“เสมา 2” เปิดงานมหกรรมวิชาการสานพลังเพื่อพัฒนาวิชาชีพครูพื้นที่อยุธยา ยึดแนวทาง “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน”

เมื่อวันที่​ 16 ตุลาคม​ 2567 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมวิชาการสานพลังเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1​ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา​ โดยมี นางกัลยา มาลัย ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 นายนพคุณ ลัคนาวิเชียร ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2​ ว่าที่ร้อยเอก​ ทิณกรณ์ ภูโทถ้ำ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา​ ครู​ และบุคลากรทางการศึกษา​ ให้การต้อนรับ

นาย​สุรศักดิ์​ กล่าวว่า​ ขอชื่นชมการจัดงานมหกรรมวิชาการครั้งนี้ ซึ่งรู้สึกได้ถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นของคณะกรรมการจัดงาน ที่จะสร้างพื้นที่ให้กับ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีผลงานการจัดการเรียนรู้ดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ และเป็น แบบอย่างให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่านอื่น ๆ ได้มีเวที​ ที่จะนำมาเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะการจัดการ เรียนรู้ให้กับผู้เรียน เป็นกระบวนการที่สำคัญ ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ทำให้ ผู้เรียนมีพัฒนาการที่เจริญงอกงาม ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา

“องค์ความรู้ในแต่ละเรื่องแต่ละอย่างมีความสำคัญต่อผู้เรียนเป็นองค์ความรู้ที่ล้วนเกิดจากสิ่งที่ได้ศึกษาและปฏิบัติจริงมาแล้ว สามารถนำไปพัฒนาและต่อยอดได้ตามบริบทของโรงเรียน ของคุณครูแต่ละท่าน ทำให้การจัดการเรียนการสอนเกิดการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือผู้เรียน นอกจากนี้การจัดงานในครั้งนี้ ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ให้กับข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะ ทำให้เกิดพลังใจ และมีแรงขับเคลื่อน ที่จะร่วมกันพัฒนางานด้านการศึกษา ในอนาคตต่อไป” รมช.ศึกษาธิการ​ กล่าว

ศธ.หารือเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร นำเสนอนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา “Anywhere Anytime” ยกระดับการศึกษาไทย

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับ Ms. Husna Hamimi Hashim Head of Education Asia Pacific สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำสาธารณรัฐสิงคโปร์ พร้อมด้วย Ms. Thea Wiltshire EdTech, Schools, Early Years and SEND Specialist สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ณ กรุงลอนดอน Mr. Jone Jones Head of Teachers, RGS Worcester Family of Schools และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย พร้อมหารือความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษา ณ ห้องประชุมหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ในการต้อนรับผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตครั้งในได้มีการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษาระหว่างกัน ซึ่งในปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) โดยเฉพาะประเด็นที่จะสนับสนุนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศไทยที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษา เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา “Anywhere Anytime” ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการเสริมสร้างศักยภาพครูและนักเรียนให้สามารถเข้าถึงการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ

รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการมีความร่วมมือกับสหราชอาณาจักรในการพัฒนา Reboot Program ซึ่งเป็นกิจกรรมที่พัฒนาศักยภาพครูแม่ข่ายด้านภาษาและเทคโนโลยี ซึ่งในส่วนของอาชีวศึกษามีความร่วมมือกับ Pearson ในการพัฒนาทักษะมาตรฐานวิชาชีพ และยังมีประเด็นท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้เทคโนโลยีในห้องเรียน การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนครูนักเรียนระหว่างโรงเรียนทั้งสองประเทศ รวมไปถึงการจัดหาอุปกรณ์เทคโนโลยีด้านการศึกษาต้องคำนึงถึงความพร้อมและความเหมาะสมต่าง ๆ ทั้งชนิด ประเภทของอุปกรณ์ รวมถึงการลงทุนด้านสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้าและระบบอินเตอร์เน็ต ทั้งนี้ฝ่ายผู้แทนสหราชอาณาจักรได้ขอบคุณที่กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนการจัดประชุม Bett ASIA และจะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วม และนำเสนอผลงานตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ในที่ประชุมระดับโลกด้านการศึกษาในปี 2568 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ทั้งนี้ ภายหลังการหารือ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้นำผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร เข้าเยี่ยมชมกิจกรรมดนตรีในสวนรื่นรมย์สมฤดี 132 ปีกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจัดขึ้นทุกเย็นวันพฤหัสบดี บริเวณศาลา 100 ปี รวมถึงเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย โดยผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ได้มีโอกาสพบกับนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้กล่าวทักทายและมีความยินดีที่จะส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกันเป็นอย่างดี

 

“อรรถพล” ชี้ การแก้ไขปัญหาโลกเดือดต้องเปลี่ยนมุมมอง Climate to Earn สร้างรายได้จากการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 9 ต.ค.2567 นายอรรถพล สังขวาสี อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ท่ามกลางภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น โดยมีแนวโน้มมากขึ้นและรุนแรงขึ้น ส่งผลต่อทุกกิจกรรมทางสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การศึกษาเป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับตัวรองรับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้การศึกษายังสามารถดำเนินต่อไปได้เมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และที่มากไปกว่านั้น ภาคการศึกษาจะต้องเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น ดังนั้น การศึกษาจะนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้อีกต่อไป โดยระบบการศึกษาจะต้องปรับตัวใน 3 ระดับ คือ ระดับนโยบาย ที่นโยบาย แผนและยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาจะต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มมากขึ้น และลึกลงไปถึงหลักสูตรการศึกษาต้องมีการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ รวมทั้งมีการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม ระดับที่ 2 คือ ระดับบุคลากร ต้องมีการดำเนินการที่มากกว่าการสร้างความตระหนัก โดยต้องขยับมาสู่การสร้างทักษะ และพฤติกรรมในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมให้เป็นนิสัยในบุคลากรทุกภาคส่วน มีแบบอย่างในการดำเนินการ รวมทั้งแรงจูงใจในการปฏิบัติ และในระดับสุดท้าย คือ ระดับโครงสร้างพื้นฐาน ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของสถานศึกษาให้พร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้การจัดการเรียนการสอนไม่สะดุดลงเมื่อเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ หรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด

ดร. อรรถพล อธิบายเพิ่มเติมว่า หากให้วิเคราะห์ประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่ภาคการศึกษาต้องดำเนินการในทันที จึงคิดว่ามีด้วยกัน 4 ประการ คือ 1) สิ่งแรกสุดที่ภาคการศึกษาจะต้องเร่งดำเนินการ คือ เปลี่ยน Mindset สร้าง Habit การแก้ไขปัญหานี้ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกคนและทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ควรคิดว่าลำพังตัวเราเองไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ และยังต้องเปลี่ยน Mind set ไปสู่การสร้างอุปนิสัยที่ปฏิบัติได้ง่าย ปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้ เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของปัญหานี้แล้ว แต่ยังไม่มีพฤติกรรมที่ช่วยลดโลกร้อนอย่างจริงจัง 2) จุดเน้นของนโยบายการศึกษาที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางและเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ยังไม่มีการบูรณาการทางนโยบายระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้การทำงานยังไม่เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง และ 3) การปรับหลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนการสอนของครู แม้ว่าหลักสูตรการศึกษาจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ได้ผลและให้นักเรียนเกิดความตระหนักและเห็นคุณค่าจะต้องเป็นการจัดการเรียนการสอนด้วยการลงมือปฏิบัติมากกว่าการบรรยายให้นักเรียนรู้แต่เพียงอย่างเดียว และ 4) Climate to earn ต้องสร้างกลไกที่ทำให้อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อให้เกิดเป็นรายได้ อาทิ คาร์บอนเครดิต ต้องนำเข้ามาสู่ในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนให้เด็กนักเรียนรู้วิธีในการสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้นักเรียนหันมาสนใจเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการนำการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งในการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มมากขึ้น และสร้างมาตรการแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนให้มีอุปนิสัยและพฤติกรรมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีโรงเรียนเป็นฐาน และครูเป็นแรงเสริม ผมเชื่อว่า ความสำเร็จในการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องเริ่มต้นที่โรงเรียน”ดร.อรรถพล กล่าว

“เสมา 1”ขอบคุณทุกฝ่ายช่วยดูแลกรณีไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา ย้ำไม่ทิ้งผู้ได้รับผลกระทบ เล็งตั้งอนุสรณ์สถานที่โรงเรียน

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ  เปิดเผย ภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 35/2567  ว่า ในที่ประชุมได้มีการขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยกันดูแลเกี่ยวกับกรณีไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี ทำให้มีนักเรียนและครูเสียชีวิต 23 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย ซึ่งได้ช่วยกันดูแลช่วยเหลือดำเนินการต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งพระราชทานเพลิงศพจนเสร็จสิ้นกระบวนการ โดยได้มอบหมายให้ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหนังสือขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ อย่างไรก็ตามต่อจากนี้จะต้องมีการติดตามดูแลเยียวยาเด็กและครูที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะการติดตามอาการและฟื้นฟูเด็กที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล รวมทั้งติดตามเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ ของครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบด้วย ทั้งนี้ได้มอบมายให้ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ไปสำรวจความต้องการของโรงเรียน ครู และน้อง ๆ ในโรงเรียนที่ถือว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบว่า ต้องการทำกิจกรรม โครงการอะไรเพื่อเป็นการเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ในการประชุมได้มีการรายงานการช่วยเหลือเยียวยา ครูและนักเรียนที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ดังนี้  เงินที่ได้รับตามกฎหมาย ประกันชีวิต ได้แล้วรายละ 2.4 ล้านบาท  เงินบริจาคกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ขณะนี้ มีเงิน 2.5 ล้านบาท  การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ให้แก่คุณครู 2 ราย ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้ดำเนินการรวบรวมเอกสารขอเครื่องราชชั้นเบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ขณะเดียวกันได้ทำเรื่องขอเลื่อนเงินเดือน 3 ขั้นซึ่งขณะนี้ส่งเรื่องไปที่สำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว และจะนำเข้าประชุมคณะอนุกรรมการฯ ในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 นี้ สำหรับทายาทของครูที่เสียชีวิต ซึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศ หากต้องการเข้ารับราชการจะดำเนินการต่อไป ส่วนครูที่เป็นนักศึกษาฝึกสอนทางสภามหาวิทยาลัยฯ ได้อนุมัติปริญญาให้เป็นผู้สำเร็จการศึกษา เป็นกรณีพิเศษ และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติจะมอบเหรียญสดุดีให้แก่คุณครูทั้ง 3 ราย นอกจากนี้จะมีการสร้างอนุสรณ์สถาน สพฐ.จะปรับปรุงสนามเด็กเล่นในโรงเรียน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบและจัดสรรงบประมาณ

“นอกเหนือจากการดูแลช่วยเหลือเยียวยาแล้ว กระทรวงศึกษาธิการยังมีมาตรการป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นอีก โดยมีหนังสือกำชับทั้งจากสพฐ. และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนหรือ สช.ไปยังหน่วยงานและโรงเรียนในสังกัดเพื่อกำชับมาตรการป้องกัน รวมถึงแจ้งให้ทราบว่า กรมการขนส่งทางบกยินดีให้ความร่วมมือในการส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยตรวจสอบรถที่จะใช้ในการทัศนศึกษา และให้มีการซักซ้อมการใช้รถกรณีเกิดเหตุร้ายด้วย”พล.ต.อ.เพิ่มพูนกล่าวและว่า สำหรับน้อง ๆ ที่ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการมีการติดตามอาการและเข้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลทุกวัน เพื่อให้กำลังใจผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่การแพทย์ที่ช่วยดูแล อย่างไรก็ตามในที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงการดูแลน้องทั้ง 3 คนเป็นพิเศษที่อาจจะมีบาดแผลจากไฟไหม้ และต้องช่วยกันเยียวยาผู้ปกครองด้วย โดยในส่วนของการรักษาตัวไม่ต้องเป็นกังวลเพราะอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์แล้ว แต่เราจะต้องมาดูในอีกมิติ คือ เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ปกครองขาดรายได้เนื่องจากต้องหยุดงานมาดูแลน้องในช่วงรักษาตัวซึ่งก็น่าจะช่วยดูแลในส่วนนี้ด้วย

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่าง ๆ นั้น ข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 3 ตุลาคม 2567 มีนักเรียน นักศึกษา ที่ประสบภัย 22,739 คน มีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ประสบภัย 1,237 คน โดยจำนวนนี้มีสถานศึกษาและหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบ รวม 397 แห่ง  โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้รวบรวมงบประมาณ เพื่อของบกลางในการช่วยเหลือเยียวยาหน่วยงานและสถานศึกษา ศธ.ที่ประสบภัย จำนวน 273 ล้านบาท สำหรับการช่วยเหลือเยียวยานักเรียน นักศึกษา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง เป็น “ค่าหนังสือ ค่าเครื่องแบบนักเรียน และค่าอุปกรณ์การเรียน” ในอัตราเงินอุดหนุนรายหัว ของโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน แก่นักเรียน นักศึกษา ในสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังได้รับรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา PISA ของ สพฐ. และ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ซึ่งมีการอบรมออนไลน์ “การสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น” ระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคม 2567 จำนวน 3 วิชา วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาไทย ทั้งออนไลน์ผ่าน Zoom meeting (สำหรับครู สพฐ. สช. สอศ. สช. อว. กทม. สถ.) และ Youtube (สำหรับผู้สนใจ) โดยฝึกปฏิบัติในรูปแบบออนไซต์ ระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2567 พร้อมมอบ สสวท. จัดทำคลิปเผยแพร่ออนไลน์เพื่อสร้างการเรียนรู้ในวงกว้าง มีกิจกรรมโรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง และโรงเรียนคู่พัฒนา รวมถึงการขับเคลื่อนและนำชุดพัฒนาความฉลาดรู้ไปใช้ในห้องเรียน ภาคเรียนที่ 1/2567 ของโรงเรียนมัธยมและโรงเรียนขยายโอกาส จำนวน 9,214 แห่ง  ทั้งนี้ สสวท.ต้องมีคู่มือแนะนำการใช้สื่อ วิธีการใช้ ประโยชน์ที่ได้รับ โดยให้ตั้งคณะกรรมการเพิ่มเติม ภายใต้ชื่อ คณะกรรมการพิซาและยกระดับคุณภาพการศึกษา”

 

ผู้บริหาร ศธ.ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงผู้เสียชีวิตจากเหตุไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานในการออกเมรุ และประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ แก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 โดยมีผู้แทนของรัฐบาลเข้าร่วม ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ นำโดยพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ  นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงผู้บริหาร บุคลากรของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู และครอบครัวของผู้เสียชีวิต เข้าร่วมในพิธี ณ อาคารเอนกประสงค์ โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี

โดยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นประธานในพิธีทอดผ้าไตรพระราชทาน จำนวน 5 ไตร วางกระทงข้าวตอก ดอกไม้ หน้าหีบศพ หยิบธูปเทียนดอกไม้จันทน์จากเจ้าพนักงาน จุดไฟที่โคมจากเจ้าพนักงาน วางดอกไม้จันทน์พระราชทานเพลิง แล้ววางธูปเทียนดอกไม้จันทน์ของพระบรมวงศานุวงศ์ วางที่หน้าหีบศพ ตามด้วย พระสงฆ์ ข้าราชการ ประชาชน ขึ้นวางดอกไม้จันทน์ตามลำดับ จากนั้นได้มีการเคลื่อนขบวนศพ ของครูและนักเรียน มาประกอบพิธีฯ ณ สถานที่ประกอบพิธี ครั้งละ 7 ร่าง จนครบทั้ง 23 ร่าง โดยมีครอบครัวของผู้เสียชีวิตอยู่ในขบวน และทำการเก็บเถ้ากระดูก เพื่อส่งมอบให้กับครอบครัวผู้วายชนม์ ทั้งนี้ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีพระราชทานเพลิงแล้ว ในส่วนของพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลต่อจากนี้ จะเป็นการทำบุญของครอบครัวและญาติ แยกกันไปประกอบพิธีตามอัธยาศัย

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รับผู้บาดเจ็บทุกคนไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ อีกทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รับศพผู้เสียชีวิตไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ พระราชทานพวงมาลาวางหน้าหีบศพผู้เสียชีวิต พระราชทานเพลิงศพแก่ผู้เสียชีวิตเป็นกรณีพิเศษ ทั้งพระราชทานเงินช่วยเหลือและพระราชทานทุนการศึกษาแก่บุตรของครูที่เสียชีวิต ผ่านมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยังความปลื้มปีติแก่พสกนิกรโดยทั่วกัน

สพฐ. ปลื้มนักเรียนไทยคว้า 26 รางวัล “คณิต-วิทย์โอลิมปิก” ระหว่างประเทศ ระดับประถมฯ ที่จีน


เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้นำนักเรียนระดับประถมศึกษา ที่มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิก ระหว่างประเทศ ระดับประถมศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2567 International Mathematics and Science Olympiad for Primary School 2024 (IMSO 2024) ระหว่างวันที่ 1-6 ตุลาคม 2567 ณ เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ใน 2 สาขาวิชา คือ คณิตศาสตร์ จำนวน 12 คน และวิทยาศาสตร์ จำนวน 12 คน รวมทั้งสิ้น 24 คน ผลปรากฏว่าผู้แทนนักเรียนไทยสามารถคว้ารางวัลกลับประเทศมาได้ทุกคน ประกอบด้วย 5 เหรียญทอง 9 เหรียญเงิน 10 เหรียญทองแดง รวมถึงรางวัล Best over all Math และรางวัล Discovery STEM รวมทั้งสิ้น 26 รางวัล โดยคณะนักเรียนและครูผู้ฝึกสอนเดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2567 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีผู้บริหารโรงเรียน คณะครู และครอบครัวนักเรียน ร่วมต้อนรับและแสดงความยินดี

สำหรับการแข่งขันคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับประถมศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2567 มีประเทศเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 18 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม บัลแกเรีย บอตสวานา จีน อิหร่าน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย คาซัคสถาน ทาจิกิสถาน ลาว มองโกเลีย มาเลเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา รวมนักเรียนที่เข้าร่วมทุกประเทศ จำนวน 263 คน โดยผลรางวัลของนักเรียนไทย มีดังนี้

สาขาคณิตศาสตร์ จำนวน 13 รางวัล แบ่งเป็น เหรียญทอง 3 รางวัล ได้แก่ 1.เด็กชายฉัตรดนัย ลิ้มศิริรังสรรค์ โรงเรียนนานาชาติกระบี่ 2.เด็กชายพุฒิพงศ์ นนทิการ โรงเรียนศรีสว่างวงศ์ 3.เด็กหญิงเพชรพริมา เศรษฐปิยานนท์ โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย / เหรียญเงิน 5 รางวัล ได้แก่ 1.เด็กหญิงญาณภัค ปิ่นแก้ว โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2.เด็กชายนะนทณัฎฐ์ ผดุงเกียรติวงษ์ โรงเรียนอนุบาลประจวบคีรีขันธ์ 3.เด็กชายปิยะ ทั่งโต โรงเรียนตั้งพิรุฬห์ธรรม 4.เด็กชายปุณณธี อรุณนารา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ฝ่ายประถม 5.เด็กชายร่มฉัตร สุจิรัตน์ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม / เหรียญทองแดง 4 รางวัล ได้แก่ 1.เด็กชายธนัตถ์สิทธิ์ เผื่อจิรายุส์ โรงเรียนกว่างเจ้า 2.เด็กชายพันธุ์ธัช อัดโดดดร โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา 3.เด็กหญิงวารุรินทร์ สัจจะวรรณคุณ โรงเรียนอนุบาลศรีสะเกษ 4.เด็กชายศิวัจน์ เฉลิมนิธิวงศ์ โรงเรียนวัดดอนไก่เตี้ย และรางวัล Best over all Math ได้แก่ เด็กชายฉัตรดนัย ลิ้มสิรินรังสรรค์

สาขาวิทยาศาสตร์ จำนวน 13 รางวัล แบ่งเป็น เหรียญทอง 2 รางวัล ได้แก่ 1.เด็กหญิงเนธิสดา ตั้งยิ่งยง โรงเรียนวัดเขากลอย 2.เด็กชายวริศ สุวรรณชาตรี โรงเรียนแสงทองวิทยา / เหรียญเงิน 4 รางวัล ได้แก่ 1.เด็กหญิงณัฎฐากุลยา ถาวรพัฒน์ โรงเรียนอนุบาลพนัสศึกษาลัย 2.เด็กชายธนดนย์ เกษมธรรมกิจ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 3.เด็กชายปัณณพัฒน์ คงนคร โรงเรียนแสงทองวิทยา 4.เด็กชายสิรวิชญ์ ธนสารสุขสถิตย์ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล / เหรียญทองแดง 6 รางวัล ได้แก่ 1.เด็กหญิงกัญญ์วฤนท์ ถาวรพัฒน์ โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย 2.เด็กชายพัชรพล ชลไพศาล โรงเรียนแสงทองวิทยา 3.เด็กหญิงศิรัชญากานต์ เลากิจวิรุฬห์ โรงเรียนอนุบาลศรีสะเกษ 4.เด็กชายอนันดา อนันตโชค โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม 5.เด็กชายอลีฟ สามะ โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม 6.เด็กชายอินทัช ตั้งกิตติมศักดิ์ โรงเรียนอนุบาลสามเสนฯ และรางวัล Discovery STEM ทีม Thailand ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1
.
นางสาวธัญนันท์ แก้วเกิด รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการการศึกษา สพฐ. ผู้นำทีมนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขัน กล่าวว่า สพฐ. ได้สนับสนุนและส่งเสริมให้สถานศึกษาพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของนักเรียนอย่างรอบด้าน ตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของพล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ  และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ  โดยเฉพาะในด้านทักษะทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต อีกทั้งยังเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างโอกาสให้เด็กไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันในเวทีนานาชาติเพื่อยกระดับความสามารถในการพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ โอกาสนี้ ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนทุกคนที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันและได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและครอบครัว สถานศึกษา รวมถึงประเทศชาติ ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
.
เด็กหญิงเนธิสดา ตั้งยิ่งยง โรงเรียนวัดเขากลอย เจ้าของรางวัลเหรียญทอง สาขาวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ในการเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ รู้สึกว่ามันไม่ใช่การแข่งขันธรรมดา แต่เป็นโอกาสที่ดีในการได้พบเจอคนเก่งๆ จากหลายประเทศ ได้เจอกับข้อสอบที่ทำให้เราสนุกและตื่นเต้น ได้เพื่อนใหม่และได้ประสบการณ์ที่น่าจดจำ ต้องขอขอบคุณ สพฐ. ที่ได้นำพวกเรานักเรียนไปร่วมการแข่งขันในครั้งนี้และดูแลพวกเราเป็นอย่างดี
.
ขณะที่ เด็กชายอินทัช ตั้งกิตติมศักดิ์ โรงเรียนอนุบาลสามเสนฯ ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง สาขาวิทยาศาสตร์ และร่วมทีม Thailand คว้ารางวัล Discovery STEM รองชนะเลิศ อันดับ 1 กล่าวว่า ตนได้เตรียมตัวเข้าร่วมการแข่งขัน ด้วยการอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด ทบทวนความรู้ ตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็ไปอ่านเพิ่มเติม และรู้สึกพอใจกับผลรางวัลที่ได้รับ เพราะไม่ว่าจะได้รับรางวัลอะไรก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว อีกทั้งยังได้ประสบการณ์ รู้จักเพื่อนต่างชาติหลายประเทศ ขอให้ สพฐ. ทำโครงการดีๆ เช่นนี้ต่อไปทุกปีครับ
เด็กชายปิยะ ทั่งโต โรงเรียนตั้งพิรุฬห์ธรรม เจ้าของรางวัลเหรียญเงิน สาขาคณิตศาสตร์ กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนนักเรียนไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ได้ทำชื่อเสียงให้ครอบครัวและประเทศชาติ และได้รับประสบการณ์ที่สนุก ตื่นเต้น น่าจดจำ ตั้งใจว่าจะนำประสบการณ์จากการแข่งขันนำไปพัฒนาตัวเองด้านคณิตศาสตร์ต่อไป

ลูกเสือไทยไม่หยุดคิดทำโครงการลูกเสือสวนครัว เพาะพืชผักสวนครัวแจกผู้ประสบภัย พร้อมแปรรูปดินโคลนน้ำท่วม ผลิต “ดินไส้เดือนลูกเสือ Earthworm Scout Soil” ปลูกผักงามดี

 

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 ดร.อาทร จันทวิมล ประธานมูลนิธิส่งเสริมการลูกเสือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า อุทกภัยครั้งใหญ่ ปี 2567 ที่จังหวัดเชียงราย ทำให้มีดินโคลนจำนวนมากไหลตามน้ำมาทับถมในถนนและบ้านเรือน กลุ่มลูกเสือได้ศึกษาข้อมูลและระดมสมองกันเพื่อหาทางนำดินที่ไหลมากับน้ำท่วมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงได้ความคิดว่าจะนำไปทำ “ดินไส้เดือนปลูกต้นไม้” โดยนำดินน้ำท่วมมาผสมกับใบไม้ ขี้วัว แล้วปล่อยพ่อแม่พันธุ์ไส้เดือนลงไป เพื่อให้ไส้เดือนไปกินดิน ใบไม้ และขี้ว้ว ออกมาเป็นมูลไส้เดือน ที่สามารทำเป็นดินปลูกต้นไม้ขายได้ โดยกิจกรรมลูกเสือไทยครั้งนี้ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDG ของสหประชาชาติ ข้อ 2 กับ 16 และตรงตามนโยบาย Scouts for SDG ของลูกเสือโลกด้วย

ดร.อาทร กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังทำโครงการลูกเสือสวนครัว Scout Kitchen Plants project โดยมีการเชิญชวนสมาชิกในไลน์ “มูลนิธิส่งเสริมการลูกเสือ” “ครูลูกเสือ” และ ไลน์ “Mop. ลูกเสือสันติภาพ” เข้าร่วมโครงการ ด้วยการให้ลูกเสือไทยทำการเพาะพืชสวนครัว หรือขุดจากบ้านของตนเองใส่ถุงดำ นำไปแจกถึงบ้านผู้ประสบภัย หรืออาจลงมือปลูกให้ในที่น้ำท่วมไม่ถึง ตัวอย่างเช่น ผักบุ้ง แตงกวา แตงร้าน กะเพรา โหระพา พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า ตะไคร้ มะนาว มะกรูด แคบ้าน ถั่วพู มะละกอ ฟักเขียว บวบงู หน่อกล้วย ฯลฯ โดยมีเป้าหมาย พืชสวนครัว 100,000 ต้น มอบผู้ประสบภัย 10,000 ครอบครัว

ทั้งนี้ โครงการลูกเสือสวนครัว ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยปลูกมะละกอ 100 ต้น ให้แก่บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อ.เวียงเชียงรุ้ง  ในวันที่ 10 ตุลาคมที่จะถึงนี้ จะปลูกมะละกอ 1,000 ต้น ที่ อำเภอเมือง และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และวันที่ 30 ตุลาคม จะปลูกมะละกอและพืชสวนครัว 5,000 ต้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง และอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย

 

“เพิ่มพูน” มอบนโยบายการขับเคลื่อนงาน สกร.ปี 68 สานต่อเรียนดี มีความสุข พร้อมเชิญชวนร่วมปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศ

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในการประชุมมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ประจำปี 2568 โดยมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ พลเอก อภิชาต อุ่นอ่อน ประธานคณะทำงานฝ่ายอำนวยการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายกฤตชัย อรุณรัตน์ ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) ว่าที่ร้อยเอก วิสาร ปัญญชุณห์ รองอธิบดี สกร. นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีสกร. นายชัยพัฒน์ พันธุ์วัฒนสกุล รองอธิบดีสกร. พร้อมด้วย ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้อำนวยการกลุ่ม/ศูนย์ส่วนกลาง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 อาคารกรมส่งเสริมการเรียนรู้ นอกจากนี้ ผู้อำนวยการส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดทุกแห่ง/กรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการศูนย์หรือสถาบันการเรียนรู้เฉพาะด้าน หรือเฉพาะกิจการทุกแห่ง และผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ/เขตทุกแห่ง เข้าร่วมการประชุมผ่านระบบ Zoom Cloud Meetings

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน  กล่าวว่า ข้อสั่งการที่ได้ฝากความหวังไว้กับกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) อาทิ การสอบเทียบ (การเทียบระดับการศึกษา) และ Thailand Zero Dropout แก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะสกร. มีอยู่ทุกตำบลในการดำเนินงาน อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับผู้นำท้องถิ่นเป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้ทราบว่า เด็กคนไหนที่ไม่สามารถไปเรียนได้ ด้วยเงื่อนไขอะไร นอกจากเติมเต็มในด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว สกร.ยังเติมเต็มส่งเสริมในเรื่องของอาชีพ นอกจากนี้ยังฝากให้ทุกหน่วยงานการศึกษา และสถานศึกษาในสังกัด จัดทำพิกัด Google map เพื่อให้ทราบพิกัด หรือทราบว่า หน่วยงานการศึกษา และสถานศึกษาเราอยู่ตรงไหน พร้อมขอให้ทุกท่านร่วมขับเคลื่อนและสานต่อนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” และนโยบาย “สุขาดี มีความสุข” ต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงข้อสั่งการและแนวปฏิบัติให้แก่กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้ง 6 ประเด็นสำคัญดังนี้
1) ให้นำนโยบายด้านการศึกษาของคณะรัฐบนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาและนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม (Action Plan)
2) ให้ยึดหลักคุณธรรมจริยธรรม หลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน และดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อย่างเคร่งครัด เช่น การสอบ การบรรจุ แต่งตั้งโยกย้าย (ห้ามซื้อ-ขายตำแหน่ง) ห้ามทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุ ครุภัณฑ์ ชุดนักเรียน อาหารกลางวัน ฯลฯ
3) น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ
4) ให้ร่วมกันปลูกฝังการรักษาสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่การใช้พลังงานสะอาด
5) ส่งเสริมการอ่านและคิดวิเคราะห์อย่างเป็นกระบวนการ โดยผู้บริหารและครูต้องเป็นต้นแบบ
6) การลงพื้นที่ตรวจราชการหรือตรวจเยี่ยม ให้ดำเนินการอย่างเรียบง่าย โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องมาร่วมรับการตรวจราชการหรือตรวจเยี่ยม โดยให้มีการดำเนินการอย่างเรียบง่ายและประหยัด เช่น ไม่ต้องผูกผ้า ไม่ต้องติดป้ายต้อนรับ ไม่มีของระลึกหรือของฝากใดๆ ทั้งสิ้น

นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ ยังได้สั่งการให้ไปดำเนินการ Action Plan โดยฝากให้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด หน่วยงานการศึกษา และสถานศึกษาต่างๆ จัดทำแผน 3 ปีล่วงหน้า โดยขอให้ยึดหลักหลักการทำงาน “ ครองตน ครองคน ครองงาน ” อีกทั้งยังขอเชิญชวนให้พวกเรามาร่วมกัน “ปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศ” โดย ขอให้ทำงานด้วยความรวดเร็ว และเร่งด่วน เป้าหมายคือให้คนไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” โดยเริ่มจากพวกเราก่อน ทำอย่างไรให้ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย ประชาชนคนไทย “มีความฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” เพื่อมุ่งไปสู่ยุทธศาสตร์ชาติ คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”

“เพิ่มพูน-สุรศักดิ์” มอบนโยบาย ผอ.เขตพื้นที่ ร่วมกันปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศอย่างยั่งยืน เน้นย้ำระบบดูแลความปลอดภัย จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั่วประเทศ ครั้งที่ 1/2567 เพื่อนำนโยบายกระทรวงศึกษาธิการลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ  ร่วมมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง โดย  ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการกพฐ. และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขตทั่วประเทศ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 77 จังหวัด รวมถึงผู้อำนวยการสำนักและบุคลากรของ สพฐ. เข้าร่วมรับึฟังนโยบาย ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ ควบคู่การประชุมผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting และถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง OBEC Channel


พล.ต.อ.เพิ่มพูน  กล่าวว่า การประชุมชี้แจงนโยบายและแนวทางในการทำงานวันนี้ เน้นย้ำเรื่องการดูแลความปลอดภัยของโรงเรียนและนักเรียน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าเสียใจขึ้นอีก โดยกำชับเรื่องการป้องกันอุบัติเหตุ อุบัติภัยต่างๆ ซึ่งล่าสุดจากการส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ท่านแจ้งว่ายินดีให้ความร่วมมือในการตรวจความพร้อมของรถก่อนออกเดินทางไปทัศนศึกษาหรือทำกิจกรรมของโรงเรียน พร้อมกำชับให้กำกับดูแลความปลอดภัยในสถานศึกษาต่างๆ รวมถึงการจัดการเรียนการสอน สร้างเครือข่ายทางการศึกษา ภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” เพื่อให้การศึกษาเกิดความเท่าเทียมในทุกพื้นที่ ป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา พร้อมทั้งจัดทำแผนงาน 3 ปี ว่าใน 3 ปีข้างหน้าเราจะทำอะไรบ้าง เพื่อให้เกิดการทำงานที่ต่อเนื่อง โดยกำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายที่ชัดเจน และแจกให้ ผอ.โรงเรียนในเขตที่ตนเองรับผิดชอบทุกแห่ง เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างเป็นระบบ และได้ฝาก ผอ.เขต และผู้บริหารทุกคน ให้ยึดหลัก “ครองตน ครองคน ครองงาน” วางตนอยู่ในศีลธรรม จริยธรรมอันดี นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และร่วมกันปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ”จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน”

ด้าน นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า  ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้มาช่วยกันในเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้เมื่อสัปดาห์ก่อน และขอแสดงความเสียใจต่อเหตุที่เกิดขึ้น จึงขอเน้นย้ำเรื่องของมาตรการความปลอดภัย ต้องทำงานอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยเป็นสำคัญ มีแผนเผชิญเหตุ และการถอดบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีก นอกจากนี้่ขอเน้นย้ำนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ปีที่ 2 ที่ต้องการขับเคลื่อน ใน 7 ด้าน ดังนี้
1. ความปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงปิดภาคเรียน อาจมีโรงเรียนหลายแห่งที่จัดกิจกรรมเข้าค่าย เข้าแคมป์ ขอให้กำชับ กำกับดูแลมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ดี มีการจัดทำแผนเผชิญเหตุเพื่อความปลอดภัยด้วย
2. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี เพื่อเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ และกระบวนการจัดการเรียนการสอน โดยใช้สื่อออนไลน์และไซเบอร์ อย่างสร้างสรรค์
3. สอดส่อง/เฝ้าระวังอันตราย จากบุคคลภายนอกที่อาจเข้ามาสร้างความไม่ปลอดภัยในโรงเรียน
4. สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ตั้งแต่ความร่วมมือกับผู้ปกครอง จนถึงหน่วยงานภายนอก ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อช่วยกันสอดส่อง ทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด
5.โครงการอาหารกลางวันนักเรียน ต้องบริหารจัดการให้ถูกต้อง เหมาะสมตามหลักโภชนาการ
6.พัฒนาสมรรถนะบุคลากร ให้มีความพร้อมเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
7. การบริหารงบประมาณ ที่จะดำเนินการในปี 2568 ขอให้ดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ อย่างมี
ประสิทธิภาพ และเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ ให้ทุกคนได้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐ อย่างสอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป กระทรวงศึกษาธิการพร้อมขับเคลื่อนนโยบายลงสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานทุกท่านเข้ามาช่วยกัน ผมขอเป็นกำลังใจให้ ผอ.เขต รอง ผอ.เขต และผู้บริหาร สพฐ. ทุกคน ในการบริหารการจัดการศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาของประเทศไทย ให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียมในทุกพื้นที่ มีคุณภาพทัดเทียมสากล และสามารถแข่งขันได้บนเวทีโลกต่อไป” รมช.ศธ. กล่าว

“อาชีวะ”จัดทีมขยายเวลาชะล้างซ่อมสร้างอีก15วันตามคำเรียกร้องของชาวบ้านแล้ว

ตามที่ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการให้ นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)ให้ขยายเวลาช่วยฟื้นฟู ชะล้าง ซ่อมสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์การเกษตรให้น้องประชาชนชาวจังหวัดเชียงรายสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด ออกไปอีก 15 วัน นั้น

เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ระหว่างวันที่ 3-7 ต.ค.2567 อาชีวศึกษาได้นำทีมฟื้นฟูพื้นที่สาธารณะจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีภาคเหนือ 11 แห่งและทีมศูนย์ซ่อมศูนย์ซ่อมสร้างอาชีวศึกษา Fix it Center ภาคเหนือ 11 แห่ง โดยตั้งศูนย์ซ่อมสร้าง ชะล้างโคลนในชุมชน ที่วัดผาสุการามและชุมชนบ้านเหมืองแดง ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากได้เกิดวิกฤตการณ์ซ้ำขึ้นมาอีก พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงสั่งการให้มีการเสริมทัพโดยให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 11 แห่งนำรถขุดแบคโฮและทีมงานมาเสริมทัพเข้ามาอีก ทั้งนี้จากการสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ขยายเวลาออกไปอีก 15 วัน ตนจึงได้มอบหมายให้วิทยาลัยต่าง ๆ ในสังกัด สอศ.ดำเนินการ โดย ระยะที่ 1 ระหว่าง วันที่ 3 – 7 ต.ค. 67 ทีม Fix it Center ที่มีสถานศึกษา จำนวน 12 แห่ง ได้ ดำเนินการไปแล้ว ทีมฟื้นฟูและช่วยเหลือฯสถานศึกษา จำนวน 11 แห่ง ก็ได้ดำเนินการแล้ว ทีมประกอบอาหาร สถานศึกษา จำนวน 4 แห่งดำเนินการแล้ว ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลาในวันนี้ ตามที่เป็นข่าวในเบื้องต้น

นายยศพล กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เราจะมีการดำเนินการในระยะที่ 2 ระหว่างวันที่ 8-12 ต.ค.2567 ณ วัดผาสุการาม บ้านไม้ลุงขน ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทีม Fix it Center จะมี  วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกเชียงราย วิทยาลัยเทคนิคสองแคว  วิทยาลัยการอาชีพเถิน วิทยาลัยการอาชีพลอง ทีมฟื้นฟูและช่วยเหลือฯ มี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชัยนาท วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีฉะเชิงเทรา วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกาญจนบุรี และวิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี ทีมประกอบอาหาร เป็นทีมวิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ ระยะที่ 3 ระหว่างวันที่ 13-17 ต.ค. 2567  ทีม Fix it Center จะมี วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร วิทยาลัยการอาชีพพิชัย วิทยาลัยการอาชีพนครไทย วิทยาลัยสารพัดช่างพิษณุโลก ทีมฟื้นฟูและช่วยเหลือฯ มี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีแพร่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครสวรรค์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุโขทัย วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกำแพงเพชร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตาก วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบูรณ์ ทีมประกอบอาหาร จะเป็นทีมที่มาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง ระยะที่ 4 ระหว่างวันที่ 18 – 22 ต.ค. 67 ทีม Fix it Center จะมีวิทยาลัยเทคนิคนครสวรรค์ วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ วิทยาลัยการอาชีพเถิน วิทยาลัยการอาชีพลอง วิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ ทีมฟื้นฟูและช่วยเหลือฯ มี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุทัยธานี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูน วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพิจิตร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพะเยา ทีมประกอบอาหาร จะเป็นทีมที่มาจาก วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก