“เสมา 1” สั่ง สอศ. เร่งเคลียร์ดราม่าสอบ ผอ.สถานศึกษา ให้เวลา 15 วัน ต้องตอบชัดทุกประเด็น

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568  นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยกรณีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจัดการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)โดยใช้หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำหนด ซึ่งอิงหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.6/ว 8 ลงวันที่ 26 เมษายน 2562 ที่ยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน หากดูจากอัตราว่างตำแหน่งดังกล่าว พบว่ามีอยู่ 33 อัตรา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างจากการเกษียณอายุราชการ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (1 ตุลาคม 2567) ซึ่ง สอศ.ชี้แจงว่า หากต้องรอหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาใหม่ จะไม่สามารถดำเนินการคัดเลือกได้ในเร็ววัน ซึ่งจะส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษาที่มีตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ว่างจากการเกษียณอายุราชการ จึงมีเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการคัดเลือกผู้อำนวยการสถานศึกษาเฉพาะตำแหน่งว่างจากการเกษียณอายุราชการ โดยใช้หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเดิมที่ยังมีผลบังคับใช้ เพื่อให้ได้ผู้ปฏิบัติหน้าที่บริหารสถานศึกษาได้ทันการเปิดภาคเรียน ในปีการศึกษา 2568 นี้ โดยที่ผ่านมา สอศ. ได้ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวมาเป็นระยะ ซึ่งได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนดทุกประการ โดยยึดหลักความโปร่งใส เป็นธรรม เสมอภาค และคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญการจัดสอบในครั้งนี้ดำเนินการโดยศูนย์สอบธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นองค์กรภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกทั้ง ศูนย์สอบธรรมศาสตร์ยังได้ออกมาให้ข่าวยืนยันว่าผลคะแนนไม่มีความผิดปกติ ผู้สอบสามารถติดต่อขอดูคะแนนด้วยตนเองได้ เพราะฉะนั้นทุกกระบวนการขอให้มั่นใจได้ว่ามีการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอน

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ให้ความสำคัญในการดำเนินงานอย่างถูกต้องตามระเบียบของทุกหน่วยงานในสังกัดและองค์กรในกำกับ พร้อมเน้นย้ำว่าทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไร้ซึ่งการทุจริตทุกกรณี ไม่ให้เป็นที่คลางแคลงใจต่อสาธารณชน จึงมีข้อสั่งการให้ดำเนินการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีผลภายใน 15 วัน เพื่อไม่ให้เป็นข้อครหาของสังคม และต้องเปิดเผยข้อมูลให้กระจ่างเรียกความเชื่อมั่นในการดำเนินงานทุกขั้นตอน

 

สกสค.อบรมสร้างวินัยทางการเงินตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ลดภาระหนี้สินครู

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการอบรมออนไลน์โครงการสร้างวินัยทางการเงินตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ประจำปี 2568 สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา หลักสูตร “บริหารการเงินอย่างยั่งยืน” ของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ผ่านทางระบบประชุมออนไลน์ ณ ห้องปฏิบัติการ OBEC Channel อาคาร สพฐ. 1 กระทรวงศึกษาธิการ โดยการอบรมมีทั้งในรูปแบบ Onsite และ Online ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างวินัยทางการเงินสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานและการดำรงตนได้

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับทุกท่านที่มีโอกาสได้เข้ารับการอบรมครั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการเล็งเห็นถึงภาระและหน้าที่ของครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงได้มีนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” และนโยบาย “แก้ไขปัญหาหนี้สินครู” ซึ่งหากมองย้อนไปจะเห็นว่า สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยสภาพเศรษฐกิจ ส่งผลให้ครูบางส่วนมีภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ภาระหนี้เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่บั่นทอนความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ และส่งผลต่อประสิทธิภาพในหลายด้าน จึงจัดโครงการนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีค่า สมควรแก่การยกย่อง และคาดหวังว่าทุกท่านที่เข้ารับการอบรม จะสามารถนำความรู้ประสบการณ์ที่ได้รับ ไปพัฒนาต่อยอดให้กับตัวเอง ครอบครัว หน่วยงาน และพร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยกันอย่างมั่นคง

ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. กล่าวรายงานว่า โครงการอบรมนี้ มีวัตถุประสงค์ในการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ครุและบุคลากรทางการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างวินัยทางการเงิน สู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการดำเนินงาน ตามบทบาทหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ตามแนวทาง “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถนำความรู้ และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานและการดำรงตนต่อไปได้ มีเป้าหมายการอบรมประกอบด้วยครู และบุคลากรทางการศึกษาทั้งในประจำการและนอกประจำการ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
โดยการอบรมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เกี่ยวกับหัวข้อการบรรยายเป็นอย่างดี ประกอบด้วย
1. คุณจิรายุส (ท็อป) ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ในหัวข้อ “การเงินสมัยใหม่ โลกแห่งโอกาสและความเสี่ยง และก้าวทันเศรษฐกิจยุคใหม่”
2. นายสุชาติ กลัดสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. และคณะ ในหัวข้อ การจัดสวัสดิการของ สกสค. เพื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา สำหรับการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงและมีความสุข
3. นายณรงค์พล พัฒนศรี ผู้ชำนัญพิเศษด้านบริหารงานบุคคล ในหัวข้อ การสร้างวินัยทางการเงิน การออม และการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
4. ดร.ประพัทธ์ รัตนอรุณ ประธานกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุราษฎร์ธานี จำกัด (อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษา) ในหัวข้อ การดำรงชีวิตอย่างพอเพียง

“ธนุ”ปลื้ม “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” เปรียบเสมือนเป็นโรงเรียนนานาชาติของอำเภอ ย้ำชัด สพฐ. เดินหน้าขับเคลื่อนต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( กพฐ.) เปิดเผยว่า ปีการศึกษา 2568 นี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีนโยบายสำคัญเร่งด่วนในการขับเคลื่อนต้นแบบการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพ โครงการ “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” จำนวน 1,808 โรงเรียน ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล และ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มอบหมายให้ สพฐ. ดำเนินการยกระดับคุณภาพการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ซึ่งจากการติดตามผลการดำเนินงานในปีการศึกษา 2566-2567 พบว่า โรงเรียนหลายแห่งมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้ ซึ่งการดำเนินโครงการนี้นอกจากโรงเรียนในโครงการฯ จะได้รับการพัฒนาแล้ว นักเรียนและโรงเรียนเครือข่ายที่ใช้ทรัพยากรร่วมกันที่โรงเรียนคุณภาพก็ได้รับการพัฒนาไปพร้อมกันด้วย

“ผมขอชื่นชมโรงเรียนคุณภาพที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น เช่น โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ กรุงเทพมหานคร และโรงเรียนวัดอมรินทราราม กรุงเทพมหานคร ที่ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้จากทั่วโลก และเตรียมความพร้อมสำหรับโลกยุคดิจิทัล, โรงเรียนอนุบาลวิหารแดง จังหวัดสระบุรี และโรงเรียนพนมทวนพิทยาคม (สว่างเคลิ้มสุคนธสิทธิ์อุปถัมภ์) จังหวัดกาญจนบุรี ที่โดดเด่นด้านการพัฒนาทักษะอาชีพ โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและมหาวิทยาลัย ในการฝึกอบรมวิชาชีพให้นักเรียน พร้อมทั้งบูรณาการหลักสูตรภาษาต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพในอนาคต, โรงเรียนชุมชนเมืองหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร และโรงเรียนรมย์บุรีพิทยาคม รัชมังคลาภิเษก จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศผ่านโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และความร่วมมือกับสถานศึกษาในต่างประเทศ ทำให้นักเรียนสามารถสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวต่อไปว่า นอกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและหลักสูตรแล้ว สพฐ. ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศของนักเรียน โดยสนับสนุนงบประมาณในการจ้างครูผู้สอนภาษาอังกฤษและภาษาจีน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถแข่งขันในระดับสากลได้ และการที่นักเรียนได้เรียนกับครูเจ้าของภาษาหรือครูที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง ส่งผลให้เด็กๆ สามารถพัฒนาทักษะการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้โรงเรียนคุณภาพสามารถจัดการเรียนการสอนที่มีมาตรฐานสูงขึ้น ทำให้นักเรียนและผู้ปกครองพึงพอใจ จนมีคำกล่าวว่า “โรงเรียนคุณภาพ เปรียบเสมือนเป็นโรงเรียนนานาชาติของอำเภอ” เพราะมีการจัดการเรียนการสอนหลายภาษา ซึ่งในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 นี้ สพฐ. ได้สนับสนุนงบประมาณในการจ้างครูผู้สอนภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพิ่มเติมกว่า 1,000 อัตรา กระจายไปยังโรงเรียนคุณภาพในทุกอำเภอ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนดึงดูดให้นักเรียนสนใจเข้าเรียนในโรงเรียนคุณภาพมากขึ้น

ขอย้ำว่า สพฐ. จะเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ “1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้การสนับสนุนทั้งงบประมาณ บุคลากร และสื่อการเรียนรู้ เพื่อให้โรงเรียนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้โครงการนี้เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทย เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึง และสามารถเติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต

ตามโผ! ศธ.ประกาศชื่อ 9 ผู้บริหารต้น ‘ภัทริยาวรรณ’ นั่งผู้ช่วยบิ๊กกพฐ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีประกาศรับสมัครคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับต้น สังกัดศธ. ดังนี้ 1.ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) 1 อัตรา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) 1 อัตรา รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) 2 อัตรา และรองศึกษาธิการภาค(ศธภ.) 5 อัตรา โดยกำหนดให้ยื่นใบสมัครด้วยตนเอง หรือทางอินเตอร์เน็ต พร้อมเอกสารตามที่กำหนด ระหว่างวันที่ 10-19 กุมภาพันธ์ และสอบสัมภาษณ์ในวันที่ 18-19 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุดวันนี้(20 มีนาคม )ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว ดังนี้1. น.ส.จารุนันท์ แก้วทองนาค ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาระบบบริหารงานบุคคล สำนักงานก.ค.ศ. เป็น รองเลขาธิการก.ค.ศ. 2. นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองเลขาธิการก.ค.ศ. ,3. น.ส.กชพรรณ บุญงามสม ผู้อำนวยการสำนักติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ. เป็น รองศธภ.1, 4.นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ. เป็น รองศธภ.3 ,5.นายนิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สอศ. เป็น รองศธภ.15 , 6.นายกิตติภัทท์ ไกรเพชร ศึกษาธิการจังหวัดสุรินทร์ เป็น รองศธภ.6 ,7.นายเสรี ตุ้มอ่อน ศึกษาธิการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นรองศธภ.14 ,8.นายสุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ สอศ. เป็น ผู้ช่วยเลขาธิการ กอศ. และ 9.นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สพฐ. เป็น ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.

สพฐ.เร่งเคลียร์ดราม่า ผอ.โรงเรียน โดนร้องพฤติกรรมไม่เหมาะสม สั่งปฏิบัติราชการชั่วคราว ที่ สพฐ.ทั้งผอ.เขตและผอ.โรงเรียน

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้รับมอบหมายจาก ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ให้ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ ถูกครูในโรงเรียนร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ ซึ่งทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)กาฬสินธุ์ เขต 2 ต้นสังกัดของโรงเรียน ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แต่ได้รับรายงานว่า ผอ.คนดังกล่าวยังมีการไปข้องเกี่ยวกับพยานหลักฐานและการปฏิบัติงานในโรงเรียนอยู่ ทางคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) จึงได้มีการหารือกันและสั่งการให้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจาก สพฐ.ส่วนกลาง และลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงานของ ผอ.เขตพื้นที่ฯ เนื่องจากมีความล่าช้าและหละหลวมในการปฏิบัติงาน โดยวันนี้ (19 มีนาคม 2568) ได้มีหนังสือสั่งการให้ ผอ.โรงเรียน และ ผอ.เขตพื้นที่ฯ เข้ามาปฏิบัติราชการเป็นการชั่วคราว ณ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้การสืบสวนในพื้นที่เป็นไปอย่างสะดวก ปรากฏข้อเท็จจริง และป้องกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานบุคคล หลักฐาน และเพื่อความปลอดภัยของครูผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียน โดยในระหว่างนี้จะแต่งตั้งผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีความเหมาะสมเข้าไปปฏิบัติงานในโรงเรียนดังกล่าว เพื่อให้โรงเรียนสามารถดำเนินการจัดการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง
.
“สพฐ. ได้เน้นย้ำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบ ได้ข้อมูลครบถ้วน เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และได้กำชับให้คณะกรรมการเร่งสืบสวนข้อเท็จจริงและได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในโรงเรียน รวมถึงนักเรียนและผู้ปกครองที่เกิดความกังวลใจในกรณีดังกล่าว อีกทั้งเรื่องสวัสดิภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงเรื่องความโปร่งใสไร้ทุจริตและประพฤติมิชอบ ก็เป็นเรื่องที่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม หากผู้บริหารโรงเรียนประพฤติตนไม่เหมาะสม ก็ยากที่จะพัฒนาการศึกษาให้เกิดคุณภาพกับผู้เรียนได้ ซึ่งก็ต้องมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงให้กระจ่างเสียก่อน เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งนี้ สพฐ. ได้กำชับสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ทุกแห่ง ให้กำกับ ติดตาม การปฏิบัติหน้าที่ของผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัด ให้ปฏิบัติราชการด้วยความถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีก” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว

“เลขาธิการกพฐ.”ตอบม็อบลูกจ้างฯทำหน้าที่จบแล้วรอคำตอบจากกรมบัญชีกลาง

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ว่าที่ร้อยตรีธนุ  วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหาร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมหารือกรณีกลุ่มผู้แทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทยและกลุ่มลูกจ้าง 5 ตำแหน่ง คือ ธุรการ, ครูวิกฤต ,ครูวิทย์-คณิต ,พี่เลี้ยงเด็กพิการ ,นักการภารโรง ได้เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาลูกจ้าง สังกัด สพฐ. ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างเป็นจ้างเหมาบริการและตัดเงินสมทบประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ส่งผลให้ลูกจ้างกว่า 72,044 คน ทั่วประเทศ ได้รับผลกระทบถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ อาทิ การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การรับเงินสงเคราะห์ เป็นต้น  ซึ่ง ปัจจุบัน สพฐ. ถือเป็นหน่วยงานที่มีลูกจ้างมากที่สุด เพราะมีโรงเรียนกว่า  3 หมื่นโรงเรียน   ใน 245 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ดังนั้นการจ้างแต่ละตำแหน่งจึงมีความแตกต่างกัน  ซึ่งกลุ่มนี้ได้มีข้อเรียกร้อง 2 เรื่อง คือ เปลี่ยนจากจ้างเหมาบริการ เป็นลูกจ้างชั่วคราว และ2.เรียกร้องให้ปรับเงินเดือน ผู้ที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และปริญญาตรี ให้เท่ากับข้าราชการ เนื่องจากมีลักษณะงานเหมือนกัน ทำงานที่เดียวกันแต่เงินเดือนยังมีความเหลื่อมล้ำ

“เรื่องนี้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศธ. และสพฐ. รับทราบถึงปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างดี เพราะกลุ่มนี้เคยมายื่นหนังสือเรียกร้องครั้งหนึ่งแล้ว เราก็รับข้อเสนอมาดำเนินการ  ล่าสุดก็ได้ทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ขอเปลี่ยนจากจ้างเหมาบริการเป็น ลูกจ้างชั่วคราว เพื่อไม่ให้กระทบกับประกันสังคม หากกรมบัญชีกลางเห็นชอบ ก็จะทำเรื่องเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ. )ขอกำหนดมาตรฐานตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ก็จะต้องขอตั้งงบประมาณ เพราะแต่ละตำแหน่งอัตราเงินเดือนไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นตอนนี้สพฐ. รู้ขั้นตอน ทั้งหมดแล้ว และกำลังดำเนินการทีละขั้นตอน สพฐ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ต้องรอคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหลังจากนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานให้เร็วขึ้น หากได้รับคำตอบจากกรมบัญชีกลาง ก็สามารถเดินหน้าตามขั้นตอนได้ทันที ถือว่าการทำงานของสพฐ.ตรงนี้จบแล้ว เพียงแต่รอคำตอบจากกรมบัญชีกลางตอบกลับมาเท่านั้น“ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว

เลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังหารือ การส่งเสริมการมีรายได้ของนักเรียนระหว่างปิดภาคเรียน ซึ่งในส่วนของ สพฐ. ขณะนี้มีนักเรียนสมัครแล้ว  340 คน มีค่าตอบแทนต่อคนไม่เกิน 6,000 บาท  นอกจากนี้ที่ประชุมยังเน้นย้ำ การนำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ มาใช้ในการสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาการสอบตามโครงการประเมินนักเรียนระดับนานาชาติหรือพิซ่า ซึ่งจะจัดสอบในเดือนสิงหาคมให้สูงขึ้น โดยปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมเข้าร่วมใช้เอไอ มาช่วยฝึกพัฒนาผู้เรียนกว่า 700 แห่ง ประมาณ 1,400 คน

ลูกจ้าง สพฐ.เดินหน้าพบนายกฯ-ก.คลัง ปักหลักรอจนกว่าจะได้คำตอบ เผยแกนนำโดนขู่สกัดไม่ให้เข้าร่วม

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการ เวลา 7.00 น กลุ่มเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย ทั้ง 5 ตำแหน่ง ได้เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาลูกจ้างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างเป็นจ้างเหมาบริการและตัดเงินสมทบประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ส่งผลให้ลูกจ้างกว่า 72,044 คน ทั่วประเทศ ได้รับผลกระทบถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ อาทิ การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การรับเงินสงเคราะห์ บำเหน็จ บำนาญ เป็นต้น โดยมี นายศุภสิน ภูศรีโสม ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ(สพร.) สพฐ. และ นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สนผ.) สพฐ. และคณะเป็นผู้รับเรื่อง
ทั้งนี้ นายศุภสิน กล่าวว่า ตน พร้อมด้วยนายนิยม และคณะ ได้รับมอบหมายจากว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ให้มารับเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สพฐ.รับรู้ถึงปัญหาต่างๆ เป็นอย่างดี และในฐานะ ผู้อำนวยการ สพร. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลบุคลากร สพฐ. ทั้งระบบ ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการหารือ กับผู้บังคับบัญชา และรายงานให้นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) รับทราบมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้มีการส่งหนังสือไปสอบถามกรมบัญชีกลาง กรณีการจ้างลูกจ้างชั่วคราว ต่อเนื่อง ในปี2567 ซึ่งทางกรมบัญชีกลาง ก็มีหนังสือตอบกลับมาว่าสามารถทำได้ แต่ต้องทำสัญญาภายในเดือนกันยายน จากนั้น สพฐ. ดำเนินการใน 2 เรื่อง คือของบกลางเพื่อเยียวยาและทำมาตรฐานตำแหน่ง เสนอให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) พิจารณา ซึ่งทางก.พ. ตอบกลับมาว่า ตำแหน่งลูกจ้าง ไม่ใช่ตำแหน่งหลักเป็นตำแหน่งส่งเสริม ดังนั้น จึงต้องกลับมาหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมถึงหารือกับคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร


“การหารือกับกมธ.การศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในครั้งนั้น สำนักงานก.พ. ได้ให้ข้อแนะนำ ให้ไปทำความตกลงกับ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เสนอแนวทางเปลี่ยนจากจ้างเหมาบริการ มาเป็นลูกจ้างชั่วคราวได้ ซึ่งมีแนวทางที่สามารถดำเนินการได้ อาทิ กรณีลูกจ้างชั่วคราวของ กระทรวงการต่างประเทศ ลูกจ้างชั่วคราวของกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) แต่ที่ดูมีความเป็นไปได้ของกลุ่มลูกจ้างศธ. คือ ลูกจ้างที่ทำความตกลงพิเศษ กับกระทรวงการคลัง ซึ่งที่ประชุม เห็นร่วมกันว่า แนวทางนี้จะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด “นายศุภสิน กล่าว


นายศุภสิน อำนวยการสพร. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อได้แนวทางดังกล่าวผู้อำนวยการสพร. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อได้แนวทางดังกล่าว ตนได้จัดทำหนังสือ ข้อเสนอการแก้ไขปัญหา รวมถึงมาตรฐานตำแหน่ง เสนอให้กรมบัญชีกลาง พิจารณา หากกรมบัญชีกลางให้ความเห็นชอบ ก็จะส่งให้สำนักงานก.พ. ดูมาตรฐานตำแหน่ง และกรอบตำแหน่งอีกรอบ ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะกลับมาใช้จ้างชั่วคราว เพราะบางตำแหน่งก็จ้างไม่ได้ โดยต้องดูลักษณะเหตุผลและความจำเป็น หากสำนักงานก.พ.เห็นชอบ ก็ต้องส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ พิจารณา เพื่อของบ ซึ่งกลุ่มที่จะได้กลับไปจ้างชั่วคราว จะได้รับเงินประกันสังคมอันโนมัติ และใช้งบเพียงกว่า 200 ล้านบาท รายละเอียดเหล่านี้ทางสพฐ. ดำเนินการมาหมดแล้ว รอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา คาดว่าจะหารือกับกรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม

“ผมเข้าใจความเดือดร้อน เพราะฉะนั้น จะเร่งแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด ส่วนหากจะไปยื่นหนังสือหน่วยงานใดต่อนั้น ก็ขอให้ไปอย่างกัลยาณมิตร ส่วนที่เสนอให้ขึ้นเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น ก็ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหา ”นายศุภสิน กล่าว

นายวรวิทย์ อัคราภิชาต ผู้แทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า วันนี้เรามาสอบถามความคืบหน้าจาก สพฐ.ว่ายื่นหนังสือถึงกระทรวงการคลังตามคำแนะนำของกรรมาธิการการศึกษา(กมธ.)สภาผู้แทนราษฏร ไปถึงไหนแล้ว ซึ่งตนได้รับทราบมาว่า สพฐ.ได้ทำหนังสือหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวไป 40,000 กว่าคน ซึ่งจริง ๆ แล้วคนที่เดือดร้อนได้รับผลกระทบจริง ๆ มี 22,000 กว่าคน ที่มาตามเงื่อนไขแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 :ไทยเข้มแข็ง หรือ เอสพี 2 ได้รับสิทธิประกันสังคมต่อเนื่อง และจะสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคมนี้แล้ว ซึ่งน่าจะขอลูกจ้างกลุ่มนี้ไปก่อน


“ผมเข้าใจว่า สพฐ.ต้องการดูแลลูกจ้างทุกกลุ่ม แต่ถ้าขอไปจำนวนมากกระทรวงการคลังก็ไม่อนุมัติอยู่แล้วเพราะได้ข่าวว่าคลังตีกลับมา ส่วนลูกจ้างที่มาตามพ.ร.บ.2560 ก็ดำเนินการตามเงื่อนไข หรือจะให้ขวัญกำลังใจว่าจะปรับฐานเงินเดือนให้ตามที่เป็นข่าว ก็ทำรอบที่ 2 หรือ รอบที3 ตามไป ซึ่งวันนี้ พวกเราทุกคนอยากฟังจากปาก สพฐ.เอง ถ้าผ่านตัวแทนก็ไม่เคลียร์ ถ้ากระทรวงการคลังรับเรื่องแล้วให้คำตอบมาสำนักงานข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)ก็รออยู่เพื่อเปิดกรอบอัตราให้”นายวรวิทย์ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ทางสมาพันธ์ฯได้ประสานงานกับ นายศุภสินว่าจะมาฟังคำตอบวันนี้ ท่านก็ตอบมาว่ามาได้ ไม่ได้ปิดกั้นใคร ก็ยินดี แต่ทราบมาว่า บางเขตพื้นที่ทางภาคอีสาน ผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯไม่อนุมัติให้เข้าร่วมกิจกรรม ถ้าคนใดมาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ก็จะเลิกจ้างทุกตำแหน่ง ตนก็ไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ลุแก้อำนาจหรือเปล่า หรือถูกสั่งการจากใคร ทำไมไม่มีความเมตตาลูกน้องที่ทำงานกันมาเป็นสิบ ๆ ปี


นายเกรียงศักดิ์ สร่างโศก ประธานสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้ ถ้าคุยแล้วไม่จบเราก็จะปักหลักขับเคลื่อนกันต่อไป ซึ่งจะมีพี่น้องทั้ง 5 ตำแหน่ง ทั่วประเทศเข้ามาสมทบ เพราะครั้งที่แล้วเรามาเราไม่ได้คำตอบ วันนี้ต้องขอคำตอบให้ได้ต้องให้ผู้ใหญ่เข้ามาตอบ มาชี้แจง ถ้าไม่มีคำตอบ วันนี้พวกเรายังไม่กลับ เราต้องได้คำตอบจากรัฐบาล ซึ่งหลังจากมาฟังคำตอบจาก สพฐ.กระทรวงศึกษาธิการ เราก็จะเดินทางไปพบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าได้รับทราบปัญหาของพวกเราหรือไม่ และจะไปพบผู้แทนกระทรวงการคลังว่าได้ดำเนินการอย่างไร เพราะตอนนี้สิทธิประโยชน์ที่เราได้รับน้อยกว่าพวกต่างด้าวเสียอีก
“พวกผมจะเดินทางไปหานายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจในรัฐบาลถ้าเราไม่ได้คำตอบจริงๆเราก็จะยกระดับการชุมนุมเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆเพราะพี่น้องทั่วประเทศเราทุกคนก็ทยอยมาแล้วตอนนี้ พวกเราไม่ได้มากดดันรัฐบาลในช่วงที่กำลังจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ พวกเราไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องมาล้มล้างรัฐบาล เรามาเพราะความความเดือดร้อนจริงๆ อยากให้ผู้ใหญ่ฟังเสียงสะท้อนจากผู้เดือดร้อนบ้าง”ประธานสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย กล่าว

ด้าน นายอรรถวุฒิ ไชยเสนา ประธานสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการภาคอีสาน กล่าวว่า สมาพันธ์ฯมีลูกจ้างฯสพฐ.ประมาณ 4,000-5,000 คน วันนี้เราจะมาทวงคืนความเป็นธรรมให้กับพวกเรา เพราะสิทธิประกันสังคมที่เราเสียไปจะถูกยกเลิกในวันที่ 31 มีนาคมนี้ คนที่กำลังจะคลอดก็จะหมดสิทธิใช้ประกันสังคม และบำเหน็จบำนาญก็จะหายไปทั้งหมด จากที่พวกเราใช้มาตรา33 มีเงินออมถ้าถูกโยกไปใช้มาตรา 39 บำนาญก็จะเหลือเพียง 1000 บาท ซึ่งก็ไม่มีความเป็นธรรมกับพวกเราที่ทำงานมา15-16 ปี ทุกอย่างจะหายไปหมด ทำงานทั้งปีมีสิทธิ์ประกันสังคมอย่างเดียวก็จะโดนตัด แล้วพวกเราจะอยู่อย่างไร ทั้งที่พวกเราไม่ได้ถูกจ้างมาตาม พ.ร.บ.2560 แต่เรามาตั้งแต่ปี 2552

มทร.กรุงเทพ ปลื้ม นักศึกษาเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ  โชว์ผลงานวิจัยสร้างสรรค์   หนุนผลงานวิจัยนักศึกษา พร้อมดึงเอกชนร่วมผลิตสู่ภาคธุรกิจอนาคต

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า จากที่ไปเป็นประธานเปิดโครงการนิทรรศการงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ทางคหกรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2567 ของคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา  ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำงานวิจัย นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ของนักศึกษา รวมทั้งส่งเสริม สนับสนุน ความคิด การปฏิบัติทางวิจัยนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง และพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์รองรับอุตสาหกรรมใหม่  โดยในปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด “การสร้างสรรค์สู่อนาคต”  ที่กำหนดให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 ทุกหลักสูตร มีการจัดการเรียนวิชาโครงงานปัญหาพิเศษ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้บูรณาการความรู้ที่ได้เรียนมาในทุกรายวิชา นำมาสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบของผลงานวิจัย นวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ศึกษามาร่วมกับอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลให้คำปรึกษาในโครงงานนั้น ๆ  อีกทั้งเป็นการจัดเวทีให้นักศึกษาได้แสดงศักยภาพของตนเองในด้านความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ทักษะในการทำงานร่วมกัน และการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาและถ่ายทอดผลงานที่น่าสนใจ สู่การนำไปประยุกต์ใช้และรองรับการเติบโตของการผลิตภาคอุตสาหกรรมของโลก

ผศ.ดร.ธนวิทย์ ลายิ้ม  คณบดีคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์  มทร. กรุงเทพ กล่าวว่า ในงานมีกิจกรรมต่าง ๆที่น่าสนใจ เช่น การเดินแบบของนักศึกษาสาขาวิชาการออกแบบแฟชั่นในหัวข้อ“LUCID DREAM” หรืออิสรภาพแห่งการควบคุม และการสำรวจความฝันอย่างไร้ข้อจำกัด  การแสดงผลงานวิจัยของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ใน 7 สาขา ที่สำคัญมีการมอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นให้แก่นักศึกษาสาขาต่าง ๆ ซึ่งผลงานวิจัยดีเด่นที่ได้รับรางวัล ได้แก่ สาขาวิชาธุรกิจอาหาร โครงงานการพัฒนาไส้กรอกเวียนนาไก่โดยใช้เมือกเม็ดแมงลักเป็นสารทดแทนไขมัน , สาขาวิชาเทคโนโลยีเสื้อผ้าและแพตเทิร์น โครงงานการสร้างสรรค์แพตเทิร์นเสื้อผ้าสตรีแรงบันดาลใจจากตัวละครในหนังตะลุงด้วยทฤษฎีรื้อสร้าง, สาขาวิชาอาหารและโภชนาการมี 4 โครงงาน 1.โครงงานศึกษาการศึกษาทำกัมมี่เยอลี่เสริมโปรตีนจากไข่ผำ 2.โครงงานอิทธิพลของสารเติมแต่งในอาหารที่มีผลต่อการขึ้นฟูและ 3. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลาสอดไส้น้ำจิ้มซีฟู๊ดพร้อมบริโภค และ 4. โครงงานน้ำจิ้มสุกี้ผง ส่วนสาขาวิชาการออกแบบแฟชั่น โครงงานการออกแบบเครื่องแต่งกายบุรุษและสตรีโดยใช้เทคนิค Eco Print พิมพ์ลวดลายจากวัสดุธรรมชาติ  และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร โครงงานการศึกษาวิธีการทำแห้งไข่ผำ และการประยุกต์ใช้ในขนมปัง

ด้าน ผศ.ดร.ศศธร สิงขรอาจ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ กล่าวว่า  การจัดงานครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี  ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ประกอบการ และนักศึกษาเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการผลงานวิจัยที่นักศึกษานำมาแสดงนั้น อธิการบดีได้เยี่ยมชมงานพร้อมออกปากว่านักศึกษาของเรามีศักยภาพมาก และเมื่อได้ชิมผลิตภัณฑ์อาหารที่นักศึกษาทำท่านเห็นว่าน่าจะมีการทุ่มงบประมาณให้เด็กไปทำผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น พร้อมทำเป็นแพคเกจจิ้ง ให้ดูดีและทันสมัย ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์ดูดีและเข้าสู่ธุรกิจได้ด้วย รวมทั้งอธิการบดียังให้นโยบายว่าการจัดงานในปีหน้าควรจะจัดให้ยิ่งใหญ่เป็นคหกรรมเฟสติวัล ที่สำคัญให้ดึงเครือข่ายหรือสถานประกอบการที่ร่วมทำกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัยและสนับสนุนเรามาตลอดให้เข้ามาร่วมงานให้มากขึ้น เพราะมีหลายโครงการที่สามารถนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้เลย

โรงเรียนแห่ใช้หลักสูตรปฐมวัย เน้นเด็กเล็กอ่านออกเขียนได้แบบเข้าใจ

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ กพฐ. ครั้งที่ 3 / 2568 ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาการร่างกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวม หรือ เลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เนื่องจากเรื่องของการขยายชั้นเรียน เลิก หรือยุบรวมสถานศึกษาจะต้องนำเข้าที่ประชุม กพฐ. ทุกครั้ง ซี่งเป็นงานประจำที่บอร์ด กพฐ.ต้องพิจารณาในทุกครั้งที่มีการประชุม แต่ในทางปฏิบัติเขตพื้นที่การศึกษาซึ่งอยู่หน้างานจะรู้ดีกว่า ดังนั้นบอร์ด กพฐ.จึงเห็นว่าควรถ่ายโอนงานการพิจารณาส่วนนี้ไปให้พื้นที่พิจารณา จึงได้มีการยกร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ขึ้นมา โดยวันนี้ได้มีการพิจารณาในรายละเอียดให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเปิดช่องว่าให้เป็นไปตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ต่อไป และในการขยายชั้นเรียนจะต้องมีการพิจารณารับฟังความเห็นของชุมชนด้วย รวมถึงกฎกระทรวงจะต้องพิจารณาโดยมองไปถึงอนาคตซึ่งจะต้องดูเรื่องของการจัดตั้ง รวมหรือเลิกสถานศึกษาที่จะต้องพิจารณาความเห็นในเชิงกายภาพ จำนวนเรียนต้องมีกี่คน โรงเรียนตั้งที่ไหน กฎกระทรวงก็จะต้องเขียนให้ยืดหยุ่นมากขึ้นเพราะต่อไปโรงเรียนอาจจะไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ตั้งชัดเจนเช่นปัจจุบันก็ได้เพราะมีการเรียนออนไลน์แล้ว เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่ากฎกระทรวงนี้จะสามารถนำมาใช้โดยเร็วภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตามวันนี้ที่ประชุมได้มีการอนุมัติรวมสถานศึกษา 5 โรงเรียน  อนุมัติเห็นชอบการเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 12 โรงเรียน และ มีการเลิกขยายชั้นเรียน ชั้น ม.ต้น จำนวน 3 โรงเรียน

ประธาน กพฐ. กล่าวต่อไปว่า เรื่องต่อมา คือ เรื่องความก้าวหน้าการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 ซึ่งเน้นสำหรับเด็กปฐมวัยช่วงอายุ 3 – 6 ปี และหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น ซึ่ง สพฐ.ได้เปิดโอกาสให้โรงเรียนที่พิจารณาว่าตัวเองมีความพร้อมสมัครเข้ามาในช่วงวันที่ 7 – 14 มีนาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีโรงเรียนสมัครเข้ามาถึง 2,316  แห่ง ซึ่งเป็นตัวที่บอกว่าโรงเรียนพร้อมที่จะไปใช้หลักสูตร ซึ่งเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานต่อยอดจากหลักสูตรฐานสมรรถนะเดิม โดยชั้นปฐมวัยและประถมต้นจะเน้นเรื่องของการอ่านออกเขียนได้ และที่สำคัญคือเป็นการอ่านออกเขียนได้แบบเข้าใจและคิดเป็น อย่างไรก็ตามคณะกรรมการมองประเด็นว่าการเปิดรับสมัครเพียงหนึ่งสัปดาห์ แต่มีโรงเรียนสมัครเข้ามาถึง 2,300 กว่าแห่งและยังมีโรงเรียนที่สนใจจะเข้าร่วมอีกจำนวนมาก ที่ประชุมจึงมีความเห็นให้ขยายเวลาในการรับสมัครออกไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม โดยทีมสำนักวิชาการ สพฐ.ได้รายงานถึงการเตรียมความพร้อมที่จะช่วยเหลือโรงเรียน เนื่องจาก หลักสูตรนี้จะเริ่มใช้ตอนเปิดเทอมในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ โดยได้มีการจัดตั้งคลินิกวิชาการขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนในการทำความเข้าใจกับโรงเรียนและจัดอบรมครูอาจารย์ในช่วงเดือนเมษายนนี้ เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับการใช้หลักสูตรต่อไป

 

 

“ลูกจ้าง สพฐ”นัดบุกศธ.ทวงถามความคืบหน้าสถานะ-ความมั่นคง พรุ่งนี้(18มี.ค.)7โมงเช้า

ตามที่ กลุ่มผู้แทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทยและกลุ่มลูกจ้าง 5 ตำแหน่ง มีมติจะเดินทางมาทวงถามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาลูกจ้าง สพฐ. ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างเป็นจ้างเหมาบริการและตัดเงินสมทบประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ส่งผลให้ลูกจ้างกว่า 72,044 คน ทั่วประเทศ ได้รับผลกระทบถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ อาทิ การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การรับเงินสงเคราะห์ เป็นต้น โดยนัดหมายจะเดินทางมาที่กระทรวงศึกษาธิการ ในวันที่ 18 มีนาคม นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีตัวแทนสมาพันธ์ฯ กว่า 1 พันคน เพื่อทวงถามความคืบหน้าหลังจากประชุมหารือร่วมกับกรรมาธิการการศึกษา(กมธ.)สภาผู้แทนราษฏร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน( ก.พ.)และกระทรวงการคลัง นั้น

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 นายวรวิทย์ อัคราภิชาต ผู้แทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทยและกลุ่มลูกจ้าง สังกัดสพฐ. กล่าวว่า ลูกจ้างทั้ง 5 ตำแหน่ง ได้นัดหมายเจอกันที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ในเวลา 7.00 น เพื่อมาถามและมารับฟังความคืบหน้าว่า สพฐ.ได้ดำเนินการช่วยเหลือพวกเราอย่างไร และเรื่องไปถึงไหนแล้ว หลังจากนั้นกลุ่มลูกจ้างฯก็จะเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวนี้เช่นเดียวกัน

ด้าน ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า เป็นสิทธิของลูกจ้างฯที่จะเดินทางมา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ สพฐ. ได้ทำหนังสือหารือและทำความตกลงกับกระทรวงการคลังแล้วรอกระทรวงการคลังตอบกลับมาว่าจะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตนได้มอบหมายให้ นายศุภสิน ภูศรีโสม ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สพฐ.เป็นผู้ชี้แจงกับลูกจ้างฯ