คณะวิศวะ มทร.กรุงเทพ ตรวจสอบอาคารสูงในมหาวิทยาลัยประเมินความมั่นคงและปลอดภัยหลังแผ่นดินไหว

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2568 รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า ภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา  วันนี้คณาจารย์จากสาขาวิชาต่าง ๆ ของ คณะวิศวกรรมศาสตร์  ได้แก่ วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสำรวจ วิศวกรรมเครื่องกล  วิศวกรรมอุตสาหการ และวิศวกรรมไฟฟ้า ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบอาคารสูงภายในมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการประเมินเบื้องต้นในด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของอาคาร รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับนักศึกษา บุคลากร และผู้มาใช้บริการภายในมหาวิทยาลัย

“การดำเนินการครั้งนี้ คณาจารย์จากแต่ละสาขาได้นำความรู้ทางวิชาการและประสบการณ์ด้านวิศวกรรมมาใช้ในการประเมินโครงสร้างอาคาร  และปัจจัยด้านความปลอดภัยต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอาคารภายในมหาวิทยาลัยสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อทุกคน เพราะมทร.กรุงเทพ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักศึกษาและบุคลากรเสมอ และจะมีการตรวจสอบสภาพอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อยู่ในสภาพที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการเรียน การสอน และการทำงานภายในมหาวิทยาลัย”อธิการบดี มทร.กรุงเทพกล่าว

แผ่นดินไหว …ศธ.ห่วงนักเรียนและครูรับผลกระทบ”บิ๊กอุ้ม”สั่งด่วนเลื่อนวันสอบเข้า ม.1 – ม.4 รอตรวจสภาพอาคารและแจ้งวันสอบใหม่

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568  พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ส่งความห่วงใยไปยังทุกส่วนราชการของ ศธ. ภายหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว และมีหลายจังหวัดของประเทศได้รับผลกระทบจาก Aftershock โดยมีข้อสั่งการให้นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แจ้งทุกหน่วยงานให้ดำเนินการ ดังนี้

1. ตรวจสอบความมั่นคงของอาคาร สถานที่ มีความปลอดภัยหรือไม่ และให้ บุคลากร ปฏิบัติงานที่บ้านทันที จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวการณ์ปกติและมีความปลอดภัย

2.ให้หยุดและเลื่อนการเรียนการสอนและกิจกรรมในอาคาร อาคารสูง ทุกประเภท ไว้ก่อน จนกว่าจะมีสถานการณ์ที่ปลอดภัย และตรวจสอบอาคารว่าปลอดภัย

ทั้งนี้ ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้พิจารณาสั่งการไปถึง ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพม.)ทั่วประเทศ ให้แจ้งไปยังโรงเรียนมัธยมฯที่จะสอบเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้ “เลื่อนการสอบทั้งหมด” ออกไปก่อน แล้ว พร้อมให้โรงเรียนตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความมั่นคง ความแข็งแรงความปลอดภัยของอาคารเรียน โดยเฉพาะอาคารเรียนสูง จนกว่าคณะกรรมการแจ้งยืนยันความปลอดภัย จึงจะดำเนินการสอบใหม่อีกครั้ง

ด้าน ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า  จากเหตุการณ์ดังกล่าว  พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. และ สพฐ. มีความห่วงใยสวัสดิภาพของนักเรียนและผู้ปกครอง รวมถึงครูและบุคลากรทางการศึกษา จึงขอให้ สพท.ทั่วประเทศติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอส่งกำลังใจให้ทุกโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบ ให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบว่ามีนักเรียน ครู โรงเรียน หรือเขตพื้นที่ใด ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ สามารถแจ้งมายัง ศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สพฐ. เบอร์โทร 02-123-8789 หรือ 02-288-5599 เพื่อประสานให้ความช่วยเหลือต่อไป นอกจากนี้ ตนได้สั่งการให้ สพท.ทุกแห่งทั่วประเทศ แจ้งไปยังโรงเรียนมัธยมฯในสังกัด ที่จะจัดสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อในชั้น ม.1 และ ม.4 ให้เลื่อนการสอบทั้งหมดออกไปก่อน และให้โรงเรียนตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความมั่นคง ความแข็งแรงความปลอดภัยของอาคารเรียนโดยเฉพาะอาคารเรียนสูง จนกว่าคณะกรรมการจะแจ้งยืนยันความปลอดภัยจึงจะดำเนินการสอบใหม่อีกครั้ง โดย สพฐ. จะกำหนดปฏิทินการรับนักเรียนและการสอบใหม่อีกครั้งและแจ้งให้ทราบต่อไป

“เสมา1”ไฟเขียว Anywhere Anytimeขึ้นTORประชาพิจารณ์ก่อนจัดซื้อจัดจ้าง

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า การปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศ รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล โรงเรียนที่ผู้ปกครองนักเรียนมีฐานะยากจน ศธ.จะต้องมาหาวิธีลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งกลไกหลักที่จะมาตอบรับคือ การศึกษาเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ( Anywhere Anytime) นอกจากนี้ยังมีความท้าทายกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล การเข้ามามีบทบาทของระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะมีส่วนช่วยในการดำเนินการศึกษา ซึ่ง ศธ.ได้พยายามพัฒนาครูให้มีคุณภาพในการจัดการเรียนการสอน นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน พัฒนาผู้เรียนให้ก้าวทันโลก และ คณะรัฐมนตรี (ครม.)ก็ได้อนุมัติงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท (งบผูกพันตั้งแต่ปี 2568-2572)โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime เรียนฟรี มีงานทํา โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีระบบ หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จัดหาอุปกรณ์และการแจกอุปกรณ์เทคโนโลยีประกอบการสอนให้แก่ครู ซึ่ง ศธ.จะต้องเร่งดำเนินการขับเคลื่อนโดยเร็ว

“โครงการดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ซึ่งตนทราบว่า สพฐ. ได้ขึ้นเว็บไซต์เพื่อให้แสดงความคิดเห็น หรือ วิจารณ์ร่าง TOR แล้ว ก่อนจะดำเนินการในขั้นตอนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนจะมีผู้วิจารณ์ TOR อย่างไรนั้น ก็ให้ดำเนินการตามกระบวนการ เพราะมีขั้นตอนของการดำเนินงานอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้เพื่อการปฏิบัติการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาประเทศ เราก็ต้องเร่งดำเนินการโดยเร็ว”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ศธ.-สกสค.-MOU สกร.เชิญชวนครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้าโครงการ ชพค.ชพส.สวัสดิการสูง

วันที่ 26 มีนาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการส่งสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา( สกสค.) ร่วมกับ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการสำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา และสมาชิก ช.พ.ค. – ช.พ.ส. ให้ครอบคลุมถึงคู่สมรสเพศเดียวกัน ในกลุ่มหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ตามหลักสมรสเท่าเทียม  โดยดร.พีระพันธ์  เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. และ นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสองหน่วยงาน ร่วมเป็นสักขีพยาน

โดย ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. กล่าวว่า “การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ในครั้งนี้ เป็นการเน้นย้ำว่า สกสค. พร้อมสนับสนุนสิทธิประโยชน์ของบุคลากรทางการศึกษาในทุกมิติ เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ของ สกสค. ที่มุ่งมั่นส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการของครูให้ครอบคลุมและทันสมัย เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 133 ปี สกสค. ในฐานะหน่วยงานในกำกับ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาสวัสดิการให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับยุคสมัย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฉลองโอกาสพิเศษนี้ ด้วยการเปิดรับสมัครสมาชิก ช.พ.ค.-ช.พ.ส. กรณีพิเศษอายุเกิน 35 ปี  ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน จนครบ 133 วัน ทั้งนี้เพื่อให้การส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพ ของ สกสค. ทั่วถึงและครอบคลุมครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกสังกัด

“ปี 2568 ในโอกาสกระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 133 ปี เราจะให้โรงพยาบาลครูเคลื่อนที่ไปหาโรงเรียน เพื่อไปให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพของนักเรียน หลังจากที่ผ่านมาเราทำงานเชิงรุกจัดโรงพยาบาลครู เคลื่อนที่ตรวจสุขภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกจังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลครูจะขอรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่มาฉีดให้บุคลากรในกระทรวงศึกษาธิการ เพราะนอกจากการรักษาแล้วเราจะต้องมีการป้องกันด้วย โดยผู้สนใจสามารถมาลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน นี้”เลขาธิการ สกสค.กล่าว

ด้าน นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ในฐานะกรรมการ ช.พ.ส. กล่าวว่า “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ มุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมแห่งความเสมอภาคและความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้บุคลากรทางการศึกษาทุกคนได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม และสามารถเข้าถึงสวัสดิการที่พึงได้รับโดยไม่มีข้อจำกัดด้านเพศสภาพ  ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวเป็นการตอกย้ำแนวทางของหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนความเท่าเทียมและสิทธิของทุกคนในสังคม อันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสวัสดิการของบุคลากรทางการศึกษาในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สกร.ไม่ได้บังคับให้เข้าโครงการ ชพค.ชพส.แต่เราได้หยิบยื่นสิ่งที่ดีให้กับทุกคน เพื่อให้รับสวัสดิการที่ดี

สพฐ.ขึ้นประชาวิจารณ์TORโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลาแล้ว ปีนี้คาดว่าจะต้องใช้งบฯกว่า5พันล้านบาท

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)แถลงข่าว ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ว่า ขณะนี้ สพฐ.ได้นำร่างขอบเขตของงาน (Terms Of Reference : TOR)โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน ขึ้นแสดงความคิดเห็น หรือวิจารณ์ร่าง TOR แล้ว จำนวน 5 กิจกรรม คือ 1,ประกวดราคาเช่าใช้ระบบประมวลผลแบบคลาวด์ ภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ ด้วยวิธีประกวด ราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) (เลขที่โครงการ : 68039476031)งบประมาณ 2,800 กว่าล้านบาท(งบฯผูกพัน5ปี) 2, ประกวดราคาซื้อจัดซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปพร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้แห่งชาติ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน ระยะที่ 2 ภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) (เลขที่ โครงการ : 68039476484)งบประมาณ 1,330 กว่าล้านบาท  3,ประกวดราคาเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอน สำหรับครูและนักเรียนภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ชั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลาสพฐ. ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) (เลขทีโครงการ : 68039475584) งบประมาณ 14,600 กว่าล้านบาท(งบฯผูกพัน5ปี) 4,ประกวดราคาจ้างเหมาดำเนินการจัดหานวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ ภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) (เลขที่โครงการ : 68039476084)งบประมาณ 237 กว่าล้านบาท  และ 5,ประกวดราคาจ้างจ้างเหมาดำเนินการจัดหานวัตกรรมสื่อการจัดการเรียนรู้ผู้เรียนยุคใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21 ภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) (เลขที่โครงการ : 68039475825)งบประมาณ 195 กว่าล้านบาท โดยคาดว่างบประมาณที่จะต้องใช้ดำเนินการในปี 2568 จะใช้งบฯกว่า 5,000 ล้านบาท  โดยจะขึ้นให้แสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์ร่าง TOR ประมาณ 5-7 วัน หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างต่อไป

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนของงาน และเป็นไปตามนโยบายของ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ตนจึงให้ปรับสำนักภายในของสพฐ.ให้เป็นไปตามกฏหมายที่เดิมมีอยู่ 12 สำนักใหญ่ แต่สพฐ.ได้ขยายไปถึง 20 สำนัก ดังนั้นจึงได้ปรับลดลงมาให้มีเท่าเดิม คือ 12 สำนักใน สพฐ.

สกศ.- สกร.สำรวจอัตราการรู้หนังสือของคนไทย ปลื้ม คนไทยรู้หนังสือเพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ที่ ห้องประชุมกำแหง พลางกูร สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา และ นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.) ร่วมแถลงผลการสำรวจการรู้หนังสือของประชากรไทยปี 2568 โดย รศ.ดร.ประวิต กล่าวว่า อัตราการรู้หนังสือถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนระบบการศึกษาของแต่ละประเทศ ทั้งในด้านคุณภาพการศึกษาและการเข้าถึงระบบการศึกษา จึงเป็นตัวชี้วัดที่หน่วยงานทางการศึกษาระดับนานาชาตินิยมใช้จัดอันดับทางการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จึงร่วมกับ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ดำเนินการสำรวจการรู้หนังสือของประชากรไทย ปี 2568 โดยพัฒนาแบบสำรวจการอ่านของประชากรที่จัดทำโดยจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ทำการสุ่มตัวอย่างครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 7,429 ตำบล คิดเป็น 225,963 ครัวเรือน หรือคิดเป็นจำนวนประชากร 533,024 คน ผลการสำรวจ ฯ พบว่า อัตราการไม่รู้หนังสือของประชากรไทยอายุ 15 ปี ขึ้นไป อยู่ที่ 1.17% และอายุ 7 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 1.16% เมื่อพิจารณาในรายจังหวัด พบว่า 51 จังหวัด มีอัตราการไม่รู้หนังสือน้อยกว่า 1% 25 จังหวัด มีอัตราการไม่รู้หนังสือระหว่าง  1 – 5% และมีเพียงจังหวัดเดียวที่มีอัตราการไม่รู้หนังสือสูงกว่า 10%

เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า จากการสำรวจมีข้อค้นพบที่น่าสนใจ ได้แก่ 1) ภาวะการลืมหนังสือ การอ่านน้อยลง หรือการถดถอยของทักษะในการอ่านในผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ที่ไม่มีงานทำมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ทำให้คุณภาพการอ่านของคนไทยลดน้อยลง 2) ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการรู้หนังสือมากขึ้น คือ แรงขับจากการต้องการมีงานทำ โดยเฉพาะเขตอุตสาหกรรม 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพในการรู้หนังสือของผู้เรียน พบว่า ความเหลื่อมล้ำระหว่างสถานศึกษาขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เป็นปัจจัยที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว และ 4) สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการรู้หนังสือ และป้องกันภาวะการลืมหนังสือ คือ การกระตุ้นให้เกิดการรวมกลุ่มกันตามความสนใจ และกลุ่มอายุ เช่น ชมรมผู้สูงอายุ จะช่วยให้เกิดพัฒนาตนเองกันระหว่างกลุ่ม

รศ.ดร.ประวิต กล่าวอีกว่า คณะวิจัยได้มีข้อเสนอเชิงนโยบาย  คือ 1) การสร้าง Active Ageing ผ่านการรู้หนังสืออย่างมีส่วนร่วมจะช่วยทั้งการส่งเสริมสุขภาพ ความมั่นคงในชีวิต และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนสูงวัย 2) การส่งเสริมการรู้หนังสือที่เพิ่มมากขึ้นต้องสร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมการอ่านตามความสนใจและต้องการของกลุ่มเป้าหมาย 3) การประยุกต์ใช้ AI รวมทั้งการจัดทำสื่อที่ทันสมัยและน่าสนใจ จะช่วยทำให้ประชากรในทุกช่วงวัยได้มีโอกาสพัฒนาการอ่านได้ดีมากยิ่งขึ้น และ 4) การส่งเสริมให้ประชากรที่ว่างงานมีงานทำเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วงส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาตนเอง และพัฒนาทักษะการอ่านได้ดีมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ผลการสำรวจการรู้หนังสือของคนไทย จะเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์และสังเคราะห์การพัฒนาการศึกษา เพื่อประกอบการจัดทำแผนและยุทธศาสตร์การศึกษา และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศ รวมถึง สกศ. ได้หารือ UNESCO และส่งผลข้อมูลนี้ซึ่งมีความเป็นปัจจุบันไปใช้ในการจัดอันดับระดับนานาชาติได้อย่างแม่นยำและสะท้อนคุณภาพการศึกษาไทยได้อย่างแท้จริง

“ยศพล-ณรงค์ชัย”ออกโรงยืนยันสอบผอ.สถานศึกษาอาชีวะโปร่งใส ยินดีให้ตรวจสอบทุกข้อสงสัย

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แถลงข่าวกรณี การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)ตามประกาศคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ว่า ขอชี้แจงเรื่องการสอบผู้อำนวยการสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งสังคมและบุคคลบางกลุ่มมีความเคลือบแคลงสงสัย ตนยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวถูกต้องตามหลักเกณฑ์คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)กำหนด และยินดีให้ตรวจสอบในทุกประเด็นที่สงสัย

“สอศ.มีหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานบุคคล และการคัดเลือกผู้อำนวยการสถานศึกษา การสอบครั้งนี้เราได้เตรียมการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2567 ที่มีผู้เกษียณอายุราชการ มีตำแหน่งว่าง 33 ตำแหน่ง เพื่อสรรหาผู้อำนวยการสถานศึกษาเข้าไปทำงาน เนื่องจากศักดิ์และสิทธิเกิดขึ้นก่อน ก.ค.ศ.จะประกาศใช้มาตรฐานตำแหน่งใหม่ โดยจ้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำการประมวลผลคะแนนและจัดลำดับผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด ยืนยันว่าครูคนที่เป็นข่าวสอบผู้อำนวยการสถานศึกษาได้ด้วยตัวเอง มีคุณสมบัติตามที่ ก.ค.ศ.กำหนดทุกประการ”นายยศพล กล่าว

ด้าน นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า การสอบครั้งนี้ได้กำหนดการคัดเลือกเป็น 3 ภาค ดังนี้ ภาค ก ความรู้และความสามารถในการบริหารในหน้าที่ 10 คะแนน ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฎิบัติงานในหน้าที่ 60 คะแนน และ ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง 30 คะแนน โดย 60 คะแนนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด สอศ.ดำเนินการในส่วนของการสรุปผลคะแนนของคณะกรรมการประเมิน 40 คะแนน ซึ่งสัดส่วนของคะแนนการสอบครั้งนี้ สอศ.ใช้ตั้งแต่สอบปี 2565 ไม่ใช่เพิ่งมาใช้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ใดสงสัยหรืออยากรู้คะแนนสอบของตัวเองก็สามารถติดต่อดูได้ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรายินดีให้ตรวจสอบทุกเรื่อง

มทร.กรุงเทพ จับมือ เกียร์เฮด ผู้นำอุตสาหกรรมให้เช่าอุปกรณ์ภาพยนตร์ของไทย พัฒนาบุคลากรวิชาชีพด้านภาพยนตร์ และผลิตบัณฑิตที่มีทักษะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (มทร.กรุงเทพ) กล่าวว่า มทร.กรุงเทพ มุ่งมั่นผลิตบัณฑิตที่มีทักษะการปฏิบัติและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมบันเทิง โดยความร่วมมือกับบริษัท เกียร์เฮด จำกัด เพื่อช่วยให้นักศึกษาในสาขาวิชาเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้เรียนรู้เทคโนโลยีและกระบวนการผลิตภาพยนตร์อย่างครบวงจร ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพบัณฑิตของมหาวิทยาลัย

ด้าน ผศ.ดร.ครรชิต กำลังกล้า คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มทร.กรุงเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือครั้งนี้เกิดจากความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายในการเชื่อมโยงการเรียนรู้สู่ภาคปฏิบัติ ซึ่งเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมา ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง มทร.กรุงเทพ กับ บริษัท เกียร์เฮด จำกัด ที่  บริษัท เกียร์เฮด จำกัด โดย รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดี มทร.กรุงเทพ และ คุณชยานนท์ อุลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกียร์เฮด จำกัด ร่วมลงนาม และได้รับรับเกียรติจาก คุณชนินทร อุลิศ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เกียร์เฮด จำกัด, คุณพิริยพงศ์ แจ้งเจนเวทย์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสถานประกอบการและการอบรมด้วยระบบคุณวุฒิวิชาชีพ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ, รวมถึงผู้แทนจากบริษัท เกียร์เฮด จำกัด และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมเป็นสักขีพยาน และภายหลังพิธีลงนามคณะจากมหาวิทยาลัยได้เยี่ยมชมบริษัท เกียร์เฮด จำกัด และ The Studio Park พร้อมรับชมการสาธิตระบบ Virtual Production ซึ่งช่วยให้นักศึกษาและคณาจารย์ได้เรียนรู้เทคโนโลยีล้ำสมัยจากประสบการณ์จริง

“ความร่วมมือนี้จะช่วยพัฒนาคุณภาพนักศึกษา ผ่านการฝึกทักษะและประสบการณ์วิชาชีพในสถานที่ทำงานจริง รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เช่น การจัดการองค์ความรู้ด้านภาพเคลื่อนไหวและเทคโนโลยีการจัดแสงดิจิทัลสมัยใหม่ อีกทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนบุคลากรและการวิจัยร่วมกัน เพื่อผลักดันการเติบโตของบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยรุ่นใหม่”ผศ.ดร.ครรชิต กล่าวและว่า มทร.กรุงเทพ คาดหวังว่าความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างบัณฑิตนักปฏิบัติที่มีคุณภาพ และสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยอย่างยั่งยืน

ศธ. จับมือ ทรูคอร์ปฯ ทำโรงเรียนร่วมพัฒนา สร้างคุณภาพเด็กไทย “เรียนดี มีความสุข”ที่อยุธยา

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และสถานศึกษาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 32 แห่ง แบ่งเป็น โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) พระนครศรีอยุธยา 16 แห่ง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) พระนครศรีอยุธยา เขต 1 จำนวน 9 แห่ง และ สพป.พระนครศรีอยุธยา เขต 2 จำนวน 7 แห่ง โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการกพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการกพฐ. พร้อมด้วยผู้บริหารของ ศธ. ผู้บริหารเขตพื้นที่ฯ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครูและบุคลากรฯ เข้าร่วม ณ โรงเรียนอยุธยานุสรณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา

โดยพล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้เด็กไทยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะเป็นจังหวัดนำร่องสร้างเครือข่ายโรงเรียนร่วมพัฒนา เนื่องจากเครือข่ายสถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชนมีความพร้อม หากมีการนำร่องโครงการดังกล่าวจะเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งตนขอฝากผู้บริหารโรงเรียนทั้ง 36 แห่งร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาที่จะทำอย่างไรให้เด็กนักเรียนของเราเติบโตเป็นคนคุณภาพ พร้อมด้วยสมรรถนะ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” ตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ทั้งนี้ ตนคาดหวังว่าเมื่อสร้างความร่วมมือโรงเรียนร่วมพัฒนาแล้ว เราจะขยายคุณภาพของเราให้แก่โรงเรียนอื่นๆ เติบโตไปด้วยกัน โดยอยุธยาจะเป็นต้นแบบที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยต่อไป

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะร่วมกันพัฒนาด้านเทคโนโลยี ทรัพยากร และองค์ความรู้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ภาคเอกชนที่มีศักยภาพได้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาไทยที่จะมาขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ถือเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของการศึกษาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งที่ผ่านมาโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาได้ทำมาแล้วหลายจังหวัดทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดลพบุรี และกรุงเทพมหานคร โดยครั้งนี้เหมือนพันธสัญญาที่จะมีต่อกันว่าบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ สพฐ. จะมีความร่วมมือเป็นอย่างดีในการพัฒนาการศึกษา ซึ่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เรื่องของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีการศึกษาต่างๆ ซึ่งเชื่อมั่นว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะเข้ามาเติมเต็มในการดึงศักยภาพความต้องการของผู้เรียนได้

ขณะที่ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางควบคู่ไปกับ การกระจายอำนาจ และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนด้วยเล็งเห็นว่า การศึกษา คือ รากฐานของการพัฒนาประเทศ จึงได้มีการริเริ่มโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมกันบริหาร จัดการศึกษา โดยมุ่งหวังให้สถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีศักยภาพรอบด้าน พร้อมเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไป

ด้านนางเนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและด้านการศึกษา บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมยกระดับการศึกษา ในฐานะที่บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ทำมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์อีดี ที่ได้ทำร่วมกับภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง 8 ปีแล้ว และในปีนี้ก็เช่นเดียวกันที่เราจะมาร่วมโครงการสร้างโรงเรียนคุณภาพในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เราต้องการที่จะขับเคลื่อนและยกระดับมาตรฐานการศึกษาไปด้วยกัน ซึ่งโครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาได้ดำเนินการผ่าน 5 ยุทธศาสตร์ ซึ่งตนเชื่อว่าเราจะสามารถดึงเอาพลังสำคัญของยุทธศาสตร์แต่ละด้านมาขับเคลื่อนให้กับจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่จะเป็นโรงเรียนแม่ข่ายและดึงความร่วมมือต่างๆ ให้กับโรงเรียนที่เกิดขึ้นในเครือข่ายและยกระดับไปทั่วประเทศพร้อมกัน

ทั้งนี้ 5 ยุทธศาสตร์ของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาไทย ประกอบด้วย 1. TRANSPARENCY การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะ มีระบบที่เก็บข้อมูลพื้นฐานโรงเรียนและจัดทำการประเมินคุณภาพโรงเรียนเผยแพร่สู่สาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการใช้ข้อมูลวางแผนพัฒนาโรงเรียนได้ตรงจุด 2. MARKET MECHANISMS กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม หลังจากที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เห็นข้อมูลโรงเรียน เกิดการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งร่วมกัน 3. HIGH QUALITY PRINCIPALS &TEACHERS การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน 4. CHILD CENTRIC & CURRICULUM การให้เด็กเป็นศูนย์กลางเสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ และ 5. DIGITAL INFRASTRUCTURE การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา สนับสนุนสื่อและอุปกรณ์ ICT ต่าง ๆ แก่ ครู นักเรียน เพื่อเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้จากทั่วโลก ซึ่งยุทธศาสตร์เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยความสำเร็จในการยกระดับการศึกษา

“เสมา 1” สั่ง สอศ. เร่งเคลียร์ดราม่าสอบ ผอ.สถานศึกษา ให้เวลา 15 วัน ต้องตอบชัดทุกประเด็น

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568  นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยกรณีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจัดการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)โดยใช้หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนด ซึ่งอิงหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.6/ว 8 ลงวันที่ 26 เมษายน 2562 ที่ยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน หากดูจากอัตราว่างตำแหน่งดังกล่าว พบว่ามีอยู่ 33 อัตรา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างจากการเกษียณอายุราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (1 ตุลาคม 2567) ซึ่ง สอศ.ชี้แจงว่า หากต้องรอหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาใหม่ จะไม่สามารถดำเนินการคัดเลือกได้ในเร็ววัน ซึ่งจะส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษาที่มีตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ว่างจากการเกษียณอายุราชการ จึงมีเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการคัดเลือกผู้อำนวยการสถานศึกษาเฉพาะตำแหน่งว่างจากการเกษียณอายุราชการ โดยใช้หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเดิมที่ยังมีผลบังคับใช้ เพื่อให้ได้ผู้ปฏิบัติหน้าที่บริหารสถานศึกษาได้ทันการเปิดภาคเรียน ในปีการศึกษา 2568 นี้ โดยที่ผ่านมา สอศ. ได้ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวมาเป็นระยะ ซึ่งได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนดทุกประการ โดยยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม เสมอภาค และคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญการจัดสอบในครั้งนี้ดำเนินการโดยศูนย์สอบธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นองค์กรภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกทั้ง ศูนย์สอบธรรมศาสตร์ยังได้ออกมาให้ข่าวยืนยันว่าผลคะแนนไม่มีความผิดปกติ ผู้สอบสามารถติดต่อขอดูคะแนนด้วยตนเองได้ เพราะฉะนั้นทุกกระบวนการขอให้มั่นใจได้ว่ามีการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอน

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ให้ความสำคัญในการดำเนินงานอย่างถูกต้องตามระเบียบของทุกหน่วยงานในสังกัดและองค์กรในกำกับ พร้อมเน้นย้ำว่าทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไร้ซึ่งการทุจริตทุกกรณี ไม่ให้เป็นที่คลางแคลงใจต่อสาธารณชน จึงมีข้อสั่งการให้ดำเนินการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีผลภายใน 15 วัน เพื่อไม่ให้เป็นข้อครหาของสังคม และต้องเปิดเผยข้อมูลให้กระจ่างเรียกความเชื่อมั่นในการดำเนินงานทุกขั้นตอน