม่สาย

นางกฤษณฤดี หลุยจำวัล หัวหน้างานโครงการพิเศษและการบริการชุมชน วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ทาง Fix it Center รับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่ที่ประชาชนนำมาให้ซ่อมจะเป็นมอเตอร์ไซค์ เครื่องจักรกลทางการเกษตร โดยเราจะซ่อมให้ฟรีทั้งหมด เพียงแต่ต้องนำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนเท่านั้น ซึ่งเท่าที่ซ่อมมาเกิน 90 % ต้องแกะดินโคลนออกก่อนทั้งหมดเพื่อล้างแล้วเป่าแห้ง ถึงจะตรวจซ่อมได้ ทั้งนี้อาชีวะอาสาทุกคนรู้สึกยินดีที่ได้มาส่วนช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย โดยสามารถไปได้เยอะมาก  เพราะถ้าไปจ้างร้านก็ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท

หลังจากนั้นนายยศพล ก็ได้เดินไปตรวจเยี่ยมที่จุดชุมชนเหมืองแดง อ.แม่สาย ซึ่งมี วท.เชียงราย วท.ลำพูน การอาชีพเชียงราย วท.กาญจนาภิเษกเชียงราย และวิทยาลัยการอาชีพลอง ตั้งศูนย์ ซ่อมสร้าง ซึ่งได้มีประชาชนนำเครื่องใช้ไฟฟ้า รถมอเตอร์ไซค์ ตู้เย็น ปั๊มน้ำเครื่องใช้เกษตร มาใช้บริการซ่อมล้างทำความสะอาดเป็นจำนวนมาก โดย นายทวีศักดิ์ ชาวบ้านซอยอีก้อ บ้านไม้ลุงขน กล่าวว่า ที่บ้านมี 2 ชั้น ซึ่งชั้นที่ 1 ถูกน้ำท่วมมิด เอาอะไรออกไม่ได้เลย จมโคลนหมด วันก่อนขับรถผ่านเห็นเด็ก ๆ ทำงานกันก็เลยขับรถเข้ามาถาม แล้วกลับไปขุดเครื่องใช้ไฟฟ้า   ตู้เย็นกับทีวี ที่จมอยู่ในโคลน 25 วัน ขึ้นมาให้น้อง ๆ ช่วยซ่อม ก็ขอขอบคุณอาชีวะที่มาช่วยผู้ประสบภัยที่ลำบากอยู่ในวันนี้  และได้เดินทางมาดูความเสียหายที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงรายโดยเบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีความเสียหาย ประมาณการเบื้องต้น 24 ล้านบาท

นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการการอาชีวศึกษา(กพฐ.) ได้มอบหมายให้ นางพัชรกันย์ เมธาอัครเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักคลังและทรัพย์สิน สพฐ. พร้อมด้วยตน  และน.ส.สาวิกา วงศ์ฝั้น ผู้อำนวยการกลุ่มออกแบบและก่อสร้าง สำนักอำนวยการ สพฐ. ลงพื้นที่สำรวจและจัดทำแผนการของบประมาณแบบเชิงรุก เพื่อดำเนินการทำแผนทันที ซึ่งจากการลงพื้นที่สำรวจพบว่าโรงเรียนที่หนักที่สุดคือโรงเรียน บ้านห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า ซึ่งอาคารและบ้านพักครูเสียหายหนัก ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ต้องสร้างใหม่ เท่านั้น ซึ่งเราจะต้อง รีบดำเนินการเชิงรุกตามนโยบายพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ลุ้นเขย่าเก้าอี้ ซี 11

