ศธ.เคลียร์ดราม่าประเด็นฟันโทษวินัยบุหรี่ไฟฟ้า ห่วงครูไม่ต้องรับจบทุกเรื่อง อย่างเข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมย้ำไม่เพิ่มภาระให้ครู แต่เป็นหน้าที่ปกติต้องดูแลเอาใจใส่นักเรียน 

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยกรณีกระทรวงศึกษาธิการออกประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ว่า ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประเด็นได้รับความสนใจอย่างมากในสังคม และยังเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสุขภาพในกลุ่มผู้เรียน และกังวลถึงภัยที่เกิดจากพฤติกรรมเลียนแบบจากคนรอบข้าง ครูผู้ใกล้ชิดกับเด็กและเป็นแบบอย่างที่ดีจึงมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับปัญหานี้ให้ถูกจุดเพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามไปมากกว่าเดิม

โฆษก ศธ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับมาตรการการลงโทษทางวินัยการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา ที่ขณะนี้มีคนไม่เข้าใจและนำข้อมูลผิด ๆ ไปแชร์ต่อกันเป็นวงกว้าง อาจทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เพราะบุหรี่ไฟฟ้านอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังมีโทษภัยร้ายแรงที่กระทบต่อสุขภาพในกลุ่มเด็กและเยาวชนระยะยาว และเป็นสิ่งต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ และบุคคลที่มีไว้ในครอบครองถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามหากสูบบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาหรือหน่วยงานราชการแม้กระทั่งที่สาธารณะก็เป็นเรื่องที่ผิด กระทรวงศึกษาธิการในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่ในการให้ความสำคัญกับผู้เรียนรอบด้าน และมีครูเป็นกำลังสำคัญในการดูและนักเรียนอย่างใกล้ชิด มีหน้าที่ขับเคลื่อนการ “ป้องปราม” เท่านั้น ส่วนเรื่องการ “ปรามปราบ” เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจในการตรวจค้นและจับกุม เพราะฉะนั้นคุณครูไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับภาระเพิ่มในส่วนนี้ เพียงทำหน้าที่ในการดูแลผู้เรียนอย่างเช่นเคย แต่เข้มงวดขึ้นไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาคลุกคลีกับลูกศิษย์ของเราในโรงเรียน และคอยเตือนเพื่อนไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว นี่คือการยืนยันถึงจุดยืนว่าปัญหานี้จะไม่ถูกเพิกเฉย

“ที่สำคัญมาตรการดังกล่าวไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ เพียงแต่ต้องการตั้งกฎขึ้นมาเพื่อสร้างความตระหนักรู้ร่วมกันถึงคุณธรรมและจริยธรรม ระหว่างครู ผู้บริหารสถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระตุ้นการต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวดจริงจัง ซึ่งการถูกลงโทษทางวินัยในที่นี้หมายถึงหากพบว่าผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา สนับสนุนการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาหรือปล่อยปละละเลย จะถูกดำเนินการทางวินัยตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 จึงควรทำความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียนให้สมกับที่ผู้ปกครองและสังคมไว้วางใจ”นายสิริพงศ์กล่าวและว่า ขอย้ำว่าครูไม่ใช่ผู้ที่ต้องรับจบทุกเรื่อง อยากให้มองว่าการป้องปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ภาระที่เพิ่มขึ้น เพราะการดูแลเอาใจใส่ผู้เรียนเป็นหน้าที่ของครูทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่ยกระดับมาตรการให้เข้มข้นมากขึ้น ดังนั้นหากพบเห็นบุคคลากรข้องเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า หรือมีการจำหน่ายจ่ายแจก และปล่อยให้มีการใช้งานในสถานศึกษาหรือหน่วยงานโดยเพิกเฉย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนการศึกษา 1579 และศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย หรือประสานงานกับหน่วยงานที่มีอำนาจในทางปฏิบัติ เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

โฆษก.ศธ. กล่าวอีกว่า กระทรวงศึกษาธิการเห็นใจและเข้าใจว่าไม่ได้เป็นหน้าที่ของครูเพียงฝ่ายเดียว ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ปกครอง ชุมชนและสังคม แต่การกำหนดมาตรการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อปกป้องเยาวชนของเราให้เติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาพดี เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย 100% ขอส่งกำลังใจให้ครูทุกคนทุกการดำเนินการจะสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบและความตั้งใจที่จะปกป้องผู้เรียน และช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

 

คัดเลือก ผู้บริหารต้น ศธ. 6 ตำแหน่ง สัมภาษณ์ 18-19 มี.ค.นี้

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)ฐานะประธานคณะกรรมการการคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารระดับต้น สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีประกาศรับสมัครคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับต้น สังกัดศธ. ดังนี้ 1.ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) 1 อัตรา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) 1 อัตรา รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกา (ก.ค.ศ.) 2 อัตรา และรองศึกษาธิการภาค(ศธภ.) 5 อัตรา โดยกำหนดให้ยื่นบสมัครด้วยต้นเอง หรือทางอินเตอร์เน็ต พร้อมเอกสารตามที่กำหนด ระหว่างวันที่ 10-19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดทางคณะกรรมการได้ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก และกำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว โดยให้ผู้ที่มีรายชื่อเข้ารับการคัดเลือกรายงานตัว เพื่อสอบสัมภาษณ์ในวันที่ 18-19 มีนาคม นี้

นายธนากร กล่าวต่อว่า สำหรับจำนวนผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกแต่ละตำแหน่ง ดังนี้ ผู้ช่วยเลขาธิการกพฐ. 14 ราย ผู้ช่วยเลขาธิการ กอศ. 10 ราย รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. ตำแหน่งเลขที่ 44 จำนวน 30 ราย รองเลขาธิการก.ค.ศ. เลขที่ 74 จำนวน 23 ราย รองศธภ.1 จังหวัดลพบุรี จำนวน 36 ราย รองศธภ.3 จังหวัดราชบุรี จำนวน 38 ราย รองศธภ.6 จังหวัดภูเก็ต จำนวน 37 ราย ศธภ.14 จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 37 ราย และศธภ.15 จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 38 ราย

“การคัดเลือกผู้บริหารต้นครั้งนี้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศธ. กำชับให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม โดยต้องคัดเลือกผู้ที่มีประสบการณ์ ความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง และลำดับอาวุโส ประกอบกันในทุกมิติ เพราะเมื่อเลือกให้เข้าไปทำงานแล้ว จะต้องสามารถตอบคำถามสังคมได้ว่า ผู้สมัครแต่ละรายที่ได้รับการคัดเลือกสามารถทำงานตามตำแหน่งได้จริง และเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการศธ.ให้ความสำคัญมากที่สุดในการคัดเลือกครั้งนี้ คือ ต้องยึดหลักคุณธรรมและความยุติธรรม ไม่ใช่เลือกจากคนของใคร เพราะการคัดเลือกผู้ที่เข้าไปทำงานในองค์กรขนาดใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ หากไม่ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสม ก็อาจไปสร้างปัญหาให้องค์กรได้ในอนาคต” นายธนากร กล่าว

อธิบดี สกร. กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้การคัดเลือกผู้บริหารระดับต้น ศธ.แล้ว ตนได้มีการลงนาม ในคำสั่ง สกร.เรื่อง ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 96 ราย ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารงานของสถานศึกษา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา

สพฐ.จับมือ ซีพีออลล์ 71โรงเรียนร่วมพัฒนาต่อยอดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ(MOU)โครงการ”โรงเรียนร่วมพัฒนา” (Partnership School Project) ระหว่าง นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)นายวิเชียร เนียมน้อม ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ดร.ฉัชร์ภิมุก อภินันท์โชติสกุล ผู้อำนวยการกลยุทธ์การศึกษาและพัฒนาธุรกิจบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ว่าที่ร้อยตรี ธนู วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานครเขต1(สพม.กท1)และสพม.กท2และผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร โดยมีโรงเรียนร่วม MOU จำนวน 71 โรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กล่าวว่า พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้  ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือในรูปแบบการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาการศึกษาไทย ซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต เพราะถ้าเรารู้จัก ซีพี ออลล์ ก็จะนึกถึงกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น ทำงาน หรือ ฝึกงานในเซเว่น ทำเบเกอรี่ แพคเกจจิ้ง (packaging)หรือการผลิตภัณฑ์ต่าง ซึ่งซีพี ออลล์ จะฝึกให้เด็กทำ อีกทั้งเด็กสามารถเรียนด้วยทำงานไปด้วย (Learn to Earn) เรียนรู้เพื่ออยู่รอด ตามนโยบายรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการบันทึกความเข้าในครั้งนี้จะเป็นโรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ แต่ก็ยังพบความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามีทั้งนักเรียนที่มีความพร้อมและนักเรียนที่ยังไม่มีความพร้อมด้านฐานะทางครอบครัว ดังนั้นความร่วมมือครั้งนี้ จะเข้าไปช่วยเติมเติมสิ่งที่เขาขาดได้

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการจัดการศึกษาภายใต้หลักการ “การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ และ การศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต” โดยใช้แนวทางการทำงาน “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” โดยพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธฺการ เกิดเป็นนวัตกรรมการบริหารและจัดการศึกษาอย่างมีส่วนร่วม ภายใต้การสนับสนุนทรัพยากรองค์ความรู้จากทุกภาคส่วน และเพื่อเป้าหมายสูงสุด คือ พัฒนาผู้เรียนให้ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ให้ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

ด้านนายปิยะวัฒน์  กล่าวว่า เรามุ่งหวังและตั้งใจให้โครงการสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายทุกประการ บริษัทฯ ยินดีกับโครงการนี้ที่จะร่วมมือกับทุกโรงเรียนในเครือข่ายที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่เราพร้อมที่จะปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้เท่าทันกับการประกอบการที่เปลี่ยนแปลงด้วยการสร้างอาชีพ ด้วยปณิธาน “สร้างเยาวชนสู่มืออาชีพ” เมื่อนักเรียนสำเร็จการศึกษาแล้วสามารถบรรจุทำงานได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือศึกษาต่อเนื่อง เราพร้อมที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้พัฒนาอาชีพและให้ความรู้ความสนใจทั้งในประเทศและขยายไปต่างประเทศ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือครั้งนี้จะขยายตัวไปทั่วประเทศ นักเรียนสามารถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้ และเราพร้อมที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ด้วย

สกร.พร้อมจัดสอบเทียบวัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน เริ่ม เม.ย.นี้

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการสอบเทียบวัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยอิงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดเดียวกันกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 เสร็จแล้ว และได้นำเสนอหลักสูตรดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อให้การรับรองและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน ซึ่งทาง สอศ.ตอบกลับมาว่าไม่ติดใจเรื่องของการเทียบระดับ แต่ถ้าเป็นการสอบรายวิชาแล้วนำมาเทียบมีระบียบของ สอศ.รองรับอยู่แล้ว แต่เป็นอำนาจของสถานศึกษาที่มีข้อพิจารณาแตกต่างกัน จึงมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่าเพื่อให้การดำเนินงานราบรื่น ควรออกเป็นประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องเทียบหลักสูตรมารองรับ ขณะที่ สพฐ.ได้มีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงเนื้อหา เพื่อให้มีความรอบครอบรัดกุม ซึ่ง สกร.ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงตามข้อเสนอแนะเรียบร้อยแล้ว และได้หารือกับ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้ให้ข้อเสนอแนะมา 2 ข้อ คือ 1.ให้ สกร.จัดทำประกาศ ศธ.เรื่องการเทียบหลักสูตร เพื่อให้ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาลงนามประกาศใช้ และ 2.ให้ สกร.มาวางแผนไทม์ไลน์ระยะเวลาการดำเนินงาน

อธิบดี สกร. กล่าวต่อไปว่า สกร.ได้ดำเนินการตามข้อแสนอแนะแบบคู่ขนานไปพร้อมๆกับการเตรียมเริ่มต้น (kick-off ) ดำเนินการเทียบระดับการศึกษา ด้วยวิธีการสอบเทียบวัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน 2568 นี้ โดยมีขอบข่ายเนื้อหาจัดสอบใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศึกษา 6. ศิลปะ 7. การงานอาชีพ  และ 8. ภาษาต่างประเทศ ทั้งนี้ สำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สามารถเลือกแผนการสอบได้ทั้งแผนทั่วไป และแผนวิทย์ – คณิต

“ สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัคร ต้องเป็นนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่มีสัญชาติไทย ไม่จำกัดอายุ แต่ในกรณีอายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง , เป็นผู้มีคุณวุฒิในระดับการศึกษาที่ต่ำกว่าระดับที่ประสงค์จะขอสอบเทียบหนึ่งระดับ ยกเว้นขอสอบเทียบวัดระดับอยู่ในระดับประถมศึกษา การสมัครสามารถสมัครด้วยรูปแบบออนไลน์ได้ที่  http://ekas.dole.go.th หรือ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอเมืองทุกจังหวัด และศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับเขตคลองเตย กรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 77 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเงื่อนไขในการรับวุฒิการศึกษาด้วยวิธีการสอบเทียบ คือ 1.ต้องสอบผ่านทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และ 2.เข้าร่วมสัมมนาวิชาการ เพื่อประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนการประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ และผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทั้งนี้ มั่นใจได้ว่าผู้ได้รับวุฒิการศึกษาด้วยวิธีการสอบเทียบ มีคุณภาพเช่นเดียวกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นที่ยอมรับ และสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้ ” อธิบดี สกร.กล่าว

นายธนากร กล่าวด้วยว่า การเทียบระดับการศึกษา ด้วยวิธีการสอบเทียบวัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน มีเป้าหมายสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องเรียนแต่ในห้องเรียนเท่านั้น โดยเชื่อว่าทุกคนสามารถมีวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ และเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในเรื่องการพัฒนาระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น ทั้งในระบบ นอกระบบ ตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาสนับสนุน และสอดคล้องกับนโยบายการจัดการศึกษาของ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ในด้านการลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง รวมถึงนโยบายการจัดการศึกษาที่เท่าเทียม พัฒนาคนไทยทุกคนในทุกช่วงวัย ให้ผู้เรียน “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” พัฒนา ส่งเสริม และสร้างความเสมอภาคเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มคุณภาพการศึกษา.

เสมา 1 เอาจริง ลงนามประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า กำชับปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ลงวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568 โดยระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้ามีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 คณะรัฐมนตรีเห็นขอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการป้องกันการเข้าถึงและใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาทุกระดับ

ด้วยปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 รวมทั้งบุคคลที่มีไว้ในครอบครองหรือรับไว้ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และเพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดประเภทหรือชื่อของสถานที่สาธารณะ สถานที่ทำงาน และยานพาหนะ ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสถานที่และยานพาหนะ เป็นเขตปลอดบุหรี่หรือเขตสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ พ.ศ. 2561

ดังนั้น เพื่อให้การป้องกันการเข้าถึงและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาและสถานที่ทำงานในพื้นที่บริเวณส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกำกับกระทรวงศึกษาธิการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศกำหนดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้

1. สร้างความตระหนักรู้เท่าทันพิษภัยและโทษของบุหรี่ไฟฟ้าทั้งต่อสุขภาพร่างกายและโทษทางอาญาให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหารทุกระดับ และเจ้าหน้าที่ อาทิ สอดแทรกเนื้อหาหรือหลักสูตรการเรียนการสอน กิจกรรม สื่อประซาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ
2. ให้ผู้รับผิดชอบสถานศึกษาหรือสถานที่ทำงาน จัดให้มีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นได้โดยชัดเจนว่าเป็นเขตปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า
3. ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นสอดส่อง ดูแลหรือป้องกันมิให้นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าทั้งการสูบ จำหน่าย มีไว้ในครอบครอง หรือสนับสนุนอย่างหนึ่งอย่างใด
4. หากมีกรณีตรวจพบ หรือมีการร้องเรียนกล่าวหา หรือกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหาร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ใดเช้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยตามอำนาจหน้าที่ทันที

กระทรวงศึกษาธิการขอกำชับให้หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ถือปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด

ยุคไก่ตัวเมียมาวิน

หยอก หยอก วันที่ 12 มีนาคม 2568 *** วันนี้ขอยกสุภาษิต “วัวสันหลังหวะ” คนที่มีความผิดติดตัวทําให้ต้องคอยหวาดระแวง ว่าเขาจะว่าตัวเอง *** มาเข้าเรื่องกันดีกว่า…งวดเข้ามาแล้วสำหรับการคัดเลือกผู้บริหารระดับต้น 9 ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ผู้ช่วยเลขาธิการ กอศ. รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. 2 ตำแหน่ง และ รองศึกษาธิการภาค อีก 5 ตำแหน่ง ที่รับสมัครกันไปเรียบร้อยแล้ว และ กำลังจะเข้าสู่กระบวนการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง หรือ สัมภาษณ์ ในอีกไม่กี่วันนี้ *** ใครมีสิทธิสมัครก็กระโดดขึ้นเวทีแข่งขันกันไปเรียบร้อยแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าใครจะได้ แม้จะมีฝีมือดี แต่จะสู้คนมีของได้รึเปล่าก็ต้องลองสู้ไปก่อน … แต่ที่แน่ ๆ งานนี้ ธนากร ดอนเหนือ ประธานคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการ เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้น สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จะลอยตัว หรือจะปวดหัว คนเก่งจริงก็ยังมีความหวัง เพราะข่าวแว่วมาว่า “เสมา 1” พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ได้ฝากข้อคิดไว้ว่า “การคัดเลือกคนที่จะมาทำงานใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เพราะถ้าไม่มีความยุติธรรม และ คุณธรรม จะสร้างปัญหาในอนาคตได้ การเลือกคนไม่ใช่ถูกใจใครแล้วเอามาเลย แล้วก็ไม่ใช่ว่าคนนี้เป็นคนของใคร แต่ต้องเลือกคนที่มีผลงาน สามารถทำงานได้ รวมถึงความอาวุโส ถ้าอาวุโสแต่ทำงานไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ … พูดมาขนาดนี้ชักอยากเห็นหน้าตา ผู้บริหารระดับต้นรุ่นใหม่แล้วล่ะ *** อ้อ.. ช่วงหลังมานี้ เมื่อมีการลงสนามแข่งขันหรือคัดเลือก ไก่ตัวผู้มักจะตีสู้ไก่ตัวเมียไม่ได้ เพราะอะไรก็ต้องสอบถามกันเอาเอง…เรื่องนี้หยอก หยอก จะไม่ยุ่ง…5555 *** นี่ก็อีกข่าวที่ หยอก หยอก แทบจะไม่อยากเชื่อ เพราะเป็นหน่วยงานที่เงียบเหลือเกิน แต่มีพรายกระซิบมาว่า หน่วยงานนี้เป็นเหมือนแดนสนธยา ภายนอกเห็นเงียบ ๆ ไม่มีอะไรหวือหวา ข่าวสารประชาสัมพันธ์เงียบกริ๊บ แต่ที่ไหนได้ข่าวว่าข้างในครุกรุ่น เละ ยิ่งกว่า….โหว งานนี้ ชักเริ่มสนุกแล้วสิ *** มีชี้เป้าถึงขั้นการขึ้นตำแหน่งใหญ่ไม่ต้องจ่ายค่าขนมเองหลายสิบกิโล มีคนจ่ายให้ เรื่องแบบนี้ก็พอรู้กันอยู่เพราะมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่สุดท้ายก็อยากให้เลือกคนที่ได้ทั้งบู๊และบุ๋นอยู่ดี เพราะคนที่มีคุณสมบัติรอบด้านจะมาเป็นขุนพลทะลวงแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ *** ในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่เพียงผู้เดียว ในวันที่ 24 มีนาคมนี้ แม้ว่าจะไม่มีชื่อ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แต่ เสมา 1 ก็ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมข้อมูลให้พร้อมหากถูกพาดพิง ถือว่าเป็นนักรบที่พร้อมรบตลอดเวลา…นับถือ นับถือ*** แต่ก็อย่าลืมซ้อมรับมือม็อบลูกจ้างเหมา สพฐ.ที่บอกข่าวมาว่าจะเดินทางมาทวงคำตอบที่รับปากไว้ในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ด้วยละกัน *** เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ผู้รับผิดชอบต้องช่วยกันคิด คือ ขณะนี้การจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนองค์การค้าของ สกสค.ยังไม่เดินหน้าไปไม่ถึงไหน ตามปฏิทินที่เคยบอกว่าจะเริ่มส่งหนังสือเรียนของปีการศึกษา 2568 ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2568 ซึ่งวันนี้ก็ 12 มีนาคม 2568 แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของการส่งหนังสือเรียน แบบนี้เขาว่าพูดพอพ้นตัวหรือเปล่าน่อ…พูดแล้วก็ไป…5555

“ธนากร” ชูจุดเน้นงานด่วนปีงบฯ 68 ลุยขับเคลื่อนประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัด สกร.

นายธนากร ดอนเหนือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานการศึกษาเพื่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งลงนามโดย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ซึ่งส่งผลให้ สกร.มีมาตรฐานการศึกษาเพื่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ที่ยึดหลักการจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คำนึงถึงความเท่าเทียม และความเสมอภาคของการเข้าถึงการศึกษา นำไปใช้เป็นหลักสำหรับการเทียบเคียงการส่งเสริมและกำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพทางการศึกษาให้แก่สถานศึกษาในสังกัด ซึ่งมาตรฐานการศึกษาเพื่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัด สกร. แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1.มาตรฐานการศึกษาสำหรับสถานศึกษาที่จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2.มาตรฐานการศึกษาสำหรับสถานศึกษาที่จัดการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง และ 3.มาตรฐานการศึกษาสำหรับสถานศึกษาที่จัดการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ โดยให้สถานศึกษาแต่ละแห่งนำมาตรฐานการศึกษา แต่ละประเภทไปกำหนดเป็นมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับหน้าที่ และอำนาจของสถานศึกษา และสามารถพัฒนามาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาขึ้นเพิ่มเติม จากที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการศึกษาแต่ละประเภทได้

อธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กล่าวต่อไปว่า การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายใน เป็นหนึ่งในจุดเน้นการดำเนินงานเร่งด่วนที่ สกร. ได้ประกาศเป็นจุดเน้นการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยภายในเดือนมีนาคมนี้ สกร.จะดำเนินการจัดทำแนวทางและคู่มือที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านการประกันคุณภาพการศึกษาและการนำมาตรฐานการศึกษาไปสู่การปฏิบัติในระดับสถานศึกษา และจะจัดให้มีการประชุมชี้แจงและพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายในหน่วยงานและสถานศึกษาโดยคำนึงถึงบริบทและความแตกต่างกันของสถานศึกษา เพื่อให้การดำเนินงานด้านการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ

“ ขอให้ทุกคนตระหนักร่วมกัน ว่า ‘การขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ไม่ได้เป็นหน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ต้องเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องร่วมกันดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่ที่ต้องกำหนดไว้ร่วมกันนำไปสู่การดำเนินงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แล้วนำผลการดำเนินงานของแต่ละบุคคล ในแต่ละส่วนมาประกอบเข้าด้วยกัน เปรียบเสมือนการร่วมกันต่อภาพจิ๊กซอว์ให้เป็นภาพใหญ่ ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นภาพกว้างในการดำเนินงานของสถานศึกษา และเพื่อให้มีผลการดำเนินงาน รวมถึงข้อมูลสำหรับนำไปใช้ประกอบในการประเมินคุณภาพการศึกษา หรือสะท้อนภาพการดำเนินงานของสถานศึกษา’  อย่างไรก็ตามเพื่อให้ทราบถึงผลการดำเนินงานและเพื่อให้มีข้อมูลสำหรับ สกร.นำไปใช้ในการวางแผนส่งเสริม และสนับสนุนการดำเนินงานของสถานศึกษาที่มุ่งประสิทธิภาพ ในแต่ละปีงบประมาณ สกร.จะจัดให้มีการติดตามผล และจะกำหนดให้มีโครงการ หรือกิจกรรมที่มุ่งเน้นการส่งเสริม สนับสนุนการดำเนินงานของสถานศึกษาที่สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการของสถานศึกษา รวมถึงนโยบายด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ด้วย ” นายธนากร กล่าว.

“เสมา1”แนะใช้คะแนนโอเน็ตเข้ามหาวิทยาลัยและสอบเข้าเรียนม.1ม.4 แต่ไม่บังคับ-ทิ้งคำถามเมื่อนำงบฯมาใช้แล้วต้องทำให้เกิดประโยชน์ได้

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 พล.ตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารศธ.ว่า สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในปีนี้สูงทุกสังกัด และมีคะแนนสูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผู้บริหารศธ.มีการปรับเปลี่ยนและช่วยกันทำงานส่งผลให้คุณภาพการศึกษามีการพัฒนาที่ดีขึ้น ส่วนที่ยังไม่ดีขึ้นก็ต้องช่วยกันปรับปรุงและช่วยกันเติมเต็ม ซึ่งในส่วนของผลสอบโอเน็ต จะนำไปใช้ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งในส่วนของรายบุคคลและสถานศึกษา ซึ่งตนขอฝากผู้บริหารทุกคน ให้ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมขององค์กรและให้คุณค่าในการประเมินผลโอเน็ต เพื่อวัดระดับการศึกษาของนักเรียน และนำผลมายกระดับคุณภาพสถานศึกษา

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่จะนำคะแนนโอเน็ต  ไปใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือสอบเรียนต่อนั้น ถือเป็นอีกมิติหนึ่งในการนำคะแนนโอเน็ตไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งขอให้เป็นไปตามความสมัครใจ แต่ถ้าเมื่อนำเงินงบประมาณมาใช้แล้วผลการทดสอบต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เพราะโอเน็ตเป็นมาตรฐานกลาง ที่ต้องประเมินอยู่แล้ว หากใช้ประกอบในการคัดกรองหรือชี้ให้เห็นถึงความถนัดของเด็ก ก็จะช่วยในการเลือกสาขาในการเรียนได้ รวมถึงสถานศึกษาต่าง ๆ ที่อาจนำผลสอบโอเน็ตไปใช้ในการเข้าเรียนต่อชั้นม. และม.4 ซึ่งทุกอย่างขอให้เป็นไปโดยความสมัครใจ เพราะเราเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่การบังคับ ส่วนมาตรฐานข้อสอบนั้น ก็เชื่อว่ามีมาตรฐานและมีการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมและขณะนี้มีการปรับปรุงให้อิงกับมาตรฐานการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติหรือ พิซ่า ที่ไม่ใช่การวัดความรู้ความจำเท่านั้น แต่เป็นการวัดการอ่าน และการคิดเชิงวิเคราะห์

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กล่าวอีกว่า  นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรายงานการติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาเชิงระบบหรือTHAILAND Zero Dropout โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา  (สกศ.) รายงานผลการดำเนินงานการติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาเชิงระบบ โดยข้อมูลเด็กวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ณ 10 มีนาคม 2568 พบว่ามีเด็กนอกระบบการศึกษาจำนวน 1,025,514 คน  ติดตามแล้ว 980,588 คน คิดเป็น ร้อยละ 95.62 สามารถนำกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาในประเทศ 320,724 คน คิดเป็น ร้อยละ 31.27 และ ยังไม่ได้ติดตาม 44,926 คน คิดเป็น ร้อยละ 4.38การติดตามข้อมูลเด็กในวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ภาคบังคับ อายุ 6-15 ปี สามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ 73,744 คน คิดเป็นร้อยละ 16.65 ดังนั้น ตนจึงขอให้ติดตามเด็กกลับมาให้ได้มากที่สุด และอย่าให้หลุดจากระบบการศึกษาอีก และในปีการศึกษาหน้า ในเรื่องการติดตามเด็กน่าจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครองในพื้นที่ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นคนติดตามให้ ส่วนครูมีหน้าที่สอนเพียงอย่างเดียว

“การาประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวานนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนที่ประสบภัยพิบัติ กรณีสถานการณ์อุทกภัยและโกดังเก็บสินค้าดอกไม้เพลิงระเบิด จำนวน 10 โรงเรียน ในวงเงิน 1,985,151 บาท  และเห็นชอบแต่งตั้งนายวีระพงษ์  แพสุวรรณ ประธานคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.)และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสสวท. รวม 13 ราย

“ธีร์ รองเลขาธิการกพฐ.”ร่วมประชุม”สินามิ”ระดับโลกที่ญี่ปุ่น เตรียมหารือนำแอปพลิเคชันเตือนภัย

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ดร.ธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางสำนักงาน โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นดีพี) ไทยแลนด์ ได้เชิญตนให้เป็นตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)และประเทศไทย ไปร่วมการประชุมระดับโลก เรื่อง “สึนามิ” ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยตนได้ไปเล่าถึงการทำงาน และการตั้งรับสถานการณ์การเกิดสึนามิ ที่ประเทศไทย ในพื้นที่ความเสี่ยงสูง  6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันของไทยอย่างต่อเนื่องมาหลายปี โดยต้องขอขอบคุณยูเอ็นดีพี และ ยูเอ็นดีพี ไทยแลนด์ รวมถึงรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ให้การสนับสนุนเรื่องนี้มาโดยตลอด

“ตอนนี้ในพื้นที่บริเวณรอบ 6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันของไทย ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ สตูล และตรัง มีเด็กประมาณ 7 พันกว่าคนที่รับรู้และเข้าใจเรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็มีครูอีก 471 คน ได้สร้างการรับรู้ และเข้าใจในเรื่องการเกิดสึนามิแล้วเช่นกัน ซึ่งก็ยังคงต้องรักษาสภาพความเข้าใจและการเตรียมพร้อมรับมือนี้ไว้ เพราะพื้นที่นี้ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก”รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวและว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ สพฐ.เอาใจใส่ และ ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ.ก็ได้กำชับให้ฝ่ายการศึกษาในจังหวัดโดยรอบพื้นที่เฝ้าระวังให้เป็นปกติ  และตอนนี้มีเรื่องที่น่าสนใจ คือ ยูเอ็นดีพี ได้ร่วมกับ ประเทศอินโดนีเซียทำแอปพลิเคชันประเมินสถานการณ์และเตือนภัยสึนามิ  ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นที่มีประโยชน์มาก โดยตนจะหารือกับเลขาธิการ กพฐ.ว่า จะสามารถนำมาใช้ในประเทศไทยจะได้หรือไม่ เนื่องจากเป็นแอปพลิเคชันที่ยูเอ็นดีพีพัฒนาขี้นมา

“มทร.กรุงเทพ”จับมือ 4 มหาวิทยาลัยดัง และ วิทยุการบิน ยกระดับกำลังคนกลุ่มอุตสาหกรรมการบิน ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ

มทร.กรุงเทพ-มก.-สจล.-มช.-มทส. ร่วมมือ วิทยุการบิน ขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพยกระดับกำลังคนด้านอากาศยานและการบิน สู่การสร้างนวัตกรรมด้านการบินตอบโจทย์การพัฒนาประเทศยุคดิจิทัล

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า มทร.กรุงเทพ ได้กำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนแนวนโยบายและยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในด้านโลจิสติกส์และอากาศยานของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งมุ่งหวังที่จะช่วยยกระดับศักยภาพและทักษะของกำลังคนด้านอากาศยานและการบินในประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น โดยเบื้องต้นได้ร่วมมือกับบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(มก.) ในการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนตามกรอบอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านอากาศยานการเดินอากาศอัจฉริยะ และอวกาศ โดยมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนานวัตกรและนวัตกรรมด้านการบินแบบมุ่งเน้นความร่วมมือ (Innovator and Innovation Development Collaboration Initiative) โดยใช้รูปแบบและกระบวนการในการพัฒนานวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) สอดคล้องกับแนวทางของการพัฒนาระดับสากล Next Generation of Aviation Professionals (NGAP) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อยกระดับการพัฒนากำลังคนของประเทศให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ซึ่งกำลังเป็นความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการบินอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดแนวคิดในการก้าวข้ามการพัฒนากำลังคนในรูปแบบดั้งเดิม ไปสู่แนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ภายใต้หลักการที่เรียกว่า “NGAP-Digital Transformation”

อธิการบดี มทร.กรุงเทพ กล่าวว่า การดำเนินการเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม โดยนำโจทย์ความต้องการเชิงนวัตกรรมจากภาคอุตสาหกรรมการบินเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนา เพื่อต่อยอดให้เกิดเป็นนวัตกรรมด้านการบิน ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญ (Skill and Expertise)ในหลากหลายมิติเพื่อเชื่อมโยงองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญที่มีเข้าด้วยกันจนเกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ และนำไปสู่การพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญให้กับบุคลากรที่สนใจให้มีศักยภาพสำหรับงานด้านอุตสาหกรรมการบินโดยเฉพาะ เช่น การพัฒนาช่างซ่อมบำรุงอากาศยานให้มีทักษะขั้นสูง การพัฒนาระบบ Simulator ด้านการบินที่ทันสมัย ตลอดจนการบ่มเพาะความรู้ด้าน AI และ Robotics รวมถึงเทคโนโลยีโดรน เป็นต้น

“จากความร่วมมือเบื้องต้นดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ตัวแทนจาก 5 มหาวิทยาลัยประกอบด้วย ดร.นวทัศน์ ก้องสมุทร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรม การบินและอวกาศ มก. ผศ.ดร.เสริมศักดิ์ อยู่เย็น คณบดีวิทยาลัยอุตสาหกรรมการบินนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ดร.อรรณพ ธนัญชนะ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและบริการวิชาการนานาชาติวิทยาลัยนานาชาตินวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ผศ.ดร.สุรเดช ตัญตรัยรัตน์ หลักสูตรวิศวกรรมอากาศยาน สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี(มทส.) และ มทร.กรุงเทพ ได้มีการประชุมหารือและลงนามความร่วมมือกับ ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาโครงการด้านการบริการการศึกษาในทักษะและความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรมด้านการบิน (NGAP-Digital Transformation) ซึ่งครอบคลุมใน 12 สาขาความเชี่ยวชาญ (Knowledge Areas) ที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการจราจรทางอากาศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว” อธิการบดี มทร.กรุงเทพกล่าวและว่า ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 – 7 มีนาคม ที่ผ่านมา ได้มีพิธีเปิดปฐมฤกษ์ของความร่วมมือดังกล่าวผ่านกิจกรรมโครงการ “Aviation X” หรือ “ก้าวใหม่ในการพัฒนานวัตกรรมการบิน” ณ ห้อง Slope ชั้น 4 อาคารสิรินธร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