สพฐ.เตือนนักเรียนระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นครูแนะแนว/เจ้าหน้าที่ กยศ.ขอข้อมูลและหลอกให้โอนเงิน

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ว่า ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับโรคไข้อีดำอีแดงที่กำลังระบาดในเด็กวัย 5-15 ปี ในขณะนี้  โดย สพฐ.ได้ประสานกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การดูแลย่างใกล้ชิด หากมีเด็กเจ็บป่วยด้วยโรคไข้อีดำอีแดง ก็ขอให้ทำการรักษาโดยด่วน ขณะเดียวกันก็ให้มีการกำชับแจ้งเตือนให้เด็ก ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย แต่หากมีความจำเป็นที่ต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาร่วมกับล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือของใช้ของผู้ป่วย อย่าใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย โดยเฉพาะของใช้ส่วนตัว เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น

รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีกรณีมีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นครูแนะแนว และเจ้าหน้าที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) หลอกเงินนักเรียนที่จังหวัดตรัง โดยใช้วิธีการเข้าไลน์โอเพ่นแชทแนะแนว กยศ.ของโรงเรียน แล้วเปลี่ยนชื่อโปรไฟล์เป็นชื่อผู้ปฏิบัติงาน และหลอกถามข้อมูลนักเรียน ม.6 ที่กู้เงิน กยศ. ปรากฏว่า มีผู้เสียหาย 25 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เด็กให้ข้อมูลส่วนตัว หมายเลขบัญชี จำนวนคงเหลือในบัญชี แต่ยังไม่ได้โอนเงิน จำนวน 17 ราย และกลุ่มที่ 2 ให้ทั้งข้อมูลส่วนตัว หมายเลขบัญชี จำนวนเงินคงเหลือในบัญชี แล้วก็โอนเงินไป จำนวน 8 ราย รวมเป็นเงิน 48,140 บาท ซึ่งตอนนี้โรงเรียนได้แจ้งระงับกลุ่มไลน์นี้ไปแล้ว เพื่อระงับการทำงานธุรกรรมต่าง ๆ  สพฐ.จึงได้แจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต เพื่อให้ประชาสัมพันธ์แจ้งไปโรงเรียนต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีนักเรียนที่กู้เงิน กยศ.เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก

“ส่วนเรื่องการยื่นคำร้องขอย้ายข้าราชการครู ผ่านระบบ TRS (Teacher Rotation System)ที่ผ่านมา ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นการตรวจสอบข้อมูล เพื่อเข้าคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูล และนำเสนอคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.)เขตพื้นที่การศึกษาต่อไป ซึ่งตามปฏิทินจะดำเนินการภายในเดือนมีนาคม และออกคำสั่งย้ายได้ภายในเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ ตามระบบยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ต้องดูว่าจะมีปัญหาหลังจากการย้ายแล้วหรือไม่”นายพัฒนะกล่าว

“สพฐ.”ทำเต็มที่แล้ว ลูกจ้างเหมาฯกว่า1,000 คน เตรียมเดินทางทวงถามข้อเรียกร้องสิทธิประกันสังคมและความมั่นคงในชีวิต

ตามที่ กลุ่มผู้แทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทยและกลุ่มลูกจ้าง 5 ตำแหน่ง ได้แก่ ครูธุรการ ครูวิกฤต ครูวิทย์-คณิต ครูพี่เลี้ยงเด็กพิการ และครูนักการภารโรง ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้เข้าพบและประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการศึกษาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายโสภณ ซารัมย์ เป็นประธาน เพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาลูกจ้าง สพฐ. ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างเป็นจ้างเหมาบริการและตัดเงินสมทบประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ส่งผลให้ลูกจ้างกว่า 72,044 คน ทั่วประเทศ ได้รับผลกระทบถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ อาทิ การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การรับเงินสงเคราะห์ เป็นต้น นั้น

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า หลังจากสพฐ.ได้เข้าชี้แจงต่อ กรรมาธิการการศึกษา(กมธ.)ถึงข้อเรียกร้องของลูกจ้างฯ ขอเปลี่ยนจากการจ้างเหมาบริการ เป็นวิธีการจ้างลูกจ้างชั่วคราว พร้อมเงินสมทบประกันสังคมทุกตำแหน่ง,ขอปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนตามนโยบายรัฐบาล ที่ปรับฐานเงินเดือนตามคุณวุฒิปริญญาตรี ปีที่ 1 มีผลวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เงินเดือน 16,500 บาท ปีที่ 2 มีผลวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เงินเดือน 18,150 บาท คุณวุฒิต่ำกว่า ป.ตรี ปีที่ 1 วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เงินเดือน 10,340 บาท วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เงินเดือน 11,380 บาท และขอปรับตำแหน่งความมั่นคงในอาชีพลูกจ้าง สพฐ.ทุกตำแหน่ง ซึ่งขณะนี้ สพฐ. ได้ทำหนังสือหารือและทำความตกลงกับกระทรวงการคลังแล้วรอกระทรวงการคลังตอบกลับมาก่อน ว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนจากจ้างเหมา เป็นลูกจ้างชั่วคราวได้หรือไม่ ถ้ากระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ ก็ให้ทำหนังสือกลับไปที่สำนักงาน ก.พ.เพื่ิอขอเปิดกรอบอัตรากำลัง พร้อมกันนี้ สพฐ.ก็จะทำหนังสือเสนอคณะรัฐมนตรี( ครม.)เพื่อขออนุมัติขอปรับเงินเดือนกลุ่มลูกจ้าง ให้เทียบเคียงข้าราชการทั่วไป คือ ครั้งแรกพฤษภาคม 2567 จาก 15,050 เป็น 16,560 บาท ตามมติครม. และครั้งที่2 วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็น 18,000 บาท ซึ่งลูกจ้างประจำ และลูกจ้างชั่วคราว ไม่ได้อยู่ในหลักเกณฑ์นี้อยู่แล้ว แต่สพฐ. จะทำเทียบเคียงเพื่อชดเชยให้บุคลากรกลุ่มนี้

นายพัฒนะ กล่าวต่อไปว่า ส่วนสิทธิประกันสังคม ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคมนี้นั้น ทางสพฐ. ได้เสนอเปรียบเทียบเงินเดือนให้แล้ว ซึ่งผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประกันสังคมต่อเนื่องก็สามารถจ่ายเงินสมทบได้ในมาตรา 39 และมาตรา40 เนื่องจากขณะนี้สำนักงบประมาณ ไม่ได้จัดสรรเงินในส่วนนี้ให้กับ สพฐ.แล้ว อย่างไรก็ตาม ที่พูดมาทั้งหมดนี้ต้องรอต้องรอหนังสือตอบกลับจากกระทรวงการคลังก่อน  จึงจะสามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ ส่วนจะใช้เวลาเท่าไรนั้น ไม่สามารถตอบได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าสพฐ.จะเพิกเฉย แต่ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอน

ด้าน นายวรวิทย์ อัคราภิชาต ผู้แทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทยและกลุ่มลูกจ้าง สังกัดสพฐ. กล่าวว่า มติที่ประชุมลูกจ้างเหมาทั้ง 5 ตำแหน่ง จะเดินทางมาทวงถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว ในวันที่ 18 มีนาคม นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีตัวแทนสมาพันธ์ฯ กว่า 1 พันคน เพราะที่ผ่านมาทางสพฐ. รับปากจะหารือกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน( ก.พ.) เพื่อหาแนวทางแก้ไข แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า

“สิทธิประกันสังคมของกลุ่มลูกจ้างจะสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม ทำให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เคยได้รับถูกเพิกถอน ทำให้กลุ่มลูกจ้างกว่า 7 หมื่นคนทั่วประเทศ มีความกังวล โดยที่ผ่านมา ทราบว่า ทางคณะกรรมาธิการการศึกษา (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร ได้เร่งรัดให้ สพฐ. ไปหารือกระทรวงการคลัง และก.พ. เพื่อขอกรอบอัตรากำลัง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากสพฐ. “นายวรวิทย์  กล่าว

“โรงพิมพ์รุ่งศิลป์”โต้ องค์การค้าฯอย่าด่วนสรุปความโปร่งใส“ศาลปกครองกลาง” สั่งรวมคดีไว้พิจารณาพิพากษา

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 นายนัทธพลพงศ์ จิวัจฉรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด เปิดเผยว่า ตามที่ บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด ได้ยื่นฟ้อง คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (บอร์ด สกสค.), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (เลขาธิการ สกสค.) เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 ต่อศาลปกครองกลาง กรณีดำเนินโครงการประกวดราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ วงเงินงบประมาณ 1,060 ล้านบาท ด้วยวิธีคัดเลือก โดยมิชอบ เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนประกาศประกวดราคา และทีโออาร์ที่เกี่ยวข้อ และได้ขอให้ไต่สวนโดยเร่งด่วนเพื่อระงับการประกาศประกวดราคานั้น ความเดิมศาลได้ประทับรับฟ้องคดีที่บริษัทฯ ยื่นฟ้องบอร์ด สกสค.และพวก กรณีดำเนินโครงการประกวดราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2568 ด้วยการประกวดราคาด้วยวิธี e-bidding และศาลได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีดำที่ 27/2568 แต่ภายหลังองค์การค้าของ สกสค.ได้ยกเลิกการประกวดราคาด้วยวิธี e-bidding ก่อนเปลี่ยนมาเป็นวิธีคัดเลือก ทางบริษัทฯ จึงยื่นคำร้องต่อศาลอีกครั้ง

“แม้ศาลจะไม่มีคำสั่งทุเลาการดำเนินการตามที่บริษัทฯ ร้องขอไป บริษัทฯ ก็น้อมรับคำสั่งศาลในเรื่องดังกล่าว แต่ศาลก็ได้สั่งให้คัดสำเนาทั้ง 2 คดีเป็นคดีเดียวกันเพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป จึงต้องถือว่าคดียังไม่เป็นที่สิ้นสุด” นายนัทธพลพงศ์ กล่าวและว่า ส่วนกรณีที่ นายภกร รงค์นพรัตน์ รองผู้อำนวยการองค์การค้าของ สกสค. ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดขอบเขตงาน (Term of reference: TOR) การจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2568 อ้างว่า ศาลไม่ได้มีคำสั่งทุเลาตามที่บริษัทฯ ยื่นคำร้อง องค์การค้าของ สกสค. จึงสามารถดำเนินการโครงการต่อได้นั้น ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่า โครงการมีความโปร่งใส เป็นธรรม ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย เพราะเมื่อศาลรับคำร้องเพื่อพิจารณาพิพากษา จึงต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อนถึงจะสามารถกล่าวอ้างได้ ไม่ควรนำคำสั่งศาลมาบิดเบือนเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

“ล่าสุดในการประชุม กมธ.ป.ป.ช. (คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร) ที่ติดตามตรวจสอบเรื่องนี้ ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ก็พูดอย่างชัดเจนว่า ทีโออาร์โครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 ขององค์การค้าของ สกสค. ทั้งด้วยวิธี e-bidding หรือวิธีคัดเลือก เข้าข่ายขัดต่อมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ 2560” นายนัทธพลพงศ์ กล่าว

อาชีวะจับมือ 4 หน่วยงานเร่งผลิตนายช่างสำรวจ-รังวัด คุณภาพสูง รองรับความต้องการตอบโจทย์ความขาดแคลน เรียนจบมีโอกาสได้งานทันที

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีพิธีลงนามความร่วมมือในการผลิตและพัฒนากำลังคนคุณภาพสูง เพื่อรองรับอัตรากำลังที่ขาดแคลน ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) กรมที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และกรมธนารักษ์  โดยมี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน และมี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) กรมที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และกรมธนารักษ์ และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิธี

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กล่าวว่า รัฐบาลส่งเสริมการผลิตกำลังคนทุกช่วงวัยอย่างเต็มกำลังและความสามารถ และนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) “เรียนดี มีความสุข” เน้นย้ำส่งเสริมการจัดการอาชีวศึกษาให้ตอบสนองต่อความต้องการแรงงานในอนาคต รวมถึงสร้างโอกาสให้ผู้เรียนมีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ โดยความร่วมมือระหว่าง สอศ. สำนักงาน ก.พ. กรมที่ดิน ส.ป.ก. และกรมธนารักษ์ ในครั้งนี้เพื่อผลิตบุคลากรรองรับอัตรากำลังขาดแคลนของหน่วยงาน ด้านนายช่างรังวัด และนายช่างสำรวจ ซึ่งจะดำเนินความร่วมมือเป็นระยะเวลา 5 ปี (2568 – 2572) โดย สอศ.ทำหน้าที่ในการผลิตกำลังคนสายวิชาชีพได้เพิ่มรายวิชาใหม่ “การรังวัดที่ดิน” รองรับเทคโนโลยีการสำรวจยุคปัจจุบันและตรงกับความต้องการของ กรมที่ดิน ส.ป.ก. และกรมธนารักษ์ ผลิตบุคลากรในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาเทคนิควิศวกรรมสำรวจ ระบบทวิภาคี คือ เรียนทฤษฎี 1 ปีที่สถานศึกษาและฝึกอาชีพในหน่วยงาน 1 ปี เมื่อผู้เรียนผ่านการศึกษาในโครงการนี้จะได้รับการยกเว้นสอบ ภาค ก. ของสำนักงาน ก.พ.(ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินความรู้ที่บรรจุไว้ในหลักสูตร) และมีโอกาสเข้ารับการคัดเลือกเพื่อบรรจุเข้ารับราชการใน 3 หน่วยงานดังกล่าว ตามเงื่อนไขที่กำหนด

“ขอบคุณทุกหน่วยงานที่สนับสนุนน้อง ๆ อาชีวะ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาอาชีวศึกษา ซึ่งอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อให้ภาครัฐได้บุคลากรที่มีความสามารถ และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีศักยภาพสูงขึ้น สำหรับผู้จบการศึกษาในโครงการนี้ จะมีโอกาสได้รับการคัดเลือกบรรจุเข้ารับราชการในสังกัด กรมที่ดิน ส.ป.ก. และกรมธนารักษ์ ตามเงื่อนไขที่หน่วยงานกำหนด ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างบุคลากรคุณภาพ และเกิดประโยชน์กับภาครัฐอย่างยั่งยืน” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีสถานศึกษาในสังกัด สอศ.เข้าร่วม 8 แห่ง โดยกรมที่ดิน ส.ป.ก. และ กรมธนารักษ์ มีอัตราบรรจุรองรับผู้สำเร็จการศึกษา รวม 225 อัตรา ในช่วง 3 รุ่น ตั้งแต่ปี 2570 – 2572  ทั้งนี้สอศ.ได้เปิดรับสมัครผู้เรียนระหว่างวันที่ 1 – 31 มีนาคม 2568 ผ่านทางเว็บไซต์ sv.ovec.go.th และ ที่วิทยาลัยเทคนิค 8 แห่ง  โดยผู้สมัครต้องเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับ ปวช. สาขาสำรวจ หรือกำลังศึกษาระดับ ปวช.ชั้นปีที่ 3 ในสาขาดังกล่าว ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันขับเคลื่อนการผลิตกำลังคนที่มีทักษะ พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานภาครัฐและเอกชน เพื่อประโยชน์ของประเทศในระยะยาว

ด้าน นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ เลขาธิการ ก.พ. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นวิธีการทำให้หน่วยงานราชการสามารถให้บริการประชาชนได้เร็วขึ้น เนื่องจากกระบวนการนี้เป็นเหมือนนำกระบวนการพัฒนาบุคลากรไปให้ตั้งแต่ตอนเรียน เมื่อจบออกมาก็สามารถทำงานได้จริง เพราะน้อง ๆ จะเรียนที่สถานศึกษา 1 ปี แล้วไปฝึกปฏิบัติที่หน่วยงานอีก 1 ปี ซึ่งทางหน่วยงานก็จะเทรนเรื่องกฎระเบียบ เครื่องไม้ เครื่องมือที่เกี่ยวข้องให้ ถือว่าดีกว่าการฝึกงานทั่วไป เมื่อเรียนจบกลับมาก็ทำงานได้เลยเพราะจะมีความเข้าใจกฎระเบียบ เข้าใจเครื่องมือ เข้าใจสภาพงาน

“ในอดีตราชการเวลารับคนเข้าทำงาน จะให้ความสำคัญกับวุฒิการศึกษาเป็นหลัก แต่ต่อไปนี้จะต้องให้ความสำคัญกับทักษะมากขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงจากที่เมื่อก่อนเราอยากรับแต่คนดีคนเก่ง ต่อไปก็เติมผลงานเข้าไปด้วย หมายความว่า เข้ามาแล้วทำผลงานได้จริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทั้งทางราชการและประชาชนที่เข้ามารับบริการ”เลขาธิการ ก.พ.กล่าว

“เสมา2”ให้กำลังใจพร้อมชื่นชมตัวแทนนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันฟิสิกส์สัประยุทธ์โครงการ พสวท.สร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรม

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ​ เป็นประธาน เปิดโครงการพัฒนาศักยภาพนักเรียนของนักเรียนโครงการห้องเรียนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(พสวท.)สู่ความเป็นเลิศ ผ่านกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ “ฟิสิกส์สัประยุทธ์” ประจำปี พ.ศ. 2568 ณ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) โดยมี นายธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการ สสวท. นางกัญญาพัชญ์ กานต์ภูวนันต์ ผอ.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) คณะกรรมการดำเนินงานทุกฝ่าย ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน ร่วมให้การต้อนรับ

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับเกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พสวท.  ประจำปี พ.ศ. 2568 สำหรับนักเรียนโครงการห้องเรียน พสวท.ในวันนี้​ ขอชื่นชม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโรงเรียนศูนย์ พสวท. และโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ที่ตระหนักถึงความสำคัญ ของการจัดโครงการ พัฒนาศักยภาพนักเรียนของนักเรียนโครงการห้องเรียน พสวท. (สู่ความเป็นเลิศ) ผ่านกิจกรรมการแข่งขันฟิสิกส์สัประยุทธ์ โดยการแข่งขันฟิสิกส์สัประยุทธ์ เป็นกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ ของนักเรียนที่มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะด้านฟิสิกส์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรม และยังเป็นกิจกรรม ที่บูรณาการสมรรถนะที่สำคัญ ทั้งสมรรถนะการแก้ปัญหา และสมรรถนะการสื่อสาร อันจะเป็นประโยชน์ ทั้งในการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพต่อไป

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ขอเป็นกำลังใจให้ ลูกๆ นักเรียน ทั้ง 50 คน ที่เป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันฟิสิกส์สัประยุทธ์ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นนักเรียน จากโรงเรียนศูนย์พัฒนาและส่งเสริมนักเรียน ที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในโครงการห้องเรียน พสวท.(สู่ความเป็นเลิศ) ทุกภูมิภาคในประเทศไทย จำนวน 10 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ศูนย์โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ศูนย์โรงเรียนศรีบุญยานนท์ ศูนย์โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย ศูนย์โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ศูนย์โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ศูนย์โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย ศูนย์โรงเรียนสุรนารีวิทยาลัย ศูนย์โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย  และศูนย์โรงเรียนเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช  และขอให้ลูกๆนักเรียนทุกคนได้เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดเพราะทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต ทั้งนี้ขอขอบคุณ คณะกรรมการดำเนินงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ร่วมจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ให้กับเด็ก ๆ

“ได้ฤกษ์”แต่งตั้ง ผู้อำนวยการ สมศ.คนใหม่ “ศ.ดร.องอาจ นัยพัฒน์”มาวิน หลังดองตำแหน่งมา 4 ปี

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะอนุกรรมการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา หรือ สมศ.ที่มีนายศุภชัย เจียรวนนท์ เป็นประธาน ได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ ศาสตราจารย์ ดร.องอาจ นัยพัฒน์ ได้รับการสรรหา และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สมศ. คนใหม่ ตามคำสั่งคณะกรรมการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ครั้งที่  3/2568 โดย ศาสตราจารย์ ดร.องอาจ นัยพัฒน์ ได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการ สมศ. ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2568

ประวัติ ศาสตราจารย์ ดร.องอาจ นัยพัฒน์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก (Ph.D.: Educational Administration with a Concentration in Research and Evaluation): Illinois State University (ISU), ประเทศสหรัฐอเมริกา มีประสบการณ์ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการวิจัยและการประเมินคุณภาพการศึกษา เคยดำรงตำแหน่ง ศาสตราจารย์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ (อนุสาขาการวิจัยการศึกษา) สังกัดภาควิชาการวัดผลและวิจัยการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)  ดำรงตำแหน่งรองประธาน (คนที่ 1) คณะอนุกรรมการการบริหารโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (พ.ศ. 2559 – 2568) อนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.วิสามัญ) เกี่ยวกับการสรรหาและเลือกสรรทรัพยากรบุคคลของราชการ สำนักงาน ก.พ. (พ.ศ. 2560 – 2563) อนุกรรมการ (ผู้ทรงคุณวุฒิ) ด้านประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (พ.ศ. 2565 – 2568) และอุปนายก (คนที่ 1) สมาคมวิจัยและพัฒนาอุดมศึกษา (พ.ศ. 2565 – 2568)

14-24 มี.ค.นี้ “คุรุสภา” เปิดรับสมัครการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูฯ รายวิชาครู ครั้งที่ 1/2568 ผ่านระบบออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง

ผศ.ดร.อมลวรรณ  วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ข้อบังคับคุรุสภากำหนดให้การออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นต้น จะออกให้แก่ผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่ผ่านการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูตามที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด ซึ่งในปี 2568 นี้ คณะอนุกรรมการอำนวยการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ได้ออกประกาศคณะอนุกรรมการอำนวยการฯ เรื่อง กำหนดการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู รายวิชาครู ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยกำหนดการทดสอบ จำนวน 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 การทดสอบวิชาครู ระบบกระดาษ จำนวน 1 รอบ และ ครั้งที่ 2 การทดสอบวิชาครู ระบบอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 4 รอบ

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่อไปว่า จากประกาศดังกล่าว สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้กำหนดจัดการทดสอบฯ รายวิชาครู ครั้งที่ 1 ระบบกระดาษ ประจำปี พ.ศ. 2568 ในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 เวลา 13.00 – 16.00 น. จัดสนามสอบฯ จำนวน 12 จังหวัดทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาค โดยขั้นตอนแรกจะเปิดให้ผู้มีสิทธิ์เข้ารับการทดสอบฯ ตรวจสอบสิทธิและยื่นคำร้องขอมีสิทธิเข้ารับการทดสอบฯ ระหว่างวันที่ 11 – 17 มีนาคม 2568 จากนั้นเปิดให้สมัครเข้ารับการทดสอบฯ ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2568 เวลา 08.30 น. – วันที่ 24 มีนาคม 2568 สิ้นสุดเวลา 16.30 น. ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ผ่านระบบรับสมัครสอบออนไลน์ https://ksp2568-1.thaijobjob.com

“การทดสอบครั้งนี้ คุรุสภาได้อำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้ารับการทดสอบทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ จัดแบบทดสอบทั้ง ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และทุกสนามสอบจะใช้การทดสอบแบบกระดาษ เพื่อรองรับผู้เข้ารับการทดสอบได้เป็นจำนวนมาก ผู้สมัครสามารถเลือกสถานที่เข้ารับการทดสอบได้ 1 จังหวัด และเลือกแบบทดสอบได้ 1 ภาษา จากสนามสอบ จำนวน 12 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบด้วย จังหวัดที่จัดการทดสอบฉบับภาษาไทย จำนวน 12 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก กรุงเทพมหานคร นครปฐม ลพบุรี ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี  ในจำนวนนี้มี 4 จังหวัดที่จัดการทดสอบฉบับภาษาอังกฤษด้วย ได้แก่ เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น และสงขลา ซึ่งผู้ที่มีสิทธิเข้ารับการทดสอบฯ ครั้งนี้มีเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้ที่เคยสมัครเข้ารับการทดสอบแล้วแต่สอบไม่ผ่านเกณฑ์ฯ ตั้งแต่ ปี 2564 – 2567 และผู้ที่ไม่เคยสมัครเข้ารับการทดสอบที่จะมาร่วมเข้าทดสอบในครั้งนี้ด้วย ซึ่งการใช้แบบทดสอบแบบกระดาษ จะมีจำนวนที่นั่งสอบเพียงพอสามารถรองรับผู้สมัครฯ ได้ทั้งหมด และขอย้ำให้ทุกท่านดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง”

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวอีกว่า สำหรับการชำระค่าสมัครเข้ารับการทดสอบ ชาวไทย หรือ บุคคลที่มีบัตรประจำตัวบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หรือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน คนละ 500 บาท ส่วนชาวต่างประเทศ คนละ 1,000 บาท ชำระได้ระหว่างวันที่ 14 – 24 มีนาคม 2568 โดยนำรหัสคิวอาร์โค้ด (QR Code) ที่ได้รับจากระบบรับสมัครสอบสแกนชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน (Application) ของธนาคารทุกแห่ง โดยต้องชำระเงินก่อนเวลา 08.00 น.ของวันถัดไปนับจากวันที่เลือกจังหวัดที่เข้ารับการทดสอบ เพื่อรักษาสนามสอบที่เลือก หากไม่สามารถชำระเงินได้ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนที่แจ้งในคู่มือ หรือ สอบถามศูนย์บริการข้อมูล โทร.0-2257-7159 ต่อ 3 หรือ ไลน์ไอดี @Thaijobjob เท่านั้น

ผศ.ดร.อมลวรรณ  กล่าวด้วยว่า ผู้ที่สมัครและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว สามารถแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของตนเองได้ ระหว่างวันที่ 25 – 27 มีนาคม 2568 ยกเว้นข้อมูลเลขประจำตัวประชาชนและวันเดือนปีเกิดที่จะไม่สามารถแก้ไขได้ จากนั้นจะเปิดให้ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบฯ และพิมพ์บัตรประจำตัวได้ ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ https://ksp2568-1.thaijobjob.com เพื่อนำบัตรประจำตัวไปแสดงตนเข้ารับการทดสอบฯ ในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2568 ตามจังหวัดสอบที่ได้สมัครไว้ และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านเกณฑ์การทดสอบฯ ตั้งแต่ วันที่ 15 สิงหาคม 2568

ผู้ประสงค์สมัครเข้ารับการทดสอบทุกท่าน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ksp.or.th และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กลุ่มมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ เบอร์โทร.0-2280-0048 หรือสอบถามข้อมูลจากศูนย์บริการข้อมูล (Call Center) เบอร์ 0 2257 7159 ต่อ 3 หรือ ไลน์ไอดี @Thaijobjob เท่านั้น.

 

เสมา 2 มอบนโยบายการศึกษาที่จังหวัดประจวบฯ เดินหน้าขับเคลื่อน เรียนดี มีความสุข อย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำ​ คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้า เผยกำลังหาทางให้อำนาจโรงเรียนยึดบุหรี่ไฟฟ้าจากนักเรียนได้ 

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.
ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ลงพื้นที่ประชุมมอบนโยบาย จุดเน้นและแนวทางการปฏิบัติงานของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ผอ.กลุ่ม และบุคลากรทางการศึกษา ของหน่วยงานทางการศึกษา ณ โรงเรียนสามร้อยยอดวิทยาคม จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมี นายอาทิตย์ ธำรงชัยชนะ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ผอ.กลุ่ม และบุคลากรทางการศึกษา ร่วมให้การต้อนรับ

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ มีความมุ่งมั่นสานต่อนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนเป็นที่ประจักษ์ ภายใต้หลักการ “การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ และการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต” ใช้แนวทาง การทำงาน “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” มุ่งสร้าง “การศึกษาเท่าเทียม” ผ่านเครือข่ายการศึกษา เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและต่อยอดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทุกระดับให้ทันสมัย ได้มาตรฐานสากล ภายใต้แนวคิด “ปฏิวัติการศึกษา แก้ปัญหาประเทศ” เพื่อพัฒนาคนไทยทุกคน ในทุกช่วงวัย ให้ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” มีศักยภาพและความพร้อม สนับสนุนการพัฒนาประเทศ ให้ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อเป็นแนวทางให้ส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกํากับ ศธ. นําไปใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ เช่น ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง เป็นต้น

“ในโอกาสที่ได้มาเยี่ยมให้กำลังใจและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคลากรทางการศึกษาของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในการดำเนินงานในพื้นที่วันนี้ ขอฝากผู้บริหารทุกท่านร่วมกันดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนระบบการศึกษาในเรื่องต่างๆ ทั้งการเตรียมความพร้อมในการสอบ PISA ให้มีความเข้มข้น, การแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ,การเดินทางเป็นหมู่คณะของนักเรียน (รถรับ-ส่งนักเรียน, รถทัศนศึกษา) ,การเฝ้าระวังในช่วงปิดภาคเรียนโดยเฉพาะการป้องกันเด็กจมน้ำ การส่งเสริมให้เด็กได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในช่วงปิดภาคเรียน ที่สำคัญขอย้ำบุคลากรทางการศึกษาทุกท่านเกี่ยวกับเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากพบบุคลากรทางการศึกษามีบุหรี่ไฟฟ้าจะมีความผิดทางวินัยเพราะบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และขณะนี้ ศธ.กำลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โรงเรียนมีอำนาจในการยึดบุหรี่ไฟฟ้าจากนักเรียน เป็นต้น ”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

นายสุรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการยื่นคำร้องขอย้ายข้าราชการครู ผ่านระบบ TRS (Teacher Rotation System)ที่ผ่านมา ในภาพรวมถือว่า มีความเรียบร้อย เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้มีความสุขสะดวกในการรับรู้ข้อมูลการย้ายการจับคู่แลกเปลี่ยนกัน ได้ย้ายอย่างรวดเร็ว ส่วนการดำเนินการเรื่องเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็น 1 ใน 27 จังหวัดที่มีข้อมูลผลการติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาได้ครบ 100%  ซึ่งต้องขอชื่นชม นอกจากนี้ขอขอบคุณและขอชื่นชมทุก ๆ ภาคส่วนที่ได้ประสานความร่วมมือ ในการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาของ​ ศธ. เป็นอย่างดีและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบการศึกษา​ นอกจากนี้ขอให้สานต่อการดำเนินงานให้เข้มแข็ง และเข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ขอเป็นกําลังใจให้กับท่านผู้บริหาร คณะครู และบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจน เจ้าหน้าที่ทุกท่าน ขอให้มีกําลังกาย กําลังใจที่เข้มแข็ง ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อลูกหลานของเราต่อไป

เทศบาลเมืองโพธาราม ทำ MOU กับ สถาบัน พว. พัฒนาการเรียนรู้ Active Learning พร้อมเปิดบ้านโชว์ผลงานความสำเร็จจาก MOUรอบแรก

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 หอประชุมเทศบาลเมืองโพธาราม (ริมน้ำ) เทศบาลเมืองโพธาราม .ราชบุรี ได้จัดโครงการเปิดบ้านวิชาการเสริมความรู้สู่ทักษะอาชีพ (Soft Power) ของโรงเรียนในสังกัด และพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่างโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) กับสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) โดยมีนายประมวล พฤฑฒิกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) และนายไพศาล โรจน์สราญรมย์ รองประธานกรรมการบริหาร สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ร่วมลงนาม

ความร่วมมือครั้งนี้ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) และโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่มีต่อการพัฒนาการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยดำเนินงานตามกรอบแนวทางสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ด้านการศึกษาที่ได้กำหนดกิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนในปัจจุบันไปสู่การเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ภายใต้หลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-based Curriculum) ด้วยการพัฒนาคุณภาพและศักยภาพ รวมทั้งส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาชีพของครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) ในการยกระดับคุณภาพผู้เรียนให้มีความถนัดและความฉลาดที่แตกต่างกัน ผู้เรียนสามารถถักทอสร้างความรู้ได้เองจนถึงระดับหลักการ เกิดสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทุกด้านรวมทั้งเกิดผลลัพธ์เป็นผลผลิต เช่น ชิ้นงาน โครงงาน นวัตกรรม จนส่งผลให้ผู้เรียนทุกคนสามารถพัฒนาเป็นนวัตกรได้ตามที่ยุทธศาสตร์ชาติกำหนดไว้

นายเกรียงศักดิ์ นุตตะโร ผู้อำนวยการกองการศึกษา เทศบาลเมืองโพธาราม กล่าวว่าการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ (MOU)วันนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลเมืองโพธารามที่จะยกระดับการเรียนการสอนของสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลเมืองโพธาราม ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก MOUครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลเมืองโพธารามมีการยกระดับสูงขึ้น และวันนี้ทางเทศบาลเมืองโพธารามจึงได้นำผลงานของนักเรียนมาจัดแสดงในส่วนของการนำกิจกรรมการจัดการเรียนรู้มาพัฒนาสู่ทักษะอาชีพ (Soft Power) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งหวังที่จะผลักดันให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมประเภทนี้ขึ้นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในภาพรวมต่อไป

นายประมวล พฤฑฒิกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) กล่าวว่า แนวคิดในการจัดโครงการเปิดบ้านวิชาการเสริมความรู้สู่ทักษะอาชีพ (Soft Power) ในครั้งนี้ เนื่องจากมีการสอดแทรกเข้าไปในหลักสูตรของโรงเรียน และมีการนำผลขยายจากหลักสูตรสู่นักเรียน ทำให้นักเรียนได้เห็นว่าสามารถจะมีส่วนในการเชิดชูวัฒนธรรมไทยได้ด้วย

ดร.กรัณย์พล วิวรรธมงคล วิทยากร สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) กล่าวว่าพว.มุ่งเน้นในเรื่องของการยกระดับคุณภาพผลการสอบโอเน็ตของนักเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่21 และมุ่งส่งเสริมการขับเคลื่อนชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อให้ครู ชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ได้เข้ามาร่วมมือกันในการพัฒนายกระดับสมรรถนะของผู้เรียนให้เกิดขีดความสามารถเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

“ถกเดือด“ปมพิมพ์หนังสือองค์การค้า สกสค.ปี68 งบพันล้าน ”รุ่งศิลป์“โอดเจอกีดกันไม่ได้งาน ทั้งที่เสนอราคาต่ำกว่าอื้อ

 “กมธ.ป.ป.ช. สภาฯ” ถกเดือดโครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 งบฯพันล้าน “ก.บัญชีกลาง” จัดหนัก “องค์การค้าของ สกสค.” เจตนากีดกันแข่งขัน ส่อปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะเคยมีหนังสือแจ้งขัดต่อพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ฯ 2560 ด้าน “องค์การค้าฯ” สวนกลับส่งหนังสือปี 67 ไม่ทัน จนต้องบอกเลิกสัญญา เจอ“รุ่งศิลป์”งัดหลักฐานฝ่ายผลิตเซ็นยอมรับสวน
เมื่อวันที่ 7 มี.ค.68 ที่อาคารรัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6  มีนาคม 2568  ในการประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ที่ประชุม ได้มีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ งบประมาณ 1,060 ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) ที่มีลักษณะกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่ง บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1997) จำกัด ร่วมเสนอราคาร้องเรียนต่อ กมธ.ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร โดย กมธ.ป.ป.ช.ได้เชิญ ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค. ในฐานะผู้ถูกร้อง และ ผู้แทนบริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1997) จำกัด (บจ.รุ่งศิลป์ฯ) ในฐานะผู้ร้อง รวมถึง ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ในฐานะกำกับดูแลระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เข้าร่วมชี้แจง
นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม.พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 1 ได้สอบถามถึงประเด็นที่ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ร้องเรียนว่า ในขอบเขตงาน (ทีโออาร์) ของโครงการฯ ทั้งครั้งที่เปิดประกวดราคาโดยวิธี e-bidding ซึ่งยกเลิกไปแล้ว และการประกวดราคาโดยวิธีคัดเลือก มีการระบุถึงคุณสมบัติผู้เข้าร่วมเสนอราคาว่า ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกองค์การค้าของ สกสค.ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  ซึ่ง บจ.รุ่งศิลป์ฯ แจ้งว่าได้ถูก องค์การค้าของ สกสค.บอกเลิกสัญญาบางรายการของโครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2567 อย่างไม่เป็นธรรม และยังมีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดอยู่ในชั้นศาล จึงมองว่าเป็นการกีดกัน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ในการเข้าร่วมเสนอราคาของโครงการปี 2568 และได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง และอยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องด้วย
ทางด้านผู้แทนกรมบัญชีกลาง ชี้แจงว่า กรณีองค์การค้าฯกีดกัน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ร้องเรียนมายัง กรม บัญชีกลาง 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 2 ม.ค.68 ขณะมีการประกวดราคาโดยวิธี e-bidding ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ถือว่าคำร้องสิ้นสุด และเมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 ช่วงประกวดราคาโดยวิธีการคัดเลือก ซึ่งอยู่ในระหว่างหาข้อมูลประกอบการพิจารณา จึงยังไม่ได้ตอบกลับข้อร้องเรียนของ บจ.รุ่งศิลป์ฯ อย่างไรก็ตาม โครงการฯปี 2567 ทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็เคยได้หารือในกรณีถูกกีดกันมาเช่นกัน กรมบัญชีกลาง ก็เคยตอบกลับแล้วว่า การกำหนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาว่า ต้องไม่เคยถูกบอกเลิกสัญญา หรือเคยทำให้หน่วยงานเสียหาย ไม่สามารถกำหนดในทีโออาร์ได้ เพราะขัดกับมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ)
“โดยหลักการแล้ว ไม่ว่าจะประกวดราคาโดยวิธีการใด หากระบุในทีโออาร์เกี่ยวกับคุณสมบัติการถูกบอกเลิกสัญญา หรือทำให้หน่วยงานเสียหายในลักษณะนี้ ถือเป็นการกีดกันทั้งสิ้น ซึ่งกรมบัญชีกลางได้เคยตอบข้อหารือไปหมดแล้ว แต่การที่หน่วยงานนำไปดำเนินการอย่างไร กรมบัญชีกลางก็อาจไม่รับรู้ได้ทุกรายการ แต่ยืนยันว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมาย” ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงนายธีรัจชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม กล่าวสรุปว่า  กรณีที่ กรมบัญชีกลาง มีความเห็น หรือเคยเตือนแล้วว่า ขัดต่อกฎหมาย แต่หน่วยงานยังดำเนินการต่ออีก ก็ถือว่าเจตนาที่จะกีดกัน เข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ด้าน นายนัทธพลพงศ์ จิวัจฉรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ บจ.รุ่งศิลป์ฯ กล่าวเสริมว่า การประกวดราคาโดยวิธีการคัดเลือก บริษัทฯก็ได้เข้าร่วมเสนอราคาด้วย และหลังจากมีการประกาศผลการประกวดราคา ปรากฎว่า บริษัทฯ ไม่ได้รับการคัดเลือกแม้แต่รายการเดียว ทั้งที่มีอย่างน้อย 30รายการ จาก 145 รายการ ที่บริษัทฯเสนอราคาต่ำกว่าผู้ชนะการประกวดราคาค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่ามีการใช้เงื่อนไขที่ระบุในทีโออาร์ในเรื่องการถูกบอกเลิกสัญญา รวมถึงต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยทำให้องค์การค้าของ สกสค.เสียหาย มากีดกันโดยตัดคะแนน หรือตัดคุณสมบัติบริษัทฯ อย่างไม่เป็นธรรม โดยที่ยังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง เพราะองค์การค้าของ สกสค.ประกาศเฉพาะผู้ชนะการประกวดราคา แต่ไม่ได้แนบแบบฟอร์มการให้คะแนนแต่ละรายการตามที่ กรมบัญชีกลาง กำหนด
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การที่หน่วยงานใช้เกณฑ์การประเมินค่าประสิทธิภาพต่อราคา (Price Performance) ในการประกวดราคาอาจเปิดช่องให้มีการล็อกสเปกได้ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างที่มีความซับซ้อนทางเทคนิค อย่างโครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าของ สกสค. ก็มีในส่วนการกำหนดคุณสมบัติกระดาษ ที่ถูกร้องเรียนว่า ไปตรงกับคุณสมบัติกระดาษของผู้นำเข้ารายเดียวในประเทศไทย
จากนั้น ผู้แทนกรมบัญชีกลาง กล่าวตอบว่า เป็นดุลพินิจของแต่ละหน่วยงานที่จะกำหนดใช้เกณฑ์ Price Performance หรือไม่ แต่หน่วยงานต้องกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจนเพื่อให้มีการแข่งขันในด้านคุณภาพอย่างแท้จริง ซึ่งบางกรณี กรมบัญชีกลาง ก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงเหตุผลความจำเป็นจริงๆ แต่ถ้ากำหนดคุณสมบัติกระดาษแล้วไปตรงกับเจ้าใดเจ้าหนึ่งในประเทศก็ถือว่า ล็อกสเปก เพราะอย่างน้อยต้องมี 3 ราย
ขณะที่ ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค.ได้กล่าวยืนยันว่า ในการรับจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปี 2567 ของ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ส่งหนังสือไม่ทันตามกำหนด โดยอ้างว่าได้รับปกหนังสือไม่ครบ จึงจำเป็นต้องบอกเลิกสัญญา เพราะในความเป็นจริง องค์การค้าฯ ได้ส่งปกให้ตามกำหนด และมีเกินจำนวนสำรองไปด้วย ซึ่ง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็ได้ลงนามรับปกหนังสือไปเป็นที่เรียบร้อย แต่กลับทำหนังสือโต้แย้งมาภายหลังว่า ได้รับปกหนังสือไม่ครบ หลังจากที่ผ่านไปเกินกว่า 20 วัน ดังนั้นจึงไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดในชั้นขององค์การค้าฯ แต่องค์การค้าฯก็ได้สั่งผลิตปกหนังสือเพิ่มกลับไปให้ เพราะต้องการหนังสือเรียนให้กับเด็กนักเรียน นอกจากนี้ทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็มีการขอขยายระยะเวลาสัญญา เนื่องจากจัดส่งหนังสือได้ไม่ทันตามกำหนดด้วย
ซึ่งผู้แทน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ชี้แจงว่า ปกหนังสือทั้งหมดตามรายการที่บริษัทฯ ได้รับว่าจ้างมีจำนวนมาก และแพ็คส่งมาในพาเลท มีการทยอยส่งมาเป็นระยะ บริษัทฯ จึงไม่ได้ตรวจนับขณะได้รับจริงๆ ว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ ก่อนมาพบภายหลังว่าไม่ครบตามจำนวนและบางส่วนชำรุดด้วย จึงได้ทำการโต้แย้งไปยังองค์การค้าของ สกสค. และก็มีผู้รับผิดชอบขององค์การค้าของ สกสค.ลงนามรับทราบว่า ส่งปกหนังสือไม่ครบจริงๆ.