หยอก หยอก วันที่ 4 ตุลาคม 2567 *** ความซื่อสัตย์มีราคาแพง อย่าคาดหวังมันจากคนราคาถูก *** แค่วันที่ 2 ของการทำงานในสัปดาห์นี้ก็เกิดโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงในวงการศึกษา รสบัสนำนักเรียนและครูจากโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี ออกทัศนศึกษานอกสถานที่ เกิดอุบัติเหตุบนถนนวิภาวดีรังสิต เป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้รถบัสจนมีเด็กนักเรียนและครูเสียชีวิต 23 ราย และ ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวน 3 คน … ถือเป็นเหตุการณ์ที่แสนสะเทือนใจกับการที่ชีวิตของเด็กตัวเล็กตัวน้อยและคุณครูที่ยังอยู่ในวัยสดใสต้องถูกพรากไปอย่างสลดหดหู่ ด้วยคำว่า “อุบัติเหตุ”…หลังเกิดเหตุกระแสที่ตามมา คือ การเรียกร้องให้ยกเลิกการจัดกิจกรรมทัศนศึกษา เสียงเรียกร้องนี้ดังมาก ดังจน “ลุงอุ้ม” เสมา 1 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ยิน และ  มีคำสั่งให้งดการจัดทัศนศึกษาทันทีไม่มีกำหนด ไม่จำเป็นไม่ต้องไป เด็กต่ำกว่า ป. 4 ให้ยกเลิกการเดินทางทัศนศึกษาต่างจังหวัด แต่หากโรงเรียนไหนที่มีความจำเป็นจะต้องไปทัศนศึกษาต้องดูเป็นกรณีไป แต่ต้องดูมาตรการดูแลความปลอดภัยครู นักเรียนให้ครอบคลุมในทุกมิติ ต้องมีการวางแผน และต้องให้ผู้ปกครองไปด้วย อย่าไปไกลโรงเรียน อย่าให้เด็กต้องเดินทางเหนื่อยมาก … แต่ก็ยังติ่งไว้หน่อยว่า การทัศนศึกษาก็มีความจำเป็นต่อการเรียนรู้ ถ้าหากยกเลิกทัศนศึกษาเลยก็จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็ก  …  ถึงรัฐมนตรีจะไม่สั่งงดจัดทัศนศึกษา พ่อแม่ ผู้ปกครองก็คงไม่วางใจปล่อยให้ลูกหลานเดินทางไปทัศนศึกษากันแน่แล้ว  … แต่ถ้ามองอีกมุมการงดจัดทัศนศึกษาก็เป็นการปิดกั้นโอกาสการเรียนรู้ของเด็กจริง ๆ  เพราะเด็ก ๆ จะตั้งตารอการได้ออกไปศึกษา เรียนรู้ นอกห้องเรียนในสถานที่ต่าง ๆ เพราะหากจะรอพ่อแม่ ผู้ปกครองพาไปก็คงไม่เหมือน และจะมีเด็กจำนวนไม่น้อยแน่นอนที่ไม่มีโอกาสนี้ … ต่อจากนี้หลาย ๆ โรงเรียนคงงดจัดทัศนศึกษากันไปเลยเพราะยังขยาดกับเหตุการณ์นี้อยู่ … ก็ได้แต่เสียดายแทนเด็ก ๆ ขณะเดียวกันก็เข้าใจความรู้สึกผู้ปกครองในความเป็นห่วงลูก ๆ หลาน ๆ  … *** ที่แน่ ๆ ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คนพร้อม รถพร้อม อุปกรณ์พร้อม ระบบรักษาความปลอดภัยต้องพร้อมก่อนออกเดินทาง ***โซเชียลก็อย่าดราม่าว่า “ลุงอุ้ม” กันมากเลย เพราะความตกใจ เสียใจ ประกอบกับได้รับความกดดันไม่รู้จะฟังความทางไหน การเป็น“เจ้ากระทรวงเสมา”สวมบทครูถึงแม้จะเป็นตำรวจ แต่ความรู้สึกส่วนลึกก็สามารถดันให้น้ำในตาเอ่อออกมาได้ แม้จะพยายามกลั้นแล้ว น้ำเสียงเครือ ๆ ก็ยังลอดออกมาให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น … ก็แค่ “งด” แต่ไม่ได้ “ยกเลิก”..เนาะ *** ปรับโหมดมาถึงเรื่องที่หลายคนกำลังตกใจกับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงนามโดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นั่นคือ “ระเบียบคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการมอบอำนาจให้ศึกษาธิการจังหวัดปฏิบัติราชการแทน พ.ศ.2567”  หมวดที่ 2 การมอบอำนาจให้ศึกษาธิการจังหวัดปฏิบัติราชการแทน ในเรื่องการบริหารงานบุคคล บริหารวิชาการ การบริหารทั่วไป บริหารงบประมาณและสินทรัพย์ … เรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งพากันตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูม  “หยอก หยอก” ได้สอบถามผู้รู้มาแล้ว .. ยังไม่มีอะไร ก็แค่เพื่อความชัดเจน …แต่ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องใหม่ หน่วยงานในระดับพื้นที่มีอำนาจตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ซึ่งใหญ่กว่าหนังสือมอบอำนาจ ศึกษาธิการจังหวัดก็ทำหน้าที่ตามอำนาจที่เขามีอยู่ การปฏิรูปการศึกษาหรือที่ ทั่นเสมา 1 พูดเสมอว่า ไม่ใช่ “ปฏิรูป” แต่เป็น “ปฏิวัติ” โดยครั้งนี้จะมีการมอบอำนาจส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นอำนาจของส่วนราชการระดับกระทรวง เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)สำนักงานปลัดกระทรวง (สป.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)เป็นต้น ไปยังศึกษาธิการจังหวัดเพื่อให้เกิดการบูรณาการในพื้นที่ ที่ไม่ใช่หน่วยงานของตัวเอง แต่ทั้งนี้การมอบอำนาจต้องไม่ขัดกับพ.ร.บ.ซึ่งเป็นอำนาจที่เคยปฏิบัติอยู่เดิม เวลามอบอำนาจจริง ๆ จะมอบไม่ได้ทั้งหมด เพราะพ.ร.บ.ได้กำหนดไว้แล้ว *** ทว่าการออกประกาศฉบับนี้ จะเป็นต้นน้ำเพื่อนำไปสู่ single command หรือไม่ก็ต้องคอยติดตาม…เอานะ..***มาพูดถึงเรื่องการโยกย้ายทุกตำแหน่ง ทุกระดับในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็ยังพูดกันไม่เลิกในระดับผู้ปฏิบัติถึงความเหมาะสม ความเป็นธรรม และความไม่เป็นธรรมาภิบาล คำสั่งออกมาก็อึ้ง!ไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) และ กรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) ที่ว่อนกันทั่วโซเชียล ว่า การโยกย้ายพิจารณาจากอะไร…จากความรู้ ความสามารถ การเมือง หรือ การวิ่งเต้น หรือ ย้ายเพราะเป็นคน..สนิท…ว่างั้น? มีข่าวว่ามีกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษานัดประชุมผู้บริหารสถานศึกษาบางกลุ่มของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร ไม่พอใจในการย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนของ นางรัตติกร ทองเนตร ผอ.สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร ว่า เป็นตัวการใหญ่ในการคัดคนเข้าโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษของ สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร หยอก หยอก ว่าใครสงสัยอะไรก็ให้มาดูคะแนนได้ที่ สพม.ได้เลย เพราะการคัดเลือกคนเธอไม่ได้ทำตามลำพังคนเดียว มีคณะกรรมการถึง 2 ชุด ที่มีองค์ประกอบตามหลักเกณฑ์ ที่ ก.ค.ศ. กำหนดทุกประการ กรรมการกลั่นกรองก็ตามองค์ประกอบ ผ่านมติที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา เรียบร้อย …อ้าวใครสงสัยอะไรก็ไปดูคะแนนที่ สพม.ศรีสะเกษ ยโสธร ได้เลย…ไม่ต้องเล่นใต้ดินกันนะ เปิดคะแนนกันแบบ แฟร์ ๆ กันเลย … ส่วนที่มีข่าวว่าลูกจ้างธุรการโรงเรียน สพฐ. ทั่วประเทศนัดแต่งดำบุกกระทรวงศึกษาธิการ เรียกร้องให้ยกเลิกวิธีการจ้างเหมาบริการ ในวันที่ 8 ตุลาคม ล่าสุดแว่วมาว่าคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรู้เรื่องแล้วก็เลยเปลี่ยนใจจะไม่มาแล้ว เลื่อนไปแบบไม่มีกำหนด รู้มา บอกต่อ รอดู *** หยอก หยอก ก็เป็นแค่ผู้ส่งสาร..จะเป็นข่าวโคมลอยเท็จหรือจริงไม่รู้ว่า ว่าจะมีการสไลด์ผู้บริหารระดับ 11 อีกครั้ง ***ก็ว่ากันไป เอวัง

“เสมา1”พร้อมลงพื้นที่นำทัพ Fix it Center ฟื้นฟูเยียวยาช่วยเหลือโรงเรียนน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการช่วยเหลือสถานศึกษา นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ประสบเหตุอุทกภัย โดยทุกหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เร่งระดมความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยในครั้งนี้ โดย ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อุทกภัยหลายพื้นที่ในปีนี้ ศธ.ได้รับมอบหมายจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการให้แต่ละหน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาทุกข์แก่ประชาชน​ ฟื้นฟูสถานศึกษา​ คืนความสุขให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง ครู​ และบุคลากรทางการศึกษา

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ศธ.ได้จัดหน่วยจิตอาสา Fix it Center จากสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 70 ทีม ซึ่งมีวิทยาลัยในสังกัดหลายแห่ง​ อาสาระดมกำลังจัดทำอาหารกล่องแจกให้แก่ผู้ประสบภัย ช่วยขนย้ายสิ่งของหลังน้ำลด ช่วยทำความสะอาดบ้านเรือน สถานศึกษา ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ที่จมน้ำของประชาชน  รวมทั้ง​ได้รับความร่วมมือจากอาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนำรถแทรกเตอร์ขุดดินและเครื่องมือขนาดเล็กเข้าไปช่วยเหลือบริการประชาชนผู้ประสบภัยที่จังหวัดเชียงรายและพื้นที่อื่นแล้วกว่าหมื่นราย ซึ่งในระยะนี้ยังมีฝนตกสะสมอยู่ขอให้สถานศึกษาและหน่วยงานในสังกัดพื้นที่สุ่มเสี่ยงเฝ้าระวังตลอดเวลา คอยรับฟังข้อมูลประกาศเตือนจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือและขอความกรุณาอย่าแชร์ข้อมูลที่ไม่แน่ใจเพื่อไม่ให้เกิดการสับสน หากจุดไหนรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยให้เตรียมขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และหากมีแนวโน้มว่าจะถูกน้ำท่วมให้ตรวจสอบระบบไฟเพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า เหตุการณ์ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่หากเรามีมาตรการตั้งรับที่ดีก็จะลดความเสียหายได้มากขึ้น

“ขอบคุณทุกหน่วยงานในสังกัดและในกำกับของ​ ศธ. ที่พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างเต็มที่ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ที่เดือดร้อน​และผู้ปฏิบัติงาน เราจะผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้ตามแนวทาง “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ขอให้มั่นใจว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และในสัปดาห์หน้าจะมีการปล่อยคาราวานทัพเสริม นำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ร่วมลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายวันที่ 6 ตุลาคม 2567  นี้” โฆษก ศธ.กล่าวและว่า ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังเพื่อช่วยเหลือสถานศึกษาที่ประสบเหตุอุทกภัย สพฐ. ได้แจ้งข้อมูลการช่วยเหลือ รายละเอียดดังนี้  สถานศึกษาได้รับผลกระทบจำนวน 487 โรงเรียน 60 สำนักงานเขตพื้นที่ (สพม. 13 เขต และ สพป. 47 เขต) รวม 34 จังหวัด นักเรียนที่ประสบเหตุอุทกภัย จำนวน 16,979 ราย ได้รับการเยียวยา จำนวน 14,671  ราย (สพท. 13,073 ราย และ สพฐ. 1,598 ราย)ครูและบุคลากร จำนวน 1,601 ราย ได้รับการเยียวยา จำนวน 1,207 ราย (สพท. 1,147 ราย และ สพฐ. 60 ราย) รวมจำนวนผู้ประสบเหตุอุทกภัย จำนวน 18,580 ราย  ได้รับการเยียวยา จำนวน 15,878 ราย (สพท. 14,220 ราย และ สพฐ. 1,658 ราย)  และอยู่ระหว่างดำเนินการ  2,702 ราย

สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาแก่สถานศึกษาและผู้ที่ได้รับผลกระทบ ระยะสั้นได้มอบถุงยังชีพ จำนวน 1,030,000 บาท จากกองทุนรวมน้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบภัย สพฐ. ส่วนระยะยาว ได้ประมาณการงบประมาณไว้ 23,456,456 บาท แบ่งเป็นงบจัดสรรซ่อมสุขาโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบ 738,600 บาท งบล้าง ซ่อมแซมอาคารและสถานที่ 14,720,000 บาท และงบหนังสือ อุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ 7,997,856 บาท นอกจากนี้ องค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) หน่วยงานในกำกับของ ศธ. ยังได้มอบสิ่งของ ชุดนักเรียน หนังสือเรียน อุปกรณ์เครื่องเขียน และอุปกรณ์ทำความสะอาด มูลค่า 200,000 บาท เพื่อนำไปมอบให้กับโรงเรียนที่ประสบอุทกภัย 55 แห่ง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 32 จังหวัด รวมถึงสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน ยังได้จัดกิจกรรมจิตอาสาโครงการยุวกาชาดบำเพ็ญประโยชน์เพื่อฟื้นฟูหลังภัยพิบัติด้วย ในส่วนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) พบสถานศึกษาได้รับความเสียหาย 71 แห่ง​ ประมาณการค่าดำเนินการฟื้นฟู​กว่า  28​ ล้านบาท​ แบ่งเป็น สกร.ประจำจังหวัด 5 แห่ง ระดับอำเภอ 24 แห่ง ระดับตำบลและชุมชน 28 แห่ง​ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” 8 แห่ง ห้องสมุดประชาชน 6 แห่ง และประชาชนอีก 3 คน โดยได้ส่งมอบถุงยังชีพให้แก่สถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ด้วยงบดำเนินงานช่วยเหลือ 450,000 บาท และยังได้รับการสนับสนุนน้ำดื่มและผลิตภัณฑ์จากบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด 700,000 บาท เพื่อฟื้นฟูสำนักงาน สกร.จังหวัดและระดับอำเภอในจังหวัดเชียงราย 8 อำเภอ จัดซื้อวัสดุและถุงยังชีพ 700 ถุง รวมถึงจัดสรรงบช่วยเหลือบุคลากร 64 คน และนักศึกษา 633 คน

“เสมา2”เคลียร์ปมเปิดรับบริจาค “ช่วยเหลือครู-นักเรียน เหตุรถบัสไฟไหม้”ขอให้ใช้บัญชี สพฐ.บัญชีเดียว เพื่อป้องกันความสับสน

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567  นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงความชัดเจนเกี่ยวกับการเปิดรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือครูและนักเรียนจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี มีการเปิดรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต ว่า เบื้องต้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ตรวจสอบการเปิดบัญชีรับบริจาค ซึ่งต้องมีความชัดเจนว่าได้ยอดเท่าไหร่ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอย่างถูกวัตถุประสงค์และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนต่อไป

“ล่าสุดผมได้รับข้อมูลว่าทาง สพฐ.ได้มีการเปิดใช้บัญชีระดมทุนเพียงบัญชีเดียว คือ ชื่อบัญชี “รวมน้ำใจ ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุไฟไหม้รถบัสโดยสารขณะเดินทางไปทัศนศึกษา โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี” ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่  059-0-43728-3 ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิ​การ​ เพียงบัญชีเดียวเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน อย่างไรก็ตามยอมรับว่าที่ผ่านมาอาจมีการเปิดบัญชีหลายบัญชี จนทำให้เกิดความสับสน ซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดเกิดจากความหวังดีจึงมีการเปิดบัญชีรับบริจาคหลายช่องทาง แต่เชื่อว่าทุกคนอยากจะทำให้กับผู้เสียชีวิตและครอบครัว คงไม่มีใครอยากหาผลประโยชน์ ดังนั้นจากนี้ไปขอให้บริจาคได้ที่บัญชีซึ่งเปิดโดยสพฐ.เพียงบัญชีเดียวเท่านั้น และต้องขอขอบคุณทุกน้ำใจที่ร่วมด้วยช่วยกันบริจาคในครั้งนี้” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

ศธ.จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา“เสมา1”รอรับพวงมาลาและน้ำหลวงอาบศพวันนี้

ที่กระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 3 ต.ค.2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศึกษาธิการ)พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาได้ทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 จังหวัดอุทัยธานี เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองนักเรียนที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทั้ง 3 คนให้แคล้วคลาดปลอดภัยสามารถไปเรียนได้ตามปกติ และขอให้ทุกพื้นที่ร่วมพิธีทำบุญพร้อมกันในครั้งนี้กันทั่วประเทศ

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเยียวยาครอบครัวผู้ประสบเหตุ และการประกอบพิธีทางศาสนา ได้มอบหมายให้สำงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เป็นหน่วยกลางในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมทุกมิติ โดยเบื้องต้น สพฐ. ได้มอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว รวม 500,000 บาท และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต2  ได้มอบเงินสมทบอีก จำนวน 120,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในโอกาสนี้ขอขอบคุณโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนด้านที่พัก อาหาร และรถรับส่ง อาทิ โรงเรียนเบญจมราชาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภ์ โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสายปัญญาฯ โรงเรียนพญาไท โรงเรียนพระยาประเสริฐสุนทราศรัย(กระจ่าง สิงหเสนี) สำนักงาน สกสค. และคุรุสภา ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ตน พร้อมด้วยผู้บริหารจะไปร่วมพิธีรดน้ำศพและสวดอภิธรรมผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นน้ำหลวงพระราชทาน และไปรับพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ และในวันที่ 8 ต.ค.2567 ซึ่งเป็นวันพระราชทานเพลิงตนและผู้บริหารก็จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน